จากหน้าการเมืองเดลินิวส์ครับ บทความเขียนก่อนวันเลือกนายกรัฐมนตรี
่
อ่านแล้วก็เห็นด้วยว่า คุณสมัครมาเป็นนายกฯ คราวนี้อยู่ลำบาก http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=152764&NewsType=1&Template=1----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รัฐบาลพลังประชาชน เกิดง่ายแต่อยู่ไม่ง่ายวันที่ 27 มกราคม 2551 เวลา 00:00 น.
แม้จะมีเสียงสนับสนุนของ ส.ส. ในสภาอย่างเหลือเฟือ 313 คน จนคล้ายกับว่า รัฐบาลพรรคพลังประชาชน
เป็นรัฐบาลอีกชุดหนึ่งที่น่าจะมีเสถียรภาพมั่นคง แต่พอกะเทาะเปลือกเข้าไปดูเนื้อในกลับไม่ได้เป็นดังที่คิด
เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 28 ม.ค. ซึ่งวางตัวนายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรค
พลังประชาชนเอาไว้อาจจะมีปัญหาแทรกซ้อน หรือเป็นเชื้อชนวนความขัดแย้งในอนาคต เพราะก่อนจะถึง
วันโหวตนายกรัฐมนตรี บรรดา ส.ส.ในพรรคพลังประชาชนก็ออกมาเรียกร้องตำแหน่งรัฐมนตรี โดยเฉพาะ
กลุ่ม ส.ส.อีสาน ซึ่งมีจำนวนมากถึง 110 คน
นายสมัคร ในฐานะหัวหน้าพรรคจะต้องปวดเศียรเวียนเกล้าต่อปัญหาการจัดสรรตำแหน่งให้ ส.ส. ทุกคน
เกิดความพึงพอใจด้วยข้อจำกัดสำคัญ 2 ประการ
ประการแรก พรรคพลังประชาชนได้ ส.ส.ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของ ส.ส.ทั้งสภา ทำให้ต้องไปง้อพรรคขนาดกลาง
และเล็กมาร่วมรัฐบาล จนกลายเป็นรัฐบาลผสม 6 พรรค ประเด็นปัญหามีอยู่ว่า หากพรรคการเมืองเหล่านี้
จับมือกันสลับขั้วไปอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ ก็สามารถโค่นล้มรัฐบาลพรรคพลังประชาชนได้ทันที ด้วยเหตุนี้
พรรคพลังประชาชนในฐานะแกนนำรัฐบาล จะต้องเอาใจพรรคร่วมรัฐบาลเหล่านี้เป็นพิเศษ โดยเห็นจากการ
แบ่งโควตารัฐมนตรีให้กับพรรคร่วมรัฐบาลในอัตราสัดส่วนเก้าอี้รัฐมนตรี 1 คน ต่อ ส.ส. 5-6 คน ขณะที่พรรค
พลังประชาชนต้องยอมขาดทุน โดยกำหนดอัตราสัดส่วนเก้าอี้รัฐมนตรี 1 คนต่อ ส.ส. 9 คน
เมื่อพรรคพลังประชาชนยอมขาดทุนเพื่อเอาใจพรรคร่วมรัฐบาล ก็ทำให้เกิดปัญหาแรงกดดันภายในพรรค
จากการแย่งเก้าอี้กันเองตามเงื่อนไข “ของดีมีน้อย” โดย ส.ส.ภาคอีสานที่มีเสียงดังที่สุดได้รวมตัวกัน
ทวงสัญญาจากผู้บริหารพรรคพลังประชาชนที่เคยบอกว่า ในภาคอีสานหากจังหวัดใดได้ ส.ส.ยกจังหวัด
ก็จะได้เก้าอี้รัฐมนตรี 1 ตำแหน่ง ปรากฏว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคพลังประชาชนชนะยกจังหวัด
ในหลายจังหวัด ยิ่งทำให้การจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีที่มีอยู่จำกัดเกิดความยุ่งยากมากขึ้น
นอกจากนี้ ส.ส.หลายคนที่มีความรู้ความสามารถไม่ถึงระดับ ต่างก็หวังจะได้เป็นรัฐมนตรีในรอบนี้ เนื่องจาก
ตัวบุคลากรที่เคยเป็นกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยซึ่งมีความรู้ความสามารถมากกว่าถูกตัดสิทธิทางการเมือง
มากถึง 111 คน จึงเป็นนาทีทองของ ส.ส.เหล่านี้จะได้เป็นรัฐมนตรี หากพลาดในรอบนี้ก็จะหมดโอกาส
