ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
24-04-2024, 22:12
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ==บทความ "มหาบุรุษคืนถิ่น"-จากบล็อกวโรทาห์ (อ่านแล้วระวังขนลุก)== 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
==บทความ "มหาบุรุษคืนถิ่น"-จากบล็อกวโรทาห์ (อ่านแล้วระวังขนลุก)==  (อ่าน 2364 ครั้ง)
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« เมื่อ: 03-03-2008, 14:44 »

ผ่านไปเจอเอามาลงกันที่พันทิป ก็เลยตามไปเอามาจากต้นฉบับนะครับ
อ่านแล้วขนลุกพิกล เรื่องจริงไม่ได้พูดเกินเลยครับ 

(คำเตือนเพิ่มเติม : ไม่ควรอ่านซ้ำหลายครั้ง สตรีมีครรภ์ควรปรึกษาแพทย์)

http://warotah.blogspot.com/2008/03/blog-post.html
----------------------------------------------------------------------------------------------
Monday, March 3, 2008
มหาบุรุษคืนถิ่น...


พลันที่นกยักษ์ร่อนลงสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ บุรุษผู้นิราศร้างรอนแรมยังแดนไกล ย่างเท้าลงเหยียบบนพื้นธรณีแห่งสยามประเทศ นั่นคือสัญญาณว่า การเดินทางอันยาวไกลได้สิ้นสุดลงแล้ว ปวงชนณ.ที่นั้นต่างเปล่งเสียงแซ่ซ้องต้อนรับ มหาบุรุษคืนถิ่น

ท่ามกลางสายตานับล้านล้านคู่ ที่เฝ้าจับจ้องมองดูอย่างชื่นชม บุรุษผู้มาดมั่นทระนง ทรุดร่างลงบนพื้นพสุธา ซบหน้าลงสู่ดิน มือทั้งสองสนิทแนบกับพื้นปฐพี ซึมซับไออุ่นแห่งพระแม่ธรณีที่แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์

ไฉนเลย สาธุชนผู้มีดวงจิตอันประเสริฐ ยังอาจฝืนทนสะกดกลั้นความรู้สึก มิให้อัสสุชลท้นเอ่อสู่ขอบตา จนไหลบ่าลงอาบแก้ม.. ภาพอันน่าประทับใจนี้ จักเป็นภาพประวัติศาสตร์ ที่ตราตรึงอยู่ในจิตใจผู้คน ไปตราบชั่วกาลนาน

เจ้าผู้เป็นมหาบุรุษในดวงใจของปวงชนเอย วันนี้มิใช่หรือ คือวันที่ปวงชนเฝ้ารอคอยมานานแสนนาน แม้นับไปแล้ว กาลเวลาผันผ่านไปเพียงสิบเจ็ดเดือนเพ็ญ แต่ความเจ็บปวดรวดร้าว กลับทำให้รู้สึกดั่งว่ามันยาวนานชั่วกัปชั่วกัลป์

ภูผาอันหนักอึ้งที่กดทับอยู่บนอกมาแรมปี ถูกเคลื่อนย้ายออกไปโดยพลัน ในที่สุด ปวงชนก็ได้สูดหายใจอย่างโล่งอก รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขา บ่งบอกถึงความปีติที่มิอาจเปรียบเปรย ความรู้สึกผิดต่อเจ้าได้มลายไปจนสิ้น

ครอบครัวอันแสนอบอุ่นที่กระจัดพลัดพรายไป ก็ได้กลับมาอยู่กันพร้อมหน้า นับแต่นี้ไป ภายใต้อ้อมกอดแห่งปวงชน คงมิมีสิ่งใดบังอาจมาพรากพวกเจ้าออกจากกันแล้ว นอกจากความตาย

กาลเวลาผันแปร สรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนผัน เจ้าจงอย่าได้คิดน้อยใจไปเลย แม้ว่าวันนั้น เจ้าได้จากบ้านจากเมืองไป ด้วยภารกิจผู้นำของชาติ ใครเลยคาดคิดว่า เมื่อเจ้ากลับมา เหตุการณ์กลับพลิกผัน จากจอมคนพลันแปรเปลี่ยนเป็นผู้ต้องหา

แม้กระนั้น ในอีกด้านหนึ่ง เหตุการณ์กลับตรงกันข้าม วันที่เจ้าจากไป เจ้านั้นเป็นเพียงนายกฯผู้เป็นที่รักใคร่ของปวงชน แต่มาวันนี้ ปวงชนมารอต้อนรับเจ้ากลับสู่มาตุภูมิ ในฐานะมหาบุรุษในดวงใจของพวกเขา ตำแหน่งนี้มิมีใครแต่งตั้ง แต่เกิดขึ้นเองในจิตใจของผู้คน แม้มีเงินตรามากมายเพียงใดยังมิอาจซื้อหา

