ไปอ่านเจอบทความ 2 ตอน เกี่ยวกับคำอภิปรายของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ต่อเนื่องไปถึง
กรณีการเก็งกำไรค่าเงินบาท เรียบเรียงข้อมูลเอาไว้ได้พอสมควรในบทความ 2 ตอนสั้นๆ
สังเกตจากคำอภิปรายของคุณสุเทพ ตอนนั้นคุณทักษิณกำลังนั่งเป็น "รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ"
แสดงว่าที่เศรษฐกิจไทยพังพินาศก่อน พล.อ.ชวลิต ลาออก ก็ต้องถือเป็นความรับผิดชอบของ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในฐานะ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ
แถมด้วยข้อสงสัยจงใจปล่อยให้ระบบค่าเงินล่มสลายเพื่อเก็งกำไรเข้ากระเป๋าตัวเอง!!!..เก็บมาให้เพื่อนสมาชิกได้ช่วยกันอ่านช่วยกันจำ และนำไปอ้างอิงต่อไปนะครับ..
หลังตั้งกระทู้นี้ผมจะนำ คำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเต็มกรณีคุณสุเทพ ไปลงไว้ให้ที่หอสมุดด้วย 
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คำอภิปรายประวัติศาสตร์ของ "เทพเทือก"คอลัมน์ "กวนน้ำให้ใส" - หนังสือพิมพ์แนวหน้า 10/4/2008
http://www.naewna.com/news.asp?ID=103821ชื่อ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" มีทั้งคนชังและคนชอบ
บนเส้นทางชีวิตการเมืองอันยาวนาน นายสุเทพมีร่องรอยบาดแผลทางการเมืองพอสมควร
แต่ สิ่งหนึ่งที่น่าจดจำและชื่นชม เกี่ยวกับ "นายสุเทพ" คือ การทำหน้าที่ ส.ส. อภิปรายไม่ไว้วางใจ เกี่ยวกับการตัดสินใจ
ลดค่าเงินบาท เมื่อปี 2540 ว่ามีคนล่วงรู้ข้อมูลลับล่วงหน้า
เรื่อง นี้ เป็นแผลใจที่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการลดค่าเงินบาท โดยเฉพาะคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีโอกาสล่วงรู้ข้อมูลล่วงหน้า
บางคนถึงกับล้มละลาย สิ้นเนื้อประดาตัว ธุรกิจเสียหาย มีหนี้สินล้นพ้นตัว ฯลฯ คนเหล่านี้มีความสงสัยค้างคาใจอย่างมาก
การอภิปรายครั้งนั้น เป็นเหตุให้นายสุเทพถูกนายโภคิน พลกุล ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย 2,500 ล้านบาท
ล่าสุด ศาลฎีกาเพิ่งจะคำพิพากษาเป็นที่สุด ให้ยกฟ้อง !
น่า แปลกใจ กรณีนี้ กลับไม่ค่อยปรากฏเป็นข่าว หรือมีการเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณชนผ่านทางสื่อโทรทัศน์น้อยมาก
จนเกือบจะไม่มีรายละเอียดอันเป็น "ข้อมูลสำคัญ" ให้ประชาชนได้เรียนรู้เพิ่มเติมเลย
บางส่วนของคำพิพากษาศาลฎีกา ได้ระบุคำอภิปรายที่เป็นข้อสงสัยของนายสุเทพ ความว่า
" การที่มีคนมีกำไรอย่างนี้นะครับ ทำให้ผมสงสัยว่า มีคนอื่นที่ได้กำไร ไม่ใช่เพราะไม่เชื่อพลเอกชวลิต แต่เป็นพวกที่
เชื่อพลเอกชวลิต แล้วได้กำไรมีไหม มีครับท่านประธาน เพราะเขาเชื่อว่าพลเอกชวลิตจะตัดสินใจลดค่าเงินบาทเมื่อไร
คนนี้เอาเปรียบคนไทยทั้งชาติ คนนี้เอาข้อมูลภายในไปแสวงหาประโยชน์ มีข่าวลือกันมากในตลาดการเงินในประเทศไทย
ว่า ขาใหญ่ที่ร่ำรวยนั้น รวยถึงขนาดมีการันตีได้ว่า เลือกตั้งคราวหน้าสบายกันทุกคน
ท่าน ประธานที่เคารพครับ ผมสงสัยเรื่องนี้แล้ว ท่านประธานต้องเห็นใจอย่างยิ่งที่ผมมีความสงสัย
เพราะพลเอกชวลิตแสดงพิรุธ พลเอกชวลิตแสดงพิรุธ 2 ประการ
ประการ ที่หนึ่ง พลเอกชวลิตแสดงพิรุธด้วยการมาพูดจาในที่สาธารณะต่อสื่อมวลชน ทั้งหนังสือพิมพ์ ทั้งทีวี ทั้งวิทยุ
ว่าในการตัดสินใจครั้งสุดท้ายที่จะประกาศให้ค่าเงินบาทลอยตัวนั้น ทำอย่างเป็นความลับที่สุด รู้กัน 3 คน เท่านั้นเอง คือ
พลเอกชวลิต นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายเริงชัย มะระกานนท์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
ตรง นี้เป็นพิรุธครับท่านประธาน ผมสอบสวนมีพยานหลักฐานยืนยันได้ ถ้าพลเอกชวลิตต้องการรู้ว่า ต้องการที่จะเถียงกับผม
ผมท้าให้ฟ้องศาลเรื่องนี้เพราะผมมีหลักฐาน พยานบุคคลยืนยันว่า วันที่ตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ได้รู้กันแค่ 3 คน มีคนที่ 4 รู้ด้วย
ท่าน ประธานที่เคารพครับ เข้าประตูทำเนียบนี่มียามรักษาการณ์ มีเจ้าหน้าที่ มีว่า วันนั้นเวลานั้นในห้องนายกรัฐมนตรีมีใครอยู่กี่คน
ผมแอบได้ยินมาด้วยว่า พูดอย่างไรด้วย มีคนเขาเล่าให้ผมฟัง เขาพร้อมที่จะเป็นพยานให้ผม คนที่ 4 ซึ่งไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง
และไม่สมควรที่จะนั่งอยู่ในการตัดสินใจครั้งสุด ท้าย ตามตำหนิรูปพรรณที่คนเขาให้การมา รวมทั้งแผลเป็น บอกว่าชื่อ
นายโภคิน พลกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่เคยปรากฏว่า ในวันที่นายกรัฐมนตรีจะตัดสินใจเรื่องสำคัญอย่างนี้
จะต้องมีคนมานั่งใกล้ชิด กำกับอยู่ด้วย นายกรัฐมนตรีควรมีสติ มีปัญญาที่จะตัดสินวินิจฉัยได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องมีคนกำกับ
ผม สงสัยว่า นายโภคิน พลกุล ไปนั่งอยู่ทำไมในเวลานั้น ไม่ใช่หน้าที่ของนายโภคิน ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะให้นายโภคินล่วงรู้
เป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีตัดสินใจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตัดสินใจ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกันตัดสินใจเท่านั้น
แต่เรื่องนี้แม้พลเอกชวลิตจะมาพูดกับคนทั้งชาติว่ารู้กัน 3 คน แต่ที่จริงรู้กัน 4 คน นายโภคินนั่งอยู่ด้วยตลอดในเวลา 1 ชั่วโมง
ที่หารือกันเรื่องนี้ หารือกันวันที่เท่าไร ท่านประธานครับ วันที่ 29 มิถุนายน เป็นวันอาทิตย์ เวลา 9.30 นาฬิกา เป็นต้นไป
ตรง นี้ พลเอกชวลิต แสดงพิรุธอีก เพราะพลเอกชวลิตบอกกับสภานี้ว่าได้ตัดสินใจขั้นสุดท้ายที่จะประกาศที่จะให้ ค่าเงินบาท
ลอยตัวเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ความตรงนี้มีนัยที่น่าสนใจมาก
ท่าน ประธานครับ พลเอกชวลิตคล้ายๆ จะบอกกับสภานี้ว่า ตัดสินใจวันที่ 1 รุ่งขึ้นเช้าวันที่ 2 ประกาศเลย เหมือนกับเป็นการ
ป้องกันตัวไว้ก่อนว่าไม่มีใครหยิบฉวยจังหวะตรงนี้ไปหา ประโยชน์ได้หรอก ความจริงไม่ใช่ ไปปรึกษาการตัดสินใจครั้งสุดท้าย
วันที่ 29 มิถุนายน เป็นวันอาทิตย์ 9.30 น.
ก่อน หน้านี้มีคนนั่งกันอยู่ในห้องหลายคนมีผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ มีสภาพัฒน์ฯ พอ 3 คนนี้เข้าไปก็ให้คนอื่นออก
แต่เหลือนายโภคินเอาไว้ แล้วตัดสินใจเสร็จ จากวันที่ 29 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ รุ่งขึ้นวันที่ 30 เป็นวันจันทร์ วันที่ 1 กรกฎาคม
เป็นวันอังคาร
พล เอกชวลิต มาพูดที่นี่ว่า วันที่ 1 เป็นวันหยุดกลางปีของธนาคาร ใครรู้อะไรก็ทำอะไรไม่ได้ ธนาคารแห่งประเทศไทยหยุด
ท่านประธานครับ ธนาคารฮ่องกง ธนาคารสิงคโปร์ไม่หยุด รู้ล่วงหน้า 2 วัน ทำเงินได้หลายพันล้านบาทครับ ถ้าคนนั้นมีเงิน
ในระดับที่จะไปลงทุนได้
ความ สองประการนี้เป็นพิรุธ พิรุธเรื่องที่บอกว่ารู้กัน 3 คน ทั้งๆ ที่รู้กัน 4 คน พิรุธเรื่องที่บอกว่า ตัดสินวันที่ 1 ทั้งๆ ที่ตัดสิน
เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พิรุธนี้ทำให้ผมสงสัยว่าอย่างไร สงสัยว่า เอาเวลาช่วงที่ขาดไปนั้นไปให้พรรคพวกของตัวเองได้ไป
ซื้อเงินดอลลาร์ไว้ล่วง หน้า ไปซื้ออัตราแลกเปลี่ยนไว้ล่วงหน้าแล้วทำกำไร
ท่าน ประธานที่เคารพครับวันนี้ผมยอมบาป คนที่ผมสงสัยมากที่สุดนั่งอยู่ตรงนั้นครับ ด็อกเตอร์ทักษิณ ชินวัตร ครับ
ผู้ต้องสงสัยของผม ท่านด็อกเตอร์ทักษิณไม่ได้ทำบาปอะไรหรอกครับ ที่ผมสงสัยคือสงสัยว่ารัฐมนตรีโภคินจะเป็นคนบอก
ความลับเรื่องนี้กับ ด็อกเตอร์ทักษิณ แล้วด็อกเตอร์ทักษิณไปซื้อขายเงินไว้ล่วงหน้าทำกำไร
ท่าน ประธานที่เคารพครับ ได้กำไรไปเยอะในขณะที่คนในชาติน้ำตาไหลกันทุกคน ผมไม่แปลกใจว่า หลังจากนั้นไม่นาน
ได้มาเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ก็เก่งขนาดทำเงินได้ 2 วัน 4,000,000,000 บาท ถึง 5,000,000,000 บาท
ก็น่าจะให้เป็นหรอกครับ
ท่าน ประธาน นี่เป็นข้อสงสัยของผม ผมคาดคะเนสงสัยด้วยเหตุผลแวดล้อมอย่างนี้และผมมีประจักษ์พยานหลักฐานว่า
หลังจากนายโภคินได้รับความลับเรื่องนี้ ได้มีการโทรศัพท์ติดต่อกับด็อกเตอร์ทักษิณ ชินวัตร เสียอย่างเดียวว่า ผมไม่มีหูทิพย์
ว่าพูดกันอย่างไรเท่านั้นเองครับ แต่ผมสงสัย และผมรู้ว่านายโภคินได้พูดความลับเรื่องนี้กับคนอื่นอีก ถ้าท่านรัฐมนตรีโภคิน
สงสัยฟ้องศาล จะได้รู้ว่า คนที่ท่านบอกนั้นจะเป็นพยานให้ท่านหรือจะเป็นพยานให้ผม
การ ที่มีคนรู้ความลับและเอาความลับไปเปิดเผยแล้วไปหาประโยชน์กันมันผิดทั้ง คุณธรรม ทั้งจรรยา ผมต้องเรียนกับ
ท่านประธานตรงๆ นะครับ ผมไม่สามารถจะสงสัยคนอื่นที่เปิดเผยความลับได้หรอกนอกจากรัฐมนตรีโภคิน เพราะว่า คนแรก
คือนายกรัฐมนตรี ผมเชื่อว่า ด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นนายกรัฐมนตรีคงไม่บอกด้วยปากตัวเอง
คน ที่ 2 คือ รัฐมนตรี ทนง ถึงจะเคยมีความสัมพันธ์กับด็อกเตอร์ทักษิณมาก่อน ทำงานอยู่ด้วยกัน แต่ศักดิ์ศรีขุนคลัง
ของประเทศคงไม่เปิดปาก คนที่ 3 คือ นายเริงชัย มะระกานนท์ ที่รู้เรื่อง เขาเป็นลูกหม้อธนาคารแห่งประเทศไทย
แบงก์ชาติ ผมว่า จิตวิญญาณเขาคงหนักแน่นไม่ทำอย่างนั้น คนที่ 4 ซึ่งไม่เกี่ยวกับเขาละสิครับไปนั่งอยู่ด้วยนี่สิครับ
ไม่ให้ผมสงสัยได้อย่างไร นี่คือเหตุผลครับ ท่านประธานครับ...."
พรุ่งนี้ มาดูว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เคยชี้แจงในสภาผู้แทนราษฎรในเรื่องเหล่านี้ ว่าอย่างไร?
ข้อสรุปสุดท้ายของคดีนี้ ลงเอยอย่างไร ? ทำไมนายสุเทพถึงรอดพ้นความผิด ศาลฎีกายกฟ้อง ?
และมีข้อ "สงสัย" ใด ยังค้างคาอยู่ ?
นี่คือประวัติศาสตร์สำคัญ ที่ควรบันทึกไว้อย่างยิ่ง !
สารส้ม
วันที่ 10/4/2008