ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
20-04-2024, 05:46
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  พฤติกรรมอย่างไรของทักษิณจำเลยคดีทุจริตของศาลยุติธรรม จึงจะเรียกว่า'เล่นการเมือง' 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
พฤติกรรมอย่างไรของทักษิณจำเลยคดีทุจริตของศาลยุติธรรม จึงจะเรียกว่า'เล่นการเมือง'  (อ่าน 1164 ครั้ง)
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« เมื่อ: 05-03-2008, 21:01 »

ทักษิณเคลื่อนไหว มีกิจกรรมอย่างไร
ทักษิณจึงคิดว่าตนกำลัง'เล่นการเมือง'....

ในขณะนี้ทักษิณ จำเลยคดีทุจริตของศาลยุติธรรม
รมว.ต่างประเทศไทย รองนายกฯ รมว.คลัง
รมว.มหาดไทย รมต.สำนักนายกฯ
โฆษกพรรคพลังประชาชน รองโฆษกรัฐบาล
และนายกฯนอมินี ต่างยืนยันว่าตั้งแต่ทักษิณเป็นจำเลย
เป็นผู้ต้องหาของศาลยุติธรรมไทย
ก็เลิกเล่นการเมืองไทยแล้ว......

ได้ใช้ชีวิตบั้นปลายเพื่อสู้ข้อกล่าว ข้อคดีทุจริตต่าง ๆ
ของคณะกรรมการ คตส.
คณะกรรมการ ปปช. และศาลยุติธรรม.......
และอยู่กับเมีย-ลูกที่จดทะเบียนตามกฎหมาย
จำเลยที่เคยหนีหมายจับของสำนักงานสอบสวนพิเศษ(DSI)
ก็เบาใจได้ เพราะอธิบดีสำนักงานฯ ถูก รมว.นกแล
โยกย้ายไปทำงานที่อื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องอีกแล้ว..

ลิ่วล้อ บริวารทักษิณ
ช่วยบอกทีพฤติกรรมของทักษิณอย่างไร
จะเรียกว่า'เล่นการเมือง'.....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2008, 21:05 โดย ปุถุชน » บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #1 เมื่อ: 05-03-2008, 21:10 »

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแถลง เปิดโปงว่าทักษิณและพรรคพลังประชาชน
กำลังยั่วยุให้เกิดเหตุการณ์ตึงเครียด โยกย้ายนายทหารสร้างสถานการณ์เพื่อรัฐประหารรัฐบาลตนเอง เช่นเดียวกับ
รัฐบาลถนอม-ประพาส เคยทำมาแล้ว....

เพื่อใช้อำนาจคณะรัฐประหารล้มล้างคำสั่ง ประกาศ กฎหมายของคณะ คมช.
ทักษิณจะได้ไม่ต้องเข้าสู่ขบวนการคณะกรรมการ คตส. คณะกรรมการ ปปช.และศาลยุติธรรม

ไม่ต้องถูกพิจารณาคดีใด ๆ ที่เกิดจากคำสั่งคณะ คมช.... Question

บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #2 เมื่อ: 05-03-2008, 21:24 »

การเมือง   - ข่าว
แม้วตามจิกคมช.ทำลายชาติวางยาง'สมัคร'-เตรียมเดินสายเคลียร์ทหาร


5 มีนาคม 2551    กองบรรณาธิการ

"ทักษิณ" วางมือทางการเมืองแค่ผายลม ให้สัมภาษณ์สื่อฝรั่งโจมตี คมช.-ขิงแก่ยับ ซัดรัฐประหารทำลายภาพลักษณ์ เลี่ยงบาลีไม่ขอรับตำแหน่งที่ปรึกษารัฐบาลหมัก ขอเป็นอาจารย์แทน


เตรียมเดินสายคุยกับทหารเคลียร์ปัญหาคาใจ  เผยเหตุพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งเพราะประชาชนไม่คิดว่าคนที่เขาเคารพรักจะเลวขนาดนั้น  ซัด "พวกที่อยู่บนยอด" ไม่เคยสร้างรากฐานให้ประเทศ  ครม.ขิงแก่โวยอย่าหาแพะ ขณะที่ คมช.เงียบกริบ!

พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์เอมี แคซมิน ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์  ของอังกฤษประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อวันจันทร์  ระบุว่า การรัฐประหารและความไม่แน่นอนทางการเมืองได้ทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยอย่างร้ายแรง รัฐบาลจากการเลือกตั้งชุดใหม่ของไทยจะเผชิญความยากลำบากในการเรียกความมั่นใจของนักลงทุนกลับคืนมา 

"สถานการณ์ค่อนข้างลำบากภายหลังการรัฐประหาร  ความไม่แน่นอนทางการเมืองจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับนักลงทุน"

พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า  ตนได้ปฏิเสธคำขอของ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีคลังที่จะเชิญตนเป็นที่ปรึกษาเพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างปัญหาให้แก่รัฐบาลใหม่  "ถ้าผมเข้าไปช่วยรัฐบาล ผมอาจสร้างปัญหามากกว่าแก้ปัญหา"  และว่า  "เอกภาพในการบังคับบัญชาเป็นเรื่องสำคัญมาก  ถ้าโครงสร้างที่เป็นทางการถูกแย่งที่ด้วยโครงสร้างที่ไม่เป็นทางการ องค์กรนั้นจะไม่สามารถบริหารได้ดี"

อดีตนายกรัฐมนตรีเชื่อว่าประเทศไทยจะสามารถหลบเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวของสหรัฐได้ และว่า ไทยควรใช้โอกาสที่ค่าเงินบาทแข็งในการซื้อสินค้าทุนจากต่างประเทศ   แทนที่จะบ่นเรื่องผลกระทบต่อการส่งออก    "เราต้องฉวยโอกาสที่เงินบาทแข็งและดอลลาร์อ่อนในการนำเข้าสินค้าทุนและเครื่องจักร เราใช้เทคโนโลยีเก่าๆ มาหลายปีแล้ว ถึงเวลาต้องลงทุนเสียที"

พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า  ความวุ่นวายทางการเมืองในรอบ  2 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งการรัฐประหาร  ได้ทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาของนานาชาติเป็นอย่างมาก   ซึ่งต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู  "ความมั่นใจเป็นสิ่งที่แพงมากในแง่เศรษฐกิจ   เมื่อความมั่นใจหายไป  ต้องใช้เงินมากมายในการเรียกกลับคืน และต้องใช้เวลามากด้วย"

อดีตนายกฯ บอกว่า  พร้อมจะเป็น  "อาจารย์" หรือไปพูดคุยกับนักลงทุน กลุ่มนักธุรกิจและทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลเกี่ยวกับสถานะของประเทศในเศรษฐกิจโลก

การสร้างเสถียรภาพทางการเมืองนั้น 
พ.ต.ท.ทักษิณเผยว่า  มาถึงตอนนี้น่าจะทำได้แล้ว 
ต้องเริ่มพูดคุยกับฝ่ายที่เคยเป็นปฏิปักษ์กับตน 
โดยเฉพาะทหาร  พวกเขาก็รู้ เราให้อภัยในทุกเรื่อง
เราไม่รู้สึกเป็นศัตรูกับพวกเขา ให้อภัยทุกคน
ตนไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ฉะนั้นไม่ต้องวิตก

พ.ต.ท.ทักษิณยังพูดถึงการรัฐประหารวันที่  19  กันยายนว่า แม้เรามีรัฐประหาร ระบอบกษัตริย์ของไทยมีความเข้มแข็งมาก  และได้รับเคารพอย่างมากทั้งในและนอกประเทศ  ฉะนั้นจึงไม่เหมือนประเทศอื่น แน่นอนเราได้รับผลกระทบ  แต่ไม่มากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เป็นเรื่องยากที่จะทำนายว่าจะไม่เกิดรัฐประหารอีกในอนาคต  ตนบอกไม่ได้สำหรับอนาคตอันใกล้  อาจมีรัฐประหารอีกก็ได้ แต่คงอีกหลายปี ไม่ใช่ตอนนี้

อดีตนายกฯ  กล่าวถึงประชาชนที่ลงคะแนนให้พรรคพลังประชาชนว่า  " เพราะผมถูกรังแกเยอะเหลือเกิน   และพวกเขาไม่เชื่อว่าคนคนหนึ่งจะเลวได้ขนาดนั้น ไม่คิดว่าคนที่พวกเขาเคารพรักจะเลวได้ขนาดนั้น พวกเขาแค่ต้องการให้ผมได้รับความยุติธรรมแค่นั้นเอง"

กับนายสมัครนั้นเขาบอกว่า ติดต่อนานๆ ครั้ง ในฐานะเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง

พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวถึงทรัพย์สินของครอบครัวชินวัตรที่ได้จากกำไรในการขายหุ้นชินคอร์ป 1.9  พันล้านเหรียญฯ ว่า  "สิ่งที่พวกเขาทำนั้นผิดกฎหมายอย่างแท้จริง แต่ภายใต้ระบอบเผด็จการคุณทำได้ทุกสิ่งที่คุณต้องการ   นั่นอาจมีเป้าหมายเพื่อป้องกันไม่ให้ผมใช้เงินของผมช่วยพรรคพลังประชาชนในการเลือกตั้ง   อีกประการก็คือ   พวกเขาไม่ต้องการให้ผมเคลื่อนไหว แต่มันผิดกฎหมายชัดๆ แน่นอนว่าเราจะฟ้อง เพื่อให้ได้ทรัพย์สินคืนมา"

"ผมพยายามจะสร้างประเทศจากฐานราก   จากรากหญ้า   แต่พวกที่อยู่บนยอด  พวกนี้มักจะสนุกสนานกับผลประโยชน์ที่ได้จากรัฐบาลที่อ่อนแอ   พวกเขาไม่เคยสร้างพื้นฐานหรือรากฐานอะไรเลย  แต่เราอยากจะอยู่นานกว่านี้  เพื่อสร้างประเทศทั้งประเทศขึ้นมาจากฐานรากขึ้นไป   พวกเขาอาจคิดว่า  "แล้วเมื่อไหร่คุณถึงจะมาหาฉันล่ะ?  ยังก่อน"  พวกเขาเลยไม่ชอบใจ   แต่ที่จริงแล้ว เมื่อฐานรากแข็งแรง ส่วนยอดจะยิ่งแข็งแรงมากๆ แต่พวกเขารอไม่ไหว

ผู้สื่อข่าวไฟแนนเชียลไทมส์   เอมี   แคซมิน  ซึ่งได้สัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณในกรุงเทพฯ   เสนอบทวิเคราะห์ว่า  แม้ พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่าเลิกยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแล้ว   แต่เขายังมีความเห็นอย่างแข็งกร้าวต่อรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นภายหลังการรัฐประหาร   "ถ้าสภาผู้แทนราษฎรไม่ทำอะไรเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้  ผมถือว่าสภาชุดนี้ไม่ซื่อสัตย์กับประชาชน (อ่านรายละเอียดคำต่อคำหน้า 4)

ขณะที่คนในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์  จุลานนท์  ไม่พอใจนักที่ พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งยืนยันหลายครั้งว่าเลิกเล่นการเมืองกลับให้สัมภาษณ์โจมตีทางการเมือง

นพ.พลเดช   ปิ่นประทีป    อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  กล่าวว่า มาถึงวันนี้แล้วไม่ควรจะโทษใคร  เมื่อสถานการณ์เป็นอย่างนี้แล้วเราควรจะคิดว่าจะนำพาประเทศไปอย่างไรดีกว่า  ไม่ใช่มาหาแพะ เพราะรัฐบาลชุดที่แล้วมีข้อจำกัดหลายอย่าง ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ทำให้ต่างประเทศไม่ค่อยจะยอมรับ ทำให้การติดต่อก็พบกับเงื่อนไข ก็น่าเห็นใจทีมเศรษฐกิจรัฐบาลที่แล้ว

"เราเป็นรัฐบาลชั่วคราว  เรารู้ตัวเองตลอดเวลาว่าไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง  ไม่มีความชอบธรรม   จึงไม่สามารถทำอะไรได้มาก  ดังนั้นเรื่องการที่ทำให้รัฐบาลนี้ยากลำบากให้การฟื้นความเชื่อมั่นกับต่างประเทศนั้น  ผมคิดว่ามันไม่แฟร์  เราเข้ามาทำหน้าที่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเท่านั้นเอง  แต่จะตำหนิก็ไม่เป็นไร โดยเฉพาะท่านนายกฯ สุรยุทธ์ ท่านใจกว้าง วิจารณ์ได้ไม่เดือดร้อน"

เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่   พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่าจะวางมือทางการเมือง  แต่ยังออกมาวิพากษ์วิจารณ์   นพ.พลเดชตอบว่า ไม่เหมาะสม เพราะบอกว่าจะไม่ยุ่งก็ควรจะไม่ยุ่งเกี่ยว แต่ก็คงจะอดพูดไม่ได้ แต่นานๆ ก็น่าจะคิดได้

ด้านนายธีรภัทร์  เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ทำไมถึงมาโทษรัฐบาลสุรยุทธ์  ทำไมไม่พูดถึงเรื่องการส่งออก  ที่มีการส่งออกสูงเป็นประวัติการณ์ที่รัฐบาลสุรยุทธ์ทำได้ ตนไม่อยากจะโต้ตอบอะไร เพราะไม่ได้รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ ฝ่ายเศรษฐกิจจะโต้ตอบได้

อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ บอกว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณประกาศวางมือทางการเมือง  แต่มาให้สัมภาษณ์ทางการเมืองนั้น ก็รู้ๆ อยู่ว่าอะไรเป็นอะไร ส่วนตัวก็ไม่อยากแสดงความเห็นอะไร เพราะหมอดูทักว่าให้ระวังเรื่องวาจา

ที่กระทรวงกลาโหม  พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหมและอดีตเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ปฏิเสธที่จะให้ความเห็น

พล.อ.สพรั่ง  กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหมและอดีตผู้ช่วยเลขาธิการ คมช. ขออนุญาตไม่ให้ความเห็นอะไรในช่วงนี้  เพราะไม่อยากให้คนทั้งหลายเข้าใจตนผิด  ดังนั้นจึงไม่อยากให้ความเห็น  รอให้ถึงเวลาจำเป็นจริงๆ   แล้วจึงค่อยระดมความคิดเห็นกันใหม่ ตอนนี้เป็นจังหวะที่ควรจะเฝ้ามองดูกันไปก่อน

เมื่อถามถึงกรณีที่   พ.ต.ท.ทักษิณระบุผ่านสื่อต่างประเทศว่า คมช.เป็นต้นเหตุทำให้ประเทศชาติพัง   พล.อ.สพรั่งตอบว่า  ตอนนี้ใครอยากพูดอะไรก็พูดไป  รอให้เหตุการณ์ลงตัว และมีความชัดเจนกว่านี้จะรู้ว่าใครพูดจริงพูดเท็จ ช่วงนี้ขอเก็บเนื้อเก็บตัวก่อน

ขณะที่นายอภิสิทธิ์   เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ทุกฝ่ายมีหน้าที่ช่วยกันทำให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า แต่หากย้อนกันไปย้อนกันมา  ก็จะยิ่งตอบโต้กันไปไกล  ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดในขณะนี้คือ ทุกคนเดินไปข้างหน้า  ขณะนี้ไม่ว่าปัญหาจะมาอย่างไร แต่เมื่อปัญหามาอยู่ตรงนี้แล้ว รัฐบาลก็ควรเร่งแก้ไข

" ผมไม่แน่ใจว่าคุณทักษิณพูดแทนรัฐบาลได้หรือไม่   แต่พรรคการเมืองทุกพรรคที่หาเสียงมา  ก็ไม่มีพรรคไหนที่บอกว่าจะแก้ปัญหาไม่ได้  เมื่อตอนหาเสียงพูดด้วยความมั่นใจ  แล้วประชาชนให้การสนับสนุนมา   ก็ต้องเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่อไป" และว่า  จะต้องดูว่าสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง จะปฏิบัติตามนั้นหรือไม่

นายสุริยะใส   กตะศิลา   ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย  เปิดเผยว่า  ในวันที่ 5 มีนาคม แกนนำพันธมิตรฯ จะประชุมตั้งแต่เวลา  10.00 น. ที่บ้านท่าพระอาทิตย์ วาระในการหารือคงเป็นเรื่องการประเมินสถานการณ์ ทิศทางและแนวโน้มการทำงานของรัฐบาล  ซึ่งเริ่มออกนอกลู่นอกทางเร็วเกินคาด  และการกำหนดบทบาทของพันธมิตรฯ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งคงต้องพูดถึงการทำงานควบคู่หรือเชื่อมประสานกับองค์กรแนวร่วมอื่นๆ  ทั้งองค์กรภาคประชาชน กลุ่มนักวิชาการ กลุ่มชนชั้นกลางและพลังเงียบ และทิศทางการทำงานกับคนยากคนจนและคนระดับล่าง ซึ่งคงต้องเป็นแผนงานระยะยาว

ที่โรงแรมเอสซีปาร์ค   หลังมีกระแสข่าวว่า  พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไปเป็นประธานการประชุมสมาคมกอล์ฟฯ  ในฐานะนายกสมาคมกอล์ฟอาชีพแห่งประเทศไทย แต่ปรากฏว่าจนถึงเวลา  14.00 น.ก็ยังไม่เดินทางมาร่วมประชุม  โดยเจ้าหน้าที่สมาคมกอล์ฟฯ แจ้งกับสื่อมวลชนว่า พ.ต.ท.ทักษิณโทร.มาแจ้งว่าจะไม่มาร่วมประชุม
...............................................................................................................................................................................

เมื่อถามว่า   พ.ต.ท.ทักษิณประกาศวางเมืองทางการเมือง  ไม่ยุ่งแล้ว แต่ได้มีการสัมภาษณ์วิจารณ์  คมช. ร.ท.กุเทพกล่าวว่า  เป็นการวิจารณ์โดยสุจริต ไม่เข้ามายุ่งทางการเมือง แต่สามารถที่แสดงความคิดเห็นทางการเมือง อยากให้แยกออกจากเรื่องทางการเมือง และวิพากษ์วิจารณ์  คมช.มานานแล้ว

นายนพดล  ปัทมะ รมว.การต่างประเทศ เปิดเผยว่า ช่วงเช้าได้โทรศัพท์พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ  เพื่อสอบถามสารทุกข์สุกดิบ   ซึ่ง  พ.ต.ท.ทักษิณสบายดี และยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังอยู่ใน  กทม. สาเหตุที่ไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณะ  เข้าใจว่าต้องการลดบทบาท  ไม่อยากให้เป็นข่าว และอยากใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่กับครอบครัวเงียบๆ

นายดนุพร   ปุณณกันต์  หนึ่งในคณะติดตามของ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า  พ.ต.ท.ทักษิณไม่อยากให้มีข่าวหรือความเคลื่อนไหว เพราะไม่อยากให้ถูกมองว่ามีนายกรัฐมนตรี 2 คน หรือต้องการกลับมามีอำนาจทางการเมืองอีก   และล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณท่านยังสบายดี และยืนยันว่าท่านอยากมีเวลาใช้ชีวิตส่วนตัวเหมือนประชาชนทั่วไปในการอยู่กับครอบครัว.



http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&post_date=5/Mar/2551&news_id=155386&cat_id=501



ทักษิณทำให้บริวารหนักใจ....
พูดอย่างหนึ่ง กระทำอย่างหนึ่ง....
ต้องคอยแก้ตัวให้.....
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-03-2008, 21:32 โดย ปุถุชน » บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #3 เมื่อ: 09-04-2008, 10:05 »

คตส.ปิดสำนวน “ ทักษิณ ” เอื้อประโยชน์-ร่ำรวยผิดปกติ
 
8 เมษายน พ.ศ. 2551 15:46:00
 
คตส.ปิดสำนวน “ ทักษิณ ” เอื้อประโยชน์-ร่ำรวยผิดปกติ ตัดพยาน***นกว่า 300 ปาก สั่ง กลต.ส่งข้อมูลถือครองหุ้น วินวินมาร์ค ของตระกูลชินวัตร ขีดเส้นตาย 10 เม.ย.นี้ เตรียมชงที่ประชุมใหญ่ส่งออส.ฟ้องศาลแบบเฉียดฉิว พ.ค.นี้

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ในฐานะเลขานุการคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บริหารราชการแผ่นดินเอื้อประโยชน์ตนเองหรือพวกพ้อง แถลง ที่ประชุมคตส.เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีมติปิดสำนวนไต่สวนคดีพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทรัพย์สินมาโดยมิสมควร โดยคณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติไม่เห็นควรสืบพยานหลักฐานกว่าร้อยรายการ รวมพยานบุคคล 300 กว่าคน และพยานเอกสารอีกหลายรายการ ตามที่พ.ต.ท.ทักษิณ ขอให้คตส.สอบพยานเพิ่มเติม เนื่องจากพยานดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับหลักฐาน และทุกปากล้วนไม่ใช่พยานที่จะหักล้างข้อกล่าวหาของ คตส.ได้ สอบไปอย่างไรก็ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปคดี ดังนั้นการรับฟังพยานจึงไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย เพราะส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทและเป็นส.ส.และส.ว. ขณะนี้สำนวนของคตส.จึงถือว่ามีหลักฐานสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว

นายแก้วสรร กล่าวว่า นอกจากนี้คตส.ยังมีมติตามอำนาจในกฎหมายสั่งการให้เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ ส่งพยานหลักฐานในครอบครองทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับความเป็นเจ้าของบริษัทวินมาร์คของพ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวให้แก่อนุกรรมการฯภายในวันที่ 10 เม.ย.นี้ โดยอนุกรรมการจะสามารถศึกษาสำนวน และสรุปผลรายงานไต่สวนเสนอต่อคตส.ได้อย่างช้าภายในกลางเดือนพ.ค.นี้ ซึ่งหากกลต.ไม่ส่งเอกสารให้ก็ต้องมาคุยกันว่ามีเหตุผลติดอย่างไร

นายแก้วสรร กล่าวว่า หลักฐานที่ คตส. ต้องการจากพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อชี้ขาดและแก้ข้อกล่าวหาคือ การกล่าวหาว่า เมื่อขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2544 พ.ต.ท.ทักษิณฯ ยังคงฝ่าฝืนกฎหมายถือไว้ซึ่งหุ้นชินคอร์ปทั้งทางตรงทางอ้อม โดยใช้ชื่อบุตรหรือพี่น้อง เป็นจำนวนรวม48.08% หุ้นทั้งหมดนี้ครอบครัวชินวัตรถือครองมาตั้งแต่ปี 2535 ถูกนำมารวมขายกองทุนเทมาเส็ค เมื่อ มกราคม 2549 โดยมีการถือบริษัท ชินคอร์ปฯ ผ่านบริษัท และจัดการโดยสถาบันการเงินต่างประเทศ 2 ส่วนคือ หุ้นบริษัทชินฯใน บริษัท แอมเปิลริช กับหุ้นบริษัทชินครอ์ป ใน บริษัท วินมาร์ค ที่ เกาะบริติชเวอร์จิ้น โดยหลักฐานสำคัญที่ คตส.ต้องการคือ หุ้นชินทั้งสองก้อนนี้ ผู้มีอำนาจได้ว่าจ้างให้ธนาคารยูบีเอส เอจีสิงค์โปร์ รับเป็นผู้ดูแล ( Custodian )

นายแก้วสรร กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า ปี 2543 - 2548 คตส.ได้ตรวจพบหลักฐานสำคัญคือ พบเอกสารเปิดบัญชีที่ยูบีเอสให้แก่แอมเปิลริช ที่แจ้งรับรู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณฯเป็นผู้มีอำนาจลงนามแทนบริษัทในการจัดการหุ้นชิน - แอมเปิล ริช ลงวันที่ 11 มิถุนายน 2542 จนต่อมาในวันที่ 29 มิถุนายน 2548 เอกสารเปิดบัญชีนี้จึงได้เปลี่ยนชื่อผู้มีอำนาจเป็น พานทองแท้และพินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณชี้แจงว่า หลังจากตนโอนบริษัทแอมเปิล ริช ในธันวาคม 2543 ให้พานทองแท้ฯแล้ว ตนก็มิได้ข้องเกี่ยวใดๆอีก กรรมการบริษัทแอมเปิล ริชจะเห็นควรเปลี่ยนชื่อผู้มีอำนาจเมื่อใด ก็เป็นเรื่องของการจัดการเมื่อเห็นว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนเอกสารไม่จำเป็นต้องใส่ชื่อนายพานทองแท้ตั้งแต่วันที่รับโอนบริษัทจากตนแต่อย่างใด

“หลักฐานชี้ขาดปัญหานี้อยู่ตรงที่ว่า ในระหว่างปี 2542 ถึง 2548 นั้น มีธุรกรรมหุ้นชิน-แอมเปิลริช ถึง 5 ครั้ง อย่างแน่นอน เอกสารธุรกรรมเหล่านี้อยู่ในครอบครองของธนาคารยูบีเอส หากฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ หรือพานทองแท้ ผู้เป็นลูกค้าของยูบีเอส ใช้สิทธิขอหลักฐานมาแสดงได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณฯมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงทางอ้อม คดีในส่วนนี้ก็จะยุติเป็นคุณแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ในชั้น คตส.ในทันที ซึ่งคำกล่าวหาของคตส. ก็ได้ระบุประเด็นนี้ไว้อย่างชัดแจ้ง แต่ พ.ต.ท.ทักษิณก็ชี้แจงตัดบทไว้ห้วนๆ ว่าไม่รู้เห็น โดยไม่ยอมขวนขวายหาหลักฐานชี้ขาดที่ว่านี้มาเลย ส่วนคตส.เองนั้นก็ไม่มีช่องทางได้หลักฐานเหล่านี้ได้ เนื่องจากเป็นความลับลูกค้าที่อยู่ในครอบครองของธนาคารต่างประเทศ ” นายแก้วสรร กล่าว

นายแก้วสรร กล่าวว่า หลักฐานที่สำคัญที่ คตส.ต้องการ คือรายงานของ ธนาคารยูบีเอสฯในวันที่ 24 สิงหาคม 2544 ที่แจ้งว่า ได้มีการโอนหุ้นชินจำนวนหนึ่งมารวมอยู่ในบัญชี เดียวกันกับหุ้นชินอีกจำนวนหนึ่งและหุ้นทั้งสองเป็นของคนคนเดียวกัน โดยเมื่อนับรวมกันแล้วมียอดเพิ่มขึ้นเกิน 5%ธนาคารฯจึงแจ้งให้ กลต.ทราบตาม ระเบียบหุ้นชินฯทั้งสองก้อนตามรายงานนี้ ตรวจสอบแล้ว เป็นของบริษัทแอมเปิล ริชและบริษัทวินมาร์ค รายงานดังกล่าวจึงแสดงว่า ธนาคารยูบีเอส มีข้อมูลลูกค้าที่แสดงว่า ทั้งสองบริษัทมีเจ้าของคนเดียวกัน นั่นก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณฯนั่นเอง

“ หลักฐานชี้ขาดปัญหานี้จึงอยู่ที่คำชี้แจงของธนาคารยูบีเอสฯ ที่หากฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณฯ สามารถขอคำอธิบายจากธนาคารมายืนยันได้ ว่า คตส.เข้าใจรายงานของ ยูบีเอสผิด คดีก็จะยุติได้อีกเช่นกัน แต่ พ.ต.ท.ทักษิณฯก็มิได้ขวนขวายนำมาแสดงเลย ทั้งๆที่เป็นลูกค้าของธนาคารนั้น ” นายแก้วสรร กล่าว

นายแก้วสรรกล่าวว่า นอกจากนี้ สิ่งที่ คตส.ต้องการคือหลักฐานจากสถาบันการเงินในสิงค์โปร์และฮ่องกง ที่แสดงได้ว่า เงินค่าหุ้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่อ้างว่าขายให้บริษัทวินมาร์ค 1,500 ล้านบาท เมื่อ 2543 นั้น บริษัท วินมาร์คเอามาจากแหล่งใดบ้าง จากบัญชีธนาคารของผู้ใดในประเทศสิงค์โปร์ ซึ่งถ้าได้ข้อมูลนี้เมื่อใดก็จะช่วยชี้ขาดปริศนาตัวตนของวินมาร์ค ในชั้นไต่สวนของคตส.ได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังต้องการหลักฐานความเป็นมาของหนี้ตั๋วสัญญาใช้เงินระหว่าง นายพาน ทองแท้ และคุณหญิงพจนมาน ที่มีการซื้อขายหุ้นระหว่างกัน โดยพบว่านายพานทองแท้ไม่ได้เป็นเจ้าของที่แท้จริงเพราะมีการส่งเงินปันผลโอนเข้าบัญชีของคุณหญิงพจมาน จึงเชื่อได้ว่า นายพานทองแท้ถูกใช้ชื่อแทนบิดามารดาเท่านั้น สิ่งที่ คตส.ต้องการคือ  หลักฐานบัญชีเงินฝากที่ใช้สะสมเงินของขวัญของ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร เพราะในการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป ได้อ้างว่า น.ส.พิณทองทา นำเงินทีได้จากการเก็บหอมรอมริบ จากเงินของขวัญที่ผู้ใหญ่ให้ตามโอกาสต่างๆ เอาไปซื้อหุ้นซึ่ง คตส.ตรวจพบจากบัญชีธนาคารว่า เงิน 367 ล้านบาทที่ใช้ซื้อหุ้นชินคร์อป เป็นเงินที่โอนมาจากบัญชีคุณหญิงพจมาน จึงเชื่อได้ว่าน่าจะเป็นการแบ่งหุ้นให้ตัวเชิด คนใหม่ถือแทนเท่านั้น 

นายแก้วสรร กล่าวว่า สำหรับหลักฐานชิ้นสุดท้ายที่ คตส.ต้องการคือ หลักฐานจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นองสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นเช็คเงินปันผล 77 ล้านบาท ซึ่ง คตส.ต้องการทราบว่าไปชำระให้ผู้ไดในมูลหนี้ใด และเหตุใดจึงต้องซอยแบ่งเป็นเช็คใบละไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งในเรื่องนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่า เมื่อขายหุ้นใน น.ส.ยิ่งลักษณ์ แล้วก็ไม่เกี่ยวข้องทราบเรื่องอีกเลย แต่จากการตรวจสอบพบว่าเมื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เงินปันผลจากหุ้นที่ซื้อไป จะส่งเงินปันผลให้พี่ชายและพี่สะใภ้ตลอด ทำให้เชื่อได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำตัวเป็นผู้ถือหุ้นแทนเท่านั้น

“ หลักฐานทั้งหมด ทางฝ่าย ครอบครัวชินวัตร ได้เพิกเชยไม่นำพยานหลักฐานมาเสนอต่อ คตส.เลย การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิเสธลอยๆ ทุกประเด็นและให้ คตส.สอบพยานหลักฐานเพิ่ม 100 กว่าปาก ซึ่งทุกปากไม่มีผลต่อการเปลี่ยนรูปคดี ประกอบกับพฤติกรรมการเบิกความของนายไปรษณีย์ที่นำ จดหมายจาก คตส.ไปส่งที่บ้านจันทร์ส่องหล้า แต่ไม่มีผู้รับถูกตีกลับทุกครั้ง ทำให้เสียเวลาในขั้นตอนนี้เป็นเดือนในทุกคดี แต่เมื่อมีการส่งจดหมายของ คตส.แต่ไม่ได้ลงนามว่ามาจาก คตส. รปภ.กลับรับเอกสาร โดยระบุว่า อะไรที่มี ชื่อ คตส.นายสั่งไม่ได้รับทุกคดี เมื่อประวัติศาสตร์และพฤติกรรมเป็นอย่างนี้เราจึงเซ็นตัดพยานโดยที่มือไม่สั่นแม้แต่น้อย ” นายแก้วสรร ระบุ
 

 http://www.bangkokbiznews.com/2008/04/08/WW01_0101_news.php?newsid=246519
 
   
 
 หลักฐานบัญชีเงินฝากที่ใช้สะสมเงินของขวัญของ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร เพราะในการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป ได้อ้างว่า น.ส.พิณทองทา นำเงินทีได้จากการเก็บหอมรอมริบ จากเงินของขวัญที่ผู้ใหญ่ให้ตามโอกาสต่างๆ เอาไปซื้อหุ้นซึ่ง คตส.ตรวจพบจากบัญชีธนาคารว่า เงิน 367 ล้านบาทที่ใช้ซื้อหุ้นชินคร์อป เป็นเงินที่โอนมาจากบัญชีคุณหญิงพจมาน จึงเชื่อได้ว่าน่าจะเป็นการแบ่งหุ้นให้ตัวเชิด คนใหม่ถือแทนเท่านั้น 

ทำให้นึกถึง'ของขวัญวันแต่งาน'เมื่อไม่นานนี้ ของลูกสาวผู้นำเผด็จการทหารพม่า
มีมูลค่าเงินสดกว่า 1000 ล้านบาท ฝากบัญชีที่ธนาคารแห่งหนึ่งในสิงคโปร์.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า



บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
หน้า: [1]
    กระโดดไป: