วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10912
"ยงยุทธ"อย่าเพิ่งโล่งอก บ่วงกกต.ยิ่งรัด "แน่น"แม้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ปล่อยผีประกาศรับรองนายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภาที่ถูกกล่าวหาในฐานะ ส.ส.สัดส่วน กลุ่ม 1 พรรคพลังประชาชน (พปช.) ว่า ซื้อเสียงในการเลือกตั้งผ่านกำนันในจังหวัดเชียงราย 10 คนในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคมที่ผ่านมา ไปก่อนโดยมิได้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (แจกใบแดง)
ทำให้เข้าสู่กระบวนการตาม "สอย" หลังประกาศผลเลือกตั้ง
อาจทำให้นายยงยุทธและ พปช.ถูกเชือดจาก กกต.ง่ายขึ้นอีก ถ้าคณะอนุกรรมการสืบสวนเห็นว่า พยานหลักฐานในคดีดังกล่าวมีมูลเพียงพอหรือมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า นายยงยุทธมีส่วนในการซื้อเสียงดังกล่าว
ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต. พ.ศ.2550 มาตรา 8 วรรคสอง ระบุว่า ในการลงมติของ กกต.วินิจฉัยให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง (ใบแดง) ก่อนประกาศผลเลือกตั้งให้ใช้คะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 4 ใน 5 ของจำนวน กกต.ที่มาประชุม
หมายความว่า ในการแจกใบแดงนายยงยุทธก่อนประกาศผลเลือกตั้งต้องใช้เสียงถึง 4 ใน 5 เสียง ซึ่งสภาพ กกต.ในปัจจุบันมีอยู่แล้ว 1 เสียง ที่มีแนวโน้มจะไม่แจกใบแดง พปช. ถ้ามี กกต.อีกเพียง 1 คน ที่เห็นว่า นายยงยุทธไม่ควรได้ใบแดง (อาจได้แค่ใบเหลือง) นายยงยุทธก็รอดเพราะมี กกต.เห็นว่า นายยงยุทธผิดเพียง 3 เสียง ทั้งนี้ กกต.ไม่สามารถที่จะเอาผิดนายยงยุทธได้อีก
แต่เมื่อนายยงยุทธดิ้นรนต่อสู้เพื่อยืดเวลาจน กกต.ต้องปล่อยผีไปก่อนแล้วตามสอยที่หลัง ทำให้ กกต.ใช้เสียงเพียง 3 เสียงเท่านั้นในการเชือดนายยงยุทธเพราะ มาตรา 8 วรรคสองระบุว่า ในการลงมติของ กกต.ในกรณีอื่น (นอกเหนือจากการแจกใบเหลืองและใบแดงก่อนประกาศผลเลือกตั้ง) ให้ใช้คะแนนเสียงข้างมาก เมื่อ กกต.มี 5 คน เสียงข้างมากก็คือ 3 เสียง
ถ้า กกต.เสียงข้างมาก 3 เสียง เห็นว่า นายยงยุทธมีความผิดถึงขั้นต้องเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ให้ กกต.ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณา
ในกรณีที่ปรากฏจากการไต่สวนของศาลฎีกาว่า "มีเหตุอันควรเชื่อ" ได้ว่า กรณีเป็นไปตามคำร้องของ กกต.ให้ กกต.สั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ ส.ส. (นายยงยุทธ) มีกำหนดเวลา 5 ปี แล้วแจ้งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรและนายกรัฐมนตรีทราบ
ผลที่ติดตามมาหลังจากที่ กกต.ทำคำร้องเสนอต่อศาลฎีกาคือ เมื่อศาลฎีการับคำร้องแล้ว ให้ ส.ส.ผู้นั้นหยุดการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลฎีกาจะมีคำสั่งยกคำร้องซึ่งหมายถึงนายยงยุทธต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ประธานสภาและประธานรัฐสภาด้วย
ถ้าศาลฎีกามีคำสั่งให้เลือกตั้งใหม่และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งให้ สมาชิกภาพของ ส.ส.ผู้นั้นสิ้นสุดลงทันที (พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 111)แม้ฉากชีวิตทางการเมืองของนายยงยุทธจะจบลง (ถ้าศาลตัดสินว่าผิด) แต่สงครามของ พปช.ยังไม่จบ เนื่องจากขณะกระทำผิดนายยงยุทธเป็นกรรมการบริหาร พปช.
ดังนั้น กกต.ต้องทำคำร้องเสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญ (ผ่านอัยการสูงสุดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง) ให้ยุบ พปช.ทั้งนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 237 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งฯ (มาตรา 115 ประกอบ มาตรา 103)
แต่ประเด็นที่น่าหนักใจคือ พปช.แทบไม่มีโอกาสต่อสู้ในศาลรัฐธรรมนูญเลยเนื่องจากข้อเท็จจริงปรากฏในการไต่สวนในชั้นศาลฎีกาแล้ว จึงยากที่ศาลรัฐธรรมนูญจะหยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นมาไต่สวนใหม่เพื่อหักล้างคำตัดสินของศาลฎีกาซึ่งจะทำให้ระบบศาลพังทั้งระบบและทำให้คำพิพากษาของศาลฎีกาไม่ได้รับความเชื่อถือทั้งนี้เงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 237 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งฯมาตรา 115 ประกอบ มาตรา 103 กำหนดในการยุบพรรคไว้ตายตัวคือ เมื่อกรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็นหรือเป็นผู้ทุจริตเลือกตั้ง ต้องถูกยุบพรรคสถานเดียว
ถ้า พปช.ถูกยุบเพราะนายยงยุทธ ย่อมหมายถึงการพังทลายของรัฐบาล พปช.ในทันที โดย ส.ส.ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคส่วนหนึ่งสิ้นสมาชิกภาพ ขณะที่ ส.ส.ที่เลือกต้องหาพรรคสังกัดใหม่ภายใน 60 วัน
ส่วนผลที่แท้จริงจะเป็นอย่างไร "กรรม" เท่านั้นลิขิต
หน้า 11
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01pol03250151&day=2008-01-25§ionid=0133