ความจริง ในระบบประธานาธิบดี แบบอเมริกานั้น มันมีข้อดีอยู่ไม่น้อยทีเดียว
เพราะ มันเป็นการเลือกผู้นำประเทศ(ตามแต่ประชาชนเห็นเหมาะสม) ขึ้นมาดูแล บริหารประเทศ
โดยผู้นำนั้น ชูนโยบายตนเองให้ชัดแจ้ง รวมทั้งวิสัยทัศน์ แก่ประชาชน เช่นนี้ ผู้ได้รับประโยชน์ก็คือ ประชาชน แถม สิ่งที่ผู้สมัครนั้นชูนโยบายไว้แล้วก็จะเป็นสัญญาประชาคมกลายๆ
ความอิสระในการจัดทีมบริหารประเทศ ก็มีเต็มที่ ไม่ต้องกริ่งเกรงหรือกังวลใดๆ จะจัดบุคคลใดลงตำแหน่งใดเพื่อให้เกิดความเหมาะสมที่สุดก็ย่อมทำได้ อีกทั้งระยะเวลาในการบริหารประเทศ ก็มีระยะเวลายาวนานพอที่จะแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนา นั่นคือ 6 ปี
เวลา 4 ปีนั้น ผมว่าน้อยไป เพียงแก้ไขปัญหาบางอย่างก็กินเวลามากกว่า 4 ปีแล้ว เช่นปัญหาละเอียดอ่อนเกี่ยวกับสามจังหวัดชายแดนใต้
....................4 ปี กับนโยบายต่างประเทศกับเพื่อนบ้านและมิตรนานาชาติ นั้น สั้นไป ไม่เพียงพอต่อการสร้างความเชื่อมั่นในบางอย่างได้เลย 6 ปี จึงน่าเป็นเวลาที่เหมาะสมกว่าในการทำงาน
หากจะต้องมีการแก้ไข ปรับรัฐธรรมนูญอีกสักครั้ง ผมอยากให้ เมืองไทยลองพิจารณาดูในระบบอื่นๆดูบ้าง เพราะ ปัจจุบัน หากมองกันจริงๆ ระบบที่ใช้อยู่นี้ ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล ปัญหาก็ยังคงเดิมๆ นั่นเป็นเพราะแนวทางหลักๆในรัฐธรรมนูญ ตีกรอบไว้ว่า ต้องเป็นแบบนี้
ความขัดแย้งของคนในชาตินั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากคนในชาติกันเอง แต่มันเกิดมาจากระบบที่มีและนักการเมืองในระบบนั้นๆ
ถ้าเราคิดกันให้ดีๆ การเปลี่ยนระบบ ก็ไม่ได้มีอะไรที่จะเสียหาย กลับทำให้ความชัดเจนมีมากขึ้น ผู้แทนทั้งหลายที่ได้มาในระบบนั้นๆ(อเมริกาเรียกเป็นวุฒิสมาชิก) นอกจากจะถูกตัดตอนไม่ให้มีการคอร์รัปชั่นแล้ว ยังต้องแข่งขันกันสร้างประโยชน์แก่ประชาชน ซึ่งประชาชนจะเป็นผู้รับอย่างเดียวในคำตอบสุดท้าย
กฏหมายต่างๆ จะกลั่นกรองอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ส่วนอำนาจตุลาการนั้น เป็นอิสระจริงๆและไม่ได้ขึ้นตรงแก่ผู้ใด
ผมอยากให้ประเทศเรา เปลี่ยนระบบดูบ้างเถอะ ตั่งแต่ 2475 เป็นต้นมา ไม่เห็นว่า ระบบนี้จะทำให้เราไปได้ถึงไหนเลย
ผมก็คิดเหมือนกับอีกหลายๆ คนว่าระบบการเมืองการปกครองของเรามันมีข้อบกพร่องมากเกินไป
ไม่สมควรนำมาใช้ในการบริหารราชการแผ่นดิน นอกจากไม่สามารถกำจัดคนเลวออกจากระบบ
ยังไม่สามารถคัดสรรคนที่เหมาะสมให้มาบริหารประเทศอีกด้วย
เรื่องนี้ผมก็เลยคิดระบบบริหารประเทศอีกแบบเอาไว้ คล้ายๆ ระบบของเราแต่ไม่ใช่ประธานาธิบดี
(เรื่องนี้คงไม่แปลกนะครับที่คิดระบบใหม่ๆ เพราะประธานาธิบดีก็เคยเป็นระบบประหลาดมาก่อน)
...
ผมเคยคิดว่าความจริงน่าจะให้แต่ละพรรคนำเสนอ ครม. ทั้งคณะมาให้เลือกแต่แรก ระบุมาให้หมด
จะให้ใครนั่งกระทรวงไหน มีประวัติยังไง มีนโยบายอะไร และให้ประชาชนเลือกได้เพียงพรรคเดียว
(นี่คือการ "เลือกพรรค" ให้มาบริหารประเทศอย่างแท้จริง) และพอชนะเลือกตั้งก็ต้องรับตำแหน่ง
ตามที่หาเสียง ไม่ใช่ตอนหาเสียงชูคนนึงเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พอได้เป็นรัฐบาลก็เปลี่ยนตัว
เอาใครก็ได้มานั่งทำงานแทน แบบนั้นแหกตาประชาชน
และในการนำเสนอก็ควรมีตัวสำรองสักตำแหน่งละ 2 คนมาเตรียมเอาไว้ด้วย เผื่อตัวจริงทำงานไม่ดี
ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจจนต้องออกจากตำแหน่ง หรือพลาดพลั้งบาดเจ็บล้มตายระหว่างปฏิบัติงาน
ในส่วนของสภาผู้แทนราษฎร ให้จัดเลือกตั้งแยกต่างหาก โดยที่ผู้สมัคร สส.จะสังกัดพรรคหรือไม่
ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป และวาระการดำรงตำแหน่ง ส.ส. 4 ปีอาจให้คร่อมกับวาระ 4 ปีของรัฐบาลก็ได้
จะทำให้มีการเลือกตั้งทุก 2 ปีสลับกันระหว่างเลือกรัฐบาล กับเลือก ส.ส. เพื่อคานอำนาจ
โดยที่ต้องรับรองการดำรงตำแหน่งของรัฐบาลให้อยู่ครบวาระเสมอ คล้ายๆ สหรัฐอเมริกา ไม่ใช่แบบ
อยู่ได้แค่ปีเดียวยุบสภาหนีอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในทำนองเดียวกันต้องไม่ให้นายกฯ ยุบสภาได้ง่ายๆ
ถ้าเล่นกันแบบระบบการเมืองไทย ไม่มีวันมีเสถียรภาพอะไรเลย หรือมีเสถียรภาพก็กลายเป็นเผด็จการ
ในส่วนของ ส.ว. ผมไม่ชอบที่มี ส.ว. แต่งตั้ง ผมอยากให้แต่ละจังหวัดมี ส.ว. จำนวนคงที่จังหวัดละ
สัก 2 คนไม่ว่าเป็นจังหวัดเล็กหรือใหญ่ (อย่างที่อเมริกาจะรัฐเล็กหรือใหญ่ก็มีจำนวน ส.ว. เท่ากัน)
ให้ดำรงตำแหน่งสัก 6 ปี ทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย และในสมัยแรกที่เริ่มระบบให้มีจับฉลากออก
ตอนกลางเทอม 3 ปีจังหวัดละ 1 คน เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ และเริ่มวงจรเลือกตั้งใหม่ครึ่งสภา
ในทุกๆ 3 ปีต่อไป เพื่อเป็นการคานอำนาจเช่นเดียวกัน
ผมคิดว่าควรมีงบประมาณสำหรับจัดตั้ง+บริหารสำนักงาน ส.ว. แต่ละจังหวัดให้ประชาชนสามารถ
ติดต่อเข้าถึง ส.ว. ของตัวเองได้เป็นที่เป็นทาง
ในความคิดผม ส.ว. จะสังกัดพรรคการเมือง หรือได้รับการสนับสนุนจากพรรคไม่ใช่เรื่องแปลกครับ
แต่จะต้องมีเอกสิทธิ์ เป็นอิสระไม่ขึ้นอยู่กับมติพรรค
...
ส่วนเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งของรัฐบาลที่ คุณ h_e_a_t เสนอว่าน่าจะยืดเป็น 6 ปี ผมคิดว่า 4 ปี
ีก็ใช้ได้แล้วครับ เพราะถ้าทำงานได้ดีก็มีโอกาสได้ทำต่ออีกสมัย (น่าจะจำกัดให้นายกฯ ทำงานได้แค่
2 สมัย ตามแนวทางของ รธน.2550)
เห็นด้วยครับว่า ตั้งแต่ 2475 เป็นต้นมา ไม่เห็นว่า ระบบเดิมๆ จะทำให้เราไปได้ถึงไหนเลย