โฆษกอัยการสูงสุดสงสัย พปช.แก้ รธน.ให้กลับสังกัดยุติธรรมขู่-ต่อรองให้ช่วยเหลือทางคดี ผู้อ่าน 127 คน วันที่ 22 เมษายน 2551 เวลา 22:46:33 น.
ชมรม ส.ส.ร.50 -กลุ่มพันธมิตรฯ- ปชป.-นักวิชาการ-เอ็นจีโอ ต้านพลังประชาชนลุกลี้ลุกลนแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ชลอไปก่อนจนกว่าคดีทุจริตจะเสร็จสิ้น เตรียมเดินสายชี้แจงประชาชนทั่วประเทศ อัยการสงสัยรัฐบาลให้ไปสังกัดกระทรวงยุติธรรมต้อขู่-ต่อรองให้ช่วยทางคดีนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ให้สัมภาาณ์เมื่อวันที่ 22 เมษายนถึงแนวคิดรัฐบาลที่เตรียมแก้รัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้สำนักงานอัยการสูงสุดเป็นองค์กรอื่น กลับไปอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของฝ่ายบริหาร ว่า
สำนักงานอัยการสูงสุดอาจสอบถามความคิดเห็นอัยการทั่วประเทศ หากรัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วตัดองค์กรอัยการออกจากรัฐธรรมนูญเพราะอัยการทุ กคนคงไม่เห็นด้วย โดยนายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด (อสส) เห็นว่าดีอยู่แล้วที่อัยการอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งให้การรับรองคุ้มครองความเป็นอิสระเหมือนเช่นศาล
และในระหว่างการร่างรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรมก็เห็นด้วยและให้การสนับสนุน จึงไม่สมควรจะดึงอัยการให้กลับไปอยู่ภายใต้กระทรวงยุติธรรมซึ่งเป็นฝ่ายบริห าร โดยอัยการจะติดตามดูว่ามีแนวโน้มที่รัฐบาลจะแก้ไขตัดอัยการออกจากรัฐธรรมนูญ จริงหรือไม่ แต่หากรัฐบาลทำจริงก็จะเสนอ อสส.ตั้งคณะทำงานศึกษาผลกระทบอัยการจากการแก้รัฐธรรมนูญของรัฐบาล
'หากพิจารณาให้ดี ป.ป.ช. ซึ่งเป็นฝ่ายสอบสวน และศาลยุติธรรมซึ่งเป็นฝ่ายตัดสินคดียังจัดให้มีความอิสระอยู่ในรัฐธรรมนูญ แล้วอัยการผู้ทำหน้าที่ตรงกลางระหว่าง ป.ป.ช.กับศาลโดยเป็นผู้สั่งฟ้องคดีจึงถือเป็นฝ่ายที่มีความสำคัญ รัฐบาลกลับจะไม่ให้อยู่อย่างอิสระในรัฐธรรมนูญ ถือว่า ผิดหลักการ
ฉะนั้น การให้กลับไปอยู่ภายใต้สังกัดกระทรวงยุติธรรมซึ่งเป็นฝ่ายบริหารอัยการจะต้อ งกลับไปเผชิญแรงกดดันจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเข้ามามีอิทธิพลครอบงำอยู่เหนือการทำหน้าที่อัยการ
ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ถูกต้องและต้องแสดงออกว่าไม่เห็นด้วย ผมไม่รู้ว่า รัฐบาลกำลังจะขู่หรือต่อรองให้อัยการช่วยเหลือทางคดีเพื่อแลกกับการได้อยู่ในรัฐธรรมนูญเหมือนที่สื่อวิเคราะห์หรือไม่ ซึ่งส่วนตัวก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นเช่นนั้นเพราะมันเป็นคนละเรื่องกัน โดยการทำหน้าที่อัยการมีหลักการสั่งคดีตามพยานหลักฐานเสมอมา' นายธนพิชญ์กล่าว
ด้านชมรม ส.ส.ร.50 ที่มีนายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ เป็นประธาน ประชุมพร้อมกับสมาชิกประมาณ 10 คนที่รัฐสภา อาทิ นายมานิจ สุขสมจิตร นายไพโรจน์ พรหมสานต์ นายพิเชียร อำนาจวรประเสริฐ จากนั้น ร่วมกันออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนว่า ต่อการที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลเตรียมเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าเป็นการขอแก้ไขเพื่อประเทศชาติ และประชาธิปไตยมาบังหน้า ดังนี้
1.การขอแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนของผู้เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เริ่มต้นจากการขอแก้ไขมาตรา 237 และมาตรา 309 และต่อมามีการเสนอเปลี่ยนแปลงขอแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยขอนำรัฐธรรมนูญปี 2540 กลับมาใช้ทั้งฉบับ
2.ชมรม ส.ส.ร.50 ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ว่าจะเป็นการขอแก้ไขบางมาตราหรือขอแก้ไขทั้งฉบับก็ตาม ยังคงมีเจตนาสำคัญในการจะแก้มาตรา 237 และมาตรา 309 เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากกระบวนการยุติธรรมที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบการเพิกถ อนสิทธิการเลือกตั้งและการพิจารณาการยุบพรรคการเมืองบางพรรค และยังมีเจตนาในยกเลิกกระบวนการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ ไม่ว่าจะเป็น คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) กกต. (คณะกรรมการการเลือกตั้ง) ป.ป.ช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) หรือศาลรัฐธรรมนูญ
3.ชมรม ส.ส.ร.50 เห็นว่า การขอเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญบางมาตรา หรือจะขอแก้ทั้งฉบับดังกล่าวก็ตาม ก็ยังคงมีเจตนาซ่อนเร้น โดยมีเจตนาที่แท้จริงคือ ต้องการยกเลิกมาตรา 237 และ 309 อันเป็นการไม่ชอบด้วยหลักนิติธรรมและความชอบธรรมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือกฎ หมาย และเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ส่วนตน
4.ชมรม ส.ส.ร.50 ขอยืนยันว่า การขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนและบ้านเมือง ชมรม ส.ส.ร.50 เห็นว่า เป็นเรื่องที่สมควร แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน การขอแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวเป็นการขอแก้ไขเพื่อตัวเองให้พ้นจากการตรวจสอบ จากกระบวนการยุติธรรมที่กำลังถูกพิจารณาคดียุบพรรคและเพื่อการเปลี่ยนการบวน การสรรหาเพื่อแทรกแซงองค์กรอิสระ
ซึ่งขณะนี้ได้มีบุคคลจำนวนมาก ไม่ว่าจะมาจากบุคคลจากองค์กรต่างๆ นักวิชาการ หรือประชาชนทั่วไป ได้เริ่มก่อตัวเพื่อต่อต้านและคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อตนเองหรือแฝงไ ปด้วยประโยชน์ส่วนตนเป็นหลักในครั้งนี้ อันจะนำไปสู่ความเห็นที่แตกแยกของประชาชนในประเทศ และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ อันจะนำไปสู่การทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมืองได้
ดังนั้น เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการแก้เพื่อตนเอง และเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง ชมรม ส.ส.ร.50 จึงขอเรียกร้องให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝ่ายที่กำลังจะขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ หยุดหรือชะลอ การขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ส่วนตนดังกล่าวในช่วงเวลานี้ จนกว่าระยะเวลาจะได้ล่วงพ้นการพิจารณาคดีที่กำลังดำเนินการอยู่ในกระบวนการย ุติธรรมในขณะนี้
นายเสรี สุวรรณภานนท์ กล่าวว่า เรื่องการจะตั้งองค์กร ส.ส.ร.หรืออะไรก็ตามขึ้นมาดำเนินการนั้น ควรต้องชัดเจนก่อนว่า รัฐธรรมนูญที่เพิ่งจะเริ่มใช้มีอุปสรรคปัญหาอะไรต้องปล่อยให้ตกผลึกจึงจะนำไ ปสู่การแก้ไข และไม่ควรให้สมาชิกรัฐสภาทำเอง อย่างไรก็ตามไม่ขัดข้องเรื่องที่ วิปรัฐบาลเสนอตั้งคณะกรรมาธิการร่วมสองสภา ส.ส.และ ส.ว. เพื่อมาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ควรจะเป็นหลังผ่านพ้นกระบวนการยุติธรรมไปแล้ว
'เรื่องนี้ถือเป็นการชัดเจนว่าทำเพื่อตัวเอง แต่ที่ถูกคือควรปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมเดินต่อไป ถ้ามัวกลัวแล้วมาแก้กฎหมายอย่างนี้ทำให้ระบบเสียต่อไปคนจะไม่มีความเชื่อถือ ในระบบอีก อยากถามว่าหลักของกฎหมายมาทำแบบนี้กันได้หรือ การที่พยายามเรียกร้องให้นำรัฐธรรมนูญกลับคืนมาแก้ไขอีกครั้งเป็นเพียงเจตนา ซ่อนเร้น เพราะจริงๆ แล้วรัฐบาลต้องการแก้ไขเพียง 2 มาตรา คือ 237 และ 309 การอ้างเรื่ององค์กรอิสระ กกต.และ ปปช.ว่ามีที่มาไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นเป็นการพูดที่มีเหตุผลขัดกัน พอรัฐธรรมนูญปี 2540 กำหนดให้องค์กรอิสระมีวาระอยู่ได้นานเช่นกัน จึงไม่ใช่เหตุผลที่จะมาอ้าง'นายเสรีกล่าว
นายเสรีกล่าวว่า เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่กำหนดความผิดเกี่ยวกับการยุบพรรค หากกรรมการบริหารพรรคร่วมกันกระทำผิดนั้น เป็นการแก้ปัญหาการทุจริตการโกงซื้อเสียงเลือกทำให้การเมืองพัฒนาไปในทางที่ ดีขึ้น แต่รัฐบาลกลับเห็นว่า สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหา อ้างว่ากฎหมายนี้ทำให้ส่งผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล แต่ทำไมไม่ดูปัญหาที่เกิดขึ้นบ้าง โดยขณะนี้สมาชิกชมรมได้มีการพูดกันว่า จะออกไปเดินสายทำความเข้าใจตามภาคต่างๆ นอกจากนี้จะจัดสัมมนาในระดับจังหวัดด้วย หากรัฐบาลไม่ฟังเสียงการคัดค้านก็เป็นสิทธิของรัฐบาล ชมรมทำหน้าที่เพียงตักเตือน และเตือนสติ ให้ข้อมูล แต่หากเกิดความรุนแรงเกิดขึ้นรัฐบาลต้องรับผิดชอบ
ด้านแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกอบด้วย นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ร่วมหารือกันที่บ้านพระอาทิตย์ เมื่อเวลา 14.00 น. โดยมีนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ จากสมัชชาประชาชนภาคอีสาน และนายวีระ สมความคิด จากเครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่นเข้าร่วมด้วย
จากนั้นกลุ่มพันธมิตรออกแถลงการณ์เรื่อง หยุดล้มล้างรัฐธรรมนูญฉบับประชามติ 14 ล้านเสียง โดยมี นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯอ่านคำแถลงการณ์ ดังนี้
1.พันธมิตรยังคงยืนยันที่จะเคลื่อนไหวครั้งที่ 2 โดยมีมติให้มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ดำเนินการจัดการสัมมนาในรายการ 'ยามเฝ้าแผ่นดินภาคพิเศษ' ครั้งที่ 2 ในวันศุกร์ที่ 25 เมษายน ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ตั้งแต่เวลา 16.00-22.00 น.
2.พันธมิตรและองค์กรเครือข่าย ยืนยันที่จะต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ฉ้อฉลในครั้งนี้ทุกรูปแบบ ตราบใดที่ไม่ได้มีการทำประชามติก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้
3.พันธมิตรและองค์กรเครือข่าย ขอประกาศมาตรการเพิ่มเติม คือขอประกาศใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการชุมนุมใหญ่ด้วยสันติวิธี สงบ อหิงสา และปราศจากอาวุธ พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประชาชนร่วมกันขยายเครือข่ายแนวร่วม เพื่อร่วมกันรณรงค์ต่อต้านการล้มล้างรัฐธรรมนูญของประชาชน รวมทั้งเข้าชื่อถอดถอนนักการเมืองที่มาแก้ไขรัฐธรรมนูญ
นายสุริยะใสกล่าวว่า จะมีการขอประชามติในวันที่ 25 เมษายน เพื่อชุมนุมใหญ่ บอกได้ว่าจะมีการชุมนุมเมื่อวาระของร่างรัฐธรรมนูญเข้าสู่การพิจารณาของสภา การกำหนดเวลาในการชุมนุมใหญ่นั้น จะมีความชัดเจนภายในสัปดาห์นี้
ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐบาลไม่เปลี่ยนแปลงเป้าหมาย ยังตั้งใจใช้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรดึงดันแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ได้เพื่อ ช่วยตัวเองให้พ้นผิดในสิ่งที่ทำไว้ และเพื่อช่วยคน 111 คนกลับมามีอำนาจทางการเมืองต่อไป และเพื่อหนีคดียุบพรรคให้ได้ ประชาชนทั้งประเทศรู้และยอมไม่ได้ เมื่อเจอแรงต้านทานมากๆ รัฐบาลก็คิดจะเบี่ยงเบนซ่อนวัตถุประสงค์ที่แท้จริงเอาไว้ ขอเรียกร้องว่าอย่ารีบร้อนแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อผ่านการเลือกตั้งและมีรัฐบาลมาแล้วก็ควรทำงานแก้ปัญหาให้กับประชาชนก่อ น รัฐบาลคิดเพียงง่ายๆ ว่า อะไรที่เป็นประโยชน์กับเขามากที่สุด และทำสิ่งที่เสี่ยงต่อการดำรงอยู่ของพวกเขา
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) แถลงผลการประชุมว่า ได้ประเมินสถานการณ์แล้วเห็นว่า แนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญรัฐบาลยังสะท้อนให้เห็นความไม่ชัดเจน และความไม่ชอบธรรมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยมองว่า เป็นการแก้ไขเพื่อตนเอง ไม่ใช่เพื่อประชาชน และยังมีเป้าหมายที่แท้จริงในการแก้ไขเพื่อรักษาชีวิตและอำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นการปูทางเพื่อเข้าสู่อำนาจใหม่ วิปฝ่ายค้านกังวลว่า จะนำไปสู่สถานการณ์ความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ ในต้นเดือนพฤษภาคม ฝ่ายค้านจะเปิดเวทีสาธารณะเพื่อหาทางออกในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยจะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอนุกรรมการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พปช. กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฝ่ายค้าน อดีต ส.ส.ร. และผู้ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาร่วมประชุมแสดงความเห็น โดยวิปจะขอความร่วมมือจากนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้สถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีถ่ายทอดการสัมมนาด้วย
ทางด้านความเคลื่อนไหวนักวิชาการนั้น หลังจากที่ 30 คณาจารย์หลายสถาบัน ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน และนักวิชาการอิสระ นำโดย นางผาสุก พงษ์ไพจิตร นายประภาส ปิ่นตบแต่ง นายอรรถจักร สัตยานุรักษ์ นายไพโรจน์ พลเพชร นายโคทม อารียา ร่วมกันจัดสัมมนาเสนอแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 เมื่อวันที่ 20 เมษายน ที่ผ่านมา
ล่าสุดกลุ่มคณาจารย์ดังกล่าวเตรียมยื ่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 เปิดทางตั้ง ส.ส.ร. 3 ต่อไป
น.ส.นฤมล ทับจุมพล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตัวแทน 30 คณาจารย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมมีมติว่า การจะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ควรเปิดโอกาสให้สังคมมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ดังนั้น ต้องแก้มาตรา 291 ก่อน เพื่อให้มี ส.ส.ร.3 โดยขณะนี้กำลังร่างโมเดล ส.ส.ร.3 เบื้องต้นในส่วนสภาร่างฯอาจมีจำนวน 100-120 คน มาจาก ตัวแทน ส.ส.ร.จังหวัด โดยให้เลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนมาจำนวนหนึ่ง และให้สภาเป็นผู้เลือกอีกครั้ง กับอีกส่วนหนึ่งคือ ตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มวิชาชีพ อาจเลือกตั้งกันเองจำนวนหนึ่ง
และส่งบัญชีรายชื่อนั้นให้สภาเป็นผู้เลือก ส่วนคณะกรรมาธิการที่จะยกร่างแก้ไขประมาณ 35 คน แบ่งเป็น มาจาก ส.ส.ร. และส่วนที่เป็นนักเทคนิคด้านการร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่ง ส.ส.ร.รับรอง จากนั้นเมื่อร่างฯเสร็จ อาจทำประชามติ 2 ส่วนพร้อมกัน คือประชามติในส่วนบางมาตราที่มีความขัดแย้ง เช่น เรื่องพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ มาตรา 237 เป็นต้น และประชามติทั้งฉบับ ทั้งนี้ คาดว่าจะยื่นหนังสือต่อฝ่ายการเมือง วันที่ 25 หรือ 28 เมษายน
'
ถ้าเราเสนอแล้ว ฝ่ายการเมืองไม่เอา ก็จะรวบรวมรายชื่อประชาชน 50,000 ชื่อ เพื่อเสนอแก้ไขมาตรา 291 ให้มี ส.ส.ร.3 ต่อไป' น.ส.นฤมลกล่าว
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=28092&catid=1