ถ้ายุบ3พรรคจะมีใครตายมั้ย? คำตอบ:ตายแค่ "กรรมการบริหาร" 23 มีนาคม พ.ศ. 2551 06:00:00
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : สังคมจะต้องจับตาพรรคร่วมรัฐบาลอย่างน้อย 3 พรรค คือ พรรคพลังประชาชน, พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย กำลังดิ้นรนจุดประเด็น "ร้อน" จนอาจจะลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งทางสังคมขั้นรุนแรงในอีกไม่นานนับจากนี้
ระดับแกนนำของ 3 พรรค "ดาหน้า" กันออกมาแสดงความเห็นในทำนองไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ, คณะกรรมการการเลือกตั้งและศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งในคดีของตัวเอง ในคดีซื้อเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งล้วนแต่เกิดขึ้นมาจาก "ผลกรรม" จากการกระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้งขั้นร้ายแรงขั้น "ใบแดง" ของกรรมการบริหาร 3 พรรค
หากกรรมการบริหารพรรคของพรรคพลังประชาชน คุณยงยุทธ ติยะไพรัช ที่ศาลฎีกาแผนกเลือกตั้งรับฟ้องแล้ว, พรรคชาติไทย คุณมณเฑียร สงฆ์ประชา และพรรคมัชฌิมาธิปไตย คุณสุนทร วิลาวัลย์ ที่ถูกใบแดง และคณะกรรมการเลือกตั้งกำลังจะส่งเรื่องให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ว่าจะมีความผิดถึงขั้น "ยุบพรรค" ได้หรือไม่ ไม่ได้กระทำความผิดในการเลือกตั้งขั้นร้ายแรงจนคณะกรรมการการเลือกตั้งลงมติให้ใบแดง ปัญหาที่ร้องโวยวายกันก็จะไม่เกิดขึ้นเลย
ทำไม พวกคุณที่ "กุมอำนาจรัฐ" จะต้องออกมาร้องโวยวายจะเป็นจะตายให้ได้ในวันนี้พรุ่งนี้
ทั้งๆ ที่คดีต่างๆ ยังไม่ได้เริ่มต้นกระบวนการไต่สวนที่ยังเปิดโอกาสให้แสดงหลักฐานแก้ต่างลบล้างข้อกล่าวหาได้
ทำไม พวกคุณที่กุมกลไกอำนาจรัฐทุกอย่างในประเทศนี้ จึงดิ้นเร่าๆ ตีตนไปก่อนไข้แสดงความไม่เชื่อมั่นในการวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและศาลฎีกาแผนกเลือกตั้ง
ทั้งๆ ที่ "ก่อนกุมอำนาจรัฐ" ปากของพวกคุณเคย "พล่ามน้ำลายสอ" ออกไปว่าเชื่อมั่นและยอมรับในกระบวนการยุติธรรม
ทำไม พวกคุณ "ก่อนชนะเลือกตั้ง" จนสามารถกุมอำนาจรัฐ ยอมรับกติกาลงเลือกตั้งภายใต้กฎหมายเลือกตั้งของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่มี กกต.ชุดปัจจุบันทำหน้าที่ในการจัดการการเลือกตั้ง
น่าจะศึกษาข้อกฎหมายรับรู้กติกาเดียวกันกับพรรคการเมืองทุกพรรค ว่าความผิดใดจะถึงขั้นยุบพรรค หากละเว้นหรือระมัดระวังไม่ให้ "กรรมการบริหาร" ไปทำผิดใช้สันดานเดิมๆ "ซื้อเสียง" เลือกตั้งก็คงไม่ถูก "ใบแดง" จาก กกต. ความผิดถึงขั้นยุบพรรคก็จะไม่เกิดขึ้น
ทำไม พรรคการเมืองที่เหลืออีก 4 พรรค คือ พรรคประชาธิปัตย์, พรรคประชาราช, พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และพรรคเพื่อแผ่นดิน จึงไม่มีปัญหานี้
]เพราะกรรมการบริหารพรรคไม่ได้กระทำความผิดจนถูก "ใบแดง" แล้วเกิดปัญหากับรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มาตรา 237 กับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง มาตรา 103 วรรคสอง
ระบุการกระทำความผิดของกรรมการบริหารพรรคที่มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้ง แล้วไม่ได้ยับยั้งหรือแก้ไข "ให้ถือ" ว่าพรรคการเมืองจะถูกลงโทษจนถึงขั้นยุบพรรคตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคการเมืองและกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่กระทำความผิดเป็นเวลา 5 ปี
ขอแย้งความเห็น "นายกรัฐมนตรีของเรา" ที่พยายามผูกโยงชะตากรรมของพรรคพลังประชาชน, พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตย ไว้กับอนาคต ประเทศชาติกำลังถูกฆ่าเพราะมีการวางยาในรัฐธรรมนูญไว้
เมื่อดูข้อกฎหมายแล้ว คงต้องขอยืมสำนวน "นายกรัฐมนตรีของเรา" จำเป็นต้องถามกลับไปว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบ 3 พรรค "แล้วจะมีใครตายมั้ย"
พุดโธ่! พูดกันอยู่ได้ ทำไม ก็ไม่เห็นมีใครจะตาย พวกคุณจะหยุดพูดได้มั้ย จะมีใครตายมั้ยถ้าไม่พูดอีก (ขอยืมสำนวน "นายกรัฐมนตรีของเรา")
ยกเว้นกรรมการบริหารพรรคของ 3 พรรคถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง และห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปีเท่านั้นเอง เช่น คุณสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน, คุณสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน, คุณบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย, คุณอนงค์วรรณ เทพสุทิน หัวหน้าพรรคมัชฌิมาธิปไตย ฯลฯ
แค่นี้คงไม่ถึงขั้นทำให้ประเทศชาติ "ฉิบหาย" (ขอยืมสำนวน "นายกรัฐมนตรีของเรา") หรือตายไปต่อหน้าต่อตา อาจจะทำให้รัฐบาลสะดุดไปบ้างเท่านั้นเอง [/size
แต่เมื่อนับนิ้วจำนวน ส.ส.แล้วคงจะมี ส.ส.ที่เป็นกรรมการบริหารพรรค 3 พรรคถูกเพิกถอนสิทธิ์ไป 50-60 คนเท่านั้นเอง คะแนนเสียงของพรรคร่วมรัฐบาล 6 พรรค ยังน่าจะรวบรวมได้เสียงข้างมากเช่นเดิมเพราะ ส.ส.ที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรคสามารถหาพรรคสังกัดใหม่ภายใน 60 วัน เรื่อง "พรรคนอมินี" ถนัดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
ผลเสียพอเห็นอยู่บ้าง กกต.จะเสียเวลาและเสียเงินจัดการเลือกตั้งใหม่ในเขตเลือกตั้งที่กรรมการบริหาร 3 พรรคถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง อย่างมากที่สุดไม่น่าจะเกิน 50-60 ที่นั่งเท่านั้นเองจริงๆ
ไม่เห็นว่าประเทศชาติจะตายหรือฉิบหายไปต่อหน้าต่อตา อย่างที่ "นายกรัฐมนตรีของเรา" พยายามพูดทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาลตัวเอง จนกลายเป็นอัปมงคลให้กับประเทศชาติ
ประเทศควรจะต้องปกครองกันภายใต้กฎหมายและหลักธรรมาภิบาลอย่างเคร่งครัด ไม่ใช่อยู่ภายใต้ "เสียงข้างมาก" ลากไปที่กำลังเกิดขึ้นมาจาก "อารมณ์" ของ 2 ผู้เฒ่าทางการเมืองที่อายุเลยเลข 70 ไปแล้ว
ทั้งสองคนจัดอยู่ในกลุ่ม "คนชราหรือคนสูงวัย" ที่ควรละวางละเว้นจาก "ความกระสัน" อยากมีอำนาจรัฐ ซึ่งอาจจะนำมาไปสู่การสร้างบารมีและสะสมทรัพย์ศฤงคารได้ไม่ยาก
ถ้าหากศาลรัฐธรรมนูญลงมติให้ยุบพรรคพลังประชาชนและพรรคชาติไทย 2 ผู้เฒ่านักการเมืองอย่าง "นายกรัฐมนตรีของเรา" กับ "อดีตนายกรัฐมนตรีของเรา" คุณบรรหาร ศิลปอาชา ก็คงไม่ถึงขั้นจะต้องลงไปนอนหน้าศาลแล้วชักดิ้นชักงอ ตายไปต่อหน้าต่อตา แต่ทั้งสองผู้เฒ่าควรจะปลงถึง "ผลกรรม" จากการละเลยที่ไม่ป้องกันไม่ห้ามปราม "ลูกพรรค" ที่เป็นกรรมการบริหารไปซื้อเสียงจนถูก กกต.ให้ใบแดง
ลูกพรรคชาติไทยที่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค อาจจะแอบ "ดีใจ" ที่ "อดีตนายกรัฐมนตรีของเรา" หัวหน้าพรรคชาติไทยที่ไม่เคยแสดงออกว่าเมื่อไรจะยอมละวางจากเวทีการเมือง ถึงเวลาเก็บฉากเลิกทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง นั่งคาหัวโด่อยู่ในพรรค จนกลายเป็นพรรคครอบครัวศิลปอาชาไม่ใช่พรรคของประชาชน
"คนรุ่นใหม่" จำนวนมากในพรรคชาติไทยชะเง้อรอจนเมื่อยคอมานาน ไม่เคยมีใครกล้าถามว่าเมื่อไรพวกผู้เฒ่านักการเมืองเหล่านี้จะรู้จักสะกดคำว่า "เสียสละ" หรือ "พอแล้ว" ยอมลงจากเวทีเสียที เพื่อเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงฝีมือบริหารประเทศบ้าง คนกล้าถามอย่างคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็อยู่ในพรรคชาติไทยไม่ได้
"นายกรัฐมนตรีของเรา" ที่เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชนเพื่อ "ขัดตาทัพในการเลือกตั้ง" จะเอาอะไรกันนักหนากับชีวิตในบั้นปลายที่นั่งตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหารตามความใฝ่ฝันแล้ว หลังจากบอกเลิกศาลาล้างมือในอ่างทองคำไปหมาดๆ ยังเช็ดมือไม่ทันแห้ง กลับต้องถูกขอร้องให้มานำทัพพรรคพลังประชาชนให้ "อดีตนายกรัฐมนตรีของเราคนที่ 23" พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
"นายกรัฐมนตรีของเรา" ห่วงหาอาลัยอาวรณ์ตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรีหุ่นไล่ฟาง" ไปหา "หอก" อะไร (ขอยืมสำนวน "นายกรัฐมนตรีของเรา" อีกแล้ว)
การออกมาเคลื่อนไหวจุดพลุของ นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ที่มีตำแหน่งใหญ่โตในรัฐบาลเป็นถึงรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลังกับเลขาธิการพรรคพลังประชาชน บอกว่าจะรณรงค์ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในบางมาตราเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนจากต่างประเทศก่อนจะเดินทางไปโรดโชว์
จึงอาจจะส่งผลตรงกันข้ามในสายตาต่างชาติ เพราะบ้านเมืองใดก็ตามที่ไม่เคารพรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ แล้วส่งสัญญาณผิดๆ ว่าจะใช้ระบบเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญและยกเลิกกฎหมายเพื่อให้ "ตัวเอง" และพรรคการเมืองของตัวเอง "พ้นผิด" จากการกระทำความผิดในการเลือกตั้งที่ผ่านมาแล้ว
ย่อมจะทำให้เกิดความไม่น่าไว้วางใจในสายตาต่างชาติ เพราะอำนาจการเมือง (ที่ไม่ค่อยมีใครเชื่อมั่นศรัทธา) กำลังมุ่งทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐธรรมนูญไทยและระบบกฎหมายไทย ให้อยู่ภายใต้อำนาจทางการเมืองระบบ "เสียงข้างมาก" ลากถูไปตามอำเภอใจเพื่อผลประโยชน์ของพรรคพวก
อย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ที่ถูกป้ายสีอยู่เป็นประจำว่ามาจากอำนาจเผด็จการ ผ่านกระบวนการการลงประชามติได้เสียงข้างมาก 56% ของจำนวนผู้มาใช้สิทธิ จึงเป็นความชอบธรรมเหนืออำนาจเผด็จการทหารที่สลายตัวไปแล้วหลังการเลือกตั้งและการโยกย้ายกลางปีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
"มือที่มองไม่เห็น" แต่ "นายกรัฐมนตรีของเรา" มองเห็นบอกรู้แล้วว่าคือใคร จ้องทำลายพรรคพลังประชาชนมาตั้งแต่ช่วงก่อนเลือกตั้งและหลังเลือกตั้งยังไม่ยอมหยุด จึงเป็น "นิยาย" ประโลมโลกย์ไว้หลอกชาวบ้านคนไทยซื่อๆ ที่ไม่ค่อยได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเพียงพอ
ถ้าหาก"เผด็จการทหาร"คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติมีอำนาจลึกลับจาก"มือที่มองไม่เห็น"คอยรังควานพรรคพลังประชาชนจริง คงจะใช้"อำนาจรัฐ"โกงเลือกตั้งเพื่อไม่ได้พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธ.ค.2550 ได้
แต่ทำไมพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งได้อย่างท่วมท้นท่ามกลางเสียงสรรเสริญเยินยอว่า กกต.จัดการเลือกตั้งได้เรียบร้อยดี ในขณะที่"นายกรัฐมนตรีของเรา"ยังพยายามเติมแต่งนิยาย"มือที่มองไม่เห็น"อยู่บ่อยๆ
ทำไม"นายกรัฐมนตรีของเรา"ไม่ใช้อำนาจรัฐที่ยึดกุมอยู่กระชาก"มือที่มองไม่เห็น"ออกมาให้ชาวบ้านได้เห็นหน้าเห็นตา
ใครกันวะที่กำลังใช้อำนาจแฝงเร้นและนิสัยชั่วช้าสามานย์มุ่งทำลายบ้านเมือง ด้วยการจองล้างจองผลาญรัฐบาลพรรคพลังประชาชนไม่เลิกราเสียที อย่ามัวแต่คุยโม้น้ำลายแตกฟองโทษคนอื่นอยู่เลย อยากเห็นโฉมหน้า"ไอ้มือที่มองไม่เห็น"มันเป็นใครกันแน่วะ ประเทศชาติจะได้สงบสุขเสียที
(อ่านข้อเขียนย้อนหลังและแสดงความเห็นตลอด 24 ชั่วโมง ทาง www.oknation.net/blog/adisak
http://www.bangkokbiznews.com/2008/03/23/WW12_1239_news.php?newsid=241460
คนพรรค์นี้ คนพวกนี้เลือกจะรักรัฐธรรมนูญปี 2550 บางมาตราเท่านั้น
มาตราที่ทำให้พวกเขาชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นรัฐบาลนอมินี......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า