ในรอบต่อ ๆ ไป จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มีการแย่งชิงเก้าอี้กันมากผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม ศูนย์อำนาจของพรรคพลังประชาชนได้ประเมินไว้ว่า หากการจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีไม่ลงตัว
อาจจะกระทบกับการโหวตนายกรัฐมนตรี เพราะรัฐธรรมนูญให้เอกสิทธิ์ ส.ส.โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
โดยไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามมติพรรค ดังนั้นจึงแก้ปัญหาด้วยการเลื่อนจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีของพรรค
พลังประชาชนออกไป รอให้ผ่านการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีเสียก่อน เพื่อป้องกันปัญหา “งูเห่า” ภาค 2
ประการต่อมา นอกจากพรรคพลังประชาชนจะมีปัญหาจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีแล้ว พรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ
ก็มีปัญหาไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นพรรคชาติไทย พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา หรือแม้กระทั่งพรรคมัชฌิมาธิปไตย
แม้พรรคการเมืองเหล่านี้จะได้รับโควตารัฐมนตรีอย่างจุใจ แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความอยากของ ส.ส.ทุกคน
อีกทั้ง ส.ส.ส่วนใหญ่ประเมินว่า รัฐบาลชุดนี้จะอยู่ได้ไม่นาน และอาจจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในเร็ว ๆ นี้
จึงจำเป็นต้องเข้าไปเป็นรัฐมนตรีเพื่อสะสมเสบียงกรังสำหรับการสู้ศึกรอบต่อไป หรือบางคนลงทุนไปแล้ว
และถูกหักหลัง โดยไม่ได้รับตำแหน่งใด ๆ ก็จะส่งลูกน้องออกมาขับไล่ ผู้บริหารของพรรคตัวเอง เพื่อสร้าง
แรงกดดันส่งผลกระทบไปถึงพรรคพลังประชาชน ให้หันกลับมาคิดพิจารณาจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีด้วยความรอบคอบ
ประการสุดท้าย แรงกดดันจากประชาชนรากหญ้าที่ตั้งความหวังไว้กับรัฐบาลชุดนี้มากมาย โดยเฉพาะช่วงหาเสียง
ที่มีการสัญญาจะดำเนินนโยบายต่าง ๆ เช่น การปลดหนี้ให้กับชาวรากหญ้าที่เป็นหนี้กองทุนหมู่บ้าน การฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ให้มีเงินทองไหลมาเทมา ซึ่งเป็นเรื่องยาก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย การเก็บภาษีอาจจะต่ำกว่าเป้า
และท้ายสุดไม่มีเงินไปปลดหนี้กองทุนหมู่บ้าน
ภายหลังการตั้งรัฐบาลแล้วน่าจะเกิดภาพของชาวรากหญ้ามาปักหลักประท้วงหน้าทำเนียบเพื่อทวงสัญญาหรือเรียกร้อง
ให้รัฐบาลแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่หมักหมม มาตั้งแต่สมัย รัฐบาลฤาษีเลี้ยงเต่าของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
ประกอบกับรัฐบาลชุดนี้ไม่สามารถตอบคำถามประชาชนได้ถนัดปาก เพราะเคยหาเสียงว่าจะเข้ามากอบกู้เศรษฐกิจ
แต่จนป่านนี้ยังไม่สามารถหา “มืออาชีพ” มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง เท่ากับบอกให้รู้ว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่มีความพร้อม
เหมือนกับรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งชาวรากหญ้าเคยวาดหวังเอาไว้ คำสัญญาที่เคยให้ไว้จึงเป็นเพียง
คำหวานซึ่งหวังให้เกิดชัยชนะในการเลือกตั้งมากกว่าหวังให้เกิดผลในทางปฏิบัติ
นอกจากจะเผชิญแรงกดดันจากชาวรากหญ้าแล้ว ในขณะเดียวกันรัฐบาลพรรคพลังประชาชนยังต้องพบกับแรงกดดัน
จากชนชั้นกลางหรือคนกรุงเทพฯ ซึ่งประกาศตัวเป็นฝ่ายตรงข้าม ด้วยการลงคะแนนเลือก ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์มากถึง 27 คน
อย่าลืมว่าชนชั้นกลางเป็นกำลังหลักเมื่อครั้งที่เกิดการชุมนุมขับไล่รัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จนเกือบเป็น
วิกฤติที่สุดของโลก สำหรับในครั้งนี้แม้พรรคพลังประชาชนจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคไทยรักไทยโดยนิตินัย
แต่ในทางพฤตินัยหรือในทางปฏิบัติแล้ว ชนชั้นกลางเชื่อว่า ยังมีความเกี่ยวข้องและมีเป้าหมายที่จะเปิดทางให้
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับมามีอำนาจอีกครั้ง
การกลับมายังประเทศไทยของ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจเป็นเงื่อนไขสำคัญที่อาจทำให้การเผชิญหน้าระหว่าง
ชนชั้นกลางกับพรรคพลังประชาชน
ในเวลานั้นรัฐบาลพรรคพลังประชาชนจะถูกชนชั้นกลางเปิดเกมรุกไล่ ตั้งแต่เรื่องคุณสมบัติว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงใหญ่บางคน
เคยถูกร้องเรียนเรื่องปลอมวุฒิการศึกษาและยังไม่ผ่านกระบวนการตรวจสอบให้เกิดความกระจ่างมาจนถึงบัดนี้ เรื่อยไปจนถึง
ผลสะเทือนจากการพิจารณาคดีเลือกตั้งของ กกต.ต่อบุคคลสำคัญในพรรคพลังประชาชน อาจถูกชนชั้นกลางนำมาขยายผล
ซ้ำเติมเพื่อให้เกิดความบอบช้ำมากที่สุด
จากเหตุผลข้างต้น แม้รัฐบาลชุดนี้จะเกิดง่าย แต่การดำรงอยู่ยาว ๆ กลับไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีเหตุปัจจัยต่าง ๆ
บั่นทอนอายุขัยมากมาย
ทั้งแรงกดดันภายในพรรคพลังประชาชนที่เป็นแกนนำรัฐบาล และแรงกดดันภายในพรรคร่วมรัฐบาล ที่อาจทำให้เกิดปัญหา “งูเห่า”
ผลที่ตามมาก็คือ ใคร มาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องคอยเอาใจ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล เพื่อไม่ให้แตกแถวไปจับมือกับฝ่ายค้าน
หรือแรงกดดันภายนอกเนื่องจากรัฐบาลฤาษีเลี้ยงเต่าได้หมักหมมปัญหาต่าง ๆ ไว้พอสมควร โดยเฉพาะปัญหาด้านเศรษฐกิจ
หากชาวรากหญ้ารู้สึกอึดอัด กับสภาพข้าวยากหมากแพง เงินทองหาลำบาก แล้วไปร่วมผสมโรงกับชนชั้นกลาง ที่ไม่พอใจพรรคพลังประชาชนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ถึงวันนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ลาภที่นายสมัครได้รับเป็นเก้าอี้นายกรัฐมนตรี จะเป็นทุกขลาภหรือไม่อย่างไร อีก 4-5 เดือนข้างหน้าเดี๋ยวก็รู้เอง.