สั่งใช้อำนาจรัฐหนุน พปช.-นปช. สกัดพันธมิตร! โค่นระบอบทักษิณคืนชีพ
โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 20 มีนาคม 2551 08:44 น.
ม็อบ รักแม้ว จัด 3 ทีม รัฐบาล-พปช.-นปช. สกัดพันธมิตรฯ ไล่ทักษิณ โดยใช้ยุทธศาสตร์แยกกันเดิน ร่วมกันตี เป้าหมายดึงชนชั้นกลางให้ได้มากที่สุด หลังครองใจรากหญ้าได้แล้ว มั่นใจกระแสตอบรับพันธมิตรฯ ลดลงกว่ารอบแรก วิปรัฐบาลชี้ไร้กฎเหล็กห้าม ส.ส.เล่นเกมนอกสภา ดร.ปณิธาน ฟันธงเหตุการณ์ไม่รุนแรง ซ้ำรอย พฤษภาทมิฬ มี พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ คุมเข้มทุกฝ่าย
และแล้วก็ได้เวลาระเบิดศึกรอบสอง ระหว่างม็อบ 2 ขั้วตรงกันข้ามระหว่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ประกาศเดินหน้าล้มล้างระบอบทักษิณเต็มรูปแบบ กับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ผันตัวมาจาก นปก. ขอกลับมาทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีกครั้งเช่นกัน ซึ่งในวันที่ 28 มี.ค.ที่จะถึงนี้ ถือเป็นการเปิดฉากต่อสู้กันของทั้งสองกลุ่มอย่างเป็นทางการ โดยยึดหอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และบริเวณท้องสนามหลวง วัดกำลังกันในรอบแรก...
ความสำเร็จจากปฏิบัติการขับไล่อดีตนายกฯ ทักษิณของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตลอดระยะเวลากว่า 1 ปี ก่อนเกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจจากรัฐบาลไทยรักไทย 19 กันยา 49 โดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) นั้น ทำให้หลายต่อหลายคน รวมทั้งคนในพรรคพลังประชาชนเองยอมรับว่าสัมฤทธิผลเกินความหมาย เพราะแทบไม่มีใครคาดการณ์ว่าการรวมตัวกันของ 5 แกนนำพันธมิตรฯ ขึ้นเป็นกลุ่มมวลชนกลุ่มแรก จะขยายตัว สร้างเครือข่ายต่อต้านรัฐบาลไทยรักไทย ปลุกประชาชนให้เข้าเป็นแนวร่วม เปิดเวทีขับไล่อดีตนายกฯ ทักษิณ อย่างดุเดือดไปทั่วประเทศ
การเคลื่อนไหวต่อต้าน กดดัน ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ในครั้งนั้นไม่เพียงจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง นายใหญ่ ของพวกเขาต้องกลายเป็นคนเร่ร่อน จากบ้านเกิดไปนานนับปีเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญไปกว่านั้นคือ ข้อมูล-ข้อเท็จจริง ที่แกนนำพันธมิตรฯ โดยมี สนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำสำคัญได้นำมาตีแผ่ได้กลายเป็นเครื่องมือกระตุกให้คนชั้นกลาง และกลุ่มอื่นๆ ในสังคมได้รับรู้ถึงปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน จนกลายเป็นที่มาของการเรียกร้องจริยธรรมจากนักการเมืองและผู้นำประเทศอย่างกว้างขวาง
เครือข่าย รักแม้ว ใช้วิธี
แยกกันเดิน-ร่วมกันตี
เมื่อ 5 แกนนำพันธมิตรฯ กำลังจะกลับมาเล่นในเกมเดิม คือการล้มล้างระบอบทักษิณ เป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่รัฐบาลนอมินีทำงานไปได้ไม่ถึง 3 เดือน ย่อมไม่เป็นการดีต่อทุกฝ่ายที่มีความเกี่ยวข้องและโยงใยเป็นเครือข่ายอันหนึ่งอันเดียวกันของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อพันธมิตรฯ เคลื่อนไหว นปช. ในฐานะคู่ปรับเก่า ก็จำเป็นต้องหาทางสกัดกั้นไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เกิดความพ่ายแพ้ขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เช่นกัน
เราเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ในครั้งนี้ ไม่น่าจะได้รับกระแสตอบรับมากมายเท่ากับครั้งแรกที่ผ่านมาแน่นอน คนจะเริ่มถอยออกห่างการชุมนุมเสียด้วยซ้ำ เพราะทุกคนต่างบอบช้ำจากปัญหารอบด้าน ที่เกิดขึ้น จากการยึดอำนาจของทหารที่ผ่านมา หนึ่งในแกนนำกลุ่มมหาชนร่วมพิทักษ์ประชาธิปไตย วิเคราะห์กับผู้จัดการรายสัปดาห์ พร้อมทั้งชี้ว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มมหาชนฯ นั้นจะทำในนามส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรคพลังประชาชน โดยรูปแบบจะมีการจัดเวทีสัญจรให้ความรู้ ข้อเท็จจริงกับประชาชนประกบไปกับเวทีของพันธมิตรฯ ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด
การเคลื่อนไหวของกลุ่มมหาชนฯนั้นจะประสานไปยังแนวร่วมเครือข่ายที่มีอุดมการณ์เดียวกัน ส่วน นปช.จะมาเข้าร่วมเวทีด้วยหรือไม่นั้น ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่กลุ่มไม่ได้หวังที่จะอาศัยเครือข่ายของนปช.
เป้าหมายของเราคือการนำเสนอข้อมูลต่างๆของ 5 แกนนำพันธมิตรฯ ให้ประชาชนได้รู้ว่าคนเหล่านี้มีอะไรแอบแฝงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม แม้แกนนำจากกลุ่มมหาชนร่วมพิทักษ์ประชาธิปไตย จะออกมาปฏิเสธถึงความเกี่ยวโยงระหว่างกลุ่ม และ นปช. ก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วจะพบว่าอดีตแกนนำหลายคนที่มาจาก นปก. ทั้งรุ่น 1 และ 2 ที่เคลื่อนไหวต่อต้านกลุ่มพันธมิตรฯ ล้วนแล้วแต่ได้มีโอกาสเข้าไปอยู่เป็นสมาชิกพรรคพลังประชาชน รวมทั้งคนเหล่านั้นยังได้รับเก้าอี้ใน ครม.เป็นการปูนบำเหน็จกันถ้วนหน้า
3 ประสานสกัดพันธมิตรฯ
สำหรับการเคลื่อนไหวของฝ่ายสนับสนุนอดีตนายกฯทักษิณนั้นดำเนินไปในทิศทางที่เชื่อมโยงกันทุกภาคส่วน ทั้งในแง่ตัวบุคคลและการใช้อำนาจรัฐผ่าน 3 กลุ่มใหญ่ โดยกลุ่มแรกได้แก่ กลุ่มที่กุมอำนาจรัฐ สามารถบงการและใช้กลไกของรัฐได้ทุกส่วน โดยผ่านคนในรัฐบาลตั้งแต่ สมัคร สุนทรเวช นายกฯ, ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย, จักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯ และรองโฆษกรัฐบาล
โดยเฉพาะการใช้สื่อของรัฐผ่านสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ซึ่งจักรภพระบุว่าจะเผยโฉมหน้ารูปแบบใหม่ในวันที่ 24 มี.ค.นี้และจะเริ่มออนแอร์ อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 เม.ย.นี้ กำลังถูกมองว่าเป็นการเปิดแนวรบด้านสื่อกับฝ่ายตรงข้าม
