paper punch
|
|
« ตอบ #50 เมื่อ: 24-06-2008, 19:20 » |
|
สวัสดีคุณดอกฟ้าและทุกๆท่านครับ ผมอยู่เชียงใหม่ครับ เห็นกระทู้นี้เลยเข้ามาดูชอบมากครับ ขออนุญาติเพิ่มเติมข้อมูลของท่านพระครูบาศรีวิชัยครับ
ตำนานแห่งศรัทธาที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ย้อนอดีตไปเมื่อพ.ศ.2477 ครูบาศรีวิชัย เพิ่งแล้วเสร็จภารกิจจาริกแสวงบุญ จากการบูรณะวัดวาอารามในจังหวัดเชียงราย และมาประจำที่ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมา หลวงศรีประกาศ ได้เข้ากราบนมัสการ แล้วปรารภถึง พระธาตุดอยสุเทพ ซึ่งถือว่าเป็นปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวเชียงใหม่ หลวงศรีประกาศจึงคิดที่จะนำไฟฟ้า ขึ้นไปประดับองค์พระธาตุ แต่เป็นเรื่องเหลือกำลัง จึงได้ปรึกษาท่านพระครูบาเจ้า พระครูบาเจ้าได้บอกกับคุณหลวงว่าจะขออธิษฐานจิตดูก่อนว่าจะทำได้หรือไม่ ในคืนนั้นท่านพระครูบาเจ้าก็ได้ตั้งจิตเป็นสมาธิ และได้ปรากฏเป็นนิมิตให้เห็น ตาปะขาว (ชีปะขาว) มาจูงแขนนำท่านจากวัดพระสิงห์เห็นเป็นถนน แล้วเดินไปสักการะบูชาองค์พระธาตุดอยสุเทพ
วันรุ