ก้าวแรกแห่งอำนาจ "สมัคร-ยงยุทธ-พปช." ประจันหน้า"มรสุม"รอบทิศ
วิเคราะห์
นับตั้งแต่พรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมได้จัดตั้งรัฐบาล โดยเลือกนายยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร และเลือกนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี
ดูเหมือนว่ามรสุมที่พัดกระหน่ำใส่พลังประชาชนยังไม่หยุดนิ่ง
เป็นมรสุมที่สาดพัดเข้าใส่ทั้งรัฐบาล ซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร และมรสุมตั้งเค้าจะกระหน่ำซัดประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ
ทางฝ่ายบริหารนั้น มรสุมการเมืองตั้งเค้ามาตั้งแต่การเสนอชื่อเลขานุการรัฐมนตรี ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี และที่ปรึกษา
เป็นมรสุมที่เจาะจงเป้าหมายพัดใส่รายชื่อ 2 รายชื่อ
หนึ่งคือ ชื่อของนายวัน อยู่บำรุง บุตรชาย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่มีข่าวว่าจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
อีกหนึ่งคือ ชื่อของนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม บุตรชายนายวัฒนา อัศวเหม ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่มีข่าวว่าจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นรายชื่อที่ปรากฏเป็นข่าวทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ร.ต.อ.เฉลิมให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าจะไม่ให้ลูกชายทั้ง 3 คน เข้ามารับตำแหน่งทางการเมือง
เป็นรายชื่อที่ปรากฏเป็นข่าวทั้งๆ ที่นายชนม์สวัสดิ์ยังมีคดีเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ตกเป็นข่าวครึกโครม
เป็นรายชื่อที่สังคมสงสัยในคุณสมบัติในการคัดเลือกว่าได้มาเพราะเหตุใด ?
เพื่อชาติบ้านเมืองหรือเพื่อประโยชน์ของแกนนำในพรรครัฐบาลกันแน่ !
นอกจากกรณีการเสนอรายชื่อเลขานุการรัฐมนตรี ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี และที่ปรึกษาแล้ว ยังมีกรณีการนำเสนอแนวทางการทำงานของรัฐมนตรีในแต่ละกระทรวง
นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แนะนำให้ทบทวนการทำซีแอล ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนก่อนทำไว้
การทำซีแอล ทำให้ผู้ป่วยโรคร้ายของไทยสามารถซื้อยาได้ราคาถูก และทำให้บริษัทยาต่างชาติได้รับผลกระทบ
เมื่อรัฐบาลที่แล้ว จึงมีข่าวแว่วว่า ทางการสหรัฐอเมริกาขึ้นบัญชีให้ไทยเป็นประเทศที่จะถูกลดการช่วยเหลือเรื่องสิทธิพิเศษทางการค้า เนื่องจากไม่พอใจที่ไทยทำซีแอล
เรื่องนี้จึงเป็นข้อขัดแย้งระหว่าง "มนุษยธรรม" กับ "การค้า"
ดังนั้น เมื่อนายไชยานำเสนอเรื่องนี้โดยเอนเอียงอยู่ข้าง "ให้ทบทวน" จึงเท่ากับจุดชนวนปะทะกับเอ็นจีโอกลุ่มที่สนับสนุนซีแอลในทันที
เช่นเดียวกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่จุดประเด็นแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยการทำเป็นเขตปกครองพิเศษ
และเช่นเดียวกับ นายวุฒิพงษ์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เสนอให้ปลูกป่ายูคาลิปตัสทั่วประเทศ เพื่อนำมาทำพลังงานทดแทน
ล้วนแล้วแต่จุดประเด็นความขัดแย้งให้เกิดขึ้น
แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่เท่ากับความพยายามของรัฐมนตรีบางคนที่จัดลำดับการคืนความชอบธรรมให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นอันดับต้นๆ ทั้งๆ ที่รัฐบาลยังไม่แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเลย
ขณะเดียวกัน นายสมัคร สุนทรเวช เองก็ได้แง้มความรู้สึกของตัวเองภายหลังจากเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างน้อยก็ 2 ครั้งว่า ไม่มีความเป็นตัวของตัวเองมากนักในการเลือกบุคลากร
อย่างน้อยตอนที่เลือกรัฐมนตรีร่วมคณะรัฐบาลก็ครั้งหนึ่ง
และมาถึงการคัดเลือกเลขานุการรัฐมนตรี ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรีก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง
ปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น มิได้สะท้อนภาพรวมที่ดีในงานบริหารราชการแผ่นดินเลย
ขณะเดียวกันกลับสะท้อนภาพปัญหาหลักที่เป็น "จุดเปราะบาง" ของรัฐบาลชุดนี้
โดยเฉพาะปัญหาประสิทธิภาพของบุคลากรร่วมรัฐบาล ทั้งระดับรัฐมนตรี ระดับเลขานุการรัฐมนตรี ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี และที่ปรึกษา
สำหรับฝ่ายนิติบัญญัติ เมื่อมีรายงานข่าวว่า คณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำร้องของนายวิจิตร ยอดสุวรรณ อดีตผู้สมัคร ส.ส.เชียงราย พรรคชาติไทย ที่ร้องคัดค้านผลการเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีต ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชน (พปช.) ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้สรุปสำนวนการสอบสวนแล้ว
มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า นายยงยุทธมีการกระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้งจริง
แม้ขณะนี้ยังไม่มีการยืนยันข้อเท็จจริงจากข่าวคราวที่ปรากฏ และขั้นตอนการดำเนินการทางกฎหมายยังไม่ยุติ
แต่หากกระแสข่าวที่ว่าคณะอนุกรรมการมีมติเอกฉันท์ว่า นายยงยุทธกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง นั้นเป็นความจริง
ก็เท่ากับว่า มรสุมลูกใหม่กำลังตั้งเค้าถล่มใส่ฝ่ายนิติบัญญัติเข้าแล้ว
เหตุเพราะ นายยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ได้รับการเลือกจากเสียงส่วนมากในสภาผู้แทนราษฎร
เหตุเพราะ นายยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้บริหารของพรรค
ดังนั้น ผลการตัดสินว่านายยงยุทธกระทำผิดหรือไม่จึงมีความเกี่ยวโยงกันทั้งในแง่กฎหมาย และจริยธรรม
หากผลตัดสินออกมาว่า นายยงยุทธกระทำความผิด จะเกิดคำถามในแง่จริยธรรมต่อสภาผู้แทนราษฎรที่ดึงดันเลือกนายยงยุทธเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ทั้งๆ ที่มีคดีความค้างคาอยู่
เป็นคำถามในทำนอง "พวกมากลากไป"
นอกจากนี้ยังจะเกิดคำถามในแง่กฎหมาย กรณีนายยงยุทธเป็นกรรมการบริหารพรรค เมื่อถูกตัดสินว่าทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง จะมีผลต่อการยุบพรรคหรือไม่อีกด้วย
นี่ยังไม่รวมถึงอาการคลื่นใต้น้ำภายในพรรคพลังประชาชนที่ขัดแย้งกันเรื่องโควต้าตำแหน่งทางการเมือง
และข้อแคลงใจถึงความปรองดองระหว่างนายสมัครกับแกนนำพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณด้วยปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ชี้ให้เห็นว่า จังหวะก้าวแรกแห่งอำนาจของพรรคพลังประชาชนยังมีแรงกระเพื่อมเกิดขึ้น
เกิดขึ้นทั้งภายในฝ่ายบริหาร และเกิดขึ้นภายในฝ่ายนิติบัญญัติ
โดยแรงกระเพื่อมที่เกิดนั้นมาจากหลายทิศทาง
ทั้งมรสุมภายนอก และคลื่นใต้น้ำภายใน
เรื่องที่ปรากฏ จึงท้าทายทั้งในแง่จริยธรรม และในแง่กฎหมาย
ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ กำลังบีบรัดรัฐบาลชุดใหม่
บีบรัดนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี
บีบรัดนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร
และที่สุดคือ บีบรัดพรรคพลังประชาชนหน้า 3
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01col01170251&day=2008-02-17§ionid=0116 นี่ยังไม่รวมถึงอาการคลื่นใต้น้ำภายในพรรคพลังประชาชนที่ขัดแย้งกันเรื่องโควต้าตำแหน่งทางการเมือง
และข้อแคลงใจถึงความปรองดองระหว่างนายสมัครกับแกนนำพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นบุคคลใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ นายศุภชัย โพธิ์สุ ส.ส.นครพนม ในฐานะรองโฆษก พปช. กล่าวถึงกรณีที่นายสมัคร นำเรื่องภายในพรรคมาพูดนอกพรรคเพื่อลบภาพการเป็นหุ่นเชิดหรือนอมินี ว่า เป็นการแสดงให้เห็นชัดเจนว่า นายสมัคร ไม่ได้เป็นนอมินีของใคร แต่เป็นหัวหน้าพรรค เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจพิจารณาในเรื่องต่างๆ เรื่องเล่าที่มีข้อเท็จจริง ตรงข้าม เป็น'แดง'-'ดำ'