กลุ่มที่ 2 เคลื่อนไหวผ่านส.ส.ของพรรคพลังประชาชน ตั้งกลุ่ม มหาชนพิทักษ์ประชาธิปไตย ที่มีประชา ประสพดี สุทิน นทีเผือก ส.ส.สมุทรปราการ สงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูน เป็นแกนนำ ประกาศเปิดเวทีจัดทอล์กโชว์, เวทีสัญจรพบปะประชาชนตามพื้นที่ต่างๆ ทุกเย็นวันศุกร์ ประกบเวทีของกลุ่มพันธมิตรฯ ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด
กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือมาจาก นปก. เดิม นับเป็นกลุ่มที่ 3 มีวิภูแถลง พัฒนภูมิไท เป็นประธานแนวร่วมฯ และ นพ.เหวง โตจิราการ, นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ ประทีป อึ้งทรงธรรม โดยเมื่อครั้งที่ยังเป็น นปก.นั้นได้เคยฝากผลงานชิ้นโบว์แดงด้วยการจัดม็อบบุกบ้านพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เป็นที่พอใจอดีตนายกฯทักษิณ มาแล้วจนหลายคนใน นปก.ได้รับบำเหน็จตอบแทน มีเก้าอี้ใน ครม.หลายคน เช่น จักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯ และณัฐวุฒิ ใสเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
รวมทั้ง พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ได้ตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 2 ไปครอบครอง ก็มาจากอดีตแกนนำ นปก.รุ่น 2 นั่นเอง
ทั้ง 3 กลุ่มที่เป็นฝ่ายสนับสนุนและปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นยังไม่เพียงแต่อาศัยการสื่อสารและขยายแนวร่วมเช่นเดียวกับกลุ่มพันธมิตรฯ ผ่านกระบอกเสียงของรัฐ เท่านั้นแต่ในข้อเท็จจริงแล้วทุกกลุ่มยังเปิดพื้นที่สร้างช่องทางผ่านเวบไซต์กันอย่างคึกคัก โดยเฉพาะเวบไซต์ ไฮ-ทักษิณ และเว็บไซต์เครือข่ายต้านเผด็จการที่เคยผุดขึ้นมาเมื่อครั้ง คมช.ยึดอำนาจ
ดังนั้น หากจำแนกความสัมพันธ์ทั้งในด้านตัวบุคคลและการเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องระบอบทักษิณ ในรอบนี้ ของทั้ง 3 ส่วน คือ พรรคพลังประชาชน-ครม.-นปช. จะพบว่าทุกกลุ่มต่างเดินไปสู่จุดหมายเดียวกัน คือ ต่อต้านพันธมิตรฯ-ปกป้องทักษิณ เป็นเป้าหมายหลัก โดยใช้ยุทธศาสตร์แยกกันเดิม-ร่วมกันตี
ชี้หวังชิง คนชั้นกลาง
ที่สำคัญการขับเคลื่อนของทีมองครักษ์พิทักษ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ วางแผนประกบการเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามชนิดช็อตต่อช็อตเพื่อหวังแย่งชิงมวลชนชั้นกลางให้มากที่สุด
การเคลื่อนไหวของแกนนำในพรรคพลังประชาชน รัฐมนตรีใน ครม. และแนวร่วมฝ่ายสนับสนุนระบอบทักษิณ ในรอบนี้นั้นมีเป้าหมายเพื่อดึง คนชั้นกลางให้ไปอยู่ในฝ่ายของเขาให้มากที่สุด
ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ สมัชชาภาคประชาชน ซึ่งมีเครือข่ายทั่วประเทศ ในฐานะองค์กรภาคประชาชนที่ประสานงานกับกลุ่มพันธมิตรฯ ระบุกับ ผู้จัดการรายสัปดาห์ พร้อมทั้งชี้ว่าการที่ฝ่ายสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้สื่อของรัฐเป็นกระบอกเสียง การที่มีรัฐมนตรี และโฆษกรัฐบาลออกมาให้สัมภาษณ์ถึงการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ที่ผ่านมานั้นเพื่อเพิ่มน้ำหนักความเชื่อถือการวิพากษ์วิจารณ์ รวมทั้งการนำข้อกฎหมายมาอ้างเพื่อลดทอนความชอบธรรมการชุมนุมของมวลชน
ดังนั้น จึงจะเห็นได้ว่าในการตอบโต้ระหว่างแกนนำ สองฝ่ายที่ผ่านมามักจะมีนำประเด็นข้อกฎหมายมาอ้างอยู่บ่อยครั้งว่าใครมีสิทธิทำได้มากน้อยแค่ไหนเพื่อกลบเกลื่อนความไม่ถูกต้องของรัฐบาลในเรื่องการโยกย้ายราชการโดยไม่เป็นธรรม หรือการเข้าไปใช้อำนาจก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจะส่งผลต่อการพิจารณาคดีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และอดีตรัฐมนตรีด้วยกันหลายคน ในประเด็นดังกล่าวนี่เองที่ทำให้แกนนำพันธมิตรฯ ต่างต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
ชี้ฝ่ายหนุน ทักษิณ
เสียเปรียบ สงครามข่าว
ขณะเดียวกัน รศ.วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งเป็นหนึ่งในวิทยากรเข้าร่วมการเสวนาบนเวที ยามเฝ้าแผ่นดิน ภาคพิเศษ ในวันที่ 28 มี.ค.นี้ ได้เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ในเวลานี้ถือเป็นการใช้สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนตามรัฐธรรมนูญโดยถูกต้องเพื่อต่อต้านระบบอื่น ที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย พันธกิจของพันธมิตรฯ ไม่ได้ถูกยึดโยงไปที่ตัวบุคคล ดังนั้นไม่ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จะยังอยู่หรือไม่ก็ตาม แต่ หากมีระบบใดที่ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้นในสังคม ก็ต้องมีการเรียกร้องและเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านต่อไป
สำหรับกลยุทธ์ที่ฝ่ายสนับสนุนระบอบทักษิณ ได้นำมาดำเนินการเวลานี้ รศ.วรรณธรรม ประเมินว่าไม่มีความแตกต่างไปจากที่ผ่านมา เพราะในครั้งนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในอำนาจรัฐและสามารถใช้กลไกที่มืออยู่อย่างได้เปรียบ โดยเฉพาะการใช้สื่อของรัฐ ขณะที่ฝ่ายพันธมิตรฯเองต้องอาศัยการสื่อสารและเข้าไปทำความเข้าใจกับประชาชนอย่างหนัก จนสามารถสร้างการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ข้อเท็จจริงให้เกิดขึ้นและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในที่สุด
ในครั้งนี้ก็เช่นกัน ที่ฝ่ายสนับสนุนอดีตนายกฯ ทักษิณ ก็ยังอยู่ในอำนาจรัฐ มีความได้เปรียบมากกว่า แต่ประเด็นที่พันธมิตรฯ มีความได้เปรียบคือการสานต่อความรู้ความเข้าใจ จากที่เคยได้ทำไว้แล้วในช่วงแรก
ทั้งนี้ เขาเชื่อว่าแม้รัฐบาลจะอยู่ในฐานะได้เปรียบจากการกุมอำนาจรัฐและมีช่องทางสื่อสารกับประชาชนได้มากกว่ากลุ่มพันธมิตรฯรวมทั้งพรรคฝ่ายค้านก็ตาม แต่หากการชุมนุมที่จะมีขึ้นในวันที่ 28 มี.ค.นี้ ฝ่ายรัฐหรือพรรคพลังประชาชน สนับสนุนให้เกิดม็อบชนม็อบขึ้น จะทำให้ความขัดแย้งบานปลายมากขึ้น
ไร้กฎเหล็กคุม ส.ส.
เล่นเกม "นอกสภา"
อย่างไรก็ดี การเคลื่อนไหวของ ส.ส.ในเวลานี้กำลังเกิดคำถามที่นำไปสู่ประเด็นถกเถียงถึง ความถูกต้องเหมาะสมที่นักการเมืองในสภาผู้แทนฯ ทั้งจากพรรคพลังประชาชนและพรรคประชาธิปัตย์ เองที่มีสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน ของพรรคที่มีหมวกอีกใบหนึ่งเป็น 1 ใน5 แกนนำพันธมิตรฯ หรือประชา ประสพดี สุทิน นทีเผือก ส.ส.พรรคพลังประชาชน สมควรที่จะไปเปิดเกมการเมือง นอกสภา หรือไม่ ทั้งที่เวทีในฝ่ายนิติบัญญัติ นั้นสามารถนำมาใช่วงดุลและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้อยู่แล้ว
การเคลื่อนไหวของสมเกียรติ ในฐานะแกนนำพันธมิตรฯ นั้นอาจไม่ส่งกระทบต่อพรรคประชาธิปัตย์ แต่สำหรับพรรคพลังประชาชนแล้วยิ่งต้องระมัดระวังไม่ให้ต้องตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงต่อการถูกประเมินว่าเป็น นอมีนีทักษิณ ให้เด่นชัดยิ่งขึ้น
สามารถ แก้วมีชัย ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิป) ระบุว่าการเคลื่อนไหวของทั้งประชา ประสพดี ตลอดจนส.ส.ของพรรคหลายคนในการก่อตั้งกลุ่มมหาชนพิทักษ์ประชาธิปไตย นั้นแม้จะมีการยืนยันว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในฐานะประชาชน ตามรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่ต้องไม่ลืมว่าคนเหล่านี้ก็สวมหมวกอีกใบหนึ่งคือส.ส.สังกัดพรรคพลังประชาชน หากการเคลื่อนไหวที่ไม่ก่อให้เกิดความรุนแรงหรือทำให้พรรคต้องกระทบไปด้วยนั้น ก็ถือว่าอยู่ในกรอบที่สามารถทำได้
แต่ในทางกลับกัน หากการเคลื่อนไหวโดยเปิดเผยของสมาชิกพรรค ทำให้พรรคเสียหายหรือทำให้ถูกมองในแง่ลบ ก็ต้องมีการกำหนดกรอบร่วมกันออกมา เพราะเวลานี้ยอมรับว่ามีส.ส.หลายคนในพรรคเองก็ไม่ได้รับรู้หรือให้การสนับสนุนแต่อย่างใด ทั้งนี้การกำหนดกรอบการปฏิบัติตนของส.ส.นั้นถือเป็นเรื่องภายในแต่ละพรรค ที่จะกำหนดขึ้น ในส่วนของสภาผู้แทนฯ ไม่ได้มีการบังคับเอาไว้อย่างชัดเจนว่าการเคลื่อนไหวใดๆ นั้นจะขัดต่อกฎ ข้อบังคับ และจริยธรรมทางการเมืองหรือไม่
ฟันธงไม่ซ้ำรอย พฤษภาทมิฬ
หลายคนกำลังเฝ้าจับตาการเคลื่อนไหวที่จะมีขึ้นในวันที่ 28 มี.ค.นี้ว่าจะท้ายที่สุดแล้วจะนำประเทศกลับไปสู่วิกฤตการเมืองได้เหมือนเมื่อครั้ง พฤษภาทมิฬ ในปี 2535 ได้หรือไม่ เนื่องจากประเมินท่าทีจากทั้งสองฝ่ายขั้วตรงข้ามที่ประกาศเผชิญหน้าแบบ ตาต่อตา-ฟันต่อฟัน ทำให้เกิดความกังวลตามมา ทั้งนี้ รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า การเผชิญหน้าหลังเลือกตั้ง 23 ธ.ค.2550 ยังมีความเข้มข้นมากขึ้น เพราะการเลือกตั้งไม่สามารถสร้างความชอบธรรมให้เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะกับฝ่ายที่เข้ามาทำหน้าที่เป็นรัฐบาลบริหารประเทศ ขณะเดียวกันวิกฤตต่างๆ ของประเทศยังไม่ได้รับการแก้ไข ส่งผลให้รัฐบาลยิ่งเผชิญหน้ากับแรงกดดันมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ดร.ปณิธาน เชื่อว่าการเผชิญหน้าที่จะมีขึ้นในวันที่ 28 มี.ค.นี้ยังไม่มีสัญญาณและแนวโน้มนำไปสู่จุดที่เรียกว่าวิกฤตเหมือนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 อย่างแน่นอน เนื่องจากทั้งฝ่ายพันธมิตรฯ และฝ่ายรัฐบาล ซึ่งเป็นฝ่ายสนับสนุนอดีตนายกฯทักษิณ ต่างมีกรอบกฎหมาย พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2550 ที่ประกาศและมีผลบังคับใช้เมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา
เวลานี้จะเห็นว่าต่างฝ่ายต่างประกาศเผชิญหน้ากันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ก็เป็นเรื่องของการชิงพื้นที่ข่าวเท่านั้น
ในความเป็นจริงแล้วหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเคลื่อนไหวก่อให้ความรุนแรง การสูญเสียขึ้น ย่อมจะถูกดำเนินคดีตามพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯ
พ.ร.บ.มั่นคงฯ ปลดชนวน
วิกฤตกลางเมือง
ก่อนหน้านี้ยังไม่มีการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงออกมาอย่างเป็นทางการ จึงทำให้ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิเคลื่อนไหวตามรัฐธรรมนูญ แต่ตามโครงสร้างของ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ฉบับดังกล่าวได้กำหนดขอบข่ายความผิด ตลอดจนหน้าที่ความรับผิดชอบของทุกฝ่าย โดยเฉพาะรัฐบาล ในฐานะฝ่ายบริหาร ที่อาจเข้าข่ายกระทำผิดกฎหมาย โทษฐานละเว้นทำให้เกิดความวุ่นวายและความรุนแรงขึ้น โดยไม่สามารถโยนความรับผิดชอบไปให้กองทัพหรือฝ่ายตำรวจเพียงฝ่ายเดียวได้
เชื่อว่ารัฐบาลจะต้องพยายามควบคุมไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้น ส่วนบรรดา ส.ส.หรือแนวร่วมฯกลุ่มต่างๆ ที่วางแผนเคลื่อนไหวยั่วยุ ต้องคิดให้หนักว่า ถ้าทำไปแล้ว หัวหน้ารัฐบาลจะเดือดร้อนด้วยหรือไม่
ส่วนฝ่ายพันธมิตรฯเองก็ต้องกางกฎหมายฉบับนี้ เพื่อประเมินว่าถ้าตนเองเป็นฝ่ายยั่วยุนำไปสู่ความรุนแรงขึ้น ก็ต้องมีความผิดด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ความเป็นไปได้มากที่สุดคือการที่รัฐบาลจะนำ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เข้ามาใช้ปราบปรามฝ่ายพันธมิตรฯ หากพบว่าเกิดการจลาจลอย่างหนักขึ้น แต่การตัดสินใจใช้ พ.ร.ก.ฉบับดังกล่าว ต้องผ่านประเมินแล้วว่าสมควรต่อเหตุ เพราะไม่เช่นนั้นประชาชนอาจดำเนินการฟ้องร้องรัฐบาลว่ากระทำผิด พ.ร.บ.ความมั่นคงฯเสียเอง
ดังนั้น การเผชิญหน้าของทั้ง 2 ฝ่ายในครั้งนี้จึงมีนัยสำคัญ หากพลังสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯไม่มีความเด่นชัดหรือน้อยลงตามการประเมินของกลุ่มองค์รักษ์พิทักษ์ทักษิณ นั่นย่อมนำไปสู่การคืนชีพของระบอบทักษิณที่สังคมไทยมีอาจปฎิเสธความน่าสะพรึงกลัวได้อีกต่อไป อีกทั้งเป็นการการันตีระบอบทักษิณว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม...ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนในสังคมไทยมีส่วนในการตัดสินใจชี้ชะตาของตนเองแล้ว!!