อนาคตชาติมืดมน ภายใต้รัฐบาลเละตุ้มเป๊ะ (ผ่าประเด็นร้อน)

เพียงแค่สองเดือนที่รัฐบาลหุ่นเชิดเข้ามาบริหารประเทศดูเหมือนบ้านเมืองจะเดินไปข้างหน้าและแทนที่รัฐบาลจะสร้างบรรยากาศแห่งความสมานฉันท์และแสดงฝีมือคลี่คลายปัญหาหลักๆ ของบ้านเมืองไม่ว่าจะเป็นวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งวิกฤติความแตกแยกของคนในชาติ แต่บ้านเมืองกลับเต็มไปด้วยความสับสน วุ่นวาย และแตกแยกรุนแรง

ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันยังพอทำเนาซึ่งประชาชนยังให้โอกาสเพราะยังข้าวใหม่ปลามันเพิ่งเข้ามาบริหาประเทศแค่สองเดือน แต่ที่ผู้คนเริ่มจะหมดความอดทนก็คือพฤติกรรมไม่อยู่กับร่องกับรอยและสามหาวไร้วุฒิภาวะเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่นและตลบตะแลงของรัฐมนตรีในรัฐบาล

นับตั้งแต่ตัว นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เองให้สัมภาษณ์แบบปะฉะดะหาเรื่องโจมตีผู้ที่มีความเห็นไม่เหมือนตัวเองไปทั่วไม่เว้นแม้แต่สื่อ และใช้รายการ "สนทนาประสาสมัคร" ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์เป็นกระบอกเสียงด่ากระแหนะกระแหนผู้คน ทุกวันอาทิตย์

ก่อนหน้านี้ นายสมัคร ก็สร้างความสับสนและหวาดระแวงด้วยการโจมตีบุคคลที่อ้างว่าเป็น"มือที่มองไม่เห็น"มาตลอด และล่าสุดก็โจมตี 4 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใหม่ที่เพิ่งได้รับการสรรหาโดยอ้างว่าเป็นบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับระบอบทักษิณ

ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ทั้งๆ ที่งานบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชนยังไม่เป็นโล้เป็นพาย ขณะที่การดับไฟใต้มองไม่เห็นอนาคต แต่ รมว.มหาดไทย กลับมุ่งสร้างผลงานด้วยปากด้วยการลอกลีลาการเมืองสไตล์ของ นายสมัคร เปิดศึกปะฉะดะสร้างบรรยากาศแห่งความร้าวฉานไปทั่ว โดยล่าสุดก็คือการเปิดสงครามน้ำลายกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกกล่าวหาว่ารุกที่สาธารณะ จ.สุราษฏร์ธานี จนนายสุเทพ เตรียมฟ้อง ร.ต.อ.เฉลิม ฐานสร้างเรื่องเท็จ

ไม่แต่ นายสุเทพ ร.ต.อ.เฉลิม ยังลามปามโจมตีพาดพิงไปถึงพรรคประชาธิปัตย์และ นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี 2 สมัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ อย่างก้าวร้าวรุนแรงทั้งๆ ที่ไม่มีสาเหตุ

ขณะเดียวกัน ก็โจมตีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ นายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อย่างสาดเสียเทเสีย อีกทั้งอยู่ๆ ก็โจมตีทำลายความน่าเชื่อถือของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)พร้อมเรียกร้องกดดันให้คตส.ทั้งคณะลาออกโดยอ้างว่าเป็นผลพวงจากการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549

มาทางด้านนายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็เดินหน้าแทรกแซงครอบงำสื่อของรัฐทั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ และล่าสุดมีแผนที่จะเข้าฮุบบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) จนระส่ำระสายไปทั่ว

และที่กำลังเป็นประเด็นร้อนระเบิดเวลาลูกใหญ่ก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งล่าสุดพรรคร่วมรัฐบาลหรือแม้แต่ภายในพรรคพลังประชาชน(พปช.)เองก็ยังมีจุดยืนไปคนละทิศละทางว่าควรจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือหากจะแก้จะแก้เฉพาะมาตรา 237 ว่าด้วยการยกเลิกโทษยุบพรรคการเมืองกรณีที่กรรมการบริหารพรรคทุจริตเลือกตั้ง หรือจะแก้รัฐธรรมนูญแบบเหมาเข่ง ทั้งฉบับ

ความขัดแย้งภายในพรรคพปช.เห็นได้ชัดกรณีที่กลุ่ม ส.ส.อีสานจำนวนประมาณ 50 คนออกมาประกาศไม่เห็นด้วยที่จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนี้ เนื่องจากเห็นว่ายังเร็วเกินไปและอาจทำให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมือง

ที่ตลกก็คือบรรดาแกนนำพรรคพปช.อาศัยจังหวะที่ นายสมัคร ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคเดินทางไปเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการแอบสุมหัวแล้วลงมติให้แก่รัฐธรรมนูญแบบเหมาเข่งซึ่งรวมทั้งมาตรา 309 ที่ให้ยกเลิกคำสั่งของคณะรัฐประหารทั้งหมดซึ่งจะทำให้คดีทุจริตโครงการต่างๆ ยุครัฐบาลทักษิณซึ่งคตส.ตรวจสอบถูกลบล้างจนหมดสิ้น ขณะที่ นายสมัคร เมื่อเดินทางกลับประเทศถึงกับงงงวยและแสดงจุดยืนคัดค้านการแก้ไขมาตรา 309

เพราะฉะนั้น ยิ่งนานวันก็ยิ่งเห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ใช้ปากทำงานจนสร้างปัญหามากกว่าจะมุ่งแก้ปัญหาให้บ้านเมือง เพราะรัฐมนตรีมัวแต่แกว่งปากหาเรื่องกระพือไฟแห่งความร้าวฉานให้ลุกโชนลุกลามไม่เว้นแต่ละวัน ขณะเดียวกัน ก็ทำงานแบบสะเปะสะปะ ต่างคนต่างทำแบบไร้ทิศทาง ซึ่งเห็นได้ชัดในกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งแม้ภายในพรรค พปช. เองก็ขัดแย้งกันอย่างหนักจนมั่ว ซึ่งรัฐบาลที่เละตุ้มเป๊ะอย่างนี้ทำให้อดห่วงไม่ได้ว่า ประชาชนจะฝากอนาคตให้นำพาบ้านเมืองไปได้ตลอดรอดฝั่งได้อย่างไร

ทีมข่าวการเมือง
http://www.naewna.com/news.asp?ID=102027

--------------------------------------------------------------------------------------------
ตัดแปะมั่ง
ไปเจอมา อ่านแล้วตรงใจดี
ให้ Credit แนวหน้า ครับ