Date: Wed, 27 Feb 2008
From:
saynotorosana@gmail.comSubject: คำถามที่รสนาต้องตอบ
คำถามที่รสนาต้องตอบ
คนจำนวนไม่น้อยทำใจเลือกรสนาได้ยาก
เพราะรสนาไม่เคยตอบคำถามที่สำคัญสี่ข้อ
ข้อแรก รสนาค้านการแปรรูปรัฐวิสาหกินในกรณี ปตท. แต่รสนากลับเป็นกรรมการบริหาร อสมท.ที่แปรรูปแล้ว ทั้งที่รสนาไม่ได้เป็นตัวแทนของคนกลุ่มไหน ไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในกิจการสื่อสารมวลชนเลยสักนิด แต่กลับมีตำแหน่งบริหารองค์กรแบบนี้ มีรายได้จากการประชุม เงินปันผล ฯลฯ ปีละหลายแสน
พฤติกรรมลักลั่นขัดแย้งกันเองแบบนี้ต้องการคำอธิบาย
ข้อสอง รสนาหาเสียงด้วยการโจมตีนักการเมือง ทั้งที่รสนาเป็นนักการเมือง หาเสียงและชิงตำแหน่งการเมืองเหมือนนักการเมืองทั้งหมด การหาเสียงแบบนี้ให้ร้ายนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง พรรคการเมือง และประชาธิปไตยรัฐสภา
โดยลืมไปว่าตำแหน่งสว.ก็เป็นตำแหน่งการเมืองไม่ต่างจากนักการเมืองคนอื่น
พฤติกรรมหาเสียงแบบใส่ร้ายป้ายสีระบบประชาธิปไตยแบบนี้ต้องการคำอธิบาย
ข้อสาม รสนาอ้างว่าสนับสนุนประชาธิปไตย ทั้งที่รสนาเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรฯ
มีบทบาทสนับสนุนรัฐประหาร 19 กันยายน รวมทั้งมีจุดยืนรับรัฐธรรมนูญ คมช. ที่เป็นต้นตอของความไม่เป็นประชาธิปไตยหลายอย่าง เช่น การกำหนดให้มีสมาชิกวุฒิสภา 74 คน จากการแต่งตั้ง ซ้ำยังเข้าไปรับตำแหน่งกรรมการปฏิรูปกฎหมายและกรรมการพัฒนาการเมืองที่แต่งตั้งโดยรั
ฐบาลจากการรัฐประหาร
ภูมิหลังการเมืองที่พิรุธแบบนี้ต้องการคำอธิบาย
ข้อสี่ รสนาอ้างว่าเล่นการเมืองแบบคานธี ทั้งที่คานธีนุ่งเจียมห่มเจียม สนับสนุนการผลิตแบบพึ่งตนเอง ไม่ยึดติดกับอำนาจการเมืองทุกชนิด ขณะที่รสนาแสวงหาอำนาจการเมือง เคลื่อนไหวการเมืองเพื่อเป็นฐานของการเข้าสู่อำนาจในอนาคต ให้สัมภาษณ์เปลี่ยนไปมาตามกลุ่มผู้ฟังผู้ชมสื่อ บางเวทีก็ว่าไม่เห็นด้วยกับทุนนิยม บางเวทีก็ว่าสนับสนุนทุนนิยมเสรีทุกชนิด
พฤติกรรมแสดงความเห็นที่ไม่แน่นอน เปลี่ยนไปมาแบบนี้ ต้องการคำอธิบาย
ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีผู้แสวงหาอำนาจที่หาเสียงด้วยวิธีการแบบรสนา คนกรุงเทพเคยเลือกนักการเมืองด้วยทัศนคตินี้นับครั้งไม่ถ้วน
จึงจำเป็นต้องถามคำถามคุณรสนาให้มากกว่านี้
เพราะคุณรสนาเป็นนักการเมือง แสวงหาอำนาจการเมือง และกำลังเล่นการเมืองไม่ต่างจากนักการเมืองทุกราย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รสนา โตสิตระกูล
ขอตอบคำถาม คุณ "saynotorosana" และผู้อ่านคำถามทั้ง 4 ข้อ ดังนี้
1.ดิฉันได้รับการทาบทามให้เป็นบอร์ดอสทม. ตั้งแต่ปลายปี 2549 ดิฉันเคยปฏิเสธไม่รับในครั้งแรก ภายหลังมีเพื่อนและพี่บางคนบอกว่าสมควรเข้าไปให้มีพื้นที่ของฝ่ายผู้บริโภคบ้าง คุณคงไม่ทราบกระมังว่าดิฉันจบวารสารธรรมศาสตร์ เมื่อมีการทาบทามครั้งที่ 2 ดิฉันจึงยอมรับเป็นกรรมการ ส่วนคนที่ทาบทามให้เข้าไป บอกเหตุผลว่าอยากให้เข้าไปดูว่า อสมท. จะแก้ไขให้ถูกกฎหมายได้โดยไม่ต้องถอนการแปรรูปได้อย่างไร
ดิฉันเข้าประชุมครั้งแรก เมื่อ 18 ธันวาคม 2550 และบอร์ดก็ได้หยิบยกประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณา (เนื่องจากศาลปกครองเพิ่งตัดสินให้ปตท. ต้องคืนทรัพย์สินส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติให้รัฐ) และบอร์ดมีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ
บางคนบอกว่าดิฉันต่อต้านการแปรรูปทุกชนิด ดิฉันก็ต้องขอบอกจุดยืนว่ากิจการที่ผูกขาด ไม่มีการแข่งขัน และเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานที่กระทบชีวิตประชาชนในสังคม ไม่ควรแปรรูป เพราะเป็นการโอนการผูกขาดไปให้เอกชนในการทำกำไรเข้ากระเป๋าโดยเอาเปรียบผู้บริโภค ส่วนกิจการใดแปรรูปแล้วแข่งขันได้ก็จะมีประสิทธิภาพ และราคาที่เป็นธรรม เป็นสิ่งที่ยอมรับได้
ในการประชุมบอร์ดครั้งแรกนั้น ดิฉันยังได้พบข้อมูลว่ามีลูกจ้างรายวันของอสมท.จำนวนกว่าร้อยชีวิตที่ทำงานกับอสมท.เป็นเวลาหลายปีตั้งแต่ก่อนแปรรูป โดยไม่เคยได้รับสวัสดิการประกันสังคม เพราะเป็นลูกจ้างรายวัน ดิฉันเสนอให้มีการปรับเปลี่ยนลูกจ้างรายวันเหล่านั้นให้เป็นพนักงานประจำ เพื่อพวกเขาจะได้รับสวัสดิการการประกันสังคม ซึ่งในที่ประชุมเห็นด้วย และมีมติให้ปรับเปลี่ยนให้เสร็จในต้นปี 2551
การเป็นกรรมการอสมท. ดิฉันได้เพียงค่าตอบแทนเบี้ยประชุม ซึ่งไม่ได้มากมายอย่างที่คิด โบนัสไม่มี ทั้งไม่มีสิทธิประโยชน์อื่นๆ นอกจากโทรศัพท์มือถือที่ทางฝ่ายสำนักงานจะจัดให้ดิฉันในฐานะกรรมการ แต่ดิฉันก็ปฏิเสธไม่รับ
2.ดิฉันพูดถึงหลักการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหาร ซึ่งเป็นไปตามการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว เพราะหากขาดการตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจของฝ่ายบริหาร ก็จะเกิดการใช้อำนาจในทางที่ผิด และเกิดการทุจริตคอรัปชั่นได้ ดังที่ลอร์ด แอกตัน เคยพูดว่า "อำนาจนำไปสู่การคอรัปชั่น อำนาจเบ็ดเสร็จย่อมนำไปสู่การคอรัปชั่นเบ็ดเสร็จ" การพูดถึงระบบการเมืองปัจจุบันที่ว่า การถ่วงดุลตามหลักการแบ่งแยกอำนาจเป็น 3 ส่วน คือ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ ไม่เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ จึงทำให้การตรวจสอบไม่สามารถเกิดขึ้นจริง ทำให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่นในหมู่นักการเมืองอย่างกว้างขวาง ซึ่งนำไปสู่วงจรอุบาทว์ของการรัฐประหารซ้ำซาก เพราะมีข้ออ้างให้กับกลุ่มอำนาจอีกฝ่ายในการทำรัฐประหาร เพื่อช่วงชิงอำนาจจากรัฐบาลที่คอรัปชั่นเท่านั้น และก็ไม่สามารถหยุดยั้งการคอรัปชั่นได้ พูดอย่างนี้ใส่ร้ายนักการเมืองตรงไหน?(หรือ?)
ดิฉันเห็นว่า ถ้าผู้แทนของประชาชนสามารถทำให้ระบบรัฐสภาเป็นที่พึ่งของประชาชนในด้านความยุติธรรมท
างสังคมอย่างแท้จริง ประชาชนก็ไม่ต้องออกมาเดินบนท้องถนน ให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนจนต้องเสียเลือดเสียเนื้อกัน
3. ดิฉันไปปราศรัยบนเวทีพันธมิตร เพราะรัฐบาลไม่สามารถถูกตรวจสอบภายในระบบของรัฐสภาได้ ทำให้ประชาชนต้องออกมาเคลื่อนไหวนอกสภา แต่ไม่นอกรัฐธรรมนูญ แต่ดิฉันไม่เคยเชื่อไม่เคยสนับสนุนการรัฐประหารว่าเป็นการแก้ปัญหาการทุจริตของนักกา
รเมืองและรัฐบาล ดิฉันเคยเขียนบทความว่า การรัฐประหาร 19 กันยา เป็นการฉวยโอกาส และตัดตอนการเรียนรู้ของประชาชนในการจัดการกับรัฐบาลเผด็จการทุนนิยมสามานย์ ทำให้ประชาชนขาดโอกาสในการเรียนรู้ที่จะจัดการกับเผด็จการในคราบประชาธิปไตย โดยไม่ให้เสียเลือดเนื้อเหมือนอดีต
ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่โหวตไม่รับรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าคุณจะบอกว่า "ถ้างั้น ดิฉันก็ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเป็นกรรมการต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ และการสมัคร ส.ว. ด้วยละก้อ" ดิฉันก็อยากให้คุณไปตั้งคำถามนี้กับพรรคพลังประชาชนด้วยว่า เมื่อโหวตไม่รับรัฐธรรมนูญแล้ว มาลงเลือกตั้งทำไม คุณไม่มีคำถามกับพรรคนี้บ้างหรือ ทำไมไม่ประนามพรรคนี้บ้างว่ามีพฤติกรรมลักลั่นขัดแย้งกันเอง แบบนี้ต้องมีคำอธิบายบ้างล่ะ
4. ดิฉันพูดถึงทุนนิยมเสรีว่าต้องมีธรรมาภิบาล และมีความรับผิดชอบต่อสังคมจึงจะยอมรับได้ แต่ทุนนิยมสามานย์นั้นยอมรับไม่ได้ และทุนนิยมเสรีนั้นต้องไม่ใช่ เป็นเพียงเสรีภาพของหมาจิ้งจอกในเล้าไก่
ดิฉันขอขอบคุณคำถามทั้ง 4 ข้อ และคนถามที่ให้ความสนใจดิฉันเป็นอันมาก ทั้งที่ตำแหน่งส.ว. ไม่ได้บริหารงบประมาณแผ่นดิน คุณยังตรวจสอบดิฉันเข้มข้นขนาดนี้ ดิฉันขอให้คุณตรวจสอบรัฐบาล และบรรดาคณะเลขา ที่ปรึกษาที่เป็นผู้ใช้อำนาจและภาษีของพวกเราบ้างเถิด เพราะถ้ามีประชาชนที่ตรวจสอบใกล้ชิดเข้มข้นเช่นนี้ รัฐบาลน่าจะดีกว่านี้ได้มาก ขออย่าใช้แค่อคติในการดิสเครดิตดิฉัน เพียงเพื่อให้ผู้อ่าน"saynotorosana" หากคิดว่าการ "saynotorosana" แล้วจะทำให้บ้านเมืองดีกว่านี้ โปร่งใสกว่านี้ ได้รัฐบาลดีกว่านี้ มีธรรมาภิบาลมากกว่านี้ก็เชิญดิสเครดิตไปเถิด แต่ที่จะรีบร้อนตัดสินดิฉันแบบรับเหมาตัดสินแทนผู้อื่น อย่างที่มักกล่าวหาพวก NGO เป็นพวกชอบรับเหมาทำแทนละก้อ น่าจะลองดูกันยาวๆ ดีไหม ยังไม่สายที่จะตัดสินกันก่อนตายจากกัน แต่ก่อนอื่นคนตั้งคำถาม น่าจะมีความกล้าหาญพอที่จะบอกชื่อแซ่ของตัวเองให้ผู้อื่น และผู้ตอบคือดิฉันได้ทราบบ้าง อย่าหลบอยู่หลังฉากเพื่อดิสเครดิตคนอื่นโดยไม่ให้เขาเห็นตัวตนของคุณบ้างว่าบริสุทธิ
์ สะอาดสักแค่ไหน ไม่งั้นก็จะถูกมองได้ว่า เป็นแค่มือปืนรับจ้าง หรือคุณจะเป็นอัศวินของประชาชนที่จะต่อสู้กับสิ่งไม่ถูกต้องกันแน่ ถ้าคุณเป็นอย่างแรก ดิฉันก็ไม่อยากให้ค่ากับคุณมากนัก แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง ดิฉันก็ขอคาวระ.
รสนา โตสิตระกูล
29 กุมภาพันธ์ 2551
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จดหมายจากจอน อึ๊งภากรณ์
เรียนเพื่อนๆที่ร่วมสังคม
เป็นเรื่องที่เพี้ยนสุดๆตามรัฐธรรมนูญยุคคมช. ที่ประชาชนทั้งประเทศมีสิทธิเลือกสมาชิกวุฒิสภาได้เพียง 76 คน ในขณะที่มี 7 อรหันต์จากศาลและองค์กรอิสระได้รับสิทธิเลือกสมาชิกวุฒิสภาถึง 74 คน (คำนวณดูแล้ว 1 อรหันต์จากศาลและองค์กรอิสระมีค่าเท่ากับประชาชนทีมีสิทธิเลือกตั้งถึง 4 ล้านกว่าคน)
แล้วความจริงก็ปรากฏแล้วว่า 74 ส.ว. ผู้ที่ได้รับการเลือกจาก 7 อรหันต์นั้น เกือบทั้งหมดไม่ใช่ผู้แทนผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในสังคมอย่างแน่นอน
การเลือกตั้งส.ว. อีก 76 คน ก็ปรากฏเป็นเรื่องเพี้ยนอีกที่ชาวกรุงเทพฯ 6 ล้านคนจะมีผู้แทนเป็น ส.ว.เพียงคนเดียวแทนที่จะได้ 7 คนตามสัดส่วนของอัตราพลเมือง
ในฐานะที่ผมเคยได้รับเลือกตั้งเป็นส.ว.กรุงเทพฯหนึ่งใน 18 คนเมื่อปี 2543 ผมขอยืนยันว่าบทบาทของสมาชิกวุฒิสภามีความสำคัญมากในเรื่องของการตรวจสอบนโยบายและกา
รปฏิบัติของรัฐบาล ตลอดจนการปกป้องผลประโยชน์และสิทธิเสรีภาพของประชาชนในเรื่องต่างๆ
เราไม่ควรปล่อยให้วุฒิสภาเป็นตรายางเป็นอันขาด !
เราควรต้องใช้สิทธิ์อย่างคุ้มค่าที่สุดโดยการเลือกผู้แทนที่เรามั่นใจว่าจะทำหน้าที่
ส.ว.ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
ในฐานะคนกรุงเทพฯ ผมเองจะเลือก รสนา หมายเลขห้า เพราะถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เห็นด้วยกับรสนาในทุกเรื่อง แต่รสนาเป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริต ตรงไปตรงมา ถูกซื้อไม่ได้ กล้าท้าทายผู้ที่ใช้อำนาจในทางผิด กล้าต่อสู้กับระบบผลประโยชน์ที่ไม่ชอบธรรม กล้าปกป้องผลประโยชน์ของผู้ด้อยโอกาสและประชาชนโดยรวม ผลงานในการเปิดโปงคอรัปชั่นในกระทรวงสาธารณสุขและในการหยุดยั้งการแปรรูปการไฟฟ้าฝ่า
ยผลิตก็เป็นที่ประจักษ์
ด้วยความเคารพ
จอน อึ๊งภากรณ์