ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
20-04-2024, 07:56
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สโมสรริมน้ำ  |  == ความจริงในเรื่องรหัสลับดาวินชี่ กับความจริงของความจริง == 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
== ความจริงในเรื่องรหัสลับดาวินชี่ กับความจริงของความจริง ==  (อ่าน 4072 ครั้ง)
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« เมื่อ: 18-05-2006, 11:19 »

ค้นเจอบทความปี 2548 จากวารสาร Bridge of Love ปีที่ 1 ฉบับที่ 1-2
โดย ศจ. ดร.เสรี หล่อกันภัย เลขาธิการสมาคมพระคริสตธรรมไทย
----------------------------------------------------------------------------------------
ภาพยนตร์เรื่อง รหัสลับดาวินชี่ The Da Vinci Code ที่ดัดแปลงมาจากนิยายในชื่อเดียวกันและคาดว่าจะเรียกเสียงวิจารณ์
ได้มากที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง มีคิวเปิดตัวในปีหน้า  รอน ฮาวเวิร์ด ผู้กำกับมือออสการ์ ต้องเจอกับเสียงประท้วงจากฝ่ายคาทอลิก
ในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่หยิบมาจากนิยายขายดีของแดน บราวน์ The Da Vinci Code ซึ่งเต็มไปด้วยเรื่องราวของ
ศิลปะ ประวัติศาสตร์ ปมลึบลับ การฆาตกรรม ศาสนา และความเชื่อที่สืบทอดต่อกันมา

ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวที่กรุงปารีส เลือกทอม แฮงค์ส มารับบทศาสตราจารย์โรเบิร์ต แลงดอน แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด
ซึ่งมาคลี่คลายปมปริศนาการฆาตกรรมในพิพิธภัณฑ์ลูฟที่เกี่ยวข้องกับศาสนจักรและสั่นคลอนความเชื่อทางศาสนาที่มีมา
ซึ่งทำให้เกิดกระแสช็อคไปทั่วโลก และการถอดรหัสลับที่ไม่อาจกระพริบตาได้แม้เพียงเสี้ยววินาที

ภาพยนตร์เรื่อง The Da Vinci Code นำแสดงโดยทอม แฮงค์ส, ออเดรย์ ตอตู, เซอร์เอียน แมคเคลเลน, พอล เบทนีย์ ,
ฌอง เรโน และอัลเฟรด โมลีน่า มีคิวไขรหัสลับให้ได้ชมกันในเดือนพฤษภาคมปีหน้า
----------------------------------------------------------------------------------------

== ความจริงในเรื่องรหัสลับดาวินชี่ กับความจริงของความจริง ==

หนังสือเรื่อง รหัสลับดาวินซี (Davinci Code) ที่เขียนโดย แดน บราวน์ (Dan Brown) เป็นหนังสือนิยาย แนวสืบสวนสอบสวน
ให้ความรู้หลายอย่าง เช่น เรื่องงานศิลปะ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ การเมือง และศาสนา พอสมควร เป็นหนังสือที่ผู้เขียน
เขียนได้ดีมาก มีการหักมุมหลายตอน อย่างคาดไม่ถึง เมื่อเริ่มอ่านแล้ว ก็วางแทบไม่ลง แต่สำหรับคนที่มีงานทำประจำ
ก็คงต้องยอม วางเป็นระยะ ๆ และหยิบกับมาอ่านใหม่

ถ้าใครจะอ่านหนังสือเล่มนี้ เพื่อความบันเทิงแล้วละก็ ผมขอแนะนำว่า เป็นหนังสือที่ทำให้ เพลิดเพลินมาก เป็นวรรณกรรม
ที่บรรยายให้เราเห็นภาพพจน์ได้ดี เอาความรู้ทางวิชาการ หลายแขนงมาไว้ด้วยกัน วิชาการ ที่ปรากฏอยู่มากในหนังสือเล่มนี้
คือ เรื่องการถอดรหัสและการ ตีความหมาย สัญญลักษณ์ต่างๆ ซึ่งผมไม่มี ความรู้มากพอ จะวิจารณ์ว่ามีความถูกต้อง
มากน้อยเพียงไร วิชาการอีกเรื่องหนึ่ง ที่หนังสือเล่มนี้พูดถึงมาก คือ เรื่องของคริสต์ศาสนา ที่มีส่วนย่อย ๆ อยู่หลายส่วน
ส่วนแรกที่หนังสือเล่มนี้ พาดพิงถึงมากตลอดทั้งเล่มคือ บทบาทของศาสนจักรคาทอลิก ที่ควบคุมและคุกคาม คำสอนเรื่อง
การบูชาสตรี ซึ่งผมไม่มีความชำนาญเท่าไร และเรื่องที่ทำให้ผู้อ่าน เข้าใจว่า พระสันตะปาปา มีส่วนในคดีฆาตกรรม ก็มีการ
หักมุมหลายครั้ง จนในที่สุดก็ พบวาวาติกัน ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย อย่างไรก็ตาม หากคนที่อ่านหนังสือเรื่องนี้ อ่านไม่จบ
ก็จะเกิดความเข้าใจผิดได้

เรื่องต่อมาที่หนังสือเล่มนี้ เริ่มพูดมากขึ้น ในตอนกลางเล่ม คือ เรื่องที่ว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์ เป็นเรื่องโกหก และการอ้างว่า
พระเยซูคริสตได้แต่งงานกับ แมรี่ แม็กดาลีน และมีโอรสกับนาง และต่อมาเชื้อสายของพระองค์ ได้เป็นกษัตริย์ของฝรั่งเศสนั้น
ผมพอจะรู้เรื่อง การอ้างอิงบางอย่าง ที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก จึงขอถือโอกาสอธิบายบางสิ่ง บางอย่างแกผู้อ่าน ที่ไม่ได้ศึกษาอย่าง-
แท้จริง และรับข้อมูลบางอย่างจากหนังสือเล่มนี้ ไปอย่างไม่ถูกต้อง

ผมคงไม่ต้องเสียเวลาอธิบายอะไรมากนัก ถ้าผู้เขียนจะบอกว่า เรื่องที่เขาเขียน เป็นเพียงนิยาย ที่เขียนขึ้นมาเพื่อความบันเทิง
แต่หน้า “ข้อเท็จจริง” ได้สรุปว่า “ผลงานทางศิลปะสถาปัตยกรรม เอกสารและพิธีกรรมลับต่างๆ ที่บรรยายไว้ในนวนิยายเล่มนี้
ถูกต้องตามความเป็นจริงทั้งสิ้น ผู้เขียนอ้างว่า ข้อมูลที่เขาหามาได้ เป็นความจริง และมีเชิงอรรถอ้างอิงเป็นระยะ ๆ ตลอดทั้งเล่ม
ทำให้ผู้อ่านเกิดความเชื่อถือ แต่เมื่ออ่านตลอดทั้งเล่ม และมาถึงหน้า “หมายเหตุผู้แปล” ผู้แปลได้สรุปคำตอบของผู้เขียนต่อ
สื่อมวลชนว่า “ความลับที่เขาเอามาเปิดเผยในเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ ซุบซิบกันมาหลายศตวรรษ ตามที่กล่าวแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่เขา
สร้างขึ้นมาใหม่ แม้เขาจะยอมรับว่า อาจจะเป็นครั้งแรก ที่ความลับที่ว่าถูกเปิดเผย ในรูปแบบของนวนิยายตื่นเต้นเร้าใจ
แต่ประเด็นนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย” ในเมื่อข้อมูลที่เขาได้รับมานั้น เป็นเรื่องซุบซิบ ก็ไม่นาเชื่อ อย่างที่ได้กล่าวไว้ ในตอนแรก
และเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบลงแล้ว ก็พบว่า ความลับที่ตัวเอกของเรื่องพยายามแสวงหา นั้นก็ยังคงเป็นความลับอยู่ดี
และผู้เขียน ได้พยายาม เอาเรื่องซุบซิบ มาทำให้ดูเหมือนเป็นเรื่องจริง อีกทั้งเอกสารบางอย่างที่ผู้เขียนนำมาอ้างนั้น ก็เป็น
ข้อมูล ที่ไม่สมบูรณ์ เป็นการตัดตอนข้อมูลทางวิชาการ มาเพียงบางส่วนเท่านั้น

ผู้เขียนได้กล่าวอ้างไว้ในหน้า 274 ว่า “คอนสแตนติน ทรงมีบัญชาให้ประชุม ชำระคัมภีร์ไบเบิล ฉบับใหม่ พร้อมทรงออก
พระราชทรัพย์ สนับสนุน พระคัมภีร์ฉบับใหม่นี้ ตัดพระประวัติที่กล่าวถึง ลักษณะความเป็นมนุษย์ แห่งพระคริสต์ทิ้งไป
และเพิ่มเติมสีสัน พระประวัติที่ทำให้พระองค์ดุจพระเจ้า” สำหรับผู้ที่อ่าน พระคริสตธรรม คัมภีร์ด้วยตนเอง ก็จะเห็น
อย่างชัดเจนว่า การเป็นมนุษย์ของพระเยซูนั้น มีความสำคัญมาก ผู้เขียนพระธรรม ยอห์น ได้กล่าวอย่างหนักแน่นว่า
พระเยซูทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ “พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์ และทรงอยู่ ท่ามกลางเรา” ( ยอห์น 1:14 ) พระวาทะในที่นี้
หมายถึง พระเยซู นอกจากนั้น อาจารย์เปาโลก็ได้ยืนยัน อย่างเดียวกัน ในพระธรรมฟีลิปปี “แต่ทรงสละ พระองค์เอง
และทรงรับสภาพทาส ทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏอยู่ในสภาพมนุษย์” (ฟีลิปปี 2:7) และถ้าเราจะอ่าน
เรื่องราวของพระเยซู ในพระกิตติคุณ ทั้งสี่เล่ม เราจะเห็นความเป็นมนุษย์ ของพระเยซูอยางชัดเจน คือ พระองค์ต้องต่อสู้
กับความรู้สึก กลัวที่จะถูก ตรึงบนไม้กางเขน ที่สวน เกทเสมนี พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า

“ใจเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงเฝ้าอยู่ที่นี่เถิด” (มาระโก 14:34)

พระองค์ต้องทนทุกข์ ทั้งฝ่ายร่างกายและจิตใจ พระองค์ทรงเผชิญกับความเครียด ในการตัดสินใจ ที่จะทำตามน้ำพระทัย
ของพระบิดา เมื่อพระองค์ถูกเฆี่ยน พระองค์ก็ทรงเจ็บปวด อย่างแสนสาหัส ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ พระองค์ก็ทรงร้อง
เสียงดัง พระคริสตธรรมคัมภีร์ ไม่ได้ปิดบัง ความเป็นมนุษย์ของพระองค์เลย ในขณะเดียวกัน ก็ได้สะท้อน ให้เห็นความเป็น
พระเจ้าของพระองค์ สำหรับหลักคำสอน ของคริสเตียนแล้ว พระเยซูคริสต์ ทรงเป็นพระเจ้า 100% และเป็นมนุษย์ 100%
เราอาจจะไม่สามารถอธิบาย ความจริงประการนี้ได้ ตามแนวคิด ทางวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าเราจะพิจารณา ตามแนวคิดทาง
สังคมวิทยา เราก็อาจจะพอเห็่นความเป็นไปได้ เช่น ผู้ชายคนหนึ่งสามารถ เป็นลูก เป็นพ่อ เป็นสามี ได้ในเวลาเดียวกัน

และพระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่ ไม่สามารถโกหกได้ เพราะมีหนังสือ ที่เขียนเกี่ยวกับชีวิต และคำสอนของ
พระเยซู ถึงสี่เล่มด้วยกัน และข้อมูลปลีกย่อยของทั้งสี่เล่มนี้ มีที่ไม่เหมือนกัน แต่คริสตจักร ยุคแรก ก็ไม่ได้ตัดความแตกต่าง
กันทิ้งไป แสดงว่าคริสตจักรยุคแรก ก็ยอมรับความแตกต่างได้ ไม่ได้เป็นไป อย่างที่ตัวละครสำคัญ ในหนังสือ ทื่ชื่อทิบบิง
กล่าวหา นอกจากหนังสือทั้งสี่เล่มนี้แล้ว ก็ยังมีหนังสืออีกจำนวนมาก ที่ไม่ได้อยู่ใน พระคัมภีร์ ที่เขียนเกี่ยวกับพระเยซู
หนังสือเหล่านี้มีอยู่มาก จนคริสตจักรยุคแรก ไม่สามารถนำมารวบรวม ให้อยู่ในพระคัมภีร์ ทั้งหมด เอกสารโบราณ ของ
พระธรรมยอห์น ที่ถูกค้นพบตาม หลักฐานทางโบราณคดีนั้น พบว่าอายุอยู่ในปี ค.ศ. 125 ซึ่งเก่าแก่กว่า สมัยกษัตริย์-
คอนสแตนตินมาก ในช่วงเวลานั้น คริสเตียนยังไม่มีบทบาทสำคัญ ทางการเมืองใด ๆ ยังเป็นช่วงที่คริสเตียน ถูกข่มเหง
และถูกตามล่า จนต้องหนีไปตามที่ต่างๆ จึงเป็นไปได้ยาก ที่คริสจักรยุคแรก จะเปลี่ยนแปลงข้อมูลในพระคัมภีร์

เรื่องการเป็นมนุษย์ กับพระเจ้า ของพระเยซูคริสต์ ว่าแท้ที่จริง พระคริสตธรรมคัมภีร์ ไม่ได้เน้นว่า การเป็นพระเจ้าของพระเยซู
สำคัญกว่าการเป็นมนุษย์ของพระเยซู และพระคัมภีร์ ที่เรามีอยู่นี้ ไม่ได้ตัดทิ้ง ข้อความที่แตกต่างกัน ผู้คัดลอกในอดีตนั้น
ยังคงรักษา ความแตกต่าง ของพระธรรมแต่ละเล่มไว้ การที่ผู้แต่งหนังสือ รหัสลับดาวินชี กล่าวอ้างว่า คอนสแตนติน เป็นผู้
ทำการเปลี่ยนแปลงพระคัมภีร์นั้น ไม่เป็นความจริง

เนื้อหาอีกประเด็นหนึ่ง ที่สำคัญซึ่งผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ พยายามจะนำมาเผยแพร่คือ พระเยซู มีความสัมพันธ์กับแมรี่ แม็กดาลีน
หรือ นางมารีย์ ชาวมักดาลา ตามชื่อในพระคัมภีร์ และได้บอกว่า นางแมรี ได้แต่งงานกับพระเยซคริสต์ และนางคือโฮลีเกรล
(จอกศักดิ์สิทธิ์) ซึ่งเป็นความลับ ที่คนในสมัยโบราณ พยายามค้นหา และบอกอีกว่า ดาวินชี พยายามอธิบายความลับนี้ ผ่านการ
วาดภาพ เดอะลาสต์ซัปเปอร์ ที่มีชื่อเสียงโดยอ้างว่า มีผู้หญิงผมสีแดง นั่งอยู่ในตำแหน่งอันทรงเกียรติ ตรงขวามือของพระเยซู

ตัวละครคนหนึ่ง ในหนังสือเล่มนี้ ที่ชื่อทีบบิงได้กล่าวอ้างว่า “พระเยซู ในฐานะ ชายผู้แต่งงานแล้ว ดูมีผลมากกว่าทัศนะของไบเบิล
ตามมาตรฐานเดิมที่ว่าองค์พระเยซูเป็นคนโสด” ข้อเสนอของทีบบิง ดูมีเหตผล ในแง่ที่ว่า ผู้ชายในสมัยก่อนนั้น น่าจะแต่งงาน
มากกว่าไม่แต่งงาน เป็นความคิดเห็น ที่ไม่ต้องค้นคว้า หรือใช้ข้อพิสูจน์ อะไรให้ยุ่งยาก แต่เป็นข้อสังเกต ที่ช่างไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน
เข้าทำนองเดียวกับที่จะบอกว่า ผู้ชายไทยทุกคน ต้องแต่งงาน โดยไม่คำนึงถึงว่า มีผู้ชายจำนวนมาก ในประเทศไทย ที่ตั้งใจบวช
เป็นพระสงฆ์ และไม่แต่งงานตลอดชีวิต

สำหรับคนยิวนั้น ผู้นำทางศาสนา ตั้งแต่สมัยพันธสัญญาเดิม จะแต่งงานหรือไม่แต่งงานก็ได้ ในสมัยบาบิโลน ยึดครองกรุง-
เยูรซาเล็ม มีผู้เผยพระวจนะที่สำคัญคือ เยเรมีย์ และเอเสเคียล พระเจ้า ห้ามไม่ให้ เยเรมีย์แต่งงาน เพื่อเป็นหมายสำคัญ
แสดงว่า ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นนั้น รุนแรงและร้ายแรง เกินกว่าจะมีเวลา มีครอบครัว ส่วนเอเสเคียลนั้น มีภรรยา แต่เมื่อภรรยาเสียชีวิต
ก็ไม่ไดัรับอนุญาต ให้ไว้ทุกข์ เพื่อแสดงว่า ภัยพิบัติสมัยนั้น รุนแรงจนกระทั่ง ไม่มีเวลาไว้ทุกข์ ให้กับคนในครอบครัว พระเยซูคริสต์
ตระหนักถึงภาระกิจ ที่สำคัญู ของพระองค์คือ การถูกจับตรึง บนไม้กางเขน ดังนั้นจึง ไม่ทรงเลือก ที่จะมีครอบครัว แท้จริงพระองค์
ไม่ได้ต่อต้านการแต่งงาน พระองค์ถือว่า การไม่แต่งงาน เป็นขอประทานพิเศษจากพระเจ้า เมื่อพระองค์ ทรงสอน เรื่องการหย่าร้าง
พวกสาวกบางคนก็คิดว่า จะไม่แต่งงาน พวกเขาพูดว่า “ถ้าลักษณะสามีภรรยา เป็นอย่างนั้น ไม่แต่งงานยังจะดีกว่า” พระองค์
ทรงตอบว่า “ไม่ใช่ทุกคน จะรับคำสอนนี้ได้ ยกเว้นคนที่ พระเจ้าประทานให้เท่านั้น เพราะคนที่เป็นขันที ตั้งแต่เกิดก็มี คนที่มนุษย์
ทำให้เป็นขันทีก็มี คนที่ทำตัวเอง ให้เป็นขันที เพราะเห็นแก่ แผ่นดินสวรรค์ก็มี ใครรับได้ก็ให้รับเอาเถิด (มัทธิว19:10-12)

ข้ออ้างของทีบบิงอีกประการหนึ่งนำมาจากหนังสือนอกสาระบบของพระคัมภีร์ชื่อว่า “พระประวัติฉบับของฟีลิป” (The Gospel of Philip)
เนื้อหาตอนหนึ่งที่ยกมาคือ “และเพื่อนแห่งพระผู้ช่วยให้รอดคือ แมรี่ แม็กดาลีน พระคริสต์รักเธอ มากกวาอัครสาวกอื่นทั้งมวล และ
ทรงเคยจุมพิตเธอที่โอษฐ์อยู่บ่อยครั้ง อัครสาวกที่เหลือ ขุ่นเคืองด้วยเหตุนี้ และแสดงความไม่เห็นด้วย พวกเขากล่าวกับพระองค์ว่า
ทำไมพระองค์ จึงรักเธอมากกว่าพวกเราทุกคน” ทีบบิงอ้างว่า คำว่าเพื่อนในยุคนั้น หมายถึงคู่แต่งงาน ถ้าการตีความหมายเช่นนี้
มีความเป็นไปได้ ยังมีคำถามต่อไปว่า ทำไมอัครสาวกอื่น จึงไม่พอใจหรือขุ่นเคืองด้วย ในเมือแมรี่ แม็กดาลีน เป็นภรรยาของพระเยซูจริงๆ

นอกจากนี้ทีบบิงยังได้อ้างเอกสาร ที่อยู่นอกสารบบพระคัมภีร์อีกเล่มชื่อ “พระประวัติฉบับของ แมรี แม็กดาลีน” และได้ ยกเนื้อความ
ตอนหนึ่งมาเพื่อชี้แจงว่า ปีเตอร์ หรือเปโตร อัครสาวกของพระเยซู เป็นปรปักษ์กับแมรี่ แม็กดาลีนเพราะความอิจฉา กล่าวอ้าง
พระเยซูเป็นผู้มอบทิศทางการสร้างคริสตจักร ให้กับแมรี่ ไม่ใช่ให้กับปีเตอร์ และอ้างว่า พระเยซู ฝากอนาคตคริสตจักร ไว้กับผู้หญิง
ทีบบิงยังกล่าวต่อไปว่า แมรี่มาจากราชวงศ์แห่งเบนจามิน และกล่าวหาว่า คริสตจักร ปิดบังเรื่องนี้ และทำให้แมรี่ แม็กดาลีน
เป็นหญิงโสเภณี อีกทั้งยังกล่าวหา คริสตจักรว่า บิดเบือนประวัติศาสตร์ และปิดบัง เรื่องพระเยซูมีโอรสกับแมรี่ และพยายาม
อธิบายต่อว่า คำว่า ซานเกรียล มาจาก ซอง เกรียล หรือ โฮลี่เกรล แต่ถ้าแบ่งแบบภาษาโบราณ จะเป็นสองคำที่มีความหมายว่า
สายเลือดเชื้อพระวงศ์

แท้จริง เรื่องราวของแมรี่ แม็กตาลีน หรือ นางมารีย์ ชาวมักดาลานี้ เป็นบุคคลที่ พระคัมภีร์ให้ความสำคัญ คือ เป็นสาวกหญิง
บุคคลแรกของพระเยซู (มาระโก 15:40-41,47;16:1; มัทธิว 27:55-56, 61;28:1;ลูกา 8:2-3. 24:10) เป็นไปได้ว่า แมรี่จะเป็น
หัวหน้ากลุ่มสตรี ที่เป็นสาวกของพระเยซู กลุ่มหนึ่งคือ ผู้ที่ติดตาม และปรนนิบัติพระเยซู อยู่สม่ำเสมอดลอดเวลา ที่ทรงกระทำ
พันธกิจ ที่กาลิลี จนถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ และต่อจากนั้น ลูกาได้บันทึกว่า ไม่เพียงพวกผู้หญิงเหล่านี้ จะติดตามและ
ปรนนิบัติ พระเยซูเท่านั้น พวกเธอยัง ออกค่าใช้จ่ายต่างๆด้วย

ในเวลาต่อมา พระองค์เสด็จผ่านหมู่บ้าน และเมืองต่าง ๆ ทรงประกาศ และเผยแพร่ข่าวดี เรื่องแผ่นดิน ของพระเจ้า สาวก
สิบสองคนนั้น ก็อยู่กับพระองค์ พร้อมกับผู้หญิงบางคน ที่ได้รับการรักษา ให้พ้นจาก วิญญาณชั่ว และโรคภัยต่างๆ ได้แก่
มารีย์ที่เรียกกันว่าชาวมักดาลา คนที่มีผีเจ็ดตน ออกจากตัว โยอันนา ภริยาของคูชา ซึ่งเป็นหัวหน้า กรมวังของเฮโรด สุสันนา
และหญิงคนอื่นๆ อีกหลายคน ที่เคยปรนนิบัติพระองค์ และสาวก ด้วยทรัพย์สิ่งของของพวกนาง (ลูกา 8:1-3)

จากพระธรรมตอนนี้ จะเห็นว่า แมรี่ แม็กดาลีน ได้รับการรักษา ที่เคยมีผีเจ็ดตัว ไม่ใช่ผู้ที่เคยเป็น หญิงโสเภณี นอกจากนั้น
พระคัมภีร์ยังบันทึกว่า เธอคือบุคคลสำคัญ ที่เป็นพยานถึงการตายของ พระเยซู (มาระโก 15:40-41, 47; มัทธิว 27:55-56,61;
ลูกา 23:49,55-56; ยอห์น 19:25) เธอเป็นคนแรก ที่ไปถึงอุโมงค์ และพบอุโมงค์ว่างเปล่า (มาระโก 16:1-6; มัทธิว 28:1 6;
ลูกา 24,11-3, 10; ยอห์น 20:1-2) เธอเป็นผู้รับข่าวสาร หรือได้เห็นพระเยซู เป็นขึ้นจากความตาย เป็นคนแรก และนำข่าวนี้
ไปบอกกับพวกคนอื่น (มาระโก 16:6-71; มัทธิว 28:5-9; ลูกา 24:4-10) ตามการบันทึก ใน (ยอห์น 20:11-18) พระเยซู ที่เป็น
ขึ้นจากความตาย ได้ปรากฏกับเธอก่อน และตรัสกับเธอเกี่ยวกับ การเสด็จขึ้นสวรรค์

ที่จริงแมรี่ แม็กดาลีน เป็นหญิงโสเภณีหรือไม่นั้น ในพระคัมภีร์ ไม่ได้บอกไว้ชัดเจน แต่ที่รู้แน่ก็คือ พระเยซูคริสตไม่ได้รังเกียจ
หญิงโสเภณี ทรงสนทนากับหญิงโสเภณีชาวสะมาเรีย ทรงอนุญาตให้ หญิงโสเภณี ชโลมพระบาท ของพระองค์ ลำดับ ฯ
วงศ์ตระกูล ของพระเยซ ในพระธรรมมัทธิว ก็มีชื่อของนางราหับ ซึ่งเคย เป็นหญิงโสเภณี การที่อ้างว่า คริสตจักร พยายาม
ลดบทบาทแมรี่ แม็กดาลีน โดยทำให้เธอเป็นหญิงโสเภณี จึงฟังไม่ขึ้น

ถ้าเราพิจารณา การบันทึกเรื่องราว ของพระคัมภึร์ ตลอดทั้งเล่ม จะเห็นว่า พระคัมภีร์ ได้ยกย่องแมรี่ แม็กดาลีน อยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้อง หาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อมายกย่องเธอ และการที่เธอ จะแต่งงาน หรือไม่ได้ แต่งงาน กับพระเยซู ก็ไม่ได้เป็น
ประเด็น ปัญหาความเชื่อของคริสเตียน เพราะการแต่งงาน ไม่ได้ทำให้พระองค์ เสื่อมเสีย ในทางตรงกันข้าม การบันทึก
เรื่องราวของปีเตอร์ หรือ เปโตรกลับเป็นลบมากกว่า คือเปโตรปฏิเสธ พระเยซูถึงสามครั้ง และถูกเปาโลตำหนิอย่างรุนแรง
ที่ไม่มีจุดยืนที่ชัดเจน เพราะเมื่อคนยิวมา เปโตรก็ไม่นั่งกิน กับคริสเตียนต่างชาติ

สรุปข้ออ้างอิง หลายอย่างที่ปรากฏ ในหนังสือเล่มนี้ เป็นข้อมูล จากการสันนิษฐานเท่านั้น ไม่มีหลักฐาน ยืนยันอย่าง
หนักแน่นพระคริสตธรรมคัมภีร์ และ คริสตจักร ไม่เคยปฏิเสธ แมรี่ แม็กดาลีนเลย ที่จริงคริสตจักร ในนิกายโรมันคาทอลิก
ยกย่องนางเป็นเซนต์เสียด้วยซ้ำ และคริสตจักร ไม่เคยดูถูกผู้หญิง อย่างที่หนังสือ กล่าวหา ที่จริงนางมารีย์ พระมารดา
ของพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับการยกย่อง อย่างมาก ในคริสตจักรคาทอลิก หนังสือเล่มนี้ได้ท้าทาย ให้คริสเตียนไทยและ
ผู้ที่สนใจ ให้ค้นหาความจริง ทางวิชาการมากขึ้น มีหนังสือ ที่ให้ข้อมูลเบื้องหลัง เกี่ยวกับพระคริสตธรรม อย่างมากมาย
ท่านน่าจะหาเวลาอ่านหนังสือเหล่านี้ให้มากขึ้น.
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-05-2006, 16:26 โดย jerasak » บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
โลกสวยงาม
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 309



« ตอบ #1 เมื่อ: 18-05-2006, 13:31 »

ดีจัง หาข้อมูลได้ละเอียด ขอบคุณคะ
บันทึกการเข้า

รักและห่วงแผ่นดินไทย 
คนไทยทุกคนต้องตอบแทนคุณและสามัคคี
สเลเต
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 211



เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 18-05-2006, 19:06 »

ข้อมูลแน่นเอี๊ยดเลยค่ะ
ขอบคุณมาก...
บันทึกการเข้า

เหมือนจะพร้อมให้หอมดอก...สเลเต
แวะไปชมบ้านหลังน้อยกันได้นะคะ

http://mahahong.bloggang.com

และแอบประชาสัมพันธ์งานรวมเล่มชิ้นแรกด้วยค่ะ

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=mahahong&month=03-2006&date=28&group=1&blog=1
หน้า: [1]
    กระโดดไป: