บทความตอนที่ 2 ต่อเนื่องกันครับ มีข้อมูลคำพูดของคุณทักษิณ และข้อมูลจากคุณเสนาะ เทียนทอง
แสดงถึงความสัมพันธ์ของคุณทักษิณ และคุณทนง พิทยะ รมว.คลัง ที่เป็นผู้ลอยค่าเงินบาท
มีการอ้างอิง รายงานของ ศปร. ที่เงินทุนสำรองสุทธิลดลงในระยะเวลาสั้น จากช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2540
เคยอยู่ในระดับ 6-7 พันล้านเหรียญสหรัฐ แล้วช่วงวันที่ 20-26 มิถุนายน ลดเหลือ 4-5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
จากนั้นลดฮวบเหลือเพียง 2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในวันที่ 30 มิถุนายน
เท่ากับมีเงินดอลล่าห์ไหลไปเข้ากระเป๋าใครบางคนซึ่งสามารถนำไปเก็งกำไรได้ึ 3-4 พันล้านเหรียญ
คิดง่ายๆ ว่าถ้ากำไร 25 บาทต่อดอลล่าห์ จะได้กำไรระหว่าง 75,000 ถึง 100,000 ล้านบาท!!!
สุดท้ายบทความจบด้วย กระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานในโอกาส
วันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2542 (เป็นหนึ่งในกระแสพระราชดำรัสที่ไม่ค่อยเห็น
เผยแพร่กันทั่วไป แต่ผมคิดว่าเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง)
..เป็นการยืนยันว่าเรื่องได้ล่วงรู้ถึงพระเนตรพระกรรณว่ามีการเก็งกำไรค่าเงินโดยอินไซด์เดอร์..และเราไม่จำเป็นต้องดูว่ามีกิจการของใครได้กำไรตามงบการเงินที่ปรากฏในประเทศไทยหรือไม่นะครับ
เพราะในทางปฏิบัติรู้กันแล้วว่าสามารถตั้ง "นอมินี" เป็นฝรั่งหัวดำจากเกาะสวรรค์เข้ามาซื้อเงินได้สบายๆ
ไม่จำเป็นต้องเอาบริษัทตัวเองไปซื้อเงินเก็งกำไรให้มีหลักฐานชัดๆ
ที่เคยมีการประเมินสินทรัพย์นอกประเทศของมหาเศรษฐีบางคนไว้เป็น "แสนล้าน" จึงไม่น่าแปลกใจ
แต่บาปกรรมที่เคยทำไว้กับประเทศและเพื่อนร่วมชาติจะตามทันเมื่อไหร่เป็นเรื่องน่าติดตาม -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แง่คิดและข้อสังเกต เกี่ยวกับการลอยตัวค่าเงินบาท ปี 2540คอลัมน์ "กวนน้ำให้ใส" - หนังสือพิมพ์แนวหน้า 11/4/2008
http://www.naewna.com/news.asp?ID=103963จากคำอภิปรายประวัติศาสตร์ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งตั้งข้อสงสัยว่า นายโภคิน พลกุล เข้าไปล่วงรู้ข้อมูลลับ
เกี่ยวกับการลอยตัวค่าเงินบาท ปี 2540 และพาดพิงไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กระทั่งว่านายสุเทพถูกนายโภคิน
ฟ้องเรียกค่าเสียหาย 2,500 ล้านบาท ก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง เมื่อต้นเดือนเมษายน 2551
เมื่อพิจารณาจากคำพิพากษาของศาลฎีกา ได้ข้อยุติว่า
(1) เชื่อได้ว่า นายโภคินได้เข้าไปล่วงรู้ข้อมูลลับในการประชุมตัดสินใจลอยตัวค่าเงินบาท เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2540
ก่อนวันประกาศลอยตัว 2 กรกฎาคม 2540 ถึง 3 วัน ทั้งๆ ที่ นายโภคินไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง และไม่สมควรจะไปนั่งอยู่ด้วย
ในการประชุมระหว่าง พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี, นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ
นายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
(2) ข้อสงสัยว่า จะนำความลับไปบอก "ทักษิณ" หรือไม่ เป็นข้อที่สงสัยได้ ไม่เลื่อนลอย จากการที่มีข้อพิรุธหลายประการ
แม้นายโภคินจะปฏิเสธว่าไม่ได้นำไปบอก พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ตาม ทั้งจากการที่นายโภคินเข้าไปล่วงรู้ข้อมูลลับที่สุดโดยที่
ไม่มีหน้าที่ เกี่ยวข้อง อีกทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจการค้ารายใหญ่ ก็ไม่ได้รับผลกระทบเสียหายรุนแรง
จากการเปลี่ยนแปลงค่าเงินบาทดังกล่าว แตกต่างจากผู้ประกอบธุรกิจการค้าใหญ่รายอื่นที่มีหนี้สินเป็นเงินตราต่างประเทศ
ที่ต่างประสบความเสียหายอย่างรุนแรง เป็นต้น
เรื่องของคำพิพากษาของศาลฎีกา มีเท่านี้ แต่.....
เกี่ยว กับเรื่องนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เคยลุกขึ้นอภิปรายตอบนายสุเทพในสภาผู้แทนราษฎร โดยที่ขณะนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ
เป็นรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า
"..เมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม ( 2540 ) กลางคืนวันนั้น บังเอิญผมทานข้าวกับผู้ใหญ่ที่ผมนับถือร่วมกับนักหนังสือพิมพ์อาวุโสคนหนึ่ง
ประมาณ 4 ทุ่ม มีคนโทรมาบอกผมว่า ได้มีการพบปะกันอย่างซีเรียสมากที่ทำเนียบ มีคน 4 คน คือ นายกฯ ( พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ ),
นายเริงชัย มะระกานนท์ ( ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยขณะนั้น ), นายทนง พิทยะ และ นายชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ( รองผู้ว่าการ
ธนาคารแห่งประเทศไทย )
เพราะ ผมรู้ว่า นายชัยวัฒน์ เป็นผู้จัดการกองทุนรักษาระดับ ผมเลยเดา แล้วยังบอกกับผู้ใหญ่คนนั้นกับนัก นสพ. อาวุโส ว่า
สงสัยจะมีการลดค่าเงินบาทแน่ เพราะถ้ามีผู้จัดการทุนรักษาระดับเข้าไปร่วมด้วยในการพิจารณาซีเรียสอย่าง นั้น ผมเดาว่า
น่าจะเป็นอย่างนั้น ผู้ใหญ่ที่ผมนับถือ คือ พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ ครับ ผมอยู่กับท่านวันที่ 1 กรกฏาคม ตอน 4 ทุ่ม"
เท่ากับยอมรับว่า มีคนโทรศัพท์ไปบอกจริง แต่อ้างว่า โทรไปเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2540
คือ 2 วัน หลังจากที่มีการประชุมตัดสินใจลดค่าเงินบาท เมื่อ 29 มิถุนายน 2540 หรือ 1 วัน ก่อนประกาศลดค่าเงินบาท
ในวันที่ 2 กรกฏาคม 2540
แต่ ในข้อเท็จจริง รายละเอียด จะเป็นอย่างไร เรื่องนี้ ยังไม่ได้มีการสอบสวนหรือไต่สวนอย่างเป็นระบบ ทำให้ยังไม่มีบทสรุป
ข้อเท็จจริงที่ทำให้เชื่อแน่ได้ว่า ใครเป็นคนโทรไปบอก ? โทรไปเมื่อไหร่ ?
และเมื่อทราบข้อมูลแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ทำอะไร ? อย่างไร ? ได้ผลประโยชน์หรือไม่ อย่างไร ?
อย่างไรก็ตาม ในภายหลัง ได้มีการเปิดเผยข้อมูลเป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการลอยตัวค่าเงินบาท
1. นายเสนาะ เทียนทอง ซึ่งขณะนั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชุดที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นรองนายกรัฐมนตรี
โดยนายเสนาะเปิดเผยในหนังสือ "รู้ทันทักษิณ 4" ระบุถึงการลอยตัวค่าเงินบาทกับขบวนการเผาบ้านเอาเงินประกัน บอกว่า
" ก่อนเกิดวิกฤติค่าเงินบาท คุณอำนวย วีรวรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในระหว่างนั้น คุณอำนวยลาออก
ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อตรงนี้ เมื่อไม่มีรัฐมนตรีคลัง พี่จิ๋วก็มาถามว่า จะเอาใครมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ตอนนั้น คิดกันถึงขนาดว่าจะเอาทักษิณมาเป็นรัฐมนตรีคลังเสียด้วยซ้ำไป
ตอนนั้น ผมก็ได้ช่วยไปคุยกับคนที่น่าเชื่อถือในสังคม ทาบทามให้มาเป็นรัฐมนตรีคลัง คุณโฆษิต ปั้นเปี่ยมรัฐ ก็รับปากแล้วว่า
จะเข้ามาช่วยเป็น แต่กลับปรากฏว่า ทักษิณไปเอาคุณทนง พิทยะ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีคลัง ซึ่งตอนนั้น คุณทนงยังเป็นผู้บริหาร
ของธนาคารทหารไทย ตอนที่เอาทนงเข้ามานี่ผมไม่รู้เรื่องเลย เขาไปซุบซิบกันระหว่างพี่จิ๋วกับคุณโภคิน พลกุล แล้วก็ตั้ง
คุณทนงขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีคลัง
ก่อนจะลอยตัวค่าเงินบาท ผมไม่รู้เรื่องด้วยเลย อยู่นอกวงของพวกเขา
คนที่เกี่ยวข้องกับการลดค่าเงินบาทในขณะนั้น มีอยู่ 4 คน คือ คุณทนง พิทยะ ซึ่งเป็นคนที่ทักษิณไปเอาเข้ามาเป็นรัฐมนตรีคลัง
คุณโภคิน พลกุล ฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล มีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ แล้วก็
คุณทักษิณ ชินวัตร ในฐานะที่เป็นคนไปเอารัฐมนตรีคลังคนนี้เข้ามา
ส่วนเขาจะรู้เห็นกันขนาดไหน ผมไม่รู้
เขาบอกว่า เขาไม่รู้ อันนี้ไม่มีใบเสร็จ แต่ถ้าถามผมว่า ผลที่เกิดภายหลังการลอยตัวค่าเงินบาทมันออกมาอย่างไร
อันนี้มั่นส่อชัด เพราะทักษิณและบริษัทเขารอดวิกฤติอยู่คนเดียว คือผลลัพธ์มันสะท้อนชัดอยู่แล้ว
การที่มีคนไปซื้อประกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินบาทเอาไว้มากๆ หรือการไปซื้อเงินดอลลาร์ตุนไว้มากๆ ก่อนจะประกาศ
ลอยตัวค่าเงินบาท ก็เหมือนกับการจุดไฟเผาบ้านตัวเองเพื่อเอาเงินประกัน
เศรษฐกิจของชาติพังเสียหาย นักธุรกิจคนอื่นๆ ขาดทุนค่าเงินบาทป่นปี้ แต่ตัวเองรอดพ้นวิกฤติ เพราะได้ประกัน"
2. ในรายงาน ศปร. ระบุว่า วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน 2540 นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ได้ร่วมประชุมกับผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย และเมื่อรับทราบสถานะการเงินสุทธิแล้ว นายทนงก็ตัดสินใจ
ในการประชุมครั้งนั้นเลยว่า "จะต้องเปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน"
3. รายงานของ ศปร. ระบุว่า ปัญหาค่าเงินบาทปะทุหนักขึ้นอีกในช่วงปลายเดือนมิถุนายน โดยมิได้เป็นปัญหาอันเกิดจาก
การโจมตีจากข้างนอก แต่เป็นการไหลออกของเงินบาทของนักลงทุนในไทยและของคนไทยเอง มีกระแสแรงขึ้นจากวันที่
25 และ 26 มิถุนายนเป็นต้นไป เป็นเหตุให้เงินทุนสำรองสุทธิลดลง จากช่วงต้นเดือนมิถุนายน เคยอยู่ในระดับ 6-7 พันล้าน
เหรียญสหรัฐ ต่อมา ตั้งแต่วันที่ 20-26 มิถุนายน ก็ลดเหลือ 4-5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และหลังจากนั้น ก็ลดฮวบลงเหลือ
2.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในวันที่ 30 มิถุนายน !
สุดท้าย ไม่ใช่เรื่องของผู้ใดผู้หนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่ขอฝากให้คนไทยทุกคนได้ตริตรองเป็นแง่คิด
เกี่ยวกับเรื่องการหาผลประโยชน์จากค่าเงิน
กระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
เมื่อ 23 ธันวาคม 2542 มีความบางตอนว่า
"... อีกอย่างหนึ่ง ไม่ค่อยอยากพูด อย่างเช่นการแลกเปลี่ยนมูลค่า ได้พูดมา 2 ปี บอกว่าขอให้ค่าของเงินจะสูง จะต่ำ ก็ไม่ขัดข้อง
แต่ว่าถ้าไม่สมดุลกัน มันไม่ดี อย่างที่บางคนบอกว่าค่าของเงินแข็งเกินไป ทำให้การขายไม่ดี ก็ขอคัดค้าน ถ้าให้เงินอ่อนลงไป
เช่น ดอลลาร์ละ 50 บาท อ้างว่าขายสินค้าออกไปต่างประเทศ 1 ดอลลาร์จะได้มา 50 บาท จริง ได้มา 50 บาท แต่ 50 บาทนั้น
มันราคา 50 บาทหรือเปล่า เพราะว่า 50 บาทนี้จะไปซื้อน้ำมันซื้ออะไรก็ได้เพียงครึ่งเดียว อันนี้ไม่ได้เข้าข้างใคร แต่ว่าเข้าข้างตัวเอง
เพราะว่าพูดมาก่อนนี้แล้ว พูดมาก่อนที่ผู้ที่เป็นตัวละครในการถกเถียงกันได้มาอยู่ในตำแหน่งนั้น พูดมานานแล้ว แต่ว่าถ้าเงิน 20 บาท
25 บาทมั่งต่อดอลลาห์ 50 บาทมั่งต่อดอลล่าร์ คนที่ ขอใช้คำว่า หัวใส เขารู้ ไปซื้อดอลลาร์ในราคา 25 บาท ไม่กี่วันดอลลาร์ขึ้น
เป็น 50 บาท เขาขาย 50 บาทได้กำไร 2 เท่า อย่างนั้นเราเห็นว่าคนได้กำไรเราก็ยินดีด้วย ยินดีด้วยกับเขา ว่าคนไหนรวยก็ดี
แต่ที่ไม่ยินดี เพราะว่าคนไหนที่ได้กำไรโดยมีเทคนิคสูงในการแลกเปลี่ยน หรือมีความรู้ รู้ไส้ ฝรั่งเขาเรียกว่าอินไซด์เดอร์ ถ้าคนไหน
รู้ไส้ของเศรษฐกิจชั้นสูงๆ อย่างนี้ รวย แต่ว่าคนนั้นรวย ก็อย่างที่ว่า เรายินดีด้วยกับเขา ถ้าเขารวยแล้วใจบุญ แต่ว่าอย่างนี้เศรษฐกิจพัง
พังเพราะอย่างนี้ จะไม่พูดว่าอันนี้เป็นทุจริต แต่ว่าได้พูดไปแล้ว..."สารส้ม
วันที่ 11/4/2008