แถมบทวิเคราะห์ล่าสุดกรณี ลอยค่าเงินบาท กับ บริษัทในเครือชินวัตร ไปด้วยแล้วกัน
อ่านดูแล้วมีการเคลื่อนไหวสอดคล้องกับข้อมูลภายในของ ธปท. อย่างมีนัยสำคัญ
ก็สมควรแล้วที่ศาลจะวินิจฉัยว่าคุณทักษิณสมควรถูกคุณสุเทพตั้งข้อสงสัย 
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ถอดรหัสคำพิพากษาศาลฎีกาคดีค่าเงินบาท ย้อนรอยวิกฤต 40 เปิดขบวนการปล้นชาติ
ตอนที่ 2 : เปิดบัญชี “ชินวัตร” ก่อนลอยค่าเงินโดย ผู้จัดการรายวัน 18 เมษายน 2551 07:49 น.
ข่าวเชิงวิเคราะห์ โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000045180 เปิด หลักฐานการเตรียมตัวล่วงหน้าของบริษัทในเครือของครอบครัวชินวัตร พบบัญชีวันปิดงบครึ่งปีก่อนลอยค่าเงินบาท 2 วัน
มีสัญญาคุ้มครองความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา สินค้าคงคลังเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดถึง 2 เท่าตัว ตามด้วยภรรยานักธุรกิจสื่อสาร
ถอนเงินบาทขนไปแลกสิงค์โปร์ให้กลับมาโจมตีค่า เงินบาทตามสัญญา SWAP อีกหลายระลอก
[อ่าน ถอด รหัสคำพิพากษาศาลฎีกาคดีค่าเงินบาท ย้อนรอยวิกฤต 40 เปิดขบวนการปล้นชาติ -
ตอนที่ 1 : เวลา 4 ทุ่ม กับคืนที่ทักษิณรู้ข่าวลดค่าเงินบาท] หลังจากการลอยค่าเงินบาทในปี พ.ศ. 2540 ประชาชนชาวไทยจำนวนมากต้องตกระกำลำบาก ตกงาน ล้มละลาย ล่มจม
ทรัพย์สินถูกยึด เจ้าหนี้ที่เคยขอร้องให้ลูกหนี้ก็หันมาอาฆาตลูกหนี้เยี่ยงศัตรู ลามไปจนถึงการฆ่าตัวตายจากปัญหาเศรษฐกิจ
อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน กิจการสุจริตจำนวนมากที่สร้างมาหลายทศวรรษต้องประสบปัญหาการขาดทุนจนถึงขั้น ล่มสลาย
เพราะไม่สามารถจะรู้ล่วงหน้าถึงการลอยค่าเงินบาทก่อนได้ และไม่สามารถจะทราบล่วงหน้าในการปิดสถาบันการเงินจำนวนมากๆ ได้
ในขณะมีคนบางกลุ่มได้อาศัยการล่วงรู้ข้อมูลลับทางราชการแสวงหาผลกำไร อย่างมหาศาลร่ำรวยบนความเดือดร้อนและคราบน้ำตา
ของประชาชน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทยเป็นล้นพ้น ที่ทรงพระราชทานกระแสพระราชดำรัส
แสดงความห่วงใยกับวิกฤตการณ์ปี 2540 เกี่ยวกับนักเก็งกำไรค่าเงินบาทกับระบบค่าเงินบาทเป็นเวลา 2 ปีติดต่อกัน เนื่องในโอกาส
วันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาฯ พระราชวังดุสิต เมื่อวันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2541 และวันพฤหัสบดีที่
23 ธันวาคม 2542
วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม 2541 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยกับระบบการลอยค่าการเงินที่ไร้เสถียรภาพในยุคนั้นว่า
คนส่วนใหญ่ล่ม จม แต่พวก “หัวใส” ซื้อตุนเงินเหรียญสหรัฐ เพราะทราบว่าจะลอยค่าเงิน ดังปรากฏความตอนหนึ่งในกระแส
พระราชดำรัสอย่างชัดเจนในครั้งนั้นว่า :
“เขา พูดกันว่า คนที่เป็นนักธุรกิจส่งนอก บอกว่าเดี๋ยวนี้เงินบาทแข็งเกินไป แต่ก่อนนี้เงินบาทลอยไป ไม่ต้องมีเครื่องบิน
ไม่ต้องมีบอลลูนหรอก มันลอยขึ้นไป พวกที่หัวใสในทางเก็งราคา ก็เก็งราคาดอลลาร์ ไปซื้อดอลลาร์ เพราะทราบว่าจะลอย
ก็ซื้อดอลลาร์มากมายทีเดียว เมื่อลอยก็ขายได้กำไร ถ้าซื้อล้านบาทก็ได้กำไรกลับคืนมาสองล้านบาทภายในไม่กี่เดือน
ถ้าเงินขึ้นลง บางคนที่ไม่เก่งนักซื้อวัตถุดิบมาในราคาแพง แล้วขายสินค้าของเขาในราคาถูก คนเหล่านั้นก็ล่มจม ส่วนใหญ่
นักธุรกิจธรรมดาๆ ก็ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่จะขึ้น เมื่อไหร่จะลง ก็เลยผิดจังหวะ เขาก็ล่มจม ในวงการธุรกิจจึงบอกว่าล่มจม ส่วนผู้ที่
เรียกว่าฉลาดหรือหัวใสเก็งราคา คือรู้ว่าเงินมีขึ้นมีลง ก็เล็งเอาตอนที่เหมาะสม ซื้อวัตถุดิบมาในราคาถูก และขายสินค้าในราคาแพง
อย่างนี้ควบคุมไม่ได้ ก็ทำให้พวกนี้สบาย” วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม 2542 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีกระแสพระราชดำรัสเกี่ยวข้องกับค่าเงินบาทเป็นปีที่ 2
ติดต่อกัน โดยในปีนั้นทรงพระราชทานคำแปลภาษาอังกฤษจากคำว่า Insider ว่าเป็น “พวกรู้ไส้” ที่ร่ำรวยด้วยการล่วงรู้ข้อมูลและ
ทำกำไรจากค่าเงินบาทภายในไมกี่วัน แต่ทำให้เศรษฐกิจของชาติพัง ดังปรากฎความตอนหนึ่งในกระแสพระราชดำรัสครั้งนั้นว่า :
“พูด มาก่อนนี้แล้ว พูดมาก่อนที่ผู้ที่เป็นตัวละครในการถกเถียงกัน ได้มาอยู่ในตำแหน่งนั้น พูดมานานแล้ว แต่ว่าถ้าเงิน 20 บาท
25 บาทมั่งต่อดอลลาร์ 50 บาทมั่งต่อดอลลาร์ คนที่ ขอใช้คำว่าหัวใส เขารู้ ไปซื้อดอลลาร์ในราคา 25 บาท ไม่กี่วันดอลลาร์ขึ้นเป็น
50 บาท เขาขาย 50 บาทได้กำไร 2 เท่า อย่างนั้นเราเห็นว่าคนได้กำไรเราก็ยินดีด้วย ยินดีด้วยกับเขา ว่าคนไหนรวยก็ดี แต่ที่ไม่ยินดี
เพราะว่าคนไหนที่ได้กำไรโดยมีเทคนิคสูงในการแลกเปลี่ยน หรือมีความรู้ รู้ไส้ ฝรั่งเขาเรียกว่าอินไซเดอร์ ถ้าคนไหนรู้ไส้ของเศรษฐกิจ
ชั้นสูงๆอย่างนี้ รวย แต่ว่าคนนั้นรวย ก็อย่างที่ว่า เรายินดีด้วยกับเขา ถ้าเขารวยแล้วใจบุญ แต่ว่าอย่างนี้เศรษฐกิจพัง พังเพราะอย่างนี้
จะไม่พูดว่าอันนี้เป็นทุจริต แต่ว่าได้พูดไปแล้ว” จากกรณีที่ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาที่ 5730/2550 เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2550 ที่ยกฟ้องคดีความที่นายโภคิน พลกุล ในฐานะ
อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นโจทก์ ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
ที่ได้อภิปรายญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2540 เรื่องการลดค่าเงินบาท โดยนายสุเทพ
ตั้งข้อสงสัยว่านายโภคินได้นำมติจากที่ประชุมลับเรื่องการลดค่า เงินบาท ไปบอก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้บริษัทของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ประโยชน์
ย่อมแสดงให้เห็นว่าศาลฎีกาได้พิพากษาการอภิปรายของนายสุเทพ เทือกสุบรรณในครั้งนั้น
มีมูลเพียงพอที่จะตั้งข้อสงสัยเช่นนั้นได้ คำถามที่หลายคนสงสัยในเวลานี้ก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับรู้เรื่องของค่าเงินบาทได้อย่างไร, รู้ตั้งแต่เมื่อไร และ
นายโภคิน พลกุล เป็นสาเหตุแต่เพียงผู้เดียวตามทีนายสุเทพได้เคยตั้งข้อสงสัย ใช่หรือไม่?
ตามคำพิพากษาศาลฎีการะบุความตอนหนึ่งว่า :
พัน ตำรวจโททักษิณซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจการค้ารายใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบ
เสียหาย รุนแรงจากการเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอย่างผู้ประกอบธุรกิจการ ค้าใหญ่รายอื่นที่มีหนี้สินเป็น
เงินตราต่างประเทศที่ต่างประสบความเสีย หายอย่างรุนแรง ย่อมเป็นมูลเหตุเพียงพอที่จะทำให้จำเลยที่ 1 (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ)
ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายตั้งข้อสงสัยโจทก์ได้
จากการตรวจสอบได้ปรากฏว่า มีคำสัมภาษณ์ของนายนิวัฒน์ บุญทรง ประธานกรรมการสายธุรกิจ มีเดีย บริษัท ชินวัตร
คอมพิวเตอร์แอนด์คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด ในหนังสือผู้จัดการรายสัปดาห์ ฉบับวันที่ 7-13 กรกฎาคม 2540 ระบุให้ความเห็น
ต่อกรณีการลดค่าเงินบาทความตอนหนึ่งว่า :
“ส่วนตัวแล้วผมเห็นด้วยกับนโยบายครั้งนี้ เพราะจะทำให้เงินบาทมีคาตามความเป็นจริงมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
เงินจากต่างประเทศก็จะไหลเข้าประเทศไทยมากขึ้น เห็นได้ชัดจากตลาดหลักทรัพย์ที่ดัชนีพุ่งสูงขึ้นมาก
เห็นด้วยกับการลดค่าเงินบาท เพราะยิ่งช้ายิ่งแย่ ผมคิดว่านักธุรกิจไทยส่วนใหญ่คงเห็นด้วยกับนโยบายนี้ ส่วนผลกระทบ
กับกลุ่มชินวัตรนั้นมีบ้างแต่ไม่มากนัก
เพราะ ชินวัตรติดตามสถานการณ์เงินบาทอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
เงินกู้ไหนสามารถชำระได้ ก็รีบชำระหรือไม่ก็ทำประกันความเสี่ยงกับสถาบันการเงิน”
และเมื่อตรวจสอบกับงบการเงินของบริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2540
ซึ่งเป็นวันปิดงบครึ่งปีก่อนลอยค่าเงินบาทเพียงแค่ 2 วัน พบข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
ประการแรก บริษัทฯ และบริษัทย่อยได้ทำสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าและแลกเปลี่ยนอัตรา ดอกเบี้ย จำนวน 16 ฉบับ
เพื่อป้องกันความเสี่ยงขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ยจากการชำระเงินกู้ และดอกเบี้ยภายใต้
สัญญาเงินกู้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศเป็นจำนวนเงิน 264,831,200 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ในมูลค่าที่สัญญาไว้เป็นจำนวนเงินรวม
6,775,025,447 บาท ในขณะไตรมาสแรกของปี 2540 ก็ไม่พบหมายเหตุประกอบงบการเงินในลักษณะเดียวกัน
ประการที่สอง บริษัทฯ และบริษัทย่อยได้ทำสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าจำนวน 6 ฉบับ เพื่อป้องกันความเสี่ยงขาดทุน
จากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน จากการชำระเงินกู้ภายใต้สัญญาเงินกู้ที่เป็นเงินตราต่าง ประเทศจำนวน 61 ล้านดอลลาร์
สหรัฐอเมริกา ในมูลค่าที่สัญญาไว้ ณ วันที่ 28 กรกฎาคม 2540 และวันที่ 15 สิงหาคม 2540 เป็นจำนวนเงินอีก 1,592.96 ล้านบาท
ในขณะที่ไตรมาสแรกของปีเดียวกันก็ไม่พบหมายเหตุประกอบงบการเงินในลักษณะดังกล่าว
ประการที่สาม บริษัทฯ และบริษัทย่อยพบว่า มีสินค้าคงเหลือจาก 869,541,000 บาท จากไตรมาสแรกของปี 2540 เพิ่มขึ้น
กลายมาเป็น 2,196,940,000 บาท มากกว่าไตรมาสแรกถึง 2.52 เท่าตัว และมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 2.14 เท่า
การแสวงหาผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในช่วงเวลานั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบหากมีความเชื่อหรือรู้ข้อมูลว่า
จะต้องลดค่าเงินบาท เช่น การซื้อเงินตราต่างประเทศกักตุนเอาไว้ล่วงหน้า, การทำสัญญา SWAP กับธนาคารแห่งประเทศไทย,
การกักตุนสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ, การชำระหนี้ต่างประเทศก่อนกำหนด, การกู้เงินบาทจากธนาคารพาณิชย์ในประเทศไปแลก
เงินตราต่างประเทศ, การทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงเงินกู้ต่างประเทศ, การที่ต่างชาติซื้อหุ้นด้วยมาร์จิ้นเทขายหุ้นเพื่อนำเงินตรา
ต่างประเทศออก นอกประเทศ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จากการรู้ข้อมูลภายใน การเก็งกำไรค่าเงินบาท และการโจมตีค่าเงินบาท
ซึ่งการแสวงหาผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยเงินตรานั้น ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะการแสดงงบการเงินของบริษัทที่จดทะเบียน
ในตลาดหลัก ทรัพย์เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงยังสามารถทำกันในนามส่วนบุคคลซึ่งไม่สามารถที่จะไปตรวจสอบ ได้ง่ายนัก
โดยเฉพาะการโอนเงินหรือการขนเงินเพื่อแลกเปลี่ยนเงินตราใต้ดินที่เรียกกัน ว่า “โพยก๊วน”
แต่ เนื่องจากในเวลานั้น ฐานะของทุนสำรองระหว่งประเทศ และภาระผูกพันของการทำ SWAP ของแบงก์ชาติ ถือเป็น
ความลับที่สุด ที่คนไทยทั่วไปไม่มีทางที่จะเข้าถึงข้อมูลได้จึงทำให้การเก็งกำไรทำได้ยาก เช่นเดียวกับยุคในปัจจุบัที่หลายคน
เชื่อว่าเงินหยวนของจีนจะแข็งค่าขึ้นใน วันหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าจะแข็งค่าอีกเท่าใดและเมื่อใด เช่นเดียวกันกับ
เงินเหรียญสหรัฐที่หลายคนเชื่อว่าจะอ่อนค่าลงไป แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าจะอ่อนค่าที่สุดเมื่อใด
ถึงแม้ว่าจากการประเมินฐานะทางเศรษฐกิจก็น่าเชื่อได้ว่า ค่าเงินบาทควรจะอ่อนค่าลงในวันใดวันหนึ่ง แต่ การเก็งกำไร
จะทำได้ยากขึ้นไปอีกในปี 2540 เมื่อแบงก์ชาติใช้ทุกวิถีทางในการปกป้องค่าเงิน ทั้งการทำ SWAP มาเพื่อเพิ่มทุนสำรอง
ในการต่อสู้กับการโจมตีค่าเงิน จนกองทุนเฮดจ์ฟันด์ได้พ่ายแพ้ขาดทุนจากการโจมตีค่าเงินบาทไปถึง 2 ระลอก การที่นักธุรกิจ
จะรู้ล่วงหน้าว่าค่าเงินบาทจะต้องลดค่าเงินลงในวันใดยิ่งทำ ได้ยากมากขึ้นเป็นหลายเท่าทวีคูณ เพราะไม่รู้หน้าตักที่แท้จริง
ของแบงก์ชาติว่าเหลืออยู่อีกเท่าใด
โดย เฉพาะมาตรการ “หักดิบ” ที่แบงก์ชาติได้ออกมาเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2540 เพื่อแยกตลาดเงินบาทในประเทศ
และนอกประเทศออกจากกัน และห้ามนำเงินบาทออกนอกประเทศโดยเด็ดขาด เพื่อทำให้นักเก็งกำไรต่างชาติที่เป็นคู่สัญญา
SWAP ไม่สามารถหาเงินบาทมาคืนแบงก์ชาติตามสัญญาได้ เป็นการสร้างอำนาจต่อรองในยามที่แบงก์ชาติมีทุนสำรองร่อยหรอ
จนจะไม่สามารถหา เงินเหรียญสหรัฐมาคืนตามสัญญา SWAP ให้สามารถเจรจาผ่อนปรนกับคู่สัญญา SWAP ได้
ดังนั้น ช่วงสุดท้ายของสงครามการปกป้องค่าเงินและการโจมตีค่าเงินก่อนที่จะพ่ายแพ้ จึงน่าจะเกิดขึ้นด้วยการผสมโรง
ของคนไทยด้วยกันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขนเงินสดที่เป็นเงินบาทไปแลกกับเงินดอลลาร์ที่ชายแดน ไทย เพื่อให้นักเก็งกำไร
ต่างชาตินำเงินบาทไปคืนแบงก์ชาติของไทยตามสัญญา SWAP ได้สำเร็จ
การ เก็งกำไรในช่วงเวลานั้นจึงเกิดขึ้นจากคน 2 กลุ่มหลัก กลุ่มแรกคือกลุ่มที่เก็งกำไรจากการตั้งใจร่วมมือกับต่างชาติ
เพื่อโจมตีถล่ม ค่าเงินบาท และกลุ่มที่สองคือกลุ่มที่เก็งกำไรจากการรู้ไส้ค่าเงินบาท สำหรับกลุ่มที่เก็งกำไรจากการตั้งใจร่วมมือกับต่างชาติเพื่อโจมตี ถล่มค่าเงินบาทนั้น ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นก่อนปลายเดือน
มิถุนายน 2540 ได้ปรากฏคำสัมภาษณ์ของ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ทีพีไอ จำกัด (มหาชน)
ที่เคยเปิดแถลงข่าวเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2548 ว่า
“ในปี 2540 นายจอร์จ โซรอส ได้วางแผนโจมตีค่าเงินบาทของไทย โดยนายจอร์จ โซรอส ได้ติดต่อผ่านบริษัทไฟแนนซ์
ขนาดใหญ่ เช่น บริษัท โกลด์แมน แซค บริษัท จีอี แคปปิตอล บริษัท เลห์แมน บราเธอร์ ให้ร่วมกันซื้อขายเงินบาทและดอลลาร์
โดย บริษัทเหล่านี้ได้มาเชิญชวนนายประชัยและนักธุรกิจรายใหญ่ของประเทศรวมทั้ง กลุ่มบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่
ที่สุดของประเทศ 2 คน ให้เข้าร่วมกันซื้อ-ขายเงินบาทและดอลลาร์ด้วย
โดยนายจอร์จ โซรอส ต้องการส่วนต่างจากการซื้อขายเงินบาทและดอลลาร์ จำนวน 3 บาท สำหรับนายประชัยกลับคิดว่า
การดำเนินการไม่คุ้มกับการทำลายประเทศ ดังนั้นจึงได้ปฏิเสธไม่ร่วมมือด้วย
แต่ สำหรับกลุ่มบริษัทธุรกิจสื่อสาร 2 คนนั้น ก็ได้ตกลง
ร่วมทำการซื้อ-ขายเงินบาทและดอลลาร์กับกลุ่มนายจอร์จ โซรอสตั้งแต่ต้นปี 2540 และภรรยาของนักธุรกิจสื่อสารผู้นี้ได้นำ
เงินบาทซึ่งเป็นเงินสดออกไปประเทศ สิงค์โปร์เพื่อไปขายให้ต่างชาติ ให้ต่างชาติมีเงินบาทมาทำการซื้อ-ขายดอลลาร์และ
โจมตีค่าเงินบาทต่อไป....”
แต่สำหรับ “คนรู้ไส้” ที่ล่วงรู้แนวโน้มการลดค่าเงินบาท ถ้ามีการล่วงรู้ข้อมูลลับทางราชการแล้ว ก็สามารถแบ่งออกเป็นความ
ชัดเจนได้หลายระดับ
ระดับแรก คือการประชุมร่วมกันของผู้บริหารแบงก์ชาติ เมื่อ วันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน 2540 ถือได้ว่ามีความเชื่อมั่นว่าจะต้อง
มีการลอยค่าเงินบาทอยู่ในระดับหนึ่ง
ระดับที่สอง คือการประชุมร่วมกันของผู้บริหารแบงก์ชาติ กับนายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยที่
นายทนง พิทยะ ให้เปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในวันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน 2540 ถือว่ามีความชัดเจนมากขึ้นค่อนข้างแน่นอน
ระดับที่สาม คือการประชุมของผู้ว่าการและรองผู้ว่าการแบงก์ชาติ ร่วมประชุมร่วมกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และนายโภคิน พลกุล
ในเช้าวันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน 2540 เห็นว่าต้องลอยค่าเงินแน่นอน ถือว่ามีความชัดเจนที่สุด
เพราะเหตุนี้ อัตราในการไหลเงินออกจึงเป็นอัตราเร่งเพิ่มขึ้นทุกวันแบบก้าวกระโดดหลังวัน ที่ 24 มิถุนายน 2540 โดยมี
เงินไหลออกสุทธิเกือบ 5 หมื่นล้านบาทในสัปดาห์สุดท้ายก่อนลอยค่าเงินบาท และแบงก์ชาติมีการทำสัญญา SWAP กับเอกชน
ในวันที่ 30 มิถุนายน 2540 ถึง 3,400 ล้านเหรียญสหรัฐ ในวันเดียวเท่านั้น
ถ้า หากมีการรั่วไหลของข้อมูลไม่ว่าในวันใดระหว่างวันที่ 21 – 30 มิถุนายน 2540 ก็สามารถที่จะทำประโยชน์
ที่มีความชัดเจนมากขึ้นทุกวันตามระดับของข้อมูลใน แต่ละวันเวลา ซึ่งเรื่องนี้แบงก์ชาติควรจะต้องเปิดเผยข้อมูล
ให้ปรากฏต่อสาธารณชน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มักจะมีอุปนิสัยที่จะตอบแทนหรือสมนาคุณให้กับคนที่ทุ่มเทหรือทำประโยชน์ให้ กับตัวเอง
นายโภคิน พลกุล, นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์, นายทนง พิทยะ และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ต่างก็ได้มีตำแหน่งในทางการเมือง
และตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลทักษิณอย่างต่อ เนื่อง สังคมย่อมเกิดความสงสัยในความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ก่อนลอยค่าเงินบาท
ครั้ง นั้นอย่างหลีกเลี่ยงได้
อย่าง น้อยประชาชนจำนวนมากที่ได้รับความเจ็บปวดจากวิกฤตการณ์ ปี 2540 ก็คงอยากให้คนที่คิดไม่ดีต่อบ้านเมือง
ได้ชดใช้ผลแห่งกรรมที่ทำเอาไว้กับประชาชน