(บทความนี้ ทยอยเขียนและทยอยโพส โดยจะแปะไว้ในกระทู้เดียวกัน และในตัวกระทู้เดียว ระหว่างการเขียนบทความและโพส หากมีความคิดเห็นจากท่านผู้อ่านเพิ่มเติม ผู้เขียนจะน้อมรับและนำไปปรับปรุงเนื้อหา)
ค่านิยมหรือความนิยมในหมู่ชนไทยนั้น ในการสำรวจสืบเสาะค้นหาความดีความชั่วของบุคคล นอกจากจะดูพฤติกรรมความประพฤติผลงานของบุคคลนั้นๆแล้ว ชนไทยยังมองไกลสืบย้อนไปถึงบรรพบุรุษ อย่างน้อยก็ในชั้นพ่อแม่ หรือยาวไกลไปถึงปู่ย่าตายาย ดูๆไปก็อาจจะไม่ยุติธรรมกับบุคคลนัก เพราะโดยหลักทางพุทธศาสนานั้น เราถือกันว่า ดีชั่ว อยู่ที่ตัวบุคคลนั้น กรรมดีหรือกรรมชั่วที่บุคคลนั้นกระทำ ย่อมเหมือนวัวที่อยู่ในคอกของบุคคลนั้น ทำกรรมดีย่อมได้ดี และทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่ว
แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อพึงสังเกตุว่า วัฒนธรรมประเพณีที่สืบทอดกันลงมา ชนไทยก็ยังคงพิจารณาเทือกเถาเหล่ากอของบุคคล เป็นส่วนสำคัญในการตัดสินบุคคลนั้นเป็นเบื้องต้น เราจึงพบว่าบุคคลที่มีประวัติของบุพการีหรือตระกูลที่ดี ก็มักจะนำส่วนที่ดีนั้นมาเป็นข้อแนะนำตัว คล้ายกับเป็นการรับประกันถึงความดีของตัวตนของบุคคลนั้นๆด้วย
หากจะสืบสาวราวเรื่องว่าเรื่องนี้มีมาแต่ครั้งใด ก็พอจะหาหลักฐานที่เชื่อถือได้ และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชนไทย เพื่ออ้างอิงได้ ซึ่งได้แก่หลักศิลาจารึกหลักที่หนึ่งของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช มหาราชพระองค์แรกในประวัติศาสตร์ชนชาติไทย ในบรรทัดแรกของด้านที่หนึ่ง จากหลักศิลาจารึกนั้น กล่าวว่า
" พ่อกู ชื่อศรีอินทราทิตย์ แม่กูชื่อนางเสือง พี่กูชื่อบานเมือง ตูพี่น้องท้องเดียวห้าคน ผู้ชายสามผู้ญีงโสง "
(อ่านรายละเอียดหลักศิาจารึกได้ที่นี่
http://www.sukhothai.go.th/history/hist_08.htm)
หรือในด้านที่สี่บรรทัดแรกจารึกไว้ว่า
"พ่อขุนพระรามคำแหง ลูกพ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นขุนในเมืองศรีสัชชนาลัยสุโขทัย"
จะเห็นได้ว่า การกล่าวอ้างถึงบรรพบุรุษ ในการกล่าวถึงตนเองนั้น อย่างน้อยก็มีมาตั้งแต่ครั้งสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ผู้ทรงคิดประดิษฐอักษรไทย วัฒนธรรมประเพณีการอ้างถึงบรรพบุรุษ จึงนับได้ว่าเป็นของเก่าแก่อย่างหนึ่งของชนชาติไทย
ไม่เพียงแต่ชนชาติไทยเท่านั้น หากเราลองมองไปยังชนชาติต่างๆในโลกนี้ การกล่าวถึงตนเองพร้อมอ้างอิงถึงบรรพบุรุษ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ หากเราจะมองไปถึงนามสกุลของฝรั่งที่ใช้ภาษาอังกฤษ (คือว่าภาษาอื่นอ่านไม่ออก พออ่านได้ก็แค่ภาษาอังกฤษแบบ snake snake fish fish ผู้เขียนจึงอ้างอิงได้แต่ภาษานั้น) เราจะพบว่า มีนามสกุลจำนวนมาก ที่อ้างถึงบรรพบุรุษ โดยเฉพาะการอ้างถึงบิดา เช่น Johnson แปลได้ว่าลูกของจอห์น Nickson แปลได้ว่าลูกของนิค ซึ่งบ่งชี้ชัดว่าเป็นลูกของใคร ชาวไอริชเองก็มีประเพณีในการอ้างถึงบรรพบุรุษด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น MacDonald คำว่า Mac ในภาษาไอริชแปลได้ว่า Son ในภาษาอังกฤษนั่นเอง ดังนั้น MacDonald จึงแปลในขั้นต้นได้ว่า son of Donald หรือลูกของโดนัล หรือในภาษานอร์เวย์ สะกดคำว่า Son เป็น Sen ดังนั้นนามสกุลของชาวนอร์เวย์เช่น Christensen จึงแปลขั้นต้นได้เป็น son of Christen หรือลูกของครีสเตน นั่นเอง
(ค้นคว้า การอ้างถึงบรรพบุรุษในนามสกุลได้ที่นี่ค่ะ
http://en.wikipedia.org/wiki/Son)
ดังนั้น ลูกเต้าเหล่าใคร เทือกเถาเหล่ากอ โคตรเง่าศักราช จึงเป็นหลักการที่มีมาแต่โบร่ำโบราณ ในการสืบหาข้อเท็จจริงเบื้องต้นเกี่ยวกับบุคคล ว่ากันว่าในสมัยโบราณนั้น เชื่อเรื่อง เลือด กันเป็นอย่างมาก ในการปกครองสมัยโบราณนั้น หากมีบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ประพฤติผิดร้ายแรงในบางชนิดของความผิด โทษที่พึงจะได้รับถึงกับประหารกันเจ็ดชั่วโคตร หรือในสำนวนที่ยืมมาจากจีนเรียกกันว่า ฆ่าล้างตระกูลกันเลยทีเดียว
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น วิทยาการในยุคโบราณ มิได้ก้าวหน้าจนรู้จักการสืบทอดทางพันธุกรรมโดยผ่านดีเอนเอ แต่คนโบราณนั้นก็รู้ดีว่าอุปนิสัยบางอย่างนั้น สืบทอดกันทางสายเลือดได้ จะด้วยจากการสังเกตุสังกากันมานาน หรือด้วยเหตุผลอื่นใดก็ตาม ความเชื่อที่ว่า เลือดดีเลือดชั่วสามารถถ่ายทอดไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่งได้ จึงถูกนำมาเป็นวิธีการลงโทษที่ออกจะดูโหดร้าย นั่นคือการตัดตอนสายเลือดนั้นทั้งหมด เพื่อมิให้สายเลือดนั้นหลงเหลือต่อไปอีก
แต่มิได้มีเพียงเลือดชั่ว เลือดที่ดีก็เช่นกัน คนโบราณเชื่อว่าสามารถถ่ายทอดให้แก่กันได้ คำพูดของไทยคำหนึ่งที่มีมานานกล่าวถึง ลูกชาติลูกตระกูล ซึ่งหมายถึงผู้ที่เกิดมาในครอบครัวที่ดีสายเลือดที่ดี ดังนั้นการคัดเลือกบุคคลเพื่อเข้าไปทำกิจการงานบางอย่าง จึงมองที่ ลูกเต้าเหล่าใคร เทือกเถาเหล่ากอ โคตรเง่าศักราช เป็นเบื้องต้น
แต่ในปัจจุบัญนี้ ความเชื่อเหล่านี้ได้เปลี่ยนไป เหตุผลนั้นมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน แต่ในปัจจุบัญเราเชื่อเรื่องความประพฤติของบุคคลเป็นสำคัญ บุคคลที่ประพฤติดี ทำดี ไม่ว่า ลูกเต้าเหล่าใคร เทือกเถาเหล่ากอ โคตรเง่าศักราช ของเขาจะเป็นอย่างไร ก็ไม่ใช่ปัญหาสำคัญ บุตรธิดาที่มีบิดามารดาเป็นคนชั่ว หากตนเองหมั่นประพฤติแต่ความดี ก็จะมีแต่ผู้ที่มีจิตใจต่ำทรามเท่านั้น จะกล่าวหาว่าเขาเป็นคนไม่ดี เพราะบุพการีไม่ดี และในมุมกลับกัน เมื่อไม่เชื่อในเรื่องความชั่ว ที่จะถ่ายทอดลงมาตามสายเลือดได้ เราก็ต้องไม่เชื่อ เรื่องความดีที่ถ่ายทอดลงมาตามสายเลือดได้
เพราะเป็นความจริงที่ว่า บิดามารดาผู้ประเสริฐ ได้ให้กำเนิดบุตรธิดาที่ชัวร้ายเลวทรามเป็นจำนวนไม่น้อย ความเชื่อที่มีมาตั้งแต่ยุคโบราณนั้น ได้รับการพิสูจน์ในยุคปัจจุบัญนี้แล้วว่า ไม่เป็นจริง ถึงจะมีบิดามารดาเลวทรามที่ได้ให้กำเนิดบุตรธิดาที่เลวทรามออกมา ซึ่งได้เห็นกันอยู่ในสังคมปัจจุบัญ ก็เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น แม้จะหากรณีบิดามารดาที่เลวทรามให้กำเนิดบุตรธิดาที่ดี ให้เป็นตัวอย่างได้ยากสักหน่อย ก็ตาม
เมื่อเป็นเช่นนี้ การพิจราณาบุคคลในยุคสมัยใหม่ สมควรที่จะพิจารณาจากพฤติกรรมของบุคคลนั้นเป็นสำคัญ ถึงบุคคลนั้นจะกล่าวอ้าง ลูกเต้าเหล่าใคร เทือกเถาเหล่ากอ โคตรเง่าศักราช ของตนเองออกมา เพื่อยืนยันรับรองความดีเลิศประเสริฐศรีของตน ก็มิควรเชื่อถือ ความดีความชั่วของบุคคลนั้น ต้องเป็นไปเฉพาะตัวบุคคลนั้น วาจากล่าวอ้างถึงบรรพบุรุษเช่น "มึงไม่รู้หรือว่าพ่อกูเป็นใคร" จึงมิควรนำมาใส่ใจ เพราะ "พ่อของมึงอาจจะมิได้เป็นอย่างมึง" หรือ "พ่อของมึงเลวกว่ามึงแน่นอน" เป็นไปได้ในทุกกรณี
โลกปัจจุบัญนี้เต็มไปด้วยความเลวร้าย การนำ ลูกเต้าเหล่าใคร เทือกเถาเหล่ากอ โคตรเง่าศักราช ของตนเอง มากล่าวอ้างเพื่อหลอกลวงผู้อื่นนั้น มีให้เห็นกันได้ดาษดื่น บิดาที่เป็นคนดี เป็นผู้รักษากฎหมาย ถูกบุตรที่เป็นโจรเป็นผู้ละเมิดกฎหมาย นำ ลูกเต้าเหล่าใคร เทือกเถาเหล่ากอ โคตรเง่าศักราช ไปก่อความเดือดร้อนให้กับผู้คนมากมาย เป็นที่เห็นตัวอย่างกันได้สม่ำเสมอ เราจึงควรระวัง อย่าได้ไปเชื่อสิ่งที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งนำมากล่าวอ้าง เพื่อที่จะได้ไม่หลงเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ให้เป็นที่เจ็บใจหรือเดือดร้อน
มีคำถามว่า เหตุไรจึงเกิดเช่นนั้น บิดามารดาที่ดี จึงมีบุตรธิดาที่ไม่ดี ส่วนหนึ่งของคำตอบคงได้แก่ การอบรมเลี้ยงดู เชื่อกันว่า มนุษย์เป็นเวนัยสัตว์ คือสัตว์ที่สั่งสอนได้ เด็กนั้นเกิดมาเหมือนผ้าขาว จะเติบโตเป็นสีใดก็อยู่ที่การเลี้ยงดู หรือการนำสีจากภายนอกไปป้ายลงบนผ้าขาวนั้น ไม่ว่าเด็กผู้นั้นจะถือกำเนิดมาจากบิดามารดาที่มีสายเลือเป็นเช่นไร ลูกของคนดี หากถูกเลี้ยงโดยคนเลว เด็กนั้นก็น่าจะเติบโตออกมาเป็นคนเลว ในทางกลับกัน หากลูกของคนเลว ได้รับการเลี้ยงดูอบรมจากคนดี ในหนทางที่ดี เด็กนั้นก็อาจจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนดีได้ แต่ต้องอยู่ในขอบเขตของภาษิตที่ว่า ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เพราะหากลูกไม้หล่นไกลต้นแล้วไซร้ ถึงผู้เลี้ยงจะเลี้ยงดูอย่างดีปานใด มันก็จะหล่นไปทางความชั่วเสียฉิบ
เมื่อได้ตระหนักถึงเหตุผลดังที่กล่าวมา พอจะสรุปกันเอาเองได้ว่า ลูกพญา หาก ขี้ข้าเลี้ยง ผลจะเป็นเช่นไร
จบ