==ควันหลง..วิเคราะห์ผลการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 บนแผนที่ประเทศไทย==

[jerasak]

กว่าจะมาตั้งกระทู้นี้ได้เวลาก็ล่วงเลยจากการลงคะแนนเสียงมาประมาณ 1 เดือนพอดี
หลังจากผมได้นำข้อมูลผลการเลือกตั้ง สส.เขต มาวิเคราะห์ลงแผนที่ประเทศไทย

ทำนองเดียวกับที่เคยทำหลังการลงประชามติ รัฐธรรมนูญ 2550 และนำมาตั้งกระทู้
ในวันที่ 19 กันยายน 2550 (เพิ่งสังเกตว่าเป็นวันครบรอบ 1 ปีรัฐประหารพอดี)

==ควันหลง..วิเคราะห์ผลการลงประชามติ ร่างฯ รธน50 บนแผนที่ประเทศไทย==
http://forum.serithai.net/index.php?topic=16979.msg221374#msg221374

แต่คราวนี้มีความแตกต่างจากคราวก่อน เนื่องจากมีกลุ่มข้อมูลที่แยกย่อยได้จำนวนมาก
ทำให้สามารถวิเคราะห์จับคู่เปรียบเทียบได้แบบไม่จบง่ายๆ เลยครับ
จากที่คิดจะทำนิดหน่อยแล้วเอามาตั้งกระทู้แบ่งกันดู เลยกลายเป็นทำมาเรื่อยๆ ร่วม 7 วัน 

...

จุดประสงค์ที่อยากเอามาแบ่งกันดู ทั้งที่ตอนนี้ก็เห็นได้ชัดว่าฝ่ายไทยรักไทยเดิม
สามารถชนะเลือกตั้งได้ ส.ส. มากที่สุด ทิ้งห่างประชาธิปัตย์ถึงประมาณ 70 ที่นั่ง

ทั้งหมดก็คืออยากให้ได้เห็นภาพรวมของโครงสร้างการเมืองไทย หลังยุคไทยรักไทย

ว่ามีกลุ่มการเมืองใดครอบครองพื้นที่จังหวัดไหน มากน้อยอย่างไร
จุดไหนที่ผูกขาด จุดไหนที่มีการแข่งขัน และมีผู้เล่นหลักกี่กลุ่ม

ซึ่งไ่ม่ว่าผลการเลือกตั้งเป็นอย่างไร สาธารณชนควรได้รับรู้เข้าใจในเรื่องเหล่านี้
แทนที่จะนึกถึงเพียง ภาคอีสาน-ภาคใต้ หรือแบ่งหยาบๆ แค่ กรุงเทพ-ต่างจังหวัด
หรือที่มีความเชื่อว่า คนชนบทส่วนใหญ่นิยมนโยบายพรรคไทยรักไทยโดยทั่วไป
ทำให้เทคะแนนเลือกพรรคนอมินี

ผมคิดว่าจากการวิเคราะห์บนแผนที่ประเทศไทย ผลเลือกตั้งมีการจับกลุ่มเฉพาะพื้นที่
โดยมีการผูกขาดเป็นโซนชัดเจน ทั้งกับพรรคพลังประชาชน ประชาธิปัตย์ ชาติไทย
ประชาราช เพื่อแผ่นดิน และรวมใจไทยฯ มีพรรคเดียวที่ไม่มีโซนชัดเจนคือ มัชฌิมาฯ

ซึ่งเท่ากับตอกย้ำอิทธิพลของเครือข่ายหัวคะแนน ที่สามารถกำหนดผลการเลือกตั้ง
ไม่ใช่เกิดจากความนิยมในนโยบายพรรคอย่างอิสระของผู้ลงคะแนน

ผลการเลือกตั้งใหม่ จ.บุรีรัมย์ ที่มีผู้สมัครพรรคมัชฌิมาฯ เดิมได้คะแนนเป็นหลักพัน
่กลายเป็นพลิกชนะเลือกตั้งได้คะแนนระดับ 7-8 หมื่นคะแนน น่าจะเป็นข้อยืนยัน
ถึงอิทธิพลของเครือข่ายหัวคะแนน ที่สามารถสั่งเทคะแนนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
ผลการเลือกตั้งเป็นข้อมูลจริงที่ชัดเจนกว่าโพลสำรวจสำนักไหนๆ 

[jerasak]

1. เปรียบเทียบ ส.ส. พรรคพลังประชาชน กับ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ชนะเลือกตั้ง 50



จากการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ในส่วนของ พรรคพลังประชาชน สามารถมี สส.ภาคอีสาน
ในทุกจังหวัด ยกเว้นมุกดาหาร และมี สส.ภาคเหนือในทุกจังหวัด ยกเว้นภาคเหนือตอนล่าง
เช่น ตาก และสุโขทัย

โดยมี สส.น้อยในพื้นที่ภาคกลาง และน่าสังเกตว่าไม่ได้ สส.ในภาคตะวันออกแม้แต่จังหวัดเีดียว
และแทบไม่มี สส.ภาคใต้ ยกเว้น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มี สส. ยะลา นราธิวาส จังหวัดละคน

ในส่วนพื้นที่กรุงเทพฯ พลังประชาชนได้ สส. รวม 9 คน จากทั้งหมด 36 คน

...

ขณะที่ พรรคประชาธิปัตย์ มี สส.หนาแน่นในพื้นที่ภาคใต้แทบทุกจังหวัด กับมี สส.พอสมควร
ในพื้นที่ภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง แต่ในภาคเหนือตอนบนมีเพียงที่ แม่ฮ่องสอน 1 คน
และน่าสังเกตว่ามี สส.หนาแน่นมากในพื้นที่ภาคตะวันออก

ที่สำคัญที่สุดคือได้ สส. จำนวนมากถึง 27 คนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร   

[Can ไทเมือง]

อย่างที่เคยเล่านั่นแหละครับ เค้าเลือกตัวบุคคล
คนที่มีเครือข่ายมากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ

ไม่ได้ดูพรรคซักเท่าไหร่

[jerasak]

2. เปรียบเทียบ ส.ส. ไทยรักไทย ก่อนยุบสภา กับ ส.ส. พลังประชาชน ที่ชนะเลือกตั้ง 50



พรรคพลังประชาชน หรือ อดีตพรรคไทยรักไทยเดิม มี อดีต ส.ส. พรรคไทยรักไทย ก่อนการยุบสภา
เมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2549 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 375 คน

ในการเลือกตั้ง 2550 มีผู้ไม่ลงสมัครต่อ 57 คน เป็น ส.ส. เขต 34 คน ส.ส. บัญชีรายชื่อ 23 คน
ในจำนวนนี้มี อดีตกรรมการบริหารพรรคที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองอยู่ด้วย 26 คน บางคนมีการ
ส่งคนสนิทลงสมัครเช่น น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ ส่ง น.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ ลงสมัคร (สอบตก)
และ นต.ศิธา ทิวารี ส่ง พ.ต.อ.พณาเจือเพ็ชร กฤษณะราช ลงสมัคร (สอบตก)

อย่างไรก็ตามผมจัดไว้ในกลุ่มไม่ลงสมัคร เนื่องจากไม่ได้เป็นการส่งเครือญาติลงสมัครแทน

ภายหลังถูกคดียุบพรรค มี อดีต ส.ส. ไทยรักไทย ไปลงสมัคร ส.ส. พรรคอื่นเป็นจำนวนมาก
มี อดีต ส.ส. ที่เหลือลงสมัคร หรือส่งตัวแทนลงสมัครในสังกัดพรรคพลังประชาชน รวม 203 คน
สามารถชนะเลือกตั้ง 149 คน มาจาก ส.ส.เขต 128 คน ส.ส. บัญชีรายชื่อ 21 คน แต่เนื่องจาก
มีบางรายส่งผู้สมัครแทนมากกว่า 1 คน ทำให้จำนวน ส.ส. จาก ส.ส. เก่าเท่าที่ตรวจสอบได้
ไม่น้อยกว่า 155 คน และมีที่สอบตกรวม 54 คน

นอกจากนี้มี อดีต ส.ส. พรรคชาติไทย ย้ายมาลงสมัครในนามพลังประชาชน 3 คน สอบได้ 2 คน

พรรคพลังประชาชน ได้ ส.ส. เขต ครอบคลุมพื้นที่ 47 จังหวัด ส่วนใหญ่ในภาคอีสานและเหนือ
มี สส. รวมทั้งสิ้น 199 คน ในจำนวนนี้มีประมาณ 155 คนเป็น สส.เก่า หรือ ตัวแทน สส.เก่า
เท่ากับประมาณ 78% ของผู้ชนะในคราวนี้มีฐานเสียง สส.เก่า สนับสนุน

ซึ่งผมคิดว่าการสามารถรักษากองทัพ สส.เก่า ไว้กับพรรคได้เป็นจำนวนมาก (ด้วยเหตุใดก็แล้วแต่)
เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้พลังประชาชน ชนะการเลือกตั้งในส่วน สส.เขต เป็นจำนวนมาก
ไม่ใช่เกิดจากความนิยมในตัว พตท.ทักษิณ เพียงอย่างเดียว

น่าสังเกตว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้ พลังประชาชน สูญเสียพื้นที่ที่เคยมีอยู่เดิมในพื้นที่ภาคกลาง
รวมทั้งพื้นที่ภาคอีสานที่ติดกับภาคกลาง และที่สำคัญสูญเสียพื้นที่ภาคตะวันออกทั้งหมด

จุดที่เข้มแข็งที่สุดของพรรค คือพื้นที่ภาคเหนือที่สามารถรักษาไว้ได้แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง
...

อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า ภายหลังการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
หลังปี 2540 ทำให้อิทธิพลของ สส.ในพื้นที่ลดลงมาก เนื่องจาก อปท.มีงบประมาณของตัวเอง
ไม่ต้องง้อ สส.อีกต่อไป และทำให้ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นพยายามผลักดันตัวเองเข้าสู่ อปท. และ
กลุ่มที่ทำได้ จะมีความเข้มแข็งเป็นอิสระจาก สส.มากขึ้น

ประกอบกับนโยบายของพรรคไทยรักไทย มีการ "ต่อตรง" เข้ากับ อปท.โดยไม่ผ่าน สส. ตัวอย่างเช่น
โครงการ OTOP หรือ กองทุนหมู่บ้าน ที่ทำให้ พรรคไทยรักไทย สามารถล้วงลึกสร้างเครือข่ายกับ
ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ได้โดยตรง

สส.ที่จะสามารถคงสภาพนำในพื้นที่ต่อไปได้ จึงต้องมีการต่อตรงที่แนบแน่นกว่ากับ อปท. เช่นการ
ส่งเครือญาติเข้าไปนั่งบริหาร แต่ถ้าไม่สามารถทำได้ก็จะมีสภาพขาลอย และไม่สามารถชนะเลือกตั้ง
โดยไม่มีพรรคไทยรักไทยหนุนหลัง
สภาพนี้เกิดขึ้นมากในพื้นที่ภาคเหนือ-อีสาน กับ อดีต สส.ที่ลงสมัครในพรรคอื่นซึ่งจะำได้นำเสนอต่อไป 

[jerasak]

3. เปรียบเทียบ อดีต ส.ส.เขต ไทยรักไทย ก่อนยุบสภา ที่ สอบตก และ สอบได้ ในครั้งนี้



จากภาพคู่นี้เป็นการแสดงให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่า อดีต ส.ส.เก่าของไทยรักไทย
ชนะและแพ้ในพื้นที่ไหนบ้างนะครับ

หลักๆ คืออดีต ส.ส.ชนะในพื้นที่ภาคเหนือ-อีสานจำนวนมาก และชนะในภาคกลางบางส่วน
โดย แพ้ในพื้นที่ภาคกลาง พื้นที่อีสานที่ติดกับภาคกลาง และที่อุบลราชธานี กับจังหวัดรอบๆ
นอกจากนี้แพ้ในพื้นที่ภาคตะวันออก ที่เดิมก็ไม่ได้มีอิทธิพลครอบคลุมทั้งหมดอยู่แล้ว
ที่สำคัญแพ้ที่กรุงเทพ ทำให้ อดีต สส.หายไปถึง 12 คน 

[jerasak]

4. แสดง ส.ส.พลังประชาชน ที่แพ้แต่ได้ลำดับสูสีกับผู้ชนะในเขต และ ที่ได้คะแนนใกล้เคียงกับผู้ชนะ (แพ้เป็นหลักพันคะแนน)



ภาพคู่นี้เกิดจากความสงสัยของผมเองที่ว่า มีพื้นที่ไหนบ้างที่ พลังประชาชน เกือบจะชนะ

ตอนแรกผมดูที่ลำดับการได้คะแนนก่อน โดยถือว่าผู้สมัครที่ได้ลำดับถัดจากผู้ชนะก็คือเกือบชนะ
ทำให้มี ผู้สมัครจากพลังประชาชน เกือบชนะถึงกว่า 30 คน เช่นที่กรุงเทพฯ ก็เกือบชนะ 9 คน
และในพื้นที่ภาคใต้ก็มีเกือบชนะในหลายจังหวัด ตามภาพทางซ้ายมือ

แต่เมื่อเพิ่มเกณฑ์เข้าไปว่าต้องมีคะแนนใกล้เคียงกับผู้ชนะด้วย โดยผมตั้งเกณฑ์ง่ายๆ ว่า
แพ้เป็นหลักพันคะแนน จึงจะถือว่าเกือบชนะ ทำให้จำนวนลดลงเป็นอย่างมาก เช่น กรุงเทพฯ
ก็เหลือเพียง 3 คนเท่านั้น และภาคใต้ไม่มีที่เกือบชนะเลยเพราะแพ้กันเป็นแสนคะแนนครับ
ดูได้ตามภาพทางขวามือ

[jerasak]

อย่างที่เคยเล่านั่นแหละครับ เค้าเลือกตัวบุคคล
คนที่มีเครือข่ายมากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ

ไม่ได้ดูพรรคซักเท่าไหร่

ครับลุงแคน

ตอนนี้ผมคิดว่าปัญหาคือ อดีต สส.ไทยรักไทย โดน "ตัดตอน" โดยพรรค
ทำให้สูญเสียสภาพนำในพื้นที่ โดยเครือข่ายในท้องถิ่นไปต่อตรงกับพรรค
ทำให้ไ่ม่กล้าแยกตัวออกมาเพราะจะสอบตก (มีตัวอย่างคราวนี้มากมาย)

แต่ไม่ได้หมายความว่าอิทธิพลในพื้นที่ไม่มีผลในการกำหนดผลเลือกตั้ง
อย่างที่มีผู้พยายามนำเสนอว่าชาวบ้านเลือกเองโดยอิสระ จากความนิยม
ในนโยบายของอดีตพรรคไทยรักไทย

ผมคิดเหมือนลุงแคนครับ ว่าอิทธิพลในพื้นที่ยังเป็นตัวแปรสำคัญชี้ขาด
แต่ไม่ได้ผูกขาดกับตัว สส. เหมือนในอดีตอีกต่อไปแล้ว
นอกจาก สส.จะมีเครือข่ายแนบแน่นกับ อปท. เป็นรายๆ ไป 

[jerasak]

5. เปรียบเทียบ ส.ส. ประชาธิปัตย์ ก่อนยุบสภา กับ ส.ส. ประชาธิปัตย์ ที่ชนะเลือกตั้ง 50



คราวนี้มาดูทางฝั่ง พรรคประชาธิปัตย์ บ้าง

อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ก่อนการยุบสภา 24 กุมภาพันธ์ 2549 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 96 คนครับ
คราวนี้ได้ ส.ส.เขต ในพื้นที่ 39 จังหวัด รวม 132 คน ส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ ภาคเหนือตอนล่าง
ภาคกลางตอนบน ภาคตะวันออก และภาคใต้

...

ในครั้งนี้น่าสังเกตว่า ประชาธิปัตย์ มีการเติบโตเด่นมากในพื้นที่ภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง
นอกจากนี้ยังสามารถครอบคลุมพื้นที่ภาคตะวันออกทั้งหมด และขยายตัวเล็กน้อยในภาคอีสาน
และที่เติบโตมากคือในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จากเดิมมี สส. 4 คน เพิ่มมาเป็น 27 คน 

[ปรมาจารย์เจได]

 

ขอนแก่น อุดร
กู่ไม่กลับซะแล้ว

[ปรมาจารย์เจได]

คุณจีครับ ถ้าว่างช่วยลงสีเฉพาะ สส พลังประชาชนภาคกลาง กรุงเทพ ตะวันออก ทีครับ

อยากรู้ว่าจังหวัดไหนมั่งที่ยังก้มหน้าก้มตาเลือกพรรคนี้

[jerasak]

6. เปรียบเทียบ อดีต ส.ส.เขต ประชาธิปัตย์ ก่อนยุบสภา ที่ สอบตก และ สอบได้ ในครั้งนี้



ในการเลือกตั้ง 2550 มีผู้ไม่ลงสมัครต่อ 10 คน เป็น ส.ส. เขต 4 คน เป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ 6 คน
ในจำนวนนี้มี ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีต ส.ส. นครศรีธรรมราช ที่ไปรับตำแหน่ง เลขาธิการอาเซียน
และ ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ที่ประกาศลาออก

มี อดีต ส.ส. ย้ายไปลงสมัครเป็น ส.ส.พรรคอื่น 2 คนคือ นพ.วัลลภ ไทยเหนือ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ
ย้ายไปลงสมัคร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน และชนะเลือกตั้ง อีกคนคือ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
อดีต ส.ส. พิจิตร ย้ายไปลงสมัคร ส.ส. พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และชนะเลือกตั้งเช่นเดียวกัน

คงเหลือลงสมัครหรือส่งตัวแทนในสังกัดประชาธิปัตย์ 84 คน ชนะเลือกตั้ง 77 คน เป็น ส.ส.เขต 59 คน
และ ส.ส.สัดส่วน 18 คน มีอดีต สส.ประชาธิปัตย์ สอบตกรวม 7 คน เป็นอดีต ส.ส.เขต ภาคใต้ 6 คน
(5 คนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดน) และ เป็น อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ย้ายไปลง ส.ส.กาญจนบุรี 1 คน

มี อดีต ส.ส.ไทยรักไทย ย้ายมาลงสมัครเป็น ส.ส. ประชาธิปัตย์ 5 คน ชนะเลือกตั้ง สส.เขต 3 คน
นอกจากนั้นมี 1 คนที่เป็นสมาชิก 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย คือ นายวุฒิชัย สงวนวงศ์ชัย
อดีต ส.ส.ชัยภูมิ 7 สมัย ที่มีพี่ชาย นายพุฒิพงศ์ สงวนวงศ์ชัย ลง สส.สัดส่วน กลุ่ม 2 ชนะเลือกตั้ง
แต่ นางอินทิรา สงวนวงศ์ชัย ภรรยา และ ชานันท์ เตียวสุวรรณ หลานชาย ที่ลง ส.ส.ชัยภูมิ แข่งกับ
ปาริชาติ ชาลีเครือ (น้องสาวสุชน ชาลีเครือ) พลาดท่าสอบตก อีกคนที่สอบตกคือ นาวาโทเดชา สุขารมณ์
อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ลงสมัคร ส.ส. กาญจนบุรี

ในครั้งนี้ที่พลาดท่ามากมายคือในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีอดีต สส.สอบตกหลายคน
และมี อดีต สส. สุราษฎ์ธานี สอบตกอีก 1 คน คือ รศ.โกเมศ ขวัญเมือง ที่ในครั้งนี้ย้ายไปลงสมัคร สส.สัดส่วน
กลุ่มที่ 8 ในลำดับที่ 9 (แต่สำหรับ สส.เขต ที่สุราษฎ์ธานี ประชาธิปัตย์ยังชนะยกจังหวัด)
ในขณะที่พื้นที่อื่นๆ อดีต สส.ทุกคนที่มาลงสมัคร สามารถชนะเืลือกตั้งกลับมาได้ทั้งหมด 

[jerasak]

คุณจีครับ ถ้าว่างช่วยลงสีเฉพาะ สส พลังประชาชนภาคกลาง กรุงเทพ ตะวันออก ทีครับ

อยากรู้ว่าจังหวัดไหนมั่งที่ยังก้มหน้าก้มตาเลือกพรรคนี้

สำหรับภาคตะวันออก คราวนี้ไม่เหลือเลยสักคนครับ
กรุงเทพฯ ก็เหลือแค่ 9 คน (เกือบจะเหลือ 7 คนด้วยซ้ำ)

สำหรับภาคกลางโดนชาติไทยยึดครองไปเป็นส่วนมาก
ไว้โพสครบหมดจะลองซูมให้ดูอีกทีนะครับ

[jerasak]

7. แสดง ส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่แพ้แต่ได้ลำดับสูสีกับผู้ชนะในเขต และ ที่ได้คะแนนใกล้เคียงกับผู้ชนะ (แพ้เป็นหลักพันคะแนน)



จากการประเมินด้วยเกณฑ์เดียวกับพลังประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ที่พื้นที่
ซึ่งผู้สมัครแพ้เป็นหลักพันคะแนนอยู่ทั้งหมด 16 เขต

น่าสังเกตว่าในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่แพ้นั้นความจริงทุกจังหวัดแพ้แบบสูสี

ในขณะที่ภาคเหนือมีที่ลุ้นได้อยู่เพียงจังหวัดเดียวคือ ลำพูน
และภาคตะวันออกลุ้นได้อยู่เพียงจังหวัดเดียวคือ ชัยภูมิ

ที่น่าสนใจที่สุดจึงเป็นพื้นที่กรุงเทพและภาคกลางตอนล่างที่สูสีกันหลายเขตครับ
จำนวน สส.รวมสูงสุดของ ปชป. ครั้งนี้จึงอาจขึ้นไปได้ถึงประมาณ 180 คนครับ 

[jerasak]

8. แสดงพื้นที่ของ ส.ส. อื่นนอกพรรคพลังประชาชน และพื้นที่ที่พลังประชาชน ชนะยกจังหวัด



ข้อมูลประเด็นนี้ผมคิดว่าน่าสนใจมาก คือผมตั้งคำถามว่ามีพื้นที่ไหนที่พลังประชาชนผูกขาด
เหมา สส. หมดทั้งจังหวัด โดยไม่มีพรรคอื่นสามารถเจาะเข้าได้เลย

เริ่มต้นคือผมนำข้อมูล สส.พรรคอื่นทั้งหมด นอกจากพลังประชาชนมาลงในแผนที่
ทำให้พบว่าเหลือพื้นที่เฉพาะที่เป็นพลังประชาชนพรรรคเดียวอยู่ 14 จังหวัด
ทั้งหมดกระจุกรวมกันอยู่ใน ภาคเหนือฝั่งตะวันออก และภาคอีสานตอนบน

*นั่นหมายความว่าพื้นที่ผูกขาดของพลังประชาชนพันธุ์แท้มีน้อยกว่าที่ผมเคยคิดไว้ครับ*

อย่างไรก็ตามผมได้ตรวจสอบพื้นที่ซึ่งพลังประชาชนมีอิทธิพลสูง คือได้ สส. 75% ขึ้นไปไว้ด้วย
ซึ่งจะได้นำเสนอในแผนที่สรุปท้ายกระทู้นะครับ 

[jerasak]

9. แสดงพื้นที่ของ ส.ส. อื่นนอกพรรคประชาธิปัตย์ และพื้นที่ที่ประชาธิปัตย์ ชนะยกจังหวัด



มาถึง พรรคประชาธิปัตย์ กันบ้างนะครับ

แน่นอนว่าพื้นที่ภาคใต้เกือบทั้งหมดประชาธิปัตย์กวาดเรียบยกจังหวัด
ยกเว้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

พื้นที่อื่นๆ ที่น่าสนใจคือ 4 จังหวัดภาคตะวันออก ที่ประชาธิปัตย์กวาดเรียบ
นอกจากนี้ก็มี จังหวัดตาก ซึ่ง ประชาธิปัตย์ได้ สส.ยกจังหวัด 4 คน
และหากนับพื้นที่มีอิทธิพลสูงคือได้ สส. 75% ขึ้นไป กรุงเทพฯ ก็คือถิ่น ปชป. 

[jerasak]

10. แสดงพื้นที่ที่ ส.ส. พรรคชาติไทย และ พรรคมัชฌิมาธิปไตย ชนะการเลือกตั้ง



เพื่อความสมบูรณ์จึงต้องวิเคราะห์มาถึงพรรคชาติไทย และแถมพรรคมัชฌิมาฯ

จะเห็นว่าพรรคชาติไทยมีพื้นที่หลักอยู่ในภาคกลาง และภาคอีสานตอนล่าง
นอกจากมี สส.หนาแน่นที่สุพรรณบุรี ยังมีถึง 3 คนที่อุบลราชธานีด้วย

ที่จังหวัดนราธิวาส คราวนี้ชาติไทยก็ได้ สส.มาถึง 2 คนนะครับ

รวมแล้วพรรคชาติไทย ได้ ส.ส. เขต ทั้งสิ้น 33 คน ในพื้นที่ 19 จังหวัด

...

สำหรับ พรรคมัชฌิมาธิปไตย คราวนี้ต้องเรียกว่าผิดหวังมากมาย
เนื่องจากมี อดีต ส.ส. ก่อนการยุบสภา 24 กุมภาพันธ์ 2549
ในสังกัดรวม 28 คน เป็นอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทยทั้งหมด
ผลการเลือกตั้งสอบได้เพียง 4 คน สอบตกถึง 24 คน 

ในจำนวนนี้รวมถึงนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน อดีต ส.ส. สุโขทัย
ภรรยา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย

พรรคมัชฌิมาฯ ได้ ส.ส. เขต รวมทั้งสิ้น 7 คน ในพื้นที่ 6 จังหวัด
กระจุกตัวเล็กน้อยที่ภาคอีสานตอนล่าง ที่เหลือกระจายในภาคกลาง 

[jerasak]

11. เปรียบเทียบ ส.ส. พรรคชาติไทย ก่อนยุบสภา กับ ส.ส. พรรคชาติไทย ที่ชนะเลือกตั้ง 50



วิเคราะห์เพิ่มเติมสำหรับ พรรคชาติไทย..

อดีต ส.ส. พรรคชาติไทย ก่อนการยุบสภา 24 กุมภาพันธ์ 2549 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 26 คน
ในการเลือกตั้ง 2550 ไม่มีใครวางมือทางการเมือง ยังอยู่กับพรรคชาติไทยรวม 22 คน
ย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชาชน 3 คน และย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อแผ่นดิน 1 คน

ผลการเลือกตั้งสอบได้ 17 คน สอบตก 9 คน อดีต ส.ส. พรรคที่ย้ายพรรคแล้ว สอบตกมี 1 คน
คือ นายสุริยะ ร่วมพัฒนา อดีต สส.สุรินทร์ ที่ย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชาชน และมีอดีต สส.
พรรคอื่นที่ย้ายมาสังกัดพรรคชาติไทย ส่งผู้สมัครแทนตัวเองแล้วสอบตกคือ นางปวีณา หงสกุล
อดีต ส.ส. และกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ส่ง นายฉมาดล หงสกุล ลงสมัครที่กรุงเทพฯ

ในการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 พรรคชาติไทย ส่งผู้สมัครที่เป็นอดีต ส.ส. ก่อนการยุบสภา
24 กุมภาพันธ์ 2549 หรือเป็นตัวแทนรวม 38 คน ในจำนวนนี้เป็นอดีต ส.ส. ของพรรคชาติไทย
22 คน ย้ายมาจากพรรคไทยรักไทย 14 คน และย้ายมาจากพรรคมหาชนอีก 2 คน

ผลการเลือกตั้งมีอดีต ส.ส. สอบตก 17 คน ในจำนวนนี้มี น.ส.จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์
อดีต สส.กทม. คนเดียวของพรรคชาติไทยสอบตกด้วย ขณะที่มีอดีต ส.ส. สอบได้ 21 คน

...

ที่น่าสนใจคือการกระจายตัวของ สส. พรรคชาติไทย ที่ขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นอย่างเห้นได้ชัด
แม้จะสูญเสียพื้นที่บางส่วนในภาคอีสาน แต่ก็เติบโตมากในพื้นที่ภาคกลาง 
น่าคิดว่าการกลับลำเข้าร่วมรัฐบาล จะกระทบฐานเสียงที่เพิ่งขยายตัวหรือไม่ ขนาดไหน

[jerasak]

12. แสดงพื้นที่ที่ ส.ส. พรรคเพื่อแผ่นดิน และ พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ชนะการเลือกตั้ง



อีก 2 พรรคที่เหมือนเป็นเหมือนคู่แฝดกันในด้านฐานเสียง คือ เพื่อแผ่นดิน และ รวมใจไทยชาติพัฒนา

พรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นพรรคตั้งใหม่ มี อดีต ส.ส. ก่อนการยุบสภา 24 กุมภาพันธ์ 2549 ในสังกัด
รวม 42 คน เป็นอดีต ส.ส. จากพรรคไทยรักไทยถึง 40 คน อดีต ส.ส.พรรคชาติไทย 1 คน
และประชาธิปัตย์ 1 คน

ผลการเลือกตั้ง มี อดีต ส.ส.ไทยรักไทย ชนะเพียง 6 คน สอบตกถึง 34 คน ส่วน อดีต ส.ส.ชาติไทย
และประชาธิปัตย์ สอบได้ทั้งคู่

พรรคเพื่อแผ่นดิน ได้ ส.ส. เขต รวมทั้งสิ้น 17 คน ใน 10 จังหวัด

...

พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา เป็นพรรคตั้งใหม่ มี อดีต ส.ส. ก่อนการยุบสภา 24 กุมภาพันธ์ 2549
ในสังกัดรวม 21 คน เป็นอดีต ส.ส. จากพรรคไทยรักไทย 19 คน อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 1 คน
และพรรคมหาชน 1 คน

ผลการเลือกตั้ง มี อดีต ส.ส.ไทยรักไทย ชนะเพียง 3 คน สอบตกถึง 16 คน ส่วน อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์
คือนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ และ ส.ส. มหาชน นางทัศนียา รัตนเศรษฐ สอบได้ทั้งคู่

พรรครวมใจไทยชาติพัฒนาได้ ส.ส. เขต รวมทั้งสิ้น 8 คน ใน 4 จังหวัด เป็น ส.ส. นครราชสีมา 5 คน
และเป็น ส.ส. จังหวัดเชียงใหม่ , พิจิตร และ มุกดาหาร จังหวัดละ 1 คน

...

น่าเสียดายที่ทั้ง 2 พรรคที่มีฐานเสียงทับซ้อนกัน โดยเฉพาะในจังหวัดนครราชสีมา และเชียงใหม่
หากสามารถรวมตัวเป็นพรรคเดียว ไม่ตัดคะแนนกันเองน่าจะสามารถชนะเลือกตั้งได้มากกว่านี้ 

[jerasak]

13. แสดง ส.ส.เพื่อแผ่นดิน และรวมใจไทยฯ ที่แพ้แต่ได้คะแนนใกล้เคียงกับผู้ชนะ (แพ้เป็นหลักพันคะแนน)



ยิ่งเมื่อดูพื้นที่ซึ่งทั้ง 2 พรรคมีโอกาส ชนะเลือกตั้งเพิ่ม ซึ่งไม่ซ้อนทับกัน
ยิ่งทำให้น่าคิดว่า ถ้าไม่แยกกันเดินแย่งคะแนนกันเอง แต่สามารถผนึกรวม
เครือข่ายหัวคะแนนเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มเดียว
ทั้ง 2 พรรคน่าจะประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งมากกว่านี้ครับ 

[jerasak]

14.แสดงความคล้ายกันของรูปแบบคะแนน Vote No ร่างรัฐธรรมนูญ 50 กับพื้นที่ ส.ส.พลังประชาชน



เรื่องนี้ผมเคยโพสไว้ในกระทู้ลุงปุถุชน แล้วครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ขยายภาพใหญ่ขึ้นนิดหน่อย

จากการเทียบรูปแบบการกระจายตัวของคะแนน Vote No ในการลงประชามติ ร่างรัฐธรรมนูญ
เปรียบเทียบกับ จำนวน สส. พรรคพลังประชาชน จากการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550
พบว่ามีลักษณะเหมือนกันเป็นอย่างมาก

โดยที่จุดแตกต่างที่สำคัญของคะแนน Vote No ในพื้นที่นครราชสีมา และเชียงใหม่ กับ
จำนวน สส.พลังประชาชน  หากนำจำนวน สส. เพื่อแผ่นดิน และรวมใจไทยฯ มารวมคิดด้วย
ก็จะยิ่งเหมือนกับข้อมูลคะแนน Vote No

...

เรื่องนี้น่าจะเป็นหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า การลงคะแนน Vote No ร่างรัฐธรรมนูญ 2550
มีความสัมพันธ์กับเครือข่ายหัวคะแนนของพรรคพลังประชาชน 

[jerasak]

15. แสดงพื้นที่ผูกขาดของ ส.ส.เขต พรรคต่างๆ และ พื้นที่ที่มีการจับคู่แข่งขันกันเพียง 2 ราย



ปิดท้ายด้วยแผนที่สรุปพื้นที่ผูกขาดของแต่ละพรรคนะครับ

ภาพซ้ายมือแสดงพื้นที่ผูกขาด 100% ของ พลังประชาชน และประชาธิปัตย์
โดยที่ผมได้แสดงพื้นที่ซึ่งมีอิทธิพลสูง (ได้ ส.ส. 75% ขึ้นไป) ไว้ให้ด้วย

อย่างไรก็ตามสำหรับ จ.ฉะเชิงเทรา และนครพนม แม้จะได้ สส.ถึง 3 ใน 4
ที่เท่ากับ 75% แต่ถ้ามีจำนวน สส. ลดลงเป็น 2 ใน 4 จะทำให้จำนวน สส.
เหลือเพียง 50% ทันที จึงไม่ใช่การผูกขาดที่เด่นชัดนัก

ในส่วนของประชาธิปัตย์ นอกจากครองพื้นที่ภาคใต้ และภาคตะวันออก
ที่สำคัญคือการได้ สส. 27 คน คิดเป็น 75% ของกรุงเทพฯ

...

รูปทางขวามือแสดงพื้นที่น่าสนใจอื่นๆ เช่นในส่วนของสีม่วง เป็นพื้นที่
ซึ่งมีพลังประชาชน และประชาธิปัตย์ ผูกขาดแข่งกันเพียง 2 พรรค
พื้นที่ดังกล่าวรวมถึง กรุงเทพมหานคร

ในส่วนพื้นที่สีเหลือง แสดงเขตผูกขาด 100% ของพรรคชาติไทย
ที่กว้างกว่าจังหวัดสุพรรณบุรี แต่ครอบคลุมอีก 4 จังหวัดใกล้เคียง

พื้นที่สีส้ม เป็นของพรรคประชาราช ที่ผูกขาด สส.ยกจังหวัดเช่นเดียวกัน
และพื้นที่สีเขียวเป็นของ เพื่อแผ่นดิน กับ รวมใจไทยฯ แข่งกันเพียง 2 พรรค 

[jerasak]

สุดท้ายนี้ผมอยากสรุปถึงสถานการณ์ที่เกรงว่ากำลังเข้าสู่วิกฤติทางการเมือง

จากการที่สามารถแบ่งโซนของแต่ละพรรคได้แบบนี้ น่าจะเป็นการยืนยัน
ถึงอิทธิพลของเครือข่ายหัวคะแนน ที่สามารถชี้ขาดผลการเลือกตั้ง

เงื่อนไขการชนะเลือกตั้ง ณ ปัจจุบัน จึงยังคงอยู่ที่พรรคใดสามารถต่อท่อ
เข้ากับเครือข่ายอิทธิพลในท้องถิ่น ก็จะสามารถชนะการเลือกตั้ง

โดยที่เครือข่ายในปัจจุบันเป็นอิสระจาก สส.ในพื้นที่มากขึ้นกว่าสมัยก่อน
เนื่องจากกลายสภาพเป็น อปท. ที่มีเงินงบประมาณเป็นของตัวเอง และ
พรรคการเมืองสามารถเชื่อมต่อโดยตรงเข้ากับ  อปท. โดยไม่ต้องผ่าน
สส. ในพื้นที่เหมือนในอดีต

สส.ที่แนบแน่นกับ อปท. เช่นสามารถส่งญาติเข้าไปนั่ง ก็จะยังคงรักษา
สภาพนำในพื้นที่ไว้ได้ แต่หากไม่สามารถแนบแน่นกับเครือข่าย ก็จะตก
อยู่ในสภาพขาลอยไม่กล้าลาออกจากพรรค เนื่องจากจะแพ้เลือกตั้งแน่ๆ

ตัวอย่างมีให้เห็นมากมายกับอดีต สส.ไทยรักไทย ที่ไปสังกัดเพื่อแผ่นดิน
รวมใจไทยฯ และมัชฌิมาฯ ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุด

ผลการเลือกตั้งใหม่ จ.บุรีรัมย์ ที่มีผู้สมัครมัชฌิมาฯ เดิมได้คะแนนเป็นหลักพัน
่กลายเป็นพลิกชนะเลือกตั้งได้คะแนนระดับ 7-8 หมื่นคะแนน น่าจะเป็นข้อยืนยัน
ถึงอิทธิพลของเครือข่ายหัวคะแนน ที่สามารถสั่งเทคะแนนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี

...

พื้นที่ต่างๆ ยังคงมีกลุ่มอิทธิพลผูกขาด พรรคการเมืองใดที่สามารถสะสม
เครือข่ายได้มากกว่า ก็จะชนะการเลือกตั้ง พื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือ
มีน้ำหนักมากที่สุดในการชี้ผลแพ้ชนะ

ทั้งหมดจึงสรุปว่า ระบบอุปถัมภ์อำนาจนิยมยังคงมีอิทธิพลอย่างแนบแน่น
กับการขึ้นครองอำนาจรัฐของกลุ่มการเมืองไทย และจะยังมีอิทธิพลต่อไป
ตราบใดที่มีความแตกต่างของฐานะเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคเหนือ-ภาคอีสาน

...

ถึงตอนนี้ผมคิดว่าคนชั้นกลางควรตระหนักรู้ได้แล้วว่าสถานการณ์การเมือง
ของกลุ่มคนชั้นกลางได้มาถึงทางตัน ปัญหาความไม่เท่าเทียมกันทาง
เศรษฐกิจในที่สุดได้ส่งผลกระทบมาถึงสมดุลการเมือง

ปัจจุบันคนชั้นกลางได้สูญเสียอำนาจที่เคยมีในการควบคุมกลุ่มการเมือง
เนื่องจากกลุ่มการเมืองที่มีกลุ่มผู้เล่นใหม่จากสายนักธุรกิจได้ต่อตรงเข้ากับ
กลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจทั้งในเมืองและชนบทให้มาเป็นฐานเสียง
โดยแลกกับการเสนอผลประโยชน์ระยะสั้นผ่านโครงการประชานิยมต่างๆ

ในขณะที่กลุ่มการเมืองไม่มีการปรับปรุงแก้ไขปัญหาการทุจริต ที่ได้พัฒนา
ไปเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย แต่มุ่งอาศัยฐานเสียงของกลุ่มผู้ด้อยโอกาส
มาอ้างความชอบธรรมในการครองอำนาจ

ในขณะที่กลุ่มคนชั้นกลางมีจำนวนน้อยกว่าและไม่มีทางชนะฐานเสียง
ของกลุ่มผู้ด้อยโอกาสเลย แม้จะรู้เท่าทันการทุจริตของกลุ่มการเมือง
แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้!!!!

...

แนวทางแก้ปัญหาทางตันทางการเมืองของคนชั้นกลางในขณะนี้
อาจเหลืออยู่เพียงทางเดียวคือช่วยกันผลักดัน ยกระดับฐานะของ
กลุ่มผู้ด้อยโอกาสให้เติบโตขึ้นมาเพิ่มจำนวนคนชั้นกลาง

จะด้วยการผลักดันสนับสนุนโครงการภาครัฐที่ยกระดับฐานะของ
กลุ่มผู้ด้อยโอกาศ หรือผ่านโครงการของเอกชนเอง รวมไปถึง
การสนับสนุนให้ทุนการศึกษาส่วนตัวกับเยาวชน อะไรก็แล้วแต่

จุดเริ่มต้นสำคัญที่สุด ต้องอยู่ที่การสร้างความตระหนักรู้ให้เกิดขึ้น
ในหมู่คนชั้นกลาง ว่าปัญหาความไ่ม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ
ขณะนี้ได้กลายมาเป็นวิกฤติทางการเมืองของคนชั้นกลางแล้ว

การมุ่งแก้ปัญหาดังกล่าวก็คือการแก้ปัญหาของคนชั้นกลางเอง
ไม่ใช่การแก้ปัญหาไกลตัว ที่เป็นเรื่องของคนอื่นอีกต่อไป 

[นทร์]

แม้จะรู้เท่าทันการทุจริตของกลุ่มการเมือง
แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้!!!!

ค่อยๆดูกันไปครับ (แต่อย่าหวังอะไรมาก)

 

[ปุถุชน]

6. เปรียบเทียบ อดีต ส.ส.เขต ประชาธิปัตย์ ก่อนยุบสภา ที่ สอบตก และ สอบได้ ในครั้งนี้



ในการเลือกตั้ง 2550 มีผู้ไม่ลงสมัครต่อ 10 คน เป็น ส.ส. เขต 4 คน เป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ 6 คน
ในจำนวนนี้มี ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีต ส.ส. นครศรีธรรมราช ที่ไปรับตำแหน่ง เลขาธิการอาเซียน
และ ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ที่ประกาศลาออก

มี อดีต ส.ส. ย้ายไปลงสมัครเป็น ส.ส.พรรคอื่น 2 คนคือ นพ.วัลลภ ไทยเหนือ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ
ย้ายไปลงสมัคร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อแผ่นดิน และชนะเลือกตั้ง อีกคนคือ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
อดีต ส.ส. พิจิตร ย้ายไปลงสมัคร ส.ส. พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และชนะเลือกตั้งเช่นเดียวกัน

คงเหลือลงสมัครหรือส่งตัวแทนในสังกัดประชาธิปัตย์ 84 คน ชนะเลือกตั้ง 75 คน แบ่งเป็น ส.ส.เขต 57 คน
และ ส.ส.สัดส่วน 18 คน สอบตกรวม 9 คน เป็น ส.ส.เขต ภาคใต้ 8 คน (6 คนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดน)
และ เป็น ส.ส.สัดส่วน 1 คน

มี อดีต ส.ส.ไทยรักไทย ย้ายมาลงสมัครเป็น ส.ส. ประชาธิปัตย์ 5 คน ชนะเลือกตั้ง สส.เขต 3 คน
นอกจากนั้นมี 1 คนที่เป็นสมาชิก 111 กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย คือ นายวุฒิชัย สงวนวงศ์ชัย
อดีต ส.ส.ชัยภูมิ 7 สมัย ที่มีพี่ชาย นายพุฒิพงศ์ สงวนวงศ์ชัย ลง สส.สัดส่วน กลุ่ม 2 ชนะเลือกตั้ง
แต่ นางอินทิรา สงวนวงศ์ชัย ภรรยา และ ชานันท์ เตียวสุวรรณ หลานชาย ที่ลง ส.ส.ชัยภูมิ แข่งกับ
ปาริชาติ ชาลีเครือ (น้องสาวสุชน ชาลีเครือ) พลาดท่าสอบตก อีกคนที่สอบตกคือ นาวาโทเดชา สุขารมณ์
อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ลงสมัคร ส.ส. กาญจนบุรี

ในครั้งนี้ที่พลาดท่ามากมายคือในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีอดีต สส.สอบตกหลายคน
และมีสอบตกที่สุราษฎ์ธานีอีก 1 คน
ในขณะที่พื้นที่อื่นๆ อดีต สส.ทุกคนที่มาลงสมัคร สามารถชนะเืลือกตั้งกลับมาได้ทั้งหมด 

ในครั้งนี้ที่พลาดท่ามากมายคือในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีอดีต สส.สอบตกหลายคน


คุณชวน หลีกภัยได้วิพากษ์วิจารณ์ การซื้อเสียง-ขายเสียงได้ระบาดไปถึง 3 จังหวัดภาคใต้
ที่ไม่เคยมีการซื้อเสียง-ขายเสียงมาก่อน....
ข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันเป็นจริงจากอดีตรองหัวหน้าพรรคทรท. ที่รู้เรื่องการเมืองภายในพรรคดีที่สุด
ของพรรคเพื่อแผ่นดินและพรรคพลังประชาชน....
ใช้จ่ายถึงหัวละ 500 บาท....

ท่านได้แสดงความคิดเห็นต่อว่า
ถ้านายประชัยให้การสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ 1000 ล้านบาท
แทนที่จะใช้เงินมากกว่า 500 ล้านบาทในการสนับสนุนพรรคมัชฌิมาฯ....

จะมีโอกาสเป็น'รัฐมนตรีการคลัง'สมใจก็ได้......

[Suraphan07]

"จุดเริ่มต้นสำคัญที่สุด ต้องอยู่ที่การสร้างความตระหนักรู้ ให้เกิดขึ้น
ในหมู่คนชั้นกลาง ว่าปัญหาความไ่ม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ
ขณะนี้ได้กลายมาเป็นวิกฤติทางการเมืองของคนชั้นกลางแล้ว."
 

คงต้องยอมรับการ "โกงได้ แต่ให้มีผลงาน" กันต่อไป...

ขอบพระคุณการวิเคราะห์ข้อมูลของคุณ จี ครับ...

[Can ไทเมือง]

ขยายเครือข่ายในแนวราบ จากเพื่อนถึงเพื่อน จากครอบครัวสู่ครอบครัว

ส่งเสริมให้เพื่อนการตระหนักรู้ถึงพิษภัยนักการเมือง ธุรกิจการเมือง การเซ้งพรรค เซ้ง สส.

ถ้าการเมืองตีค่าได้แค่เงิน ทุกอย่างในประเทศนี้ก็จบครับ

[soco]

และมีสอบตกที่สุราษฎ์ธานีอีก 1 คน.......







สุราษฎร์ฯ ปชป.สอบได้ยกทีมครับ  ไม่มีตก

[น้องแบ๊งค์เองครับ]

 

[ปุถุชน]

และมีสอบตกที่สุราษฎ์ธานีอีก 1 คน.......







สุราษฎร์ฯ ปชป.สอบได้ยกทีมครับ  ไม่มีตก

ผมแก้ไขในคคห.ของผมแล้ว
ที่เหลือคงให่คุณจีรศักดิ์มาแก้ไข.....
ขอบคุณครับ

[ปุถุชน]

ข้อมูล แผนภูมิของคุณจีรศักดิ์ ทำให้สรุปได้ว่า
'หมัก เมถุน' ไม่มีค่าตัวในภาคอิสาน/ภาคเหนือเลย.....

แม้แต่กรุงเทพมหานครที่'หมัก เมถุน' คุยโม้เรื่อย ๆ....
คะแนนเสียงพรรคพลังประชาชน ก็ลดน้อยลงเหลือ สส. 10 คนเท่านั้น
ดังนั้นอนาคตของ'หมัก เมถุน' จึงคาดเดาได้.....ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

[jerasak]

และมีสอบตกที่สุราษฎ์ธานีอีก 1 คน.......

สุราษฎร์ฯ ปชป.สอบได้ยกทีมครับ  ไม่มีตก

ใช่ครับคราวนี้ ปชป. สอบได้ยกทีมจริง..

แต่ ปชป. มีอดีต สส.สุราษฎ์สอบตก 1 ท่านจริงๆ ด้วย
คือ รศ.ดร.โกเมศ ขวัญเมือง อดีต สส.สุราษฎ์ธานี
ที่ย้ายไปลง สส.สัดส่วนกลุ่ม 8 ในลำดับที่ 9

ผมก็เลยนำเสนอไปด้วยว่ามีอดีต สส.สอบตก
แต่คงจะเบลอๆ เลยใช้คำพูดไม่ถูกต้องครับ

เพื่อความชัดเจนได้ไปขยายความเพิ่มเติมแล้ว
ขอบคุณคุณ soco มากนะครับที่ทักท้วง 

[ริวเซย์]

ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูล ครั้งนี้ผมถือว่าปชป.ทำได้ดีมากแล้ว

ผมคาดว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า ปชป.จะทำได้ดีกว่านี้อีกครับ

[ใบไม้ทะเล]

เข้ามาเชียร์ ปชป. ขอให้ขยายพื้นที่ได้ สส. มากขึ้นค่ะ สู้ๆๆ พี่มาร์ค

ลุงหมักสู้ตาย (ต้องได้เป็นนายก)

[jerasak]

ในครั้งนี้ที่พลาดท่ามากมายคือในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีอดีต สส.สอบตกหลายคน

คุณชวน หลีกภัยได้วิพากษ์วิจารณ์ การซื้อเสียง-ขายเสียงได้ระบาดไปถึง 3 จังหวัดภาคใต้
ที่ไม่เคยมีการซื้อเสียง-ขายเสียงมาก่อน....
ข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันเป็นจริงจากอดีตรองหัวหน้าพรรคทรท. ที่รู้เรื่องการเมืองภายในพรรคดีที่สุด
ของพรรคเพื่อแผ่นดินและพรรคพลังประชาชน....
ใช้จ่ายถึงหัวละ 500 บาท....

ท่านได้แสดงความคิดเห็นต่อว่า
ถ้านายประชัยให้การสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ 1000 ล้านบาท
แทนที่จะใช้เงินมากกว่า 500 ล้านบาทในการสนับสนุนพรรคมัชฌิมาฯ....

จะมีโอกาสเป็น'รัฐมนตรีการคลัง'สมใจก็ได้......

ครับลุงปุ

คราวนี้ อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่สอบตกเกือบทั้งหมดอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
แต่ส่วนใหญ่แพ้แบบสูสีหลักพันคะแนนครับ มีที่แพ้มากจริงๆ คือ นราธิวาส เขต 2 เท่านั้น

1. นายซาตา อาแวกือจิ             อดีต สส.ปัตตานี ครั้งนี้ลง สส.ปัตตานี เขต 2
2. ว่าที่ ร.ต.โมฮามัดยาสรี ยูซง   อดีต สส.ปัตตานี ครั้งนี้ลง สส.ปัตตานี เขต 2
3. นายณรงค์ ดูดิง                    อดีต สส.ยะลา  ครั้งนี้ลง สส.ยะลา เขต 1
4. นายอดุลย์ สาฮีบาตู              อดีต สส.นราธิวาส ครั้งนี้ลง สส.นราธิวาส เขต 1
5. นายสุรเชษฐ์ แวอาแซ           อดีต สส.นราธิวาส ครั้งนี้ลง สส.นราธิวาส เขต 2

อดีต สส.เขต นอกพื้นที่ 3 จังหวัด ที่สอบตกมีอีกคนเดียว แต่เป็นการสอบตกเนื่องจาก
ย้ายไปลง สส.สัดส่วน และอยู่ในลำดับที่ 9 ครับคือ

6. รศ.ดร.โกเมศ ขวัญเมือง        อดีต สส.สุราษฎร์ธานี ครั้งนี้ ลง สส.สัดส่วน กลุ่ม 8

นอกจากนี้ยังมีอดีต สส.บัญชีรายชื่อ ที่สอบตกอีกคนหนึ่งด้วย แต่ย้ายไปลง สส.เขต
ที่ จ.กาญจนบุรี ซึ่งผมไม่ได้นำมารวมเพราะ เดิมเป็น สส.สัดส่วน น่าจะนับเป็นผู้สมัคร
สส.เขต หน้าใหม่ ไม่ใช่เป็นการการรักษาพื้นที่เดิมครับ

7. นายบุรณัชย์ สมุทรักษ์          อดีต สส.บัญชีรายชื่อ ครั้งนี้ ลง สส.เขตที่ กาญจนบุรี

[jerasak]

ขยายเครือข่ายในแนวราบ จากเพื่อนถึงเพื่อน จากครอบครัวสู่ครอบครัว

ส่งเสริมให้เพื่อนการตระหนักรู้ถึงพิษภัยนักการเมือง ธุรกิจการเมือง การเซ้งพรรค เซ้ง สส.

ถ้าการเมืองตีค่าได้แค่เงิน ทุกอย่างในประเทศนี้ก็จบครับ

ต้องช่วยกันดูแล ส่งเสริม เครือข่ายของคนรู้ทัน (คนชั้นกลาง) ให้ขยายตัวครับ
เป็นเรื่องระยะยาวที่เราต้องช่วยกันทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

ผมคาดหวังว่าก่อนตัวเองจะตาย คงได้เห็นความสำเร็จเป็นรูปธรรมเกิดขึ้น

...

น่าเสียดายที่ผมไม่มีข้อมูลผู้ลงคะแนนจำแนกตามกลุ่มอายุ ที่จะนำมาเทียบ
ในการเลือกตั้ง 2548 และ 2550 เป็นแค่ความเชื่อส่วนตัวว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่
น่าจะมีความรู้เท่าทันมากขึ้น จากความสามารถในการเข้าถึงข่าวสารข้อมูล
มากกว่าคนรุ่นเก่า โดยเฉพาะข้อมูลข่าวสารทางอินเตอร์เน็ต

ผมยังตั้งความหวังว่าการขยายตัวของเครือข่ายอินเตอร์เน็ตจะมาช่วยเสริม
ความรู้เท่าทันทางการเมืองให้กับคนไทยในอนาคต สงครามข่าวสารข้อมูล
ถ้าเข้าสู่อินเตอร์เน็ตเป็นการยากที่จะควบคุมทิศทางตามใจ ไม่ว่าอย่างไร
ก็ปิดบัง 100% ไม่ได้ เพราะผู้เล่นมีเป็นแสนเป็นล้านราย

*ต่างกับการคุมเนื้อหา ในสื่อโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ยุคเดิมๆ*

...

เมื่อ 10 ปีที่แล้ว คนอย่างผม ถึงจะมีความคิดอยากจะนำเสนอต่อสาธารณะ
ก็ไม่มีทางทำได้แบบปัจจุบัน ที่แค่โพสในบอร์ดเสรีไทยก็มีโอกาสสื่อสาร
กับเพื่อนคนไทยคนอื่นๆ ได้เป็นพันรายทั่วโลกในกระทู้เดียว

บางเรื่องยังมีเพื่อนช่วยนำไปเผยแพร่ต่อในเว็บอื่นๆ ผมยังพบงานแปลเพลง
ที่ผมเคยแปลโพสไว้ในบอร์ดเก่าๆ มีผู้ชอบใจนำไปส่งต่อเป็น forward mail
ซึ่งผมคิดว่าเป็นตัวอย่างแสดงถึงโอกาสที่เปิดกว้างขึ้นของคนธรรมดา
ในการนำเสนอผลงาน และความคิดเห็นต่อสาธารณะ

ตัวอย่างล่าสุดที่นึกได้คือกรณีละคร "สงครามนางฟ้า" ที่มีที่มาจากงานเขียน
ของคุณ แอร์กี่ ที่นำมาโพสลงเว็บบอร์ด โดยไม่ต้องมีสำนักพิมพ์สนับสนุน
แต่ในที่สุดโด่งดัง มีการขอจัดพิมพ์เป็นหนังสือ และนำไปทำเป็นละครทีวี

อาวุธทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของคนชั้นกลางในปัจจุบัน และอนาคต
น่าจะเป็น "เครือข่ายอินเตอร์เน็ต" ซึ่งจะต้องขยายตัวอย่างแน่นอน
และผมฝากความหวังไว้กับคนไทยรุ่นใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเรียนรู้มากขึ้นครับ 

[ใบไม้ทะเล]

ในเนตช่วยได้จริงๆๆค่ะ กลุ่มเพื่อนอนาไม่ค่อยสนใจการเมืองกันเท่าไร แต่ในบล๊อคของอนา Hi5 นะค่ะ

เลือกตั้งครั้งที่แล้ว เบอร์ส4  เพื่อนๆกากันหมดเลยนะค่ะ ไปอ่าน คคห ของเพื่อนๆจากการโน้มน้าวของอนาได้เลย 

ผลงานแอ๊บแบ๊ว ชิ้นโบว์แดง 

[Can ไทเมือง]

นักการเมือง ข้าราชการ นักธุรกิจ นักวิชาการ "ตัวจริง"
ต้องเข้ามาร่วมเสริมในการให้ "ข้อมูล" ด้วยครับ

อย่างน้อยคนอ่านจะได้ใช้วิจารณญาณ มีคนชี้แจงโต้แย้ง

[ปลัดแรมโบ้]

       ตอนนี้ เริ่มมีการเช็คบิล กันปะปราย  เช่น ที่จังหวัดลำปาง ได้มีการสั่งย้ายผู้อำนวยการการเลือกตั้ง เขต 3 คือ นายกฤษณพันธุ์  เพ็งศรี (ผอ.ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอวังเหนือ)  ซึ่งเป็นคนที่เสนอให้ กกต. ออก 2 ใบแดง 1 ใบเหลืองให้กับผู้สมัครพรรคพลังประชาชนที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.
       เห็นได้ว่ามีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านและนายก อบต. หลายคนในพื้นที่อำเภอวังเหนือถูก กกต.เรียกไปสอบสวน  จึงเชื่อได้ว่า หลักฐานชี้มูลมาจากทางอำเภอวังเหนือ
       การย้ายข้าราชการดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับชาววังเหนือเป็นอย่างยิ่ง  มีกลุ่มภาคประชาชนเริ่มเคลื่อนไหวหลายกลุ่ม
http://www.oknation.net/blog/thaifreeman/2008/01/23/entry-1

[Can ไทเมือง]

เห็นบอกที่เชียงราย นายตำรวจพื้นที่ กำลังจะโดน

เป้าใหญ่ อาจไปที่ บุรีรัมย์ ตัวรองผู้ว่าฯ น่าเป็นห่วง

พวกเราชาวเน็ต ควร หาประวัติตัวบุคคลที่ทำงานเข้มแข็ง มาให้กำลังใจให้มากๆ

ที่จริงงานนี้ กกต. น่าจะจัดงบจ้างนักวิจัยลงไปในพื้นที่ ช่วงนี้กำลังดี ประชาชนยังมีความคิดเกาะติดกระแส

หากชุดคำถามทำดีๆ อาจได้ข้อมูลอีกชุด ได้พัฒนางาน จัดการเลือกตั้งได้ดียิ่งขึ้น

[ปลัดแรมโบ้]

 กกต.น่าจะออกกฎหมายคุ้มครองผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ให้ กกต.อย่างจริงจัง โดยอาจห้ามมิให้โยกย้าย ข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ที่ยื่นเรื่องขอความคุ้มครอง หรือห้ามมิให้ถูกกลั่นแกล้งใดๆทั้งสิ้น  หากจะกระทำให้เป็นคำสั่งของศาลไปเลย น่าจะดี เพราะแขนขามือเท้าของ กกต.ก็คือข้าราชการจากหน่วยงานต่างๆที่เข้าไปเป็นกรรมการ อนุกรรมการ เจ้าหน้าที่ในระดับต่างๆ

[Can ไทเมือง]

ก็น่าจะดีครับ ในช่วงนี้ยังเลือกตั้งสว.รออยู่ คงยังไม่มีใครกล้าย้ายหรอกครับ

แต่หลังเลือกตั้งสว. ไม่แน่ครับ ของมันรู้ๆ กันอยู่ เสรีพิศุทธิ์ จะกล้าทัดทานมั๊ย

อ้อ...ว่างๆ จะขอยืมเนื้อหากับภาพของคุณจีฯ ในกระทู้นี้ไป เล่นในมุมมองผมบ้าง ฮ่า ฮ่า

[jerasak]

       ตอนนี้ เริ่มมีการเช็คบิล กันปะปราย  เช่น ที่จังหวัดลำปาง ได้มีการสั่งย้ายผู้อำนวยการการเลือกตั้ง เขต 3 คือ นายกฤษณพันธุ์  เพ็งศรี (ผอ.ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอวังเหนือ)  ซึ่งเป็นคนที่เสนอให้ กกต. ออก 2 ใบแดง 1 ใบเหลืองให้กับผู้สมัครพรรคพลังประชาชนที่ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ส.
       เห็นได้ว่ามีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านและนายก อบต. หลายคนในพื้นที่อำเภอวังเหนือถูก กกต.เรียกไปสอบสวน  จึงเชื่อได้ว่า หลักฐานชี้มูลมาจากทางอำเภอวังเหนือ
       การย้ายข้าราชการดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับชาววังเหนือเป็นอย่างยิ่ง  มีกลุ่มภาคประชาชนเริ่มเคลื่อนไหวหลายกลุ่ม
http://www.oknation.net/blog/thaifreeman/2008/01/23/entry-1

เข้าไปอ่านตามลิงค์คุณ sommai แล้ว (เรียก "ปลัดสมหมาย" ดีไหม) 

ก็เห็นตัวอย่างจริงของการใช้อิทธิพลในพื้นที่ ใครจะบอกว่าเลือกตั้งคราวนี้คนเลือกเพราะนโยบาย
แต่ผมยังเชื่อว่าเครือข่ายการปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิทธิพลอย่างสูง

ถ้าข้าราชการที่ดี มีกฎหมายช่วยปกป้องคุ้มครองไม่ให้ถูกอิทธิพลรังแก มีฐานมวลชนช่วยสนับสนุน
ก็น่าจะพอช่วยคานอิทธิพลมืดแบบเดิมๆ แต่จะมีกฎหมายคุ้มครองก็ยากจะหวังได้เห็น
และในส่วนการเมืองภาคประชาชนก็รู้สึกว่าคืบหน้าช้าเหลือเกิน 

...

ในอนาคตอันใกล้..

ผมหวังจะเห็นเครือข่ายประชาชนเกิดขึ้นในอินเตอร์เน็ต เพื่อรวบรวมความเคลื่อนไหวทางการเมือง
ในแต่ละท้องถิ่น ให้สาธารณะสามารถติดตามสืบค้น และขณะเดียวกันจะมีนักการเมืองรุ่นใหม่ที่หันมา
ใช้ช่องทางนี้ในการแนะนำตัว นำเสนอนโยบาย ทำความรู้จักกับท้องถิ่น

เรื่องทำอะไรกันมืดๆ ก็จะลดลงไปถ้าตกอยู่ในสายตาของสาธารณะ สื่อระบบเก่าๆ อย่างหนังสือพิมพ์
น่าจะลดบทบาทไปเรื่อยๆ  ถ้าย้ายมาอยู่ในอินเตอร์เน็ตก็เป็นได้แค่ "เว็บบล็อก" ขนาดใหญ่เท่านั้น
จะใช้วิธี ปิดข่าว-ปล่อยข่าว แบบเดิมๆ ก็ผูกขาดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

แม้แต่สื่อโทรทัศน์ ปัจจุบันไทยเราก็เริ่มมีเว็บไซต์ของคนทั่วไปที่บันทึกรายการผ่านกล้องวิดีโอง่ายๆ
แล้วนำเสนอในรูปคลิปรายการ โดยวิ่งหาโฆษณามาลงกันเอง หลายเว็บมีแฟนรายการติดตามชม
ไม่แตกต่างจากรายการโทรทัศน์ ผมเองตอนนี้ก็เริ่มตามดูเด็กๆ พวกนี้จัดรายการ

ต่อไปในอนาคตพวกเราประชาชน จะกลายเป็นผู้ทำหน้าที่สื่อมวลชนกันเอง และการเมืองประเทศไทย
ก็น่าจะพลิกไปเล่นกันที่ข่าวสารข้อมูลมากขึ้น ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับอิทธิพลในพื้นที่แบบเดิมๆ

ผมเชื่อว่าอนาคตการเมืองไทยจะต้องดีขึ้น ฝากความหวังไว้กับอินเตอร์เน็ตนี่แหละครับ 

[jerasak]

กกต.น่าจะออกกฎหมายคุ้มครองผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ให้ กกต.อย่างจริงจัง โดยอาจห้ามมิให้โยกย้าย ข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ที่ยื่นเรื่องขอความคุ้มครอง หรือห้ามมิให้ถูกกลั่นแกล้งใดๆทั้งสิ้น  หากจะกระทำให้เป็นคำสั่งของศาลไปเลย น่าจะดี เพราะแขนขามือเท้าของ กกต.ก็คือข้าราชการจากหน่วยงานต่างๆที่เข้าไปเป็นกรรมการ อนุกรรมการ เจ้าหน้าที่ในระดับต่างๆ

เห็นด้วยว่าน่าจะมีกฎหมายคุ้มครองเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่แนวทางจะเกิดกฎหมายขึ้นมายังมองไม่เห็น
และถ้าข้าราชการจะตั้ง "พรรคข้าราชการ" ขึ้นมาผลักดันก็คงทำไม่ได้
เพราะเขาก็จะบอกว่าข้าราชการห้ามฝักใฝ่พรรคการเมืองอีก 

[jerasak]

ก็น่าจะดีครับ ในช่วงนี้ยังเลือกตั้งสว.รออยู่ คงยังไม่มีใครกล้าย้ายหรอกครับ

แต่หลังเลือกตั้งสว. ไม่แน่ครับ ของมันรู้ๆ กันอยู่ เสรีพิศุทธิ์ จะกล้าทัดทานมั๊ย

อ้อ...ว่างๆ จะขอยืมเนื้อหากับภาพของคุณจีฯ ในกระทู้นี้ไป เล่นในมุมมองผมบ้าง ฮ่า ฮ่า

เรื่องจะเอาเนื้อหาไปเผยแพร่ต่อ ทำได้เลยนะครับ
ผมก็เอามาเผยแพร่ต่อสาธารณะอยู่แล้ว
แถมเล่นในมุมลุงแคนแล้วโดนใจแฟนๆ ทุกที 

...

แจ้งข่าวเพิ่มเติมว่าผมเพิ่งทำข้อมูลวิเคราะห์อีกชุดหนึ่ง
เกี่ยวกับผลการเลือกตั้ง 23 ธันวา 50 ในเขตกรุงเทพฯ

มีจุดที่น่าสนใจ และยังคงสอดคล้องกับข้อสรุปในกระทู้นี้
และคงจะนำเสนอเป็นกระทู้วิเคราะห์ฯ ภาค 2
คิดว่าประมาณวันสองวันนี้แหละครับ 

[Albert Einsteins]

ผมมองว่าเป็นการต่อสู้ระหว่าง Strategy Management กับ Systematic Management

พปข วางเป้าหมายทางกลยุทธอย่างช้ดเจน ใช้ทุนเป็นตัวขับดัน เป้าหมายคือ 250+ ไม่ออกนอกพื้นที่เป้าหมาย พลาดที่ กทม
ดำเนินการโดยวางกรอบของระบบหัวคะแนนอย่างชัดเจน มุ่งเน้นเป้าหมายอย่างชัดเจน เป็นการจัดการแบบสมัยใหม่

ปชป ดำเนินการโดยเชื่อปรัชญาระบบการเมือง ให้ประชาชนตัดสิน มากกว่าการวางกลยุทธเพื่อชัยชนะ วางเป้าหมายคือ 160+
แต่คาดว่าจุดอ่อนทางพื้นที่การเมือง จะถูกเติมเต็มโดยพันธมิิตรการเมืองอย่าง ชท กะ พผด

ต้องบอกว่า พปช เยี่ยมกว่าฮะ

 

[Can ไทเมือง]

ผมคงต้องรวบรวมความเห็นในกระทู้ คนอีสานทำไมหลงเหลี่ยมมาเรียบเรียงใหม่

กระทู้นั้น เล่าให้ฟังเรื่องระบบเลือกตั้งในอีสานค่อนข้างละเอียด

อิทธิพล สส.เก่า เค้าวางไว้หมดแล้ว ตัวชิงดำ ก็มีบ้าง แต่ก็คือคนเก่าๆ คนเคยสอบได้สอบตก วนๆ กันอยู่ตรงนั้น

นอกนั้นยังมีทายาททางการเมือง ประเภท สั่งให้เลือกได้เลย

นักการเมืองหน้าใหม่ ก็ยังต้องไปเดินในระบบอุปถัมป์เหมือนเดิม

คือต้องเข้าไปริเริ่มในการเมืองท้องถิ่น สร้างบารมีกันใหม่หมด

สส.เก่าของเค้าไปพรรคไหน เค้าก็เลือกที่คน ไม่สนใจพรรค

นโยบายพรรคเป็นเรื่องรองครับ เค้าดูว่า สส.ของเค้าคนไหนสนใจเค้ามากกว่า

ผลประโยชน์ที่เครือข่ายวางไว้ มันไม่ได้หยุดแค่เลือกตั้ง แต่มันหมายถึงการได้รับประมูลงาน การได้รับการจัดสรรงบประมาณ

ตลอดจนการพัฒนาในท้องถิ่นหลังเลือกตั้ง ซึ่งต้องอาศัยเครือข่ายนักการเมืองทั้งนั้น

ไว้เราคอยจับตาดูเลือก สว. คนเดียว ต่อจังหวัดซีครับ

ตรงนี้แหละยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ บางจังหวัดเนื้อที่มันมหาศาล คนที่จะได้ก็คือเครือข่าย สส. ทั้งนั้นครับ

คนดี คนเก่ง ที่ไม่มีเครือข่าย เกิดได้ลำบาก ผมถึงบอกว่า หากจะเข้าไปทำการเมืองอีสานหรือเหนือหรือทุกเขตทั่วประเทศ

มันต้องผ่านเครือข่ายจัดตั้งมาก่อนทั้งนั้น ส่วนไหนที่ไม่ใช่เครือข่าย ต้องยิงอย่างหนัก

ที่สำคัญ บางเขต ที่มี สส. 2 คน ก็มีแบ่งกันด้วย แม้ต่างพรรคก็เถอะ

[Albert Einsteins]

สมมุติว่า พปช บริหารประเทศแล้วล้มเหลวจนต้องยุบสภา
จากระบบการเลือกตั้งที่มี
ถ้า พปช เปลี่ยนหัว เป็น ทักษิณ และ สส แกนนำไม่แยกตัวออกไป
คาดว่าคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงพรรครัฐบาลแน่ๆ เฉกเช่นคราวนี้

แล้วการเลือกตั้งจะมีไปทำไม ในเมื่อมันไม่ตอบโจทย์ในการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น
หากยังมีการกุมสภาพคะแนนไว้ได้ผ่านระบบจัดตั้งและทุน

 

[ปรมาจารย์เจได]

ผมและเพื่อนๆ ด่าทักษิณ แกล้มเหล้ากันทุกครั้ง
แต่เลือกตั้งที่ผ่านมา
เพื่อนผมมันมาบอกผมว่า มันไปกา สส พลังประชาชนมา 1 คน ผมเลยถามว่า อ้าว มรึงไปกามันทำไมวะ
เพื่อนผมเลยบอกว่า ก็มีแต่ไอ้นั่นคนเดียว มาหาเสียงกะกรู กรูก็ไม่รู้จะเอาใคร เลยเอามันนี่แหละ

 

[********Q********]

คิดว่าทำไม่ปชป.ได้เสียงสัดส่วนเพิ่ม?

ถามลอยๆครับ ไม่ต้องตอบก็ได้ เพราะแล้วแต่จะคิด


รอดูการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าหากไม่ได้เพิ่มขึ้นก็สบายใจได้ว่าวิเคราะห์โดยมีสมมุติฐานที่ผิด..

[ปรมาจารย์เจได]

คิดว่าทำไม่ปชป.ได้เสียงสัดส่วนเพิ่ม?

ถามลอยๆครับ ไม่ต้องตอบก็ได้ เพราะแล้วแต่จะคิด


รอดูการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าหากไม่ได้เพิ่มขึ้นก็สบายใจได้ว่าวิเคราะห์โดยมีสมมุติฐานที่ผิด..

จะบอกว่ามันโกงผลคะแนนสัดส่วนก็บอกมาเถอะครับ แค่พูดออกมา แล้วจะได้ต่อประเด็นถูก
ให้คิดจินตนาการเอาเองแบบนี้ ต่อไม่ไหว