ดูไม่ได้เล้ย....."ทรท.จี้กกต.เปลี่ยนอนุกก. สอบคดีจ้างพรรคเล็กยกชุด "

ทรท.จี้กกต.เปลี่ยนอนุกก. สอบคดีจ้างพรรคเล็กยกชุด
ทรท.ดิ้นสุดฤทธิ์ จี้ กกต.เปลี่ยนตัว อนุกรรมการสอบสวนคดีจ้างพรรคเล็กใหม่ยกชุด อ้างมีคนใกล้ชิด ปชป. ประณาม"สนธิ”นัดชุมนุม 22 พ.ค.ขัดขวางพระราชพิธีฯ ทีมกม.เตือน”จรัล-สื่อ”ระวังการเสนอข่าวเรื่องศาลมุ่งดัน กกต.

วันนี้(18พค.) เวลา 14.00 น. นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล นายวิรัตน์ ตยางคนนท์ นายประสพ บุษราคัม นายนายสุรชัย เบ้าจรรรยาและรท.กุเทพ ใสกระจ่าง ในฐานะคณะทำงานฝ่ายกฎหมายและติดตามสถานการณ์การเมือง พรรคไทยรักไทย ร่วมกันแถลงข่าวสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน

โดยนายวิชิต กล่าวว่า จากนี้ไปคณะทำงานฯจะยึดหลักกฎหมายในการชี้แจงตอบโต้ข้อกล่าวหาเพื่อให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มที่ โดยกรณีที่อนุกรรมการสอบสวนการจ้างวานพรรคเล็กลงสมัครของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งสำนวนการสอบสวนหลุดออกมาผ่านสื่อมวลชนและระบุว่าแกนนำพรรคไทยรักไทยสองคนเกี่ยวข้อง แต่อนุกรรมการฯกลับไม่มีการเชิญบุคคลของพรรคที่ถูกพาดพิงไปชี้แจง และตอนนี้พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธาน กกต.สั่งการให้อนุกรรมการฯชุดนี้สอบสวนเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน จึงมีข้อสังเกตว่าสำนวนที่หลุดออกมานั้น ยังไม่รู้ว่าเป็นของจริงหรือไม่และใครทำให้สำนวนหลุดออกมา

นายวิชิต กล่าวว่า ดังนั้น จึงเห็นว่าสำนวนการสอบสวนชุดนั้นไม่มีความสมบูรณ์คือไม่ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาไปชี้แจงตามกฎหมาย ตนขอร้องให้ กกต.เปลี่ยนตัวอนุกรรมการฯชุดนี้ เพราะตอนนี้ตนมีหลักฐานชัดเจนระดับหนึ่งว่าบุคคลในอนุกรรมการฯชุดนั้นมีความสนิทสนมกับคนในพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อถามว่าทำไมไม่เปิดเผยหลักฐานที่มีอยู่ นายวิชิตกล่าวว่า ตอนนี้ไม่เหมาะสมที่จะเปิดเผย แต่พฤติกรรมชัดเจนและมีคนรู้เยอะเพราะบางคนในอนุกรรมการฯเคยไปอยู่อาศัยที่บ้านของประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ โดยพรรคจะส่งหนังสือไปให้ประธาน กกต.รับทราบวันที่ 19 พ.ค.นี้

ร.ท.กุเทพ กล่าวถึงกรณี 9 รักษาการ ส.ว.ไปยื่นหนังสือต่ออัยการสูงสุดให้ยุบพรรคไทยรักไทย โดยอ้างรัฐธรรมนูญมาตรา 63 ว่า ตนคิดว่า ส.ว.ควรเป็นกลางทางการเมือง การกระทำของ ส.ว.กลุ่มนั้นเป็นการทำงานที่มั่วและอ่านรัฐธรรมนูญไม่รู้เรื่อง ชอบสร้างข่าวเขย่าขวัญ ต้องการยุบพรรคไทยรักไทย อยากถามว่าวันนี้พรรคไทยรักไทยได้ดำเนินการในสิ่งใดเพื่อให้ได้ตามบริหารบ้านเมืองด้วยวิธีที่ไม่ได้ระบุในรัฐธรรมนูญ หากเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่อ้างรัฐธรรมนูญมาตรา 7 นั้นจึงเข้าข่ายรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 เพราะหากอัยการสูงสุดยื่นเรื่องนี้ให้ศาลวินิจฉัยและมีคำสั่งให้ยุติการกระทำ ผลตรงนั้น จึงจะยุบพรรคประชาธิปัตย์ได้ ดังนั้นมาตรา 63 ไม่สามารถนำมาใช้ได้ ยืนยันว่าพรรคไทยรักไทยไม่ได้กระทำตามคำกล่าวหาของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ การร้องเรียนต่อ กกต.ของนายสุเทพนั้น ไม่ว่า กกต.ชุดใหม่ หรือชุดเก่าย่อมไม่ทำตามข้อมูลของนายสุเทพแน่นอน ตนสงสัยว่าทำไมปัญญาชนอย่างเช่น ส.ว.ชุดดังกล่าวจึงทำแบบนั้น คือยึดตามข้อมูลของนายสุเทพ เรื่องมันเป็นแผนที่แยบยลเพื่อให้พรรคไทยรักไทยรวนเร

“ขอร้องอย่าทำเลย ส.ว.กลุ่มนี้ต้องการจะยุบพรรคไทยรักไทยที่มีสมาชิกพรรค14 ล้านคนนั้น คิดว่าจะยุบอย่างไม่มีเหตุผล คุณเชื่อว่า14 ล้านคนจะนิ่งและยอมรับโดยดุษณีหรือ บ้านเมืองจะไม่วุ่นวายหรือ ส.ว.กลุ่มนั้นควรกลับไปในที่ตั้งของตัวเองอย่าเดินเกมเป็นลิ่วล้อพรรคประชาธิปัตย์ มองแล้วมาตรา63 ไม่สามารถยุบพรรคไทยรักไทยได้เพราะไม่ได้ทำผิดอะไร” ร.ท.กุเทพ กล่าว

นายสุรชัย กล่าวเสริมว่า ช่วงนี้ ส.ว.หรือส.ส.จะย้ายไปตั้งพรรคใหม่ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น ตนขอให้นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ นายแก้วสรร อติโพธิ นายเสรี สุวรรภานนท์ และนพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ที่มีอคติกับพรรคไทยรักไทยไปหาแหล่งสังกัดคือ สังกัดพรรคการเมืองเสีย อย่าเล่นนอกกติกาทำให้ประชาชนสับสน ส.ว.กลุ่มนี้ควรรู้หน้าที่ตัวเอง หากรักประชาธิปไตยควรลงสมัครแข่งขัน หากพรรคไทยรักไทยแพ้ พวกตนยอมสละเก้าอี้ส.ส.ให้ทันทีและเมื่อเร็วๆ นี้มีบุคคลสองคนอ้างว่าเป็นทนายความที่สังกัดสภาทนายความฟ้องร้องนายกรัฐมนตรีและครม.ว่านายกรัฐมนตรีลาพักงานโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เมื่อตนตรวจสอบรายชื่อของบุคคลทั้งสองกับสภาทนายความและได้รับคำตอบว่าไม่มีรายชื่อของสองคนนี้ เท่ากับว่าบุคคลทั้งสองแอบอ้างและหลอกลวงประชาชน ทางฝ่ายกฎหมายพรรคฯได้ร่างหนังสือไปยังสภาทนายความให้ตรวจสอบรายชื่อของบุคคลทั้งสองด้วย ตนขอให้สองคนนั้นเตรียมตัวไว้ว่าการแอบอ้างแบบนี้จะโดนพรรคดำเนินการตามกฎหมายแน่นอน

นายประสพ กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญไม่เคยบอกว่าใครถูก ใครผิด ตนไม่อยากให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากหรือเสียงข้างน้อยไปใช้เป็นประโยชน์ให้ตัวเอง เหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์อ้างเสียงข้างมากมาขับไล่ กกต. นายจรัล ภักดีธนากุล เลขาธิการศาลฎีกาออกมาบอกให้ กกต.ลาออกนั้น ตนขอเรียนว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อยบอกว่า กกต.กระทำการถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ล่าสุดมีบางคนไปฟ้องศาลอาญาให้จัดการ กกต. ตนเป็นทนายความ หาก กกต.อยากให้ตนไปเป็นทนายความให้ ก็ยินดี เพราะตนจะนำคำวินิจฉัยของตุลาการเสียงน้อยไปสู้คดีในชั้นศาล

นายวิรัตน์ กล่าวว่า ตนไม่สบายใจในการให้สัมภาษณ์ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล เจ้าของนสพ.ผู้จัดการ เพราะนายสนธิให้สัมภาษณ์ว่าเหตุการณ์บ้านเมืองในช่วงนี้เกิดจากการปะทะกันระหว่างพรรคไทยรักไทย โดยใช้ กกต.เป็นหมากให้ไปปะทะกับศาลนั้น ถือว่าเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง จะทำให้สังคมคิดว่าศาลไม่มีความยุติธรรมเพราะมาต่อสู้กับพรรคไทยรักไทย นายสนธิทำแบบนี้ไม่ถูกที่ไปดึงศาลออกมาและทำให้เกิดการวิจารณ์ เพราะศาลจะทำงานได้ลำบาก ขาดความเป็นกลาง ที่ผ่านมานายสนธิยังดึงสถาบันเบื้องสูงมาแอบอ้างว่า มีการท้าทายพระราชอำนาจด้วยระบอบทักษิณ และล่าสุดนายสนธิยังวิจารณ์สถาบันทหารว่าหากถึงสถานการณ์เหมาะสม ทหารบางกลุ่มจะก่อการปฏิวัติรัฐประหาร คำพูดนี้ขัดแย้งกับคำพูดของผบ.ทบ.ที่บอกว่าจะไม่มีการปฏิวัติ

นายวิรัตน์ กล่าวว่า นายสนธิบอกว่าจะเคลื่อนไหวชุมนุมให้กำลังใจศาลในวันที่ 22 พ.ค.นั้น ควรนำดอกไม่ไปมอบให้ดีกว่าการนำประชาชนเรือนแสนออกไปชุมนุม ความเป็นกลางของศาลจะเป็นเช่นไร บ้านเมืองจะไม่สงบและขัดกับพระราชดำรัส รวมทั้งการจัดงานพระราชพิธีเฉลิมแลองการครองราชย์ 60 ปีจะวุ่นวาย อีกทั้งข่าวสารของเมืองไทยที่จะเผยแพร่ไปในต่างประเทศจะเป็นอย่างไร จึงขอประณามนายสนธิว่ากระทำการไม่บังควร นำพาประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปกระทำในสิ่งผิดกฎหมาย นายสนธิมีเจตนาเบื้องหลัง หรือต้องการมีเกราะคุ้มกันตัวหรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ และการกระทำแบบนี้เป็นความผิดขั้นรุนแรงและไม่เหมาะสม

นายพีรพันธุ์ พาลุสุข คณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พรรคไทยรักไทย แถลงว่าจากที่คณะตุลาการและเลขาธิการประธานศาลฎีกา ออกมาแถลงในลักษณะกดดัน กกต. ว่า ไม่มีความชอบธรรมที่จะทำหน้าที่ต่อไปนั้นในฐานะที่เป็นอาจารย์สอนกฎหมายขอเตือนว่า ที่มีการใช้คำว่า “ศาล” หรือ “มีมติ” นั้น ไม่ถูกต้อง เพราะหากใช้คำว่าศาลจะเกี่ยวข้องกับจุดยืนของสถาบันทั้งหมด แต่ความการแสดงความเห็นที่ออกมานี้เป็นเพียงข้าราชการตุลาการบางคน ไม่ใช่สถาบันหรือองค์คณะศาล การนำเสนอข่าวอย่างนี้ทำให้ผู้พิพากษาจำนวนมากไม่สบายใจ จึงขอให้ระมัดระวังต่อการนำเสนอข่าวเพราะจะกระทบความเป็นอิสระและความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อศาลได้ โดยเฉพาะการกดดันให้ กกต. ออก และมีสื่อพาดหัวข่าวว่า “เตือนไม่ฟังเจอคุก” ตนยิ่งฟัง ยิ่งไม่สบายใจ เนื่องจากเป็นการเอาสำนวนมาข่มขู่ ทั้งนี้ การตัดสินของศาลต้องมีจริยธรรม ต้องฟังทั้งโจทก์ จำเลย ก่อนตัดสินคดี จึงไม่อยากให้นำเอาคดีที่มีการฟ้อง กกต.ความผิดอาญา มาพูดในทำนองว่า สามารถสั่งศาลได้

นายสุทิน คลังแสง รองโฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกรณีที่ผบ.ทบ. ระบุว่าในหลวงทรงเป็นทุกข์จากปัญหาวิกฤตชาติในช่วงที่ผ่านมาว่า ขอบคุณผบ.ทบ.ที่ตอกย้ำให้คนไทยรับรู้อีกครั้งว่าในหลวงทรงเป็นทุกข์ คนไทยทุกคนจะได้นำมาเตือนสติในการเคลื่อนไหวต่างๆ ถ้าทุกคนไม่ลืมพระราชดำรัสที่ตรัสว่าทรงเดือดร้อนมากจากคนเรียกร้องรัฐธรรมนูญมาตรา 7 ดังนั้นวันนี้ทุกคนต้องทบทวนตัวเอง โดยเฉพาะคนเรียกร้องมาตรา 7 คือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและนักวิชาการบางส่วน เมื่อได้ยินเช่นนี้ควรทำอย่างไร ทางที่ดีควรรีบขอพระราชทานอภัยโทษเพื่อแสดงออกถึงสำนึกผิด ซึ่งจะเป็นการผ่อนคลายความทุกข์ของพระองค์ได้ ขอวอนทุกฝ่ายอย่าอ้างพระราชดำรัสและตีความพร่ำเพรื่อ เพราะจะทำให้เป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท และทำให้สังคมเกิดความสับสน และการนำพระราชดำรัสมาใช้อย่างไม่ระมัดระวัง จะทำให้เกิดความเสื่อมเสียกับหลายสถาบันด้วย

คมชัดลึก

อ่านแล้วก็.....no comment

อ้อ นิดนึงละกัน นึกว่าจะเป็นระดับหางแถวมาเห่าโฮ่งๆ ที่ไหนได้ เอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย