ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
27-11-2024, 10:36
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สโมสรริมน้ำ  |  Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...สันดอนที่มหัศจรรย์ของโลก*** ~~ 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: 1 [2]
Re: ~~ *** ทั้งกิน ทั้งเที่ยว คราวเดียวกัน...สันดอนที่มหัศจรรย์ของโลก*** ~~  (อ่าน 23312 ครั้ง)
paper punch
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 672



« ตอบ #50 เมื่อ: 24-06-2008, 19:20 »

สวัสดีคุณดอกฟ้าและทุกๆท่านครับ ผมอยู่เชียงใหม่ครับ
เห็นกระทู้นี้เลยเข้ามาดูชอบมากครับ ขออนุญาติเพิ่มเติมข้อมูลของท่านพระครูบาศรีวิชัยครับ

                    ตำนานแห่งศรัทธาที่ไม่มีวันสิ้นสุด

ย้อนอดีตไปเมื่อพ.ศ.2477  ครูบาศรีวิชัย เพิ่งแล้วเสร็จภารกิจจาริกแสวงบุญ จากการบูรณะวัดวาอารามในจังหวัดเชียงราย และมาประจำที่ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมา หลวงศรีประกาศ ได้เข้ากราบนมัสการ แล้วปรารภถึง พระธาตุดอยสุเทพ ซึ่งถือว่าเป็นปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวเชียงใหม่ หลวงศรีประกาศจึงคิดที่จะนำไฟฟ้า ขึ้นไปประดับองค์พระธาตุ แต่เป็นเรื่องเหลือกำลัง จึงได้ปรึกษาท่านพระครูบาเจ้า พระครูบาเจ้าได้บอกกับคุณหลวงว่าจะขออธิษฐานจิตดูก่อนว่าจะทำได้หรือไม่ ในคืนนั้นท่านพระครูบาเจ้าก็ได้ตั้งจิตเป็นสมาธิ และได้ปรากฏเป็นนิมิตให้เห็น ตาปะขาว (ชีปะขาว) มาจูงแขนนำท่านจากวัดพระสิงห์เห็นเป็นถนน แล้วเดินไปสักการะบูชาองค์พระธาตุดอยสุเทพ

วันรุ่งขึ้นหลวงศรีประกาศมาพร้อมกับเจ้าแก้วนวรัฐ ท่านพระครูบาเจ้าจึงได้บอกว่า “ การที่จะนำไฟฟ้าขึ้นบนดอยนั้นจะไม่สำเร็จ แต่ถ้าสร้างทางขึ้นดอยจะสำเร็จ” ทั้ง 2 ท่านต่างก็แปลกใจเพราะหลายปีก่อน ทางราชการเคยคิดสร้างทางกันครั้งหนึ่งแล้ว โดยคำนวนว่าใช้งบประมาณถึง 2 แสนบาท ซึ่งสูงมากในสมัยนั้น เรื่องจึงเงียบไป แต่วันนี้กลับมาได้ยินว่าพระครูบาเจ้าศรีวิชัย จะสร้างทางขึ้นดอย ก็อดลังเลใจไม่ได้ แต่ท่านพระครูตอบอย่างหนักแน่นว่า”การสร้างทางขึ้นดอยสุเทพจะสำเร็จแน่นอน และจะสร้างเสร็จภายใน 6 เดือนด้วย”  จึงร่วมกันปรึกษาและได้กำหนดเอาวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2477 เมื่อถึงวันกำหนด พระครูบาเจ้าได้ให้ พระครูบาเถิ้ม (เจ้าอาวาสวัดแสนฝาง ผู้ดูแลพระธาตุดอยสุเทพ) กล่าวคำบวงสรวงอัญเชิญท้าวทั้ง 4 ทิศ พอถึงเวลา 10.00น.
คณะสงฆ์ซึ่งมีพระครูบาเถิ้มนำสวดเจริญพระพุทธมนต์ และสวดชัยมงคลคาถา พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นผู้ลงจอบแรก แล้วให้ท่านพระครูบาเจ้าลากมูลดินให้เป็นพิธีเริ่มแรก ซึ่งเป็นจุดแรกที่เริ่มสร้าง ปัจจุบันคือทางตรงหน้าอนุสาวรีย์พระครูบาเจ้าในปัจจุบัน

เมื่อเริ่มงานได้ประมาณ 7 วัน ชาวเชียงใหม่จำนวนมากได้ร่วมกันจัดเครื่องไทยทาน และเครื่องมือการสร้างทางต่างๆ บรรทุกรถร่วม 50 คัน มีดุริยางค์ดนตรี เป็นขบวนครึกครื้นมาถวายที่วัดศรีโสดา ชาวบ้านหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้วต่างชวนกันมาเป็นหมู่คณะ และผู้คนหลายเชื้อชาติภาษา มีทั้งชาวป่าชาวเขาต่างมุ่งหน้ามาสู่เชียงใหม่เพื่อร่วมกันสร้างทาง วันหนึ่งๆ ไม่น้อยกว่า 5,000 คน

เหตุการณ์สำคัญที่ผู้ร่วมเห็นในครั้งนั้นมาเล่าให้ฟังว่า ก่อนการสร้างทาง บริเวณนั้นจะมีเสียงสัตว์ร้องระงมตามธรรมชาติของป่าดงดิบ แต่พอถึงเวลาสร้างทางจริงๆ บริเวณนั้นกลับดูเงียบไปหมดเหมือนไม่มีสัตว์ป่าอยู่เลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะท่านพระครูบาเจ้าท่านได้ขอเมตตาให้สัตว์ทั้งหลายหลีกทางให้ ด้วยกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิต เป็นเวรเป็นกรรมต่อกัน แต่พองานสร้างทางเสร็จ เสียงนกเสียงสัตว์น้อยใหญ่ก็กลับมาได้ยินอีกเป็นที่น่าอัศจรรย์

ตรงจุดโค้งหักศอกที่จวนจะถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ เป็นจุดที่ทำยากมากใครมาถึงจุดนี้ ก็เว้นเสียกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ท่านพระครูบาเจ้าจึงมอบหมายให้ ขุนกันชนะนนท์ กำนันตำบลดอยสุเทพ รับเอาช่วงนั้นไป ขุนกันก็น้อมรับแล้วจึงช่วยทำจนสำเร็จ นับว่าเป็นจุดอันตราย เพราะทั้งชันทั้งแคบ แถมยังเป็นทางหักศอกเสียด้วย คนทั้งหลายจึงเรียกตรงนี้ว่า โค้งขุนกัน มาจนทุกวันนี้

เมื่อทุกสิ่งสำเร็จเรียบร้อย จึงได้เตรียมงานพิธีทำบุญฉลอง และเปิดทางให้รถยนต์วิ่งขึ้นสู่พระธาตุดอยสุเทพ ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2478 โดยท่านพระครูบาเจ้านั่งรถของเถ้าแก่โหง้วเปิดทางเป็นคันแรกจนถึงเชิงบันไดนาคบนดอยสุเทพนับเป็นผลงานชิ้นสำคัญยิ่งของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย โดยบุญญานุภาพของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ทำให้การทำบุญฉลองในครั้งนั้นนานถึง 15 วัน 15 คืน ณ วัดศรีโสดา ผู้คนหลั่งไหลกันมาทำบุญอย่างมืดฟ้ามัวดินตลอดทั้งกลางวัน กลางคืน

ระหว่างการทำบุญ 15 วัน 15 คืน วันหนึ่งคุณหลวงศรีประกาศ และ เจ้าแก้วนวรัฐ ได้มากราบเรียนปรึกษาท่านพระครูบาเจ้าถึง ตาปะขาวปี ท่านเป็นศิษย์ที่พระครูบาเจ้าเคยบวชให้ตั้งแต่สามเณรจนกระทั้งเป็นพระภิกษุ โดยได้รับฉายาว่า “พระอภิชัย” แต่ท่านผู้นี้มีกรรมถูกกลั่นแกล้งโดยทางเจ้าคณะจับสึกถึง 2 ครั้ง จนต้องหลบหนีไปอยู่ประเทศพม่า แต่พอรู้ข่าวการสร้างทางของท่านพระครูบาเจ้า จึงได้นำกะเหรี่ยงประมาณ 500 คน จากพระบาทแม่ตะเมาะ ตำบลดอยเต่า มาร่วมในคราวนี้ด้วย หลวงศรีประกาศ และ เจ้าแก้วนวรัฐ จึงได้หารือกับท่านพระครูบาเจ้าว่าควรที่จะช่วยให้ท่านได้บวชอีกครั้ง แต่ท่านพระครูบาเจ้าแย้งว่าไม่อยากทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นอีก เจ้าแก้วนวรัฐ และ หลวงศรีประกาศ ก็ยืนยันว่า หากมีปัญหาอะไร จะช่วยกันแก้ไขไม่ให้เดือดร้อน ท่านพระครูบาเจ้าจึงตกลงจัดพิธีอุปสมบทให้ ตาปะขาวปี เป็นพระภิกษุอภิชัย ขึ้นอีกครัง ณ วัดศรีโสดา

พอเสร็จงานทำบุญฉลองได้เพียง 10 กว่าวัน ท่านพระครูบาเจ้าได้ถูกคณะสงฆ์สมณะศักดิ์ชั้นผู้ใหญ่ในเมืองเชียงใหม่ ตั้งข้อกล่าวหาท่านพระครูบาเจ้าหลายข้อ ข้อสำคัญคือ เรื่องที่พระครูบาเจ้าอุปสมบทให้แก่พระอภิชัย เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ท่านพระครูบาเจ้าจึงเชิญ เจ้าแก้วนวรัฐ และ คุณหลวงศรีประกาศ มาชี้แจงให้เจ้าคณะพระครูทั้งหลายทราบ แต่ทั้ง 2 ท่านไม่ยอมมา ต่างหลบหน้าไม่มาช่วยแก้ไขตามที่ได้กล่าวไว้ ทำให้ท่านพระครูบาเจ้าต้องเดินทางไปกรุงเทพ เพื่อทำการสอบสวน ซึ่งกินเวลาถึง 6 เดือน 17 วัน ผลปรากฏออกมาว่าท่านพระครูบาพ้นข้อกล่าวหา และอนุญาตให้กลับภูมิลำเนาเดิมได้

หลังจากพิจารณาคดีเสร็จแล้ว หลวงศรีประกาศจึงได้ไปเยี่ยมท่านพระครูที่วัดเบญจมบพิตร แล้วกราบเรียนท่านถึงการที่จะขอนิมนต์ให้ท่านไปช่วยบูรณะสถานที่สำคัญในเมืองเชียงใหม่อีก แต่ท่านพระครูบาเจ้าได้ปฏิเสธ และได้กล่าวอมตะวาจาว่า

“ตราบใดที่น้ำปิงไม่ไหลล่องขึ้นเหนือ จะไม่ขอเหยียบย่างแผ่นดินเมืองเชียงใหม่อีก “

นับว่านักบุญแห่งล้านนาได้กล่าวถ้อยคำที่ไม่มีใครคาดคิด และก็เป็นไปตามวาจาที่ท่านได้ลั่นออกไปแล้วจริงๆ เพราะหลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้กลับมาเมืองเชียงใหม่อีกเลย ท่านได้แต่นิ่งเฉยไม่รับคำนิมนต์อาราธนาของชาวเชียงใหม่อีกเลย

ท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย มรณภาพในเวลาเที่ยงคืน 5 นาที 30 วินาที ตรงกับวันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 ปีขาล รวมสิริอายุ 60 ปี 8 เดือน 10 วัน หลังจากพิธีพระราชทานเพลิงศพ ด้วยความศรัทธาของหลวงศรีประกาศ ทำให้หลวงศรีประกาศเดินทางไปกรุงเทพ เพื่อว่าจ้างกรมศิลปากรหล่อรูปเหมือนครูบาศรีวิชัย แต่กลับประหลาดใจเมื่อพบว่ามีผู้ว่าจ้างหล่อรูปท่าน และเสร็จมานานแล้ว แต่ไม่มีคนมารับไปในราคา 50,000 บาท และไม่พบหลักฐานว่าผู้ใดเป็นผู้ว่าจ้าง หลวงศรีประกาศจึงต้องติดต่อเป็นแรมปีจึงได้มา

เมื่อรูปหล่อพระครูบาเจ้ามาถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ มีผู้คนมากมายมารับ แต่ไม่สามารถยกลงได้ หลวงศรีประกาศจึงต้องจุดธูปอธิษฐานว่าจะนำไปประดิษฐานที่ห้วยแก้วบริเวณที่พระครูบาเจ้าทำพิธีลากมูลดินเริ่มเปิดการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ หลังจากนั้นรูปหล่อพระครูบาเจ้าก็กลับเคลื่อนย้ายไปยังเชิงดอยสุเทพอย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนักเพราะเป็นวันเดียวกับที่เขื่อนภูมิพล สร้างเสร็จและทำพิธีเปิดในวันเดียวกัน
วันนั้นเป็นวันที่แม่น้ำปิงไหลย้อนกลับขึ้นเหนือ

เมื่อบัดนี้ เขื่อนภูมิพล เปิดใช้ก็เสมือนว่าน้ำปิงได้ไหลย้อนกลับขึ้นเหนือสมดังวาจาท่าน และท่านพระครูบาเจ้าก็กลับสู่เมืองเชียงใหม่ รูปปั้นเหมือนของท่านพระครูบาเจ้าเป็นอนุสาวรีย์ที่เปี่ยมล้นด้วยความศรัทธาของชาวเมืองเชียงใหม่ ดั่งสายตาของท่านที่เฝ้ามองดูชาวเชียงใหม่ ด้วยความเมตตาปราณี ดั่งคำว่า

                            ..นักบุญแห่งล้านนาไทย..


ที่มา : นิตยสาร PASZO’

ปล.๑ ร้านกาแลเป็นร้านโปรดที่ผมชอบที่จะพาญาติๆหรือเพื่อนๆ ที่ขึ้นมาเที่ยวเชียงใหม่มาทานอาหารครับ เพราะบรรยากาศสวยงามแบบที่รูปที่คุณดอกฟ้าถ่ายมานี่แหละครับ โดยเฉพาะหน้าหนาว

ปล.๒ ขอแนะนำร้านเค้กแสนอร่อยสำหรับคนชอบทานเค้กครับ ชื่อร้าน Love@first bite ถ้ามาจากในเมืองให้วิ่งข้ามสะพานนวรัฐ ลงสะพานแล้วเลี้ยวขวา
เข้าถนนเชียงใหม่-ลำพูนซอย 1 การันตีความเนียนของเนื้อเค้กครับ

ปล.๓ เห็นคุณดอกฟ้าชอบดอกไม้ ผมเลยขอแนะนำว่าถ้ามีโอกาส ขอให้ขึ้นไปดอยปุยครับดูดอกพญาเสือโคร่ง หรืออีกชื่อนึงว่า ชมพูภูพิงค์ แต่รู้จักกันว่าดอกซากุระเมืองไทย ซึ่งจะออกดอกช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ครับ หรือพิมพ์คำว่า ขุนช่างเคี่ยน ใน google ดูครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-07-2008, 14:55 โดย paper punch » บันทึกการเข้า

LOVE CHANGES EVERYTHING...
qazwsx
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,359


นักธุรกิจและตำรวจ ต้องออกไปจากการเมือง


« ตอบ #51 เมื่อ: 24-06-2008, 19:28 »

ไปเชียงใหม่อย่างไร  ก็อย่าไปมือเปล่าเมื่อใช้บริการและห้องพักโรงแรมวโรรส
...อย่าลืมซื้อพวงมาลัยไปคล้องรูปปั้นท่านทักษิณหน้าโรงแรมด้วยนะ

จากนั้นเมื่อต้องการซื้อของ - ของฝากใด ๆ
อย่าลืมกาดวโรรส - กาดต้นพยอม
...เวลาซื้อก็ "ยกยอปอปั้นท่านทักษิืณ" ให้มาก ๆ หน่อย
แล้วคุณจะได้รับส่วนลดและของแถมมากมาย
บันทึกการเข้า

paper punch
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 672



« ตอบ #52 เมื่อ: 24-06-2008, 19:37 »

ไปเชียงใหม่อย่างไร  ก็อย่าไปมือเปล่าเมื่อใช้บริการและห้องพักโรงแรมวโรรส
...อย่าลืมซื้อพวงมาลัยไปคล้องรูปปั้นท่านทักษิณหน้าโรงแรมด้วยนะ

จากนั้นเมื่อต้องการซื้อของ - ของฝากใด ๆ
อย่าลืมกาดวโรรส - กาดต้นพยอม
...เวลาซื้อก็ "ยกยอปอปั้นท่านทักษิืณ" ให้มาก ๆ หน่อย
แล้วคุณจะได้รับส่วนลดและของแถมมากมาย

มิน่าละครับ ปู่เย็น ผมซื้อของไม่เคยได้ลดเลย
สงสัยต้องทำแบบที่ปู่บอกซะแล้วววว
 
บันทึกการเข้า

LOVE CHANGES EVERYTHING...
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #53 เมื่อ: 26-06-2008, 03:22 »

สวัสดีคุณดอกฟ้าและทุกๆท่านครับ ผมอยู่เชียงใหม่ครับ
เห็นกระทู้นี้เลยเข้ามาดูชอบมากครับ ขออนุญาติเพิ่มเติมข้อมูลของท่านพระครูบาศรีวิชัยครับ

                    ตำนานแห่งศรัทธาที่ไม่มีวันสิ้นสุด

ย้อนอดีตไปเมื่อพ.ศ.2477  ครูบาศรีวิชัย เพิ่งแล้วเสร็จภารกิจจาริกแสวงบุญ จากการบูรณะวัดวาอารามในจังหวัดเชียงราย และมาประจำที่ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมา หลวงศรีประกาศ ได้เข้ากราบนมัสการ แล้วปรารภถึง พระธาตุดอยสุเทพ ซึ่งถือว่าเป็นปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวเชียงใหม่ หลวงศรีประกาศจึงคิดที่จะนำไฟฟ้า ขึ้นไปประดับองค์พระธาตุ แต่เป็นเรื่องเหลือกำลัง จึงได้ปรึกษาท่านพระครูบาเจ้า พระครูบาเจ้าได้บอกกับคุณหลวงว่าจะขออธิษฐานจิตดูก่อนว่าจะทำได้หรือไม่ ในคืนนั้นท่านพระครูบาเจ้าก็ได้ตั้งจิตเป็นสมาธิ และได้ปรากฏเป็นนิมิตให้เห็น ตาปะขาว (ชีปะขาว) มาจูงแขนนำท่านจากวัดพระสิงห์เห็นเป็นถนน แล้วเดินไปสักการะบูชาองค์พระธาตุดอยสุเทพ

วันรุ่งขึ้นหลวงศรีประกาศมาพร้อมกับเจ้าแก้วนวรัฐ ท่านพระครูบาเจ้าจึงได้บอกว่า “ การที่จะนำไฟฟ้าขึ้นบนดอยนั้นจะไม่สำเร็จ แต่ถ้าสร้างทางขึ้นดอยจะสำเร็จ” ทั้ง 2 ท่านต่างก็แปลกใจเพราะหลายปีก่อน ทางราชการเคยคิดสร้างทางกันครั้งหนึ่งแล้ว โดยคำนวนว่าใช้งบประมาณถึง 2 แสนบาท ซึ่งสูงมากในสมัยนั้น เรื่องจึงเงียบไป แต่วันนี้กลับมาได้ยินว่าพระครูบาเจ้าศรีวิชัย จะสร้างทางขึ้นดอย ก็อดลังเลใจไม่ได้ แต่ท่านพระครูตอบอย่างหนักแน่นว่า”การสร้างทางขึ้นดอยสุเทพจะสำเร็จแน่นอน และจะสร้างเสร็จภายใน 6 เดือนด้วย”  จึงร่วมกันปรึกษาและได้กำหนดเอาวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2477 เมื่อถึงวันกำหนด พระครูบาเจ้าได้ให้ พระครูบาเถิ้ม (เจ้าอาวาสวัดแสนฝาง ผู้ดูแลพระธาตุดอยสุเทพ) กล่าวคำบวงสรวงอัญเชิญท้าวทั้ง 4 ทิศ พอถึงเวลา 10.00น.
คณะสงฆ์ซึ่งมีพระครูบาเถิ้มนำสวดเจริญพระพุทธมนต์ และสวดชัยมงคลคาถา พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นผู้ลงจอบแรก แล้วให้ท่านพระครูบาเจ้าลากมูลดินให้เป็นพิธีเริ่มแรก ซึ่งเป็นจุดแรกที่เริ่มสร้าง ปัจจุบันคือทางตรงหน้าอนุสาวรีย์พระครูบาเจ้าในปัจจุบัน

เมื่อเริ่มงานได้ประมาณ 7 วัน ชาวเชียงใหม่จำนวนมากได้ร่วมกันจัดเครื่องไทยทาน และเครื่องมือการสร้างทางต่างๆ บรรทุกรถร่วม 50 คัน มีดุริยางค์ดนตรี เป็นขบวนครึกครื้นมาถวายที่วัดศรีโสดา ชาวบ้านหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้วต่างชวนกันมาเป็นหมู่คณะ และผู้คนหลายเชื้อชาติภาษา มีทั้งชาวป่าชาวเขาต่างมุ่งหน้ามาสู่เชียงใหม่เพื่อร่วมกันสร้างทาง วันหนึ่งๆ ไม่น้อยกว่า 5,000 คน

เหตุการณ์สำคัญที่ผู้ร่วมเห็นในครั้งนั้นมาเล่าให้ฟังว่า ก่อนการสร้างทาง บริเวณนั้นจะมีเสียงสัตว์ร้องระงมตามธรรมชาติของป่าดงดิบ แต่พอถึงเวลาสร้างทางจริงๆ บริเวณนั้นกลับดูเงียบไปหมดเหมือนไม่มีสัตว์ป่าอยู่เลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะท่านพระครูบาเจ้าท่านได้ขอเมตตาให้สัตว์ทั้งหลายหลีกทางให้ ด้วยกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิต เป็นเวรเป็นกรรมต่อกัน แต่พองานสร้างทางเสร็จ เสียงนกเสียงสัตว์น้อยใหญ่ก็กลับมาได้ยินอีกเป็นที่น่าอัศจรรย์

ตรงจุดโค้งหักศอกที่จวนจะถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ เป็นจุดที่ทำยากมากใครมาถึงจุดนี้ ก็เว้นเสียกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ท่านพระครูบาเจ้าจึงมอบหมายให้ ขุนกันชนะนนท์ กำนันตำบลดอยสุเทพ รับเอาช่วงนั้นไป ขุนกันก็น้อมรับแล้วจึงช่วยทำจนสำเร็จ นับว่าเป็นจุดอันตราย เพราะทั้งชันทั้งแคบ แถมยังเป็นทางหักศอกเสียด้วย คนทั้งหลายจึงเรียกตรงนี้ว่า โค้งขุนกัน มาจนทุกวันนี้

เมื่อทุกสิ่งสำเร็จเรียบร้อย จึงได้เตรียมงานพิธีทำบุญฉลอง และเปิดทางให้รถยนต์วิ่งขึ้นสู่พระธาตุดอยสุเทพ ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2478 โดยท่านพระครูบาเจ้านั่งรถของเถ้าแก่โหง้วเปิดทางเป็นคันแรกจนถึงเชิงบันไดนาคบนดอยสุเทพนับเป็นผลงานชิ้นสำคัญยิ่งของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย โดยบุญญานุภาพของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ทำให้การทำบุญฉลองในครั้งนั้นนานถึง 15 วัน 15 คืน ณ วัดศรีโสดา ผู้คนหลั่งไหลกันมาทำบุญอย่างมืดฟ้ามัวดินตลอดทั้งกลางวัน กลางคืน

ระหว่างการทำบุญ 15 วัน 15 คืน วันหนึ่งคุณหลวงศรีประกาศ และ เจ้าแก้วนวรัฐ ได้มากราบเรียนปรึกษาท่านพระครูบาเจ้าถึง ตาปะขาวปี ท่านเป็นศิษย์ที่พระครูบาเจ้าเคยบวชให้ตั้งแต่สามเณรจนกระทั้งเป็นพระภิกษุ โดยได้รับฉายาว่า “พระอภิชัย” แต่ท่านผู้นี้มีกรรมถูกกลั่นแกล้งโดยทางเจ้าคณะจับสึกถึง 2 ครั้ง จนต้องหลบหนีไปอยู่ประเทศพม่า แต่พอรู้ข่าวการสร้างทางของท่านพระครูบาเจ้า จึงได้นำกะเหรี่ยงประมาณ 500 คน จากพระบาทแม่ตะเมาะ ตำบลดอยเต่า มาร่วมในคราวนี้ด้วย หลวงศรีประกาศ และ เจ้าแก้วนวรัฐ จึงได้หารือกับท่านพระครูบาเจ้าว่าควรที่จะช่วยให้ท่านได้บวชอีกครั้ง แต่ท่านพระครูบาเจ้าแย้งว่าไม่อยากทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นอีก เจ้าแก้วนวรัฐ และ หลวงศรีประกาศ ก็ยืนยันว่า หากมีปัญหาอะไร จะช่วยกันแก้ไขไม่ให้เดือดร้อน ท่านพระครูบาเจ้าจึงตกลงจัดพิธีอุปสมบทให้ ตาปะขาวปี เป็นพระภิกษุอภิชัย ขึ้นอีกครัง ณ วัดศรีโสดา

พอเสร็จงานทำบุญฉลองได้เพียง 10 กว่าวัน ท่านพระครูบาเจ้าได้ถูกคณะสงฆ์สมณะศักดิ์ชั้นผู้ใหญ่ในเมืองเชียงใหม่ ตั้งข้อกล่าวหาท่านพระครูบาเจ้าหลายข้อ ข้อสำคัญคือ เรื่องที่พระครูบาเจ้าอุปสมบทให้แก่พระอภิชัย เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ท่านพระครูบาเจ้าจึงเชิญ เจ้าแก้วนวรัฐ และ คุณหลวงศรีประกาศ มาชี้แจงให้เจ้าคณะพระครูทั้งหลายทราบ แต่ทั้ง 2 ท่านไม่ยอมมา ต่างหลบหน้าไม่มาช่วยแก้ไขตามที่ได้กล่าวไว้ ทำให้ท่านพระครูบาเจ้าต้องเดินทางไปกรุงเทพ เพื่อทำการสอบสวน ซึ่งกินเวลาถึง 6 เดือน 17 วัน ผลปรากฏออกมาว่าท่านพระครูบาพ้นข้อกล่าวหา และอนุญาตให้กลับภูมิลำเนาเดิมได้

หลังจากพิจารณาคดีเสร็จแล้ว หลวงศรีประกาศจึงได้ไปเยี่ยมท่านพระครูที่วัดเบญจมบพิตร แล้วกราบเรียนท่านถึงการที่จะขอนิมนต์ให้ท่านไปช่วยบูรณะสถานที่สำคัญในเมืองเชียงใหม่อีก แต่ท่านพระครูบาเจ้าได้ปฏิเสธ และได้กล่าวอมตะวาจาว่า

“ตราบใดที่น้ำปิงไม่ไหลล่องขึ้นเหนือ จะไม่ขอเหยียบย่างแผ่นดินเมืองเชียงใหม่อีก “

นับว่านักบุญแห่งล้านนาได้กล่าวถ้อยคำที่ไม่มีใครคาดคิด และก็เป็นไปตามวาจาที่ท่านได้ลั่นออกไปแล้วจริงๆ เพราะหลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้กลับมาเมืองเชียงใหม่อีกเลย ท่านได้แต่นิ่งเฉยไม่รับคำนิมนต์อาราธนาของชาวเชียงใหม่อีกเลย

ท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย มรณภาพในเวลาเที่ยงคืน 5 นาที 30 วินาที ตรงกับวันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 ปีขาล รวมสิริอายุ 60 ปี 8 เดือน 10 วัน หลังจากพิธีพระราชทานเพลิงศพ ด้วยความศรัทธาของหลวงศรีประกาศ ทำให้หลวงศรีประกาศเดินทางไปกรุงเทพ เพื่อว่าจ้างกรมศิลปากรหล่อรูปเหมือนครูบาศรีวิชัย แต่กลับประหลาดใจเมื่อพบว่ามีผู้ว่าจ้างหล่อรูปท่าน และเสร็จมานานแล้ว แต่ไม่มีคนมารับไปในราคา 50,000 บาท และไม่พบหลักฐานว่าผู้ใดเป็นผู้ว่าจ้าง หลวงศรีประกาศจึงต้องติดต่อเป็นแรมปีจึงได้มา

เมื่อรูปหล่อพระครูบาเจ้ามาถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ มีผู้คนมากมายมารับ แต่ไม่สามารถยกลงได้ หลวงศรีประกาศจึงต้องจุดธูปอธิษฐานว่าจะนำไปประดิษฐานที่ห้วยแก้วบริเวณที่พระครูบาเจ้าทำพิธีลากมูลดินเริ่มเปิดการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ หลังจากนั้นรูปหล่อพระครูบาเจ้าก็กลับเคลื่อนย้ายไปยังเชิงดอยสุเทพอย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนักเพราะเป็นวันเดียวกับที่เขื่อนภูมิพล สร้างเสร็จและทำพิธีเปิดในวันเดียวกัน
วันนั้นเป็นวันที่แม่น้ำปิงไหลย้อนกลับขึ้นเหนือ

เมื่อบัดนี้ เขื่อนภูมิพล เปิดใช้ก็เสมือนว่าน้ำปิงได้ไหลย้อนกลับขึ้นเหนือสมดังวาจาท่าน และท่านพระครูบาเจ้าก็กลับสู่เมืองเชียงใหม่ รูปปั้นเหมือนของท่านพระครูบาเจ้าเป็นอนุสาวรีย์ที่เปี่ยมล้นด้วยความศรัทธาของชาวเมืองเชียงใหม่ ดั่งสายตาของท่านที่เฝ้ามองดูชาวเชียงใหม่ ด้วยความเมตตาปราณี ดั่งคำว่า

                            ..นักบุญแห่งล้านนาไทย..


ที่มา : นิตยสาร PASZO’

ปล.๑ ร้านกาแลเป็นร้านโปรดที่ผมชอบที่จะพาญาติๆหรือเพื่อนๆ ที่ขึ้นมาเที่ยวเชียงใหม่มาทานอาหารครับ เพราะบรรยากาศสวยงามแบบที่รูปที่คุณดอกฟ้าถ่ายมานี่แหละครับ โดยเฉพาะหน้าหนาว

ปล.๒ ขอแนะนำร้านเค้กแสนอร่อยสำหรับคนชอบทานเค้กครับ ชื่อร้าน Love@first bite ถ้ามาจากในเมืองให้วิ่งข้ามสะพานนวรัตน์ ลงสะพานแล้วเลี้ยวขวา
เข้าถนนเชียงใหม่-ลำพูนซอย 1 การันตีความเนียนของเนื้อเค้กครับ

ปล.๓ เห็นคุณดอกฟ้าชอบดอกไม้ ผมเลยขอแนะนำว่าถ้ามีโอกาส ขอให้ขึ้นไปดอยปุยครับดูดอกพญาเสือโคร่ง หรืออีกชื่อนึงว่า ชมพูภูพิงค์ แต่รู้จักกันว่าดอกซากุระเมืองไทย ซึ่งจะออกดอกช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ครับ หรือพิมพ์คำว่า ขุนช่างเคี่ยน ใน google ดูครับ




ขอบคุณ คุณpaper punch มากเลยค่ะ เดือนตุลาคมนี้ ดอกฟ้าฯจะไปเที่ยวเชียงใหม่อีกครั้ง


จะไปหาของอร่อยๆทาน ตามที่คุณแนะนำ ส่วนดอกพญาเสือโคร่ง ดอกฟ้าฯเห็นในโปสการ์ดที่เค้าขายยังส่งให้น้องคนนึง แล้วบรรยายหลังภาพว่า


นี่คือดอกไม้ของเมืองไทย....ที่คล้ายดอกซากุระ แต่ตอนนี้โรยหมดแล้ว เลยไม่ได้มีโอกาสไปชื่นชม
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
paper punch
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 672



« ตอบ #54 เมื่อ: 27-06-2008, 22:42 »

สวัสดีคุณดอกฟ้าครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยตอนมาเชียงใหม่ก็ยินดีนะครับ

เพิ่มเติมครับ คิดว่าหลายท่านคงจะพอทราบแล้ว

- พระธาตุหริภุญไชย จ.ลำพูน เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของปี ระกา
- พระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของปี มะแม (ปีเกิดของผมด้วยครับ)

- กาดวโรรส ที่เรานิยมไปซื้อของฝากกัน ที่นี่จะเรียกกาดนี้ว่า กาดหลวง ครับ
บันทึกการเข้า

LOVE CHANGES EVERYTHING...
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #55 เมื่อ: 11-07-2008, 22:38 »

สวัสดีคุณดอกฟ้าครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยตอนมาเชียงใหม่ก็ยินดีนะครับ

เพิ่มเติมครับ คิดว่าหลายท่านคงจะพอทราบแล้ว

- พระธาตุหริภุญไชย จ.ลำพูน เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของปี ระกา
- พระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของปี มะแม (ปีเกิดของผมด้วยครับ)

- กาดวโรรส ที่เรานิยมไปซื้อของฝากกัน ที่นี่จะเรียกกาดนี้ว่า กาดหลวง ครับ



ขอบพระคุณ...ที่กรุณาให้ข้อมูลค่ะ

ดอกฟ้าฯ หลงรักเชียงใหม่...ไปซะแล้ว

ต้องกลับไปเยี่ยมเยือนอีกครั้ง....แน่นอน
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
paper punch
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 672



« ตอบ #56 เมื่อ: 14-07-2008, 15:29 »



ขอบพระคุณ...ที่กรุณาให้ข้อมูลค่ะ

ดอกฟ้าฯ หลงรักเชียงใหม่...ไปซะแล้ว

ต้องกลับไปเยี่ยมเยือนอีกครั้ง....แน่นอน


สวัสดีครับคุณดอกฟ้าฯ

ผมมีเว็บไซด์ ที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับคุณดอกฟ้าฯ ก่อนมาเชียงใหม่ครับ
 www.cm108.com

รวบรวมเหตุการณ์ประจำวันที่เชียงใหม่ รูปภาพ ที่เที่ยว ร้านอาหาร ฯลฯ ครับ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-07-2008, 15:36 โดย paper punch » บันทึกการเข้า

LOVE CHANGES EVERYTHING...
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #57 เมื่อ: 20-09-2008, 22:09 »

สวัสดีครับคุณดอกฟ้าฯ

ผมมีเว็บไซด์ ที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับคุณดอกฟ้าฯ ก่อนมาเชียงใหม่ครับ
 www.cm108.com

รวบรวมเหตุการณ์ประจำวันที่เชียงใหม่ รูปภาพ ที่เที่ยว ร้านอาหาร ฯลฯ ครับ







ขอบพระคุณ....คุณpaper punch ค่ะ

ที่กรุณาให้ข้อมูลเพิ่มเติม ตั้งใจไว้แล้ว ได้จองที่พักเชียงใหม่ ว่ามีแผนจะไป เดือน ธ.ค นี้แน่นอน









วันนี้ดอกฟ้าฯไปเที่ยว อัมพวา ตามที่ลุงป๋าสามแนะนำ เพิ่งไปมาเมื่อวานนี้

ออกเดินทาง จากกทม. ขอแวะที่ตลาดแม่กลองก่อนตอนบ่าย แวะชมตลาดร่มหุบ ที่เคยออกทีวี และเป็นที่น่าสนใจ

ตลาดร่มหุบ จะอยู่หลังตลาดเทศบาลแม่กลอง เดินอ้อมไปทางด้านหลัง

ตลาดร่มหุบ คือตลาดที่ขายอาหารทะเล และอาหารสด คาวหวานจิปาถะ

อยู่ริมทางรถไฟ ชนิดหายใจรดกันเลย และกางเตนท์ผ้าใบเหลื่อมเข้ามาในรางรถไฟ

พอรถไฟมา ทุกคนจะเอาร่มและเตนท์ที่กาง ลงโดยพร้อมเพรียงกัน โดยจะทราบเวลารถไฟมา

ทั้งสองเที่ยว ตอนเช้า ประมาณ 8 โมง ส่วนตอนบ่าย ประมาณ บ่าย 2 ครึ่ง

มีนักท่องเที่ยวมารอชมกันคึกคักทุกวัน แถมราคาสินค้าที่วางขายก็ค่อนข้างถูกกว่าในตลาดแม่กลอง


เอาภาพที่ได้ มาฝากเพื่อนสมาชิกค่ะ











« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-09-2008, 22:11 โดย ดอกฟ้ากับหมาวัด » บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #58 เมื่อ: 20-09-2008, 22:38 »

เจอปลาตัวใหญ่....หน้าตาเหมือนปลาฉลาม

ถามพ่อค้าว่าปลาอะไร แกตอบว่าปลาโทงเทง แล้วก็หัวเราะ ไม่รู้ว่ามีปลาชื่อนี้จริงรึป่าว

เดินไปเดินมาถึงบางอ้อ...เพราะเห็นมีทอดมันปลาโทงเทงขายด้วย อิ อิ






หลังจากเดินชมตลาดไปซื้อของไปจนเมื่อย

ชักหิว ถามแม่ค้าในตลาดว่า แถวนี้มีอะไรอร่อย เธอก็ใจดีแนะนำร้านอร่อยๆให้

เป็นร้านบะหมี่เกี๊ยว ขายข้าวหมูแดงด้วย อยู่เยื้องๆ ธนาคารกรุงไทยฯ

ชิมแล้ว อร่อยจริงๆ












 


มีขนมโบราณ น่าลองชิมขายอยู่บริเวณข้างทางด้วย



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-09-2008, 18:51 โดย ดอกฟ้ากับหมาวัด » บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #59 เมื่อ: 21-09-2008, 18:28 »

ออกจากตลาดแม่กลองเพื่อเดินทางไป ยัง อุทยาน ร.๒

อยู่ห่างกันประมาณ 6 กม. ที่อยู่บริเวณเดียวกันที่จัดงาน กาลครั้งหนึ่ง ณ อัมพวา


สถานที่ตั้งของอุทยานร.๒นี้ อยู่ติดกับวัดอัมพวันเจติยาราม

ที่เชื่อกันว่าเคยเป็นที่ตั้งนิวาสถานดั้งเดิมของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

เนื้อที่ 11 ไร่ของอุทยาน ร.๒ แห่งนี้ พระราชสมุทรเมธี อดีตเจ้าอาวาสวัดอัมพวันเจติยาราม

เป็นผู้น้อมเกล้าฯ ถวายที่ดินของบริเวณพระอารามให้

(เดิมเป็นนิวาสถานของสมเด็จพระอมรินทราบรมราชชนนี ภายหลังพระราชทานให้เป็นสมบัติของวัด)

โดยที่ดินดังกล่าวอยู่ติดกับวัดอัมพวันเจติยาราม ด้านหนึ่งติดกับถนนแม่กลอง-บางนกแขวก ส่วนอีกด้านหนึ่งติดริมแม่น้ำแม่กลอง



อ้างอิงจาก http://www.land.arch.chula.ac.th


หลังจากได้ที่จอดรถเป็นที่สะดวกดีแล้ว ขอแวะทำบุญไหว้พระก่อน







หลังจากทำบุญเสร็จเดินอ้อมมาข้างศาลา เจอเจ้าตัวนี้นั่งอยู่ น่ารักจริงๆ

เลยฝากค่าขนมใส่กระป๋องให้ แถมเก็กท่าให้ถ่ายรูปแบบไม่เหน็ดเหนื่อย

บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #60 เมื่อ: 21-09-2008, 19:21 »















 อุทยานพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย


เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

ของมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์

โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีเป็นองค์ประธาน


เพื่อเป็นการสนองพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นทั้งนักรบ

นักปกครอง ศิลปิน กวี และช่าง ซึ่งได้พระราชทานศิลปวัฒนธรรมอันงดงามประณีตไว้เป็นมงคลแก่ชาติ

และปรากฏพระเกียรติคุณแพร่หลายไปในนานาประเทศ

จนได้รับการยกย่องจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก UNESCO

ให้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก และได้ส่งเสริมให้มีการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฉลองพระบรมราชสมภพครบรอบ 200 ปีเมื่อ พ.ศ.2511

 พร้อมจัดสร้างอุทยานพระบรมราชานุสรณ์ฯ ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

โดยมีจุดประสงค์ให้เป็นศูนย์กลางศิลปวัฒนธรรมไทยในรัชสมัยของพระองค์

และเพื่อให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนในท้องถิ่นและจังหวัดใกล้เคียงนั้นด้วย


อ้างอิง ข้อมูลจากที่เดิม




เสียดายที่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ยินยอมให้บันทึกภาพ

วัตถุโบราณต่างๆ ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์

เลยได้แค่นำภาพสวยงามร่มรื่นรอบๆบริเวณมาฝากเพียงอย่างเดียว
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #61 เมื่อ: 23-09-2008, 19:03 »

รูปปั้นจำลอง น่ารักของเด็กๆสมัยโบราณ จนอดถ่ายภาพมาฝากไม่ได้






ภาพร่มรื่น... จากสวนสวยธรรมชาติรอบๆอุทยานฯ










บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
personal jesus
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 632



« ตอบ #62 เมื่อ: 23-09-2008, 19:15 »


แวะมาชม สวยมาก น่าเที่ยวจัง
บะหมี่ กับ กาลอจี๊ ก็น่ากินมากกกก


....น้ำลายไหล สองหยด 
บันทึกการเข้า

ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #63 เมื่อ: 23-09-2008, 20:36 »

แวะมาชม สวยมาก น่าเที่ยวจัง
บะหมี่ กับ กาลอจี๊ ก็น่ากินมากกกก


....น้ำลายไหล สองหยด 



โปรดติดตามตอนต่อไป...เดี๋ยวจะเอาภาพน่ากิ๊น...น่ากินมาฝากอีกเยอะแยะเลยค่ะ






มาเที่ยวกันต่อนะคะ....






ห้องสุขา...ยังสวยงามน่าไปพึ่งพิง อิ อิ




ดอกไม้...สวยๆ ที่ไม่ทราบชื่อ






น้ำเต้าลูกโต ห้อยอยู่บนกิ่งก้านที่บอบบาง

 









« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-09-2008, 20:47 โดย ดอกฟ้ากับหมาวัด » บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
เล่าปี๋
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,417


ทำดีได้ดีมีไฉน ทำชั่วได้ดีมีถมไป


« ตอบ #64 เมื่อ: 23-09-2008, 22:17 »


อ่านกระทู้นี้ทีไร  น้ำลายจะหกทุกทีเลย ขอบคุณ จขกท.ครับ
บันทึกการเข้า

ขงเบ้งดูดาว เฮอะเอ่อเอ้ย เมื่อดาวตก เสียวในหัวอกเมือเห็นดาว
ไม่พราวไสว  หรือว่าตัวเราจะหมดบุญ จึงเป็นไป
ดาวที่สดใสเมื่อก่อนนั้น  พลันมืดมัว....
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #65 เมื่อ: 23-09-2008, 23:06 »

อ่านกระทู้นี้ทีไร  น้ำลายจะหกทุกทีเลย ขอบคุณ จขกท.ครับ


หาผ้าซับน้ำลายผืนโตๆไว้นะคะ

เดี๋ยวจะพาไปชิมอาหารอร่อยๆ สุดยอดไปเล้ย อิ อิ
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #66 เมื่อ: 23-09-2008, 23:34 »

แดดร่ม ลมตกฝนตั้งเค้ามารีบเผ่นไปฟากกระนู้น

เพื่อดูงาน กาลครั้งหนึ่ง อัมพวาฯ ดีกว่า เดี๋ยวลุงป๋าสามจะค้อนเอา ว่าแนะนำแล้วไม่ให้ความสนใจ

เดินข้ามถนนไปเดี๋ยวเดียวก็ถึง

[/size]



เป็นซอยแคบๆ มีของมาวางขายมากมาย








นี่มะดัน...ซื้อกลับบ้านไปต้มมะดันปลาทูดีก่า




ปูทะเล 2 ตัวร้อย แถมน้ำจิ้ม กุ้งสดๆน่าทาน

บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
เล่าปี๋
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,417


ทำดีได้ดีมีไฉน ทำชั่วได้ดีมีถมไป


« ตอบ #67 เมื่อ: 24-09-2008, 17:01 »



เอื๊อก..ขอกลืนน้ำลายก่อน หาผ้าซับไม่ทัน..เห็นแล้วน่าหม่ำจริงๆ
บันทึกการเข้า

ขงเบ้งดูดาว เฮอะเอ่อเอ้ย เมื่อดาวตก เสียวในหัวอกเมือเห็นดาว
ไม่พราวไสว  หรือว่าตัวเราจะหมดบุญ จึงเป็นไป
ดาวที่สดใสเมื่อก่อนนั้น  พลันมืดมัว....
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #68 เมื่อ: 24-09-2008, 18:42 »

มาแล้วค่ะ...มายั่วน้ำลายตอนเย็นๆ





สารพัด ของฝากที่ซื้อไปให้ใครๆชิม



ตบท้ายด้วยของหวาน แม่ค้าร้องขายว่า ซื้อเรือแถมพายค่า พอดีฝนใกล้ตกเลยไม่ได้ถาม แปลว่าไร




อันนี้ตัวด้วงเขาควาย หรือด้วงกวาง หรือแมงครามของทางอีสาน ที่เรียกชื่อต่างๆกัน

มีลานไขที่ใต้ท้อง กางปีกได้ วิ่งได้ แต่บินไม่ได้ 

เลยซื้อมา 4 ตัว 90 บาท ทั้งสี่เวอร์ชั่นเลย

จะเอามาแกล้งแมวที่บ้าน อิ อิ
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
personal jesus
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 632



« ตอบ #69 เมื่อ: 24-09-2008, 19:03 »


ปลาหมึก กับขนม ของโปรด
สมัยก่อนชอบแกล้งแมวเหมือนกัน กับเลเซอร์
ส่องไปตรงโน้น ตรงนี้ที มันวิ่งไล่จับสุดชีวิต
ตอนนี้เลิกแกล้ง แล้ว อิอิ


 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-09-2008, 19:05 โดย personal jesus » บันทึกการเข้า

ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #70 เมื่อ: 24-09-2008, 19:12 »

เดินต่อไป...จนสุดทาง จุดที่จะจัดการแสดงแสงสีเสียง ทางน้ำ

กิจกรรมในวันนั้น อ่านตามแผ่นพับ

จะมีพิธี ถวายสังฆทานทางน้ำ

การแสดงขวบวนแห่ขันหมากทางน้ำ

การแสดง ขบวนแห่เพลงเรือฯลฯ

แต่เนื่องจากมีพายุ เมฆดำครึ้มน่ากลัว ขอเผ่นไปตั้งหลักบนรถก่อนดีกว่า

ท่าทางการแสดงคงเริ่มไม่ได้ง่ายๆ เลยเอาภาพที่เหลือมาฝาก แถมกล้องก็ไม่ได้เป็นชนิดถ่ายใต้น้ำได้

บวกกับคนที่เริ่มทยอยมาในงานแบบมากมาย รถโค้ช คันใหญ่ๆ แล่นเข้ามาจอด สิบกว่าคัน ไม่รวมรถส่วนตัว

ซอยเล็กๆทางที่เดินเบียดกันแทบจะไม่มีที่ยืน ไว้วันหน้าคงจะมาเยี่ยม ตลาดน้ำอัมพวาใหม่







ตลาดน้ำอัมพวา คือตลาดน้ำยามเย็น อยู่ที่ปากคลองอัมพวา ใกล้วัดอัมพวันเจติยาราม

เคยเป็นตลาดน้ำชุมชนริมน้ำดั้งเดิมที่เคยมีมาในอดีต ที่ได้สูญหายไปเมื่อหลายปีก่อน

เทศบาลอัมพวา ใด้ร่วมมือกับประชาชนในท้องถิ่นฟื้นฟู ตลาดน้ำอัมพวาขึ้นมาอีกครั้ง

เพื่อนุรักษ์วิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของชุมชนริมแม่น้ำให้สืบทอดไปตราบยาวนาน

โดยใช้ชื่อว่า ตลาดน้ำยามเย็น จัดให้ได้ชมกันในทุก วันศุกร์ เสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่ สี่โมงเย็นเป็นต้นไป

ตลาดน้ำแห่งนี้ ถือเป็นตลาดน้ำแห่งแรกของประเทศไทย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-09-2008, 19:20 โดย ดอกฟ้ากับหมาวัด » บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #71 เมื่อ: 24-09-2008, 19:33 »

ปลาหมึก กับขนม ของโปรด
สมัยก่อนชอบแกล้งแมวเหมือนกัน กับเลเซอร์
ส่องไปตรงโน้น ตรงนี้ที มันวิ่งไล่จับสุดชีวิต
ตอนนี้เลิกแกล้ง แล้ว อิอิ


 


ดอกฟ้าฯเคยค่ะ ปิดไฟก่อนแล้วเอาเลเซอร์ส่องตรงโน้นตรงนี้

บางทีส่องตรงฝาผนัง ให้เค้ากระโดดสูงๆ แต่ตอนหลังๆเค้าอ้วนมากเลยไม่ค่อยอยากแกล้ง




ส่วนขนมที่ซื้อมา วันนั้นได้เจอข้าวเกรียบข้าวโพด เกิดมาเพิ่งเคยชิมอร่อยดี

ได้มะขามอ่อน โลละ 40 บาทเปรี้ยวจี๊ด มาทำน้ำพริกมะขามสดจะอร่อยมาก

ได้ปลากุเลาแดดเดียว ข้าวโพดสดๆต้ม มากมายหลายอย่าง ทั้งถือ ทั้งคาบ ถ้าเอามาทัดหูได้ คงทำ อิ อิ

ยังค่ะ..... เรื่องกินเรื่องเที่ยว ทริปนี้ยังไม่จบ


หลังจากหนีพายุมาตั้งหลักในรถ ในฐานะหัวหน้าทัวร์ เลยตัดสินใจกลับทานมื้อเย็นที่ถิ่นเก่า

คือดอนหอยหลอด.....หลังจากจับไม้สั้นไม้ยาวกับลูกทัวร์แล้ว

ตกลงกันว่าหาร้านใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยได้ลองชิมกันดีกว่า เป็นร้านเล็กๆราคาย่อมเยา


วันนี้....ดินเนอร์ท่ามกลางสายฝนกันที่ร้านน้ำทิพย์ ณ. ดอนหอยหลอด

เอาภาพอาหาร ที่น่าทานและรสชาติอร่อย ไม่ผิดหวังมาฝากค่ะ




หอยหลอดผัดฉ่า ตัวอวบๆ อร่อยมาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-09-2008, 19:37 โดย ดอกฟ้ากับหมาวัด » บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #72 เมื่อ: 24-09-2008, 20:29 »




จานนี้...เอ็นหอยทอดกระเทียม




ยำสาวแม่กลอง....รสชาติกลมกล่อม มีผักลวก หมูแผ่น ปลาหมึกลวก กุ้งสดๆลวก เม็ดมะม่วงหิมพานต์โรยหน้าด้วย



หอยแมลงภู่อบ


แอบสงสัยว่าทำไมใส่จานมา

 แต่ไม่ว่ากัน เพราะหอยสดๆ ตัวโต๊โต
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #73 เมื่อ: 24-09-2008, 20:46 »

ออกไปยืดเส้นยืดสาย...หลังจากชิมอาหารไปเล็กน้อยถึงมาก

วันนี้ฝนตก ร้านรวงปิดกันเกือบหมด เหลืออยู่ไม่กี่ร้าน





ปูกระตอยสามรส ชิมแล้วอร่อยดี ซื้อมาฝากชาวบ้านดีกว่า



หอยแคลง กับหอยคลาง ตัวใหญ่เล็กไม่เหมือนกัน แอบถามคนขาย






ลูกอะไรเอ่ย....คนที่กำลังตกอยู่ในความรัก ห้ามรับทาน
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #74 เมื่อ: 24-09-2008, 21:54 »

เดินกลับมาที่โต๊ะ...มีคนสั่งอาหารเพิ่ม

ต้มยำหอยหลอด....กับปลาเก๋าสามรส

ชิมแล้ว อร่อยเหมือนเดิม รู้สึกดีใจที่เลือกร้านไม่ผิด





ฝนตกพรำๆ บรรยากาศ สบายๆ



ดอนหอยหลอด คือ สันดอนมหึมาธรรมชาติหนึ่งเดียวในโลก อันเป็นแหล่งทำกินของชาวบ้าน

และสถานที่ท่องเที่ยว และตื่นตาตื่นใจกับการหยอดหอยหลอด ด้วยไม้จิ้มปูนขาวแล้วจับหอยหลอดมาทำเป็นอาหาร

โดยเฉพาะในเดือน มีนาคม ถึง สิงหาคม

แต่ตอนนี้ทราบข่าวมาว่า ร้านอาหารริมทะเลดอนหอยหลอดกำลังต้องย้ายไป เพราะการรุกล้ำที่สาธารณะ


ยังขอรอฟังข่าวต่อไปค่ะ




ขอจบการเที่ยวครั้งนี้ด้วยภาพที่เหลือค่ะ





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-09-2008, 21:55 โดย ดอกฟ้ากับหมาวัด » บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
paper punch
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 672



« ตอบ #75 เมื่อ: 29-09-2008, 18:50 »

โอย..สุดยอดครับ สุดยอด

จากนี้ไปจะขอเป็นลูกทัวร์ตามไกด์ดอกฟ้าฯไปทุกทริปเลยคร้าาาาบ.
ก็เล่นมีแต่ของอร่อยๆน่าทาน แถมที่เที่ยวก็สวยซะขนาดนั้น

เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้ จริงๆครับ

 

บันทึกการเข้า

LOVE CHANGES EVERYTHING...
ดอกฟ้ากับหมาวัด
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,042



« ตอบ #76 เมื่อ: 01-10-2008, 00:10 »

ขอบคุณมากค่ะ...ที่กรุณาติดตาม

ดอกฟ้าฯว่าเมืองไทย มีที่ๆ น่าท่องเที่ยวอีกมากมาย เงินทองไม่รั่วไหล เพราะอยู่ในประเทศของเรา


รอดูทริปต่อไปนะคะ
บันทึกการเข้า

***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ

      น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
หน้า: 1 [2]
    กระโดดไป: