http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000045859พันธมิตรฯ พร้อมองค์กรแนวร่วม ออกคำประกาศเดินหน้าต้านระบอบทักษิณ และการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อฟอกผิดตนเอง ลั่นเคลื่อนไหวใหญ่ครั้ง 2 จัด"ยามเฝ้าแผ่นดิน" หอประชุมใหญ่ ธรรมศาสตร์ 25 เม.ย.นี้
วันนี้(19เม.ย.) แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมตัวแทนองค์กรแนวร่วมจากทั่วประเทศ ได้ประชุมเพื่อหารือถึงสถานการณ์ทางการเมือง ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาฯ สี่แยกคอกวัว หลังจากนั้น เวลาประมาณ 15.00 น. ได้มีการออกคำประกาศเรื่อง "เดินหน้าต้านระบอบทักษิณ และการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อฟอกผิดตนเอง" มีเนื้อหาดังนี้
สืบเนื่องจากสถานการณ์สังคมการเมืองภายหลังเลือกตั้งและได้รัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งบริหารประเทศมาครบ 2 เดือนพอดี สังคมทุกภาคส่วนล้วนมีความหวังกับรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะดำเนินการคลี่คลายวิกฤติการณ์ของบ้านเมืองในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ความแตกแยกในสังคม การฟื้นฟูประชาธิปไตย ปัญหาเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพง ฯลฯ แต่การณ์กลับตรงกันข้ามสวนทางกับความหวังของผู้คนในสังคม จนสถานการณ์ในปัจจุบันมีแนวโน้มพัฒนาไปสู่ความขัดแย้งแตกแยกรอบใหม่
ด้วยเหตุดังนั้นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้งแกนนำส่วนกลาง แกนนำระดับภาค ระดับจังหวัด องค์กรแนวร่วม และเครือข่ายต่างๆ จึงได้จัดประชุมเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์และแนวโน้ม รวมทั้งแผนการเคลื่อนไหว การจัดทำข้อเสนอแนะต่อสังคมเพื่อร่วมกันฟันฝ่าวิกฤติปัญหาของบ้านเมือง โดยที่ประชุมมีความเห็นต่อสถานการณ์ และข้อเสนอต่อทุกภาคส่วนดังนี้
2 เดือนรัฐบาลหุ่นเชิด วิกฤติซ้อนวิกฤติ
ภายหลังรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2551 นั้น พบว่ารัฐบาลไม่ได้ให้ความสำคัญกับนโยบายที่แถลงแต่อย่างใด แต่กลับเดินหน้าเช็คบิลทางการเมืองทำสารพัดวิธีเพื่อทวงอำนาจคืนให้กับระบอบทักษิณ ไล่เลียงตั้งแต่การโยกย้ายล้างบางข้าราชการประจำ การแทรกแซงตัดตอนกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมก่อนศาล ไม่ว่าจะเป็นกรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อัยการสูงสุด ฯลฯ
จึงปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันเป็นเพียงรัฐบาลหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และระบอบทักษิณ ฉะนั้นวาระประเทศหรือนโยบายเร่งด่วนที่แถลงต่อสภาจึงเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะเนื้อหาที่แท้จริงคือการแก้ปัญหาและฟอกผิดให้กับคนๆ เดียว
นอกจากนี้รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลหลายคนและลิ่วล้อระบอบทักษิณ ทั้งในสภาและนอกสภาก็ใช้อำนาจและแสดงออกอย่างก้าวร้าว เหิมเกริม ท้าตีท้าต่อย ตอกลิ่มความแตกแยกในสังคมให้ขยายวง แทรกแซงสื่อสารมวลชนในกำกับของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นช่อง 11 และคลื่นวิทยุ รวมทั้งสื่อเทียมรูปแบบต่างๆ ที่คนในพรรคพลังประชาชนอยู่เบื้องหลัง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือบิดเบือนและโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง
ในขณะเดียวกันการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ข้าวยากหมากแพง โดยทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล กลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาน้ำมันแพง ราคาหมู และราคาข้าว ที่พ่อค้าคนกลางหรือนายทุนขนาดใหญ่กลับได้ประโยชน์จากราคาที่ผันผวน
ความล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพในการบริหารแผ่นดินของรัฐบาลและพฤติกรรมที่ก้าวร้าวและลุแก่อำนาจ ส่งผลให้สังคมการเมืองไทยตรึงเครียดมากขึ้นอย่างรวดเร็ว วิกฤติการณ์ลูกเก่านอกจากไม่มีทางคลี่คลายแล้วยังส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์ลูกใหม่ กลายเป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ทักษิณเดินสาย สร้างภาพ หวังทวงคืนอำนาจ
การกลับเข้าประเทศของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว พร้อมสัญญาประชาคมว่าจะวางมือทางการเมืองนั้น บัดนี้ปรากฎชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ฉีกสัญญาดังกล่าวทิ้ง ซ้ำร้ายยังเดินสายปรากฎตัวเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วงชิงพื้นที่ทางสังคมการเมือง ขายภาพลักษณ์เศรษฐีใจบุญ และอดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกรังแก
ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รู้ดีว่าโอกาสชนะในกระบวนการยุติธรรมนั้นอาจเป็นเรื่องลำบาก เพราะพยานหลักฐานในคดีความต่างๆ ปรากฎชัดเจน ฉะนั้นจึงพยายามแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมผ่านรัฐบาลนอมินี และสร้างพื้นที่ทางสังคมการเมืองเพื่อทำสงครามจิตวิทยากับกระบวนการยุติธรรมหวังผลกดดันทางอ้อมให้ได้รับชัยชนะและความเห็นใจจากการต่อสู้คดี
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังเชื่อว่าชะตากรรมของรัฐบาลนอมินี ภายใต้การนำของนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด เริ่มไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมวงกว้าง เกิดแรงต้านอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว การวางตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หรือการปรับ ครม.ครั้งใหญ่จึงมีความจำเป็นเพื่อซื้อเวลาและต่อลมหายใจของระบอบทักษิณในฐานะผู้กุมอำนาจรัฐให้ยาวนานที่สุด
จึงมิแปลกที่สัญญาณความขัดแย้งระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับนายสมัคร สุนทรเวช ส่งสัญญาณชัดเจนขึ้น รวมทั้งการปล่อยข่าวจากคนในพรรคพลังประชาชนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะขับนายสมัคร สุนทรเวช ลงจากตำแหน่งนายกฯ ในเร็วๆ นี้
แก้รัฐธรรมนูญฟอกผิด เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองประชาธิปไตย
ที่ประชุมพันธมิตร ฯ และองค์กรแนวร่วม ทั่วประเทศเชื่อว่าการเปิดประเด็นรื้อรัฐธรรมนูญ ของพรรคพลังประชาชนในขณะนี้นั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงเล่ห์อุบายทางการเมือง โดยหวังตัดทิ้งและแก้ไขรัฐธรรมนูญ เฉพาะ มาตราที่เป็นอุปสรรคขวากหนามของการฟื้นระบอบทักษิณ ไม่ว่าจะเป็น มาตรา 237 และ มาตรา 309 หรือการวางแผนลดวาระของ กกต.และ ปปช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระทำหน้าที่ถ่วงดุลตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล พฤติกรรมดังกล่าวของพรรคพลังประชาชนจึงเข้าข่ายเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ
ที่ประชุมจึงมีมติคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกผิดให้กับตนเอง แต่หากพรรคร่วมรัฐบาลมีมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะต้องจัดให้มีการลงประชามติสอบถามความเห็นของประชาชนทั้งประเทศว่าเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่
เพราะต้องไม่ลืมว่าที่มาของรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 มาจากการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างกว้างขวางและจัดทำประชามติเพื่อให้ประชาชนทั้งประเทศตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายว่าจะรับร่างรัฐธรรมสนูญฉบับนี้หรือไม่ ผลการลงประชามติพบว่าเสียงส่วนใหญ่มากกว่า 14 ล้านเสียงออกเสียงรับร่างรัฐธรรมนูญ
ดังนั้นการกล่าวอ้างของพรรคพลังประชาชนว่าที่มาของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เป็นเผด็จการนั้นจึงไม่เป็นความจริง วิธีที่รัฐบาลกำลังลุกลี้ลุกลนใช้เสียงข้างมากปิดปากเสียงข้างน้อยในสภารื้อรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกผิดตนเอง นี่ต่างหากเป็นวิธีที่เลวร้ายกว่าเผด็จการที่พรรคพลังประชาชนกล่าวหาเสียอีก
ทั้งนี้พันธมิตรฯ และองค์กรแนวร่วม เห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญแม้เป็นสิทธิที่ทำได้ก็ตาม แต่กระบวนการแก้ไขต้องมีความชอบธรรมปราศจากปัญหาผลประโยชน์ขัดกันและการมีส่วนได้เสีย และต้องมีกระบวนรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนอย่างกว้างขวาง เช่นเดียวกับสภาร่างรัฐธรรมนูญชุดที่ 1 และสภาร่างรัฐธรรมนูญชุดที่ 2
แผนการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ และแนวร่วม
1. ที่ประชุมจะดำเนินการคัดค้านกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกผิดตนเองทุกรูปแบบอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 164 รวบรวมรายชื่อ 2 หมื่นรายชื่อ เพื่อดำเนินการถอดถอน สส.ที่ร่วมรับรองญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกผิดตนเอง และจะยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุดเพื่อวินิจฉัยว่าการเสนอญัตติ รวมทั้งการเตรียมการชุมนุมใหญ่
2. ที่ประชุมจะยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวสอบข้อเท็จจริงพฤติการณ์การรื้อรัฐธรรมนูญดที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 ที่ระบุว่า สส.จะต้องไม่ทำหน้าที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ หรือมีส่วนได้เสียในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐรรมนูญ
หากอัยการสูงสุดตรวจสอบพบข้อเท็จจริง จะต้องยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรรมนูญวินิจฉัยสั่งยุติการกระทำดังกล่าว และพิจารณายุบพรรคต่อไป
3. ที่ประชุมเห็นร่วมกันว่าจะจัดให้มีการเคลื่อนไหวใหญ่ครั้งที่ 2 ในรูปแบบ ยามเฝ้าแผ่นดินภาคพิเศษ ในวันศุกร์ที่ 25 เมษายน 2551 ณ หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์ นี้ โดยชูประเด็นต่อต้านการรื้อรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกผิดตนเอง ซึ่งรายละเอียดจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง
4. ที่ประชุมมีมติให้เครือข่ายพันธมิตรฯ ทั้งส่วนกลาง ต่างจังหวัด ต่างประเทศ และองค์กรแนวร่วมต่างเตรียมพร้อมระดมมวลชนเพื่อชุมนุมใหญ่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญและแนวทางอหิงสาทันที หากมีการดันทุรังรื้อรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้ พตท.ทักษิณ ชินวัตรและเครือข่าย โดยไม่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง
5. ที่ประชุมได้มอบหมายให้คณะกรรมการทั้ง 6 คณะ ซึ่งประกอบไปด้วยคณะกรรมการติดตามตรวจสอบความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและเครือข่าย คณะกรรมการติดตามตรวจสอบการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและความยากจน คณะกรรมการตรวจสอบการคุกคามและแทรกแซงสื่อสารมวลชน คณะกรรมการติดตามตรวจสอบการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการติดตามตรวจสอบการคุกคาม กลั่นแกล้ง ละเมิดศักดิ์ศรีข้าราชการประจำและสิทธิเสรีภาพประชาชน คณะกรรมการติดตามตรวจสอบการขายรัฐวิสาหกิจดำเนินการติดตามตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริง พร้อมทั้งเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลในแต่ละประเด็น ต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
และเครือข่ายองค์กรแนวร่วมทั่วประเทศ
19 เมษายน 2551