วิกฤติย่อมนำพาโอกาสอันยิ่งใหญ่มาด้วยเสมอ แม้วิกฤติครั้งนี้จะรั้งเจ้ามิให้กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่อีกด้านหนึ่งยังคงยับยั้งเจ้าไว้ มิให้เดินต่อไปในทางที่ผิด หาไม่แล้ว เจ้าคงยังชุบเลี้ยงอสรพิษไว้ข้างกาย รอวันเติบใหญ่มาผลาญพร่า คร่าชีวิตของตนเอง

หากมิใช่มีวิกฤติแล้ว ไหนเลยเจ้ายังอาจรู้ได้ว่า ผู้ใดคือศัตรูในร่างมิตร ที่คอยคิดทำลายล้างเมื่อสบโอกาส ยิ่งมิอาจรู้ได้ว่า ใครคือมิตรแท้ในยามยาก ผู้ยอมอุทิศชีวิตเพื่อสหาย มิเคยครั่นคร้่ามต่อภยันตราย มีสุขร่วมเสพย์ มีทุกข์ร่วมต้าน

มหาบุรุษเอย เพื่อความสุขของปวงชน เจ้าได้เหน็ดเหนื่อยมามากแล้ว หากเวลานี้เจ้าต้องการพักผ่อน ย่อมเป็นเรื่องที่สมควร นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าจงอุทิศเวลาให้แก่ครอบครัวของเจ้า ชดเชยสิ่งที่พวกเขาขาดหายไป ตอบแทนที่พวกเขาต้องลำบากเพื่อเจ้ามามากแล้ว

เจ้าจงอย่าได้คิดห่วงถึงปวงชนอีกเลย เพราะการช่วยเหลือของเจ้า บัดนี้ปวงชนได้ตื่นขึ้นมาแล้ว พวกเขาสามารถยืนอยู่บนลำแข้งของตนเอง เพื่อเดินไปข้างหน้าอย่างทระนงองอาจ แม้จะรักอาลัยต่อเจ้าเพียงใด พวกเขาคงมิอาจเรียกร้องจากเจ้าให้มากไปกว่านี้อีกแล้ว

ปวงชนมิอาจเหนื่อยล้า หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล เมื่อลุกขึ้นมาแล้ว พวกเขาคงต้องก้าวเดินต่อไปมิอาจหยุดยั้ง เสรีภาพเบื้องหน้าคือสิ่งที่ต้องไขว่คว้ามาให้จงได้ แม้อาจไม่ทันให้พวกเขาได้ใช้ แต่ผลที่ได้คงตกทอดแก่ลูกหลาน

มหาบุรุษเอย ไม่ว่าวันข้างหน้า เราจะได้กลับมาต่อสู้เคียงข้างกันอีกหรือไม่ก็ตาม แต่จงระลึกไว้เสมอว่า เจ้าได้กลายเป็นตำนานการต่อสู้ของเราไปแล้ว นามของเจ้าจักประทับอยู่ในความทรงจำของปวงชน ตราบจนชั่วลูกชั่วหลาน นามที่จะถูกจารึกไว้ชั่วนิรันดร์...

มหาบุรุษทักษิณ...

วโรทาห์: 28 ก.พ. 51
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #1 เมื่อ: 03-03-2008, 14:48 »

คุณ อุลตร้าแมน คอสมอส เอามาตั้งกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P6387062/P6387062.html
ดูเหมือนจะเข้าใจผิดว่าการแต่งอะไรแบบนี้คือการแต่งกลอน

ถ้ายังอ่านไม่อิ่มมี คคห. ที่ 7 โดยคุณ saipin เพิ่มเติม 

---------------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 7

นั้นท่านนายกทักษิณ กำลังก้มลงกราบผืนแผ่นดินไทย
ใช่ไหมครับแม่"
เด็กชายถามแม่ขณะเห็นภาพในทีวี

แม่เงียบ...พร้อมกับความรู้สึกซาบซึ้ง.... สะเทือนใจ
ในภาพที่เห็นจากจอทีวีที่อยู่เบื้องหน้า

ไม่รู้ว่าจะอธิบายภาพอันงดงามตราตรึงใจเช่นนี้อย่างไร
ได้เพียงแต่ตอบลูกชายไปด้วยเสียงอันสั่นเครือ...ว่า

"ใช่ลูก...นั่นหล่ะนายกทักษิณหล่ะ นายกของคนไทย
ลูกต้องจดจำภาพนี้ไว้นะลูก...
ลูกเข้าใจใช่ไหม ทำไมท่านถึงก้มลงกราบผืนแผ่นดินไทย
ทันทีที่ลงจากเครื่องบิน " แม่ถามกลับ

" ผมคิดว่า ท่านรักเมืองไทย รักผืนแผ่นดินไทย
และท่านคงดีใจที่ได้กลับมาประเทศไทยน่ะครับแม่"
เด็กชายตอบไปตามภาพและความรู้สึกที่เขารับรู้ได้

"ถูกแล้วลูก ลูกต้องเอาเป็นตัวอย่างนะ เราเกิดมาเป็นคนไทย
ต้องรักประเทศไทย รักผืนแผ่นดินไทย นะจ๊ะ...

ดูท่านนายกทักษิณ ฯ เป็นตัวอย่างนะจ๊ะ ตอนที่เกิด
เหตุการปฎิวัติในเมืองไทยขึ้น
ทหารเข้ายึดอำนาจ.....

ท่านกลัวว่าพวกเราคนไทยจะเสียเลือดเนื้อ
จะต่อสู้กันเอง ท่านก็เลยยอมเป็นฝ่ายเสียสละ
ออกนอกประเทศไป เพื่อให้ทุกอย่างสงบ

ขณะที่ท่านอยู่ต่างประเทศ ท่านก็ทำคุณประโยชน์
ท่านก็สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยมากมาย......
คอยช่วยเหลือประเทศไทยและคนไทยให้มีกำลังใจ
เสมอ....แต่ตอนนั้นท่านไม่อาจกลับมาเมืองไทยได้
แต่ท่านก็คิดถึงเมืองไทยเสมอ ....

เมื่อประเทศไทยเป็น
ประชาธิปไตยแล้ว... ท่านถึงได้กลับมา ก้มลงกราบ
ผืนแผ่นดินไทยอันเป็นสิ่งที่ท่านรักยิ่งนะจ๊ะ ........."

ลูกชายฟังแม่อธิบายอย่างตั้งใจ.... พลางตอบว่า
"ครับแม่ ผมจะจำภาพนี้ไว้ ผมอยากเป็นคนดี
และสามารถทำประโยชน์ให้กับส่วนรวม
และประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้มากๆ
เหมือนท่านนายกทักษิณ ฯ ครับ


จากคุณ : saipin
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
Şiłąncē Mőbiuş
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,215



เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 03-03-2008, 14:54 »

ไม่กล้าอ่านให้จบ 

คิดว่ายังเสียดายอาหารมื้อเที่ยงเมื่อตะกี๊อยู่ครับ 
บันทึกการเข้า



“People should not be afraid of their governments. Governments should be afraid of their people.”

. “ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลต่างหากที่ควรกลัวประชาชน” .

. แวะไปเยี่ยมกันได้ที่ http://silance-mobius.blogspot.com/ นะครับ .
isa
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 151



« ตอบ #3 เมื่อ: 03-03-2008, 15:19 »

บรรยายได้โอเค สำนวนยังใช้ไม่ได้ ขอตั้งตัวเป็นบก.แก้ไขให้หน่อยละกัน...


นั่นอดีตนายกทรักขี้ กำลังก้มลงกราบขอขมาผืนแผ่นดินไทย
ใช่ไหมครับแม่"
เด็กชายถามแม่ขณะเห็นภาพในทีวี

แม่อึ้งแดก...พร้อมกับความรู้สึกคลื่นเหียน.... กระอักกระอ่วนใจ
ในภาพบัดซบที่เห็นจากจอทีวีที่อยู่เบื้องหน้า

ไม่รู้ว่าจะอธิบายภาพอันตอหลดตอแหลชวนรากแตกเช่นนี้อย่างไร
ได้เพียงแต่ตอบลูกชายไปด้วยเสียงอันสั่นเครือด้วยแรงโทสะ...ว่า

"ใช่ลูก...นั่นหล่ะนายกทรักขี้หล่ะ นายกของคนไทยรากหญ้า
ลูกต้องจดจำภาพอุบาทว์ภาพนี้ไว้นะลูก...
ลูกเข้าใจใช่ไหม ทำไมท่านถึงรีบกุลีกุจอก้มลงกราบผืนแผ่นดินไทย
ทันทีที่ลงจากเครื่องบิน " แม่ถามกลับ

" ผมคิดว่า ท่านคงรักเมืองไทย รักผืนแผ่นดินไทย
และท่านคงดีใจที่ได้กลับมาประเทศไทยน่ะครับแม่"
เด็กชายตอบไปตามภาพและความรู้สึกด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์และความโง่เขลาของวัยเยาว์
ที่บริสุทธิ์เกินกว่าจะรู้เท่าทันนักโกงกินเมือง

"ถูกแล้วลูก ลูกต้องดูเป็นตัวอย่างที่เลวนะ เราเกิดมาเป็นคนไทย
ต้องรักประเทศไทย รักผืนแผ่นดินไทย ไม่ใช่รักแต่จะแดก โกงกิน ทำลายประเทศไทยทุกทางเช่นนี้ นะจ๊ะ...

ดูท่านนายกทรักขี้ฯ เป็นตัวอย่างนะจ๊ะ ตอนที่เกิด
เหตุการปฎิวัติในเมืองไทยขึ้น
ทหารเข้ายึดอำนาจ.....

ท่านกลัวว่าครอบครัวของท่านจะเสียเลือดเนื้อและเงินทอง
จะต่อสู้กันเองก็ตั้งตัวไม่ทัน ท่านก็เลยไม่ได้กลับบ้าน เป็นสัมภเวสีอยู่
นอกประเทศ แต่ก็ทำทุกวิถีทางเพื่อป่วนไม่ให้ทุกอย่างสงบ

ขณะที่ท่านอยู่ต่างประเทศ ท่านก็ทำแต่เรื่องชั่วๆ
ท่านพยายามทำลายชื่อเสียงให้กับประเทศไทยหลายๆอย่าง มากมาย......
คอยช่วยเหลือพวกที่ก่อความวุ่นวายประเทศไทยและ บั่นทอนคนไทยไม่ให้มีกำลังใจ
เสมอ....แต่ตอนนั้นท่านไม่อาจกลับมาเมืองไทยได้เพราะกลัวคุก
แต่ท่านก็คิดถึงเงินที่ถูกยึดทรัพย์ที่เมืองไทยเสมอ ....

เมื่อประเทศไทยถูกครอบงำด้วยเสียงข้างมากรากหญ้าที่แอบอิง
ประชาธิปไตยแล้ว... ท่านถึงได้กลับมา ก้มลงกราบ
เงินของท่านในผืนแผ่นดินไทยอันเป็นสิ่งที่ท่านรักยิ่งนะจ๊ะ ........."

ลูกชายฟังแม่อธิบายอย่างตั้งใจ.... พลางตอบว่า
"ครับแม่ ผมจะจำภาพนี้ไว้ให้ติดตา ผมอยากฆ่าคนที่ตีหน้าเป็นคนดี
และสามารถสร้างประโยชน์ให้กับพรรคพวกส่วนรวมของตัวเอง
และกอบโกยประโยชน์จากประเทศชาติได้มากๆ
เหมือนท่านนายกทรักขี้  ครับ

บันทึกการเข้า
see - u
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,370


.......... I'm not Supergirl


« ตอบ #4 เมื่อ: 03-03-2008, 15:27 »

*   5555  .........   เอ๊อ !!  เอาเข้าไป

     อ่านที่  วโรทาห์   เขียน ............. 

     ถ้าใส่คำว่า
    >>   บัดนี้   ~   ชะเอิงเอย  ~  เสด็จพี่    <<   แทรกลงไปในบางตอน

     สามารถดัดแปลงเป็นบทลิเก  ได้เลยนะเนี่ย !!  ( เป็นแบบอื่นไม่ได้  ไม่ติดโผ  เพราะ  เพ้อเจ้อ  เกินไป  )

     ส่วน  จขกท. นั้น >  อุลตร้าแมน คอสมอส  <  ปล่อยเค๊าไว้แบบนั้นแหละ 
     ป่านนี้ไม่รู้ว่าพี่แกแยกออกหรือยัง  ....  ระหว่าง  บทกลอน ~ คำกลอน   กะ  กลอนประตู  ที่บ้าน  555
   
บันทึกการเข้า

    " I  will  unforgive  you  to  do  the  bad  thing  like  this. "   

                           

                        The  fox  changes  his  skin  but  not  his  habits.   *

                 Superman ( It's Not Easy )   >>  http://www.ijigg.com/songs/V2B7G4GPD
    
    
   "  กฏหมายต้องเดินหน้าเอาผิดต่อคนไม่ดี  ........  ไม่ใช่ปล่อยให้คนไม่ดีมากล่าวเอาโทษกฏหมาย  "

                                     
                                          
\(^_^)/
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 617



« ตอบ #5 เมื่อ: 03-03-2008, 15:48 »

เห็นจน..เอียน..แล้วล่ะ.."คุณ จี"..ไอ้ที่น่า.."ขนลุก"..กว่านี้ยังมี.."เรย"..แสดงว่าคุณ..จี..คงไม่ค่อยเข้า..เวป..พวก.."ลิ่วล้อ"..เท่าไหร่..เห็น..บทความ.."แค่เนี๊ยะ"..ยังจิตใจ..ไหวเอน..ผม..สิงสู่อยู่ในเวป..พวกนี้..จนรู้.."ใส้ทุกขด"..ของพวก.."ลิ่วล้อ"..หมดแหละครับ..ว่าวันๆพวกมันคิดอะไรกันบ้าง..โดยเฉพาะ..เกี่ยวกับ.."สถาบันสูงสุด"และ..นาย..หน้าเหลี่ยมนายนี้..บทความชะเลีย..แบบนี้.."โพสกัลล"..เกลื่อน..ทุกวันๆทั้งจากผู้ที่ใช้ Login..โรดัก..สยามคือไท..M 79..วโรทาห์..พาลีตรีเพชร..พิเภก..ฯลฯ..เห็นที่คุณ..จี..นำมา.."โพส"..แล้ว.."เฉยๆครับ..แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเข้า..เวปพวก.."ลิ่วล้อ"..ประจำ..อาจมี..อาการ..แบบ.."คุณ จี"...ก็ได้..อิ อิ ..อันนี้ไม่ว่า..กัลลล..จิตใจ..ของมนุษย์.."แข็งแรง"..ไม่เท่ากัลลล..."เน๊อะ.   
 


 



 

 


อืมมมมม..ไม่ต่าง.."กัลล"..เท่าไหร่..อืมมม.      

 


บันทึกการเข้า

 
Everythings gonna be all right
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 52


« ตอบ #6 เมื่อ: 03-03-2008, 15:53 »

555+ ของดิฉัน  "ทักษิณ ชินวัตร มหาบุรุษผู้ถ่อมตน นายกรัฐมนตรีในใจคนยากตลอดกาล"
เจออมยิ้มชื่อดิฉันในพันทิปก็จิ้มดูได้นะคะ ไม่อยากลากลิงค์มาเดี๋ยวหาโปรโมท..เขิล

อ่อ....อย่าลืมพกกระโถนไปด้วยนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2008, 16:11 โดย Everythings gonna be all right » บันทึกการเข้า
Şiłąncē Mőbiuş
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,215



เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 03-03-2008, 15:56 »

55555 ก๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกก
 
บันทึกการเข้า



“People should not be afraid of their governments. Governments should be afraid of their people.”

. “ประชาชนไม่ควรกลัวรัฐบาลของตนเอง รัฐบาลต่างหากที่ควรกลัวประชาชน” .

. แวะไปเยี่ยมกันได้ที่ http://silance-mobius.blogspot.com/ นะครับ .
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #8 เมื่อ: 03-03-2008, 16:18 »

ก่อนหน้านี้'ทนายหน้าหอ'
อธิบาย ชี้แจงเกี่ยวกับทักษิณ จำเลยหนีหมายจับของศาลยุติธรรมทีไร ชวนคลื่นใส้

ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศฯ นพดลชี้แจงว่า ทักษิณกลับประเทศไทยในฐานะจำเลย
ผู้ต้องหาตาม'หมายจับ'ของศาลยุติธรรม เพื่อสู้คดี ข้อกล่าวหาต่าง ๆ......

พอมีตำแหน่งบ้าง ไม่กล้า'เชลียร์'อย่างลิ่วล้อเล็ก ลิ่วล้อน้อยอีก......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


ลิ่วล้อในเวบเสรีไทย จะยอมรับความจริงเหมือน'ทนายหน้าหอ'
ว่า'นายใหญ่'กลับเมืองไทย มีสองภาระกิจ คือ...
1.มอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจตามหมายจับของศาลยุติธรรม...
2.ป้องกัน'ชุบมือเปิบ'ของ'หมัก เมถุน'....

ไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง ก็จะดี...........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-03-2008, 16:23 โดย ปุถุชน » บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
เพื่อนร่วมชาติ
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 777


« ตอบ #9 เมื่อ: 03-03-2008, 16:25 »

  คราวหน้าถ้าเป็นกระทู้แนวนี้ ขอเสนอให้ขึ้นคำเตือนไว้ด้วยนะครับ

"กระทู้นี้ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งกินข้าวเสร็จไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง"

ขึ้นอักษรเตือน "ฮ" ไว้ก็ได้ ย่อมาจาก ฮากแตกฮากแตน 
บันทึกการเข้า
Limmy
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,346


« ตอบ #10 เมื่อ: 03-03-2008, 18:01 »

อีกไม่นานคงยกให้เป็นศาสดาผู้มาโปรดสัตว์ครับ
บันทึกการเข้า
qazwsx
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


นักธุรกิจและตำรวจ ต้องออกไปจากการเมือง


« ตอบ #11 เมื่อ: 03-03-2008, 18:28 »

SHINNAWATRA TALK
แปลว่า "การพูดจากลับกลอก  อสัตย์  เอาแต่ได้  ทำให้ความวิปริตบิดเบือนกลับกลายเป็นข้อเท็จจริง"
บันทึกการเข้า

พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #12 เมื่อ: 03-03-2008, 18:46 »

อ่านกระทู้นี้หนึ่งรอบ ก่อนอาหารกลางวัน และรีบมาอ่านอีกหนึ่งรอบ ก่อนอาหารเย็น  เพราะกำลังคอนโทรลไดเอ็ต ได้ผลดีมากเลยค่ะ รับประทานอาหารได้น้อย อยาก ฮาก ตลอดเวลา  มีประโยชน์จริงๆ 

เลยขอนำบทความเรื่อง มหาบุรุษ ของ ศ.ดร.พีรศักดิ์ วรสุนทโรสถ มาให้อ่านประกอบนะคะ

อ้างถึง
สิทธิการิยะกล่าวไว้ว่า มหาบุรุษต้องมีคุณสมบัติหลักอยู่ห้าประการ คือ ประการแรกต้อง "หนักแน่นดั่งขุนเขา" ประการที่สองต้อง "กินเหล้าดั่งกินน้ำ" ประการที่สาม "ยามหิวโมโห" ประการที่สี่ "ยามอิ่มแล้วง่วง" ประการสุดท้าย "เห็นเด็กแล้วงุ่นง่าน" ซึ่งมักจะเป็นคุณสมบัติหลักของผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินบางผู้บางคนตลอดวันเวลาที่ผ่านมาจนมีเรื่องมีราวอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์เนืองๆ ในคุณสมบัติข้อสุดท้ายนี้
          ความจริงคุณสมบัติของการเป็นมหาบุรุษในสายตาของกูรูทางการบริหารขนาดเฮฟวีเวทอย่าง ปีเตอร์ ดรักเกอร์ ที่คนไทยรู้จักกันดีนั้นเคยเล่าไว้ว่า ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินนั้นจำเป็นต้องมีกฎเหล็กในการบริหารให้ได้เกรดเออยู่เหมือนกัน โดยในกฎทองหกข้อสำหรับผู้ที่จะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือนายกรัฐมนตรีประเทศด้อยพัฒนาก็ตาม มีอยู่ว่า

          กฎข้อแรก เมื่อผู้คนเขาไว้ใจให้เข้ามารับผิดชอบกุมบังเหียนของประเทศต้องรีบสำรวจว่า "What need to be done?" ต้องดูว่าความจำเป็นหรือความต้องการเร่งด่วนในการแก้ปัญหาของประเทศอยู่ที่ใด แล้วก็เร่งทำให้ลุล่วงโดยด่วน โดยธรรมชาติแล้วผู้ที่อาสาเข้ามารับใช้ประเทศชาติต้องมีแนวทางความอยาก อยากที่จะทำบางสิ่งบางอย่างตามความฝัน หรือวิสัยทัศน์ของตนเองเป็นสำคัญ แต่ต้องสะกดความอยากส่วนตัวไว้ภายในก่อน ดูความสำคัญเร่งด่วนที่จำเป็นของประเทศก่อน ความฝันความอยากหรือวิสัยทัศน์ของตนเองนั้นอาจไม่ตรงกับความต้องการเร่งด่วนของประเทศในขณะนั้น การจัดเรียงลำดับความสำคัญแยกแยะหมู่หรือจ่าตรงนี้จึงจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ สังคม และตัวของประธานาธิบดี หรือนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีทั้งหลายในระยะยาวได้ ส่วนความฝันของตนนั้นเก็บไว้ทำเป็นโครงการต่อเนื่องระยะยาว กัดไม่ปล่อยภายหลัง

          กฎทองข้อที่สอง ที่ควรระมัดระวังอย่างยิ่งสำหรับผู้เป็นใหญ่ก็คือ "Don‘t bet on a sure thing" คืออย่าได้คิดว่าของตายบางอย่างจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างในโลกเป็นสภาพธรรมชาติที่เรียกว่า "ตถตา" มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง มีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมชาติ "ป๋า" ก็ยังเคยถูกพวก "ลูกๆ ของป๋า" พยายามก่อการกบฏมาแล้ว สุภาษิตของไทยบอกไว้ว่า อย่าได้ไว้วางใจของสี่อย่าง คือ "ช้างสาร" "งูเห่า" "ข้าเก่า" "เมียรัก" ซึ่งเป็น "ของตาย" แต่อาจจะทำให้ตัวเองตายได้ ส่วนหลักคิดทางฝรั่งเองก็มีกฎของเมอร์ฟี่ที่บอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมัน "บ่แน่ดอกนาย" จากประวัติศาสตร์ซึ่งซ้ำรอยอยู่เรื่อยๆ นั้นแม้เคยกล่าวคำปฏิญาณไว้ก็ยังสามารถกลายพันธุ์เป็นผู้ก่อการได้มาแล้วในอดีต หรือ OPEC ที่ครอบครองแหล่งน้ำมันสำรองของโลกกว่า 80% ยังถูกสหรัฐอเมริกาดัดหลังได้ โดยการเข้าประเทศแหล่งน้ำมันดิบในตะวันออกกลางดื้อๆ หรือเรือเดินสมุทรไททานิกที่สร้างขึ้นอย่างไม่มีวันจมของสหรัฐอเมริกา และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เวิร์ลเทรดเมื่อ 11 กันยายน ที่ทำให้สภาพความสั่นคลอนในภาวะ "ของตาย" ทางอำนาจค้ำโดยเทคโนโลยีที่เหนือกว่าชาวโลกต้องถูกประเมินใหม่ เรื่องที่จินตกวีเอกของโลกที่เป็นชาวไทยเพียงคนเดียวได้กล่าวไว้ว่า "แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน"

          กฎทองข้อที่สาม ในการทำงานของผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินนั้นให้ "Concentrate on strength" คือคนทุกคนมีจุดแข็งของตนเองในการทำงาน เพราะฉะนั้นขอให้เลือกให้อิงกับความเข้มแข็งของตนเอง การทำงานต้องรู้เขารู้เราจึงจะสามารถรบศึกร้อยครั้งชนะได้ทั้งร้อยครั้ง การรู้เขารู้เรานั้นต้องวิเคราะห์ตนเอง ซึ่งหลักอันหนึ่งที่นำมาใช้ได้คือการทำการวิเคราะห์ SWOT ซึ่งการทำ SWOT นี้ ถ้าถามว่าสิ่งใดสำคัญคำตอบที่โผล่ออกมาชี้เป็นชี้ตายก็คือ Strength กับ Opportunity ซึ่งศาสตราจารย์พาฮาราดได้เคยวิเคราะห์ไว้ว่าผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินต้องมีจุดแข็ง และต้องใช้จุดแข็งเป็นหัวหอกลุยออกไปข้างหน้าในการทำงาน ถ้าไม่มีก็ต้องฝึกฝนหาจุดแข็งหรือเสริมจุดแข็งของตนโดยการนำผู้เชี่ยวชาญจริงในสาขาต่างๆ ที่ต้องการเข้ามาช่วย การฝึกฝน อ่าน เสวนาธรรม อยู่เป็นนิจจะช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ให้ดีขึ้นทุกวันเวลาที่ผ่านไป สุภาษิตของไทยบอกว่า "เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม ดนตรี ห้าวันอักขระวิธี เนิ่นช้า สามวันจากนารี เป็นอื่น วันหนึ่งเว้นล้างหน้า อับเศร้าหมองศรี" ในโลกแห่งความเป็นจริงในประเทศทั้งด้อยพัฒนาและพัฒนาแล้ว มักจะเอาผู้ที่เก่งที่สุดขององค์กรไปวุ่นวายในการแก้ไขปัญหา และละทิ้งโอกาสให้อยู่ตามยถากรรม การที่จะนำพาประเทศลุยไปข้างหน้าจะต้องฉกฉวยโอกาสที่มีอยู่ ช่องทางที่เปิดอยู่ ใช้ให้เป็นประโยชน์ให้เร็วที่สุด เพราะสภาพการแข่งขันในปัจจุบันการวางโครงการ การทำตามแผนงาน ต้องใช้คนที่เก่งที่สุดทำ คือการเน้นบนจุดแข็งเพื่อการพัฒนานั่นเอง

          กฎทองข้อที่สี่ ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินต้อง "No friend in the administration" อันนี้ดรักเกอร์แกแก่มากแล้วคงจะตั้งใจเขียนเรื่องนี้เตือนประธานาธิบดีคลินตันในเรื่องการเป็นเพื่อนใกล้ชิดกับเด็กฝึกงานลูวินสกี้กระมัง เพราะคุณสมบัติอันหนึ่งของคลินตันตั้งแต่เป็นผู้ว่าการรัฐอาคันซอร์แล้ว แกมีคุณสมบัติข้อสุดท้ายของมหาบุรุษตามสิทธิการิยะที่ว่า "เห็นเด็กแล้วงุ่นง่าน" อย่างครบถ้วนเต็มตัว การที่ปรามว่าไม่ควรให้ความเป็นเพื่อนสนิทสนมกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิดนั้น ผู้บริหารที่ยิ่งใหญ่มักจะเป็น "โดดเดี่ยวผู้น่ารัก" เพราะถ้าต้องตัดสินใจให้เกิดความถูกต้องแล้วจำเป็นต้อง "ทำในสิ่งที่ควรทำและเว้นในสิ่งที่ควรเว้น" มิใช่ "ทำในสิ่งที่ควรเว้นและเว้นในสิ่งที่ควรทำ" เพราะความรักใคร่ ความเกรงใจ ความกลัวการติฉินนินทา จะติดอยู่ในโลกธรรม 8 ได้โดยง่าย และอาจมีเวลาต้องมานั่งเสียใจในการตัดสินใจที่ถูกต้องแต่ฝืนใจตนเอง เพราะความใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้ใต้บังคับบัญชามากจนเกินไป ความจริงแล้วฝรั่งไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ในส่วนของพุทธศาสนาได้สอนในเรื่องดังกล่าวไว้ว่าผู้บริหารต้องมีพรหมวิหาร 4 ซึ่ง พรหมวิหารตัวสุดท้ายกล่าวถึง อุเบกขา การวางเฉยอยู่เหนืออารมณ์ที่มากระทบ ไม่ว่าจะดีใจ เสียใจ ฯลฯ ดังนั้นถ้าผู้บริหารสามารถแยกแยะความถูกผิดสนิทชิดเชื้อกับความเป็นจริงของคนออกได้ มีอุเบกขาได้อย่างแท้จริง ก็จะไม่ถูกกระทบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากข้อนี้

          กฎทองข้อที่ห้า ผู้ที่เป็นใหญ่ในแผ่นดินต้อง "Do not micromanage" เมื่อคนใหญ่โตขึ้นงานรับผิดชอบในหน้าที่ก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว ผู้บริหารพึงระวังให้มีความพอดีในการทำงาน ไม่ล้วงลูกลงในแนวลึกจนผู้ใต้บังคับบัญชาอึดอัด หรือจนกระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาไม่สามารถพัฒนาความคิดและความรู้ความชำนาญได้ เพราะผู้ใหญ่ลงมาในรายละเอียดจนตัดสินใจเองหมด ผู้น้อยจะไม่เก่งจะไม่สามารถพัฒนาได้ ผู้ใหญ่เองก็จะเมาหมัดเพราะลงรายละเอียดมากเกินไป ใช้เวลาทำงานระดับภารโรงในเงินเดือนประธานาธิบดีหรือนายกรัฐมนตรี เสียประโยชน์ด้วยกันทั้งตนเอง ผู้ใต้บังคับบัญชา สังคม และประเทศชาติ จริงอยู่ผู้ใหญ่ต้องรู้เรื่องลึกลงมาในงานให้ดี แต่ในการรู้กับการล้วงลูกนั้นไม่เหมือนกัน ผู้บริหารทุกคนมีหน้าที่ในการ "ฝัน" ในการ "ขายความฝัน" ให้ลูกน้องฝันตาม และทำหน้าที่ "ประคองให้ความฝันเป็นจริง" แล้วฝันในเรื่องอื่นต่อไปเพื่อพัฒนาประเทศองค์กรหรือสังคมใหม่ ต้องมีเวลา "ว่าง" สำหรับนั่งคิด สำหรับการเสริมเพิ่มพูนความรู้จากการอ่าน การฟัง การดู และการบันเทิง เพื่อทำให้ผ่อนคลายปลอดโปร่งทางความคิด ถ้าผู้บริหารใดเป็นจอมล้วงลูกไม่มีวันจบแล้ว งานของตนเองก็จะพัง งานของลูกน้องก็จะพัง ประเทศสังคมองค์กรก็จะไม่ได้รับประโยชน์ ความละเอียดกับการล้วงลูกมีความหมายต่างกัน

          กฎข้อสุดท้ายของครักเกอร์สอนประธานาธิบดีสหรัฐฯ ก็คือ "Once elected, stop campaigning" คือเมื่อได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้มาบริหารประเทศแล้วควรตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อประเทศชาติเสียที หยุดการหาเสียงได้แล้ว เพราะผลงานที่ทำจะเป็นการให้คะแนนเสียงที่ดีที่สุด ไม่ต้องฝอยโฆษณาชวนเชื่อไปวันๆ อย่างสมัยหาเสียงเสียให้ยาก บางคนตลอดชีวิตไม่เคยทำงานให้ได้ผล พอต้องมาทำงานจริงทำไม่เป็นก็ต้องหาเสียงไปเรื่อยๆ เพราะในสังคมไทยนั้นนิยมคนอย่างศรีธนญชัยมากกว่าคนทำงาน แล้วยังมีคำกล่าวด้วยว่า "ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วดีเป็นตรา" ให้ความสำคัญในความปากไว ปากเก่ง มากกว่าการทำงาน บางพรรคการเมืองของไทยด่าเป็นด่าเก่งอย่างเดียว ทำงานไม่ค่อยเป็นเท่าไรนัก ในเรื่องนี้มีนิทานฝรั่งเรื่องหนึ่งอยากเล่าให้ฟังว่า มี "ไก่งวง" ตัวหนึ่ง (คำว่าไก่งวงเป็นสแลงอเมริกันที่มักค่อนแคะคนปัญญาทึบ หลอกง่าย หรือไอ้ทึ่ม อะไรทำนองนั้น) มองเห็นกาจับอยู่บนยอดไม้ลิบๆ ก็อยากจะบินได้สูงอย่างกาบ้าง เพราะตัวเองบินได้เตี้ยๆ ก็เลยถามกาว่า กินอะไรจึงสวยกินอะไรจึงบินได้สูงจนเกาะอยู่บนยอดไม้ได้ กาจึงหลอกไก่งวงว่าต้องกิน "ขี้วัว" จึงจะทำให้แข็งแรงบินได้สูง เมื่อวัวเดินผ่านมาขี้ไว้ตามทาง ไก่งวงของเราจึงอุดจมูกฝืนกินขี้วัวไปคำหนึ่ง แล้วก็รู้สึกแข็งแรงขึ้นตีปีก "พึบพับ" บินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้เตี้ยๆ ได้ จึงรู้สึกว่าใช่เลย รีบบินกลับลงมากินขี้วัวอีกอึกใหญ่ แล้วบินขึ้นเกาะบนกิ่งไม้ที่สูงไปอีกขั้นหนึ่ง แล้วก็ดีใจมากถึงบางอ้อว่า ที่กาสามารถบินขึ้นเกาะบนยอดไม้สูงลิบๆ ได้เพราะกินขี้วัวนี่เอง จึงกลับลงมากินขี้วัวเป็นการใหญ่แล้วตีปีกบินขึ้นเพื่อไปเกาะบนกิ่งไม้ที่สูงขึ้นไปอีก เมื่อบินถึงยังไม่ทันหายเหนื่อยก็มีเสียงปืนลูกซองดังปัง แล้วไก่งวงก็ถูกปืนของชาวนายิงร่วงลงมาเป็นอาหารวันขอบคุณพระเจ้า เพราะเห็นตัวชัดบนกิ่งไม้ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "It is impossible to bullshit your way up to the top"

          บทความเรื่องนี้มิได้มีเจตนาล้อเลียนผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินท่านใด แต่ถ้าได้อ่านดูเล่นอาจได้ประโยชน์บ้างตามควรแก่ฐานะของแต่ละบุคคลซึ่งไม่เหมือนกัน เป็นของขวัญสำหรับว่าที่ผู้ว่า CEO ใหม่ สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

 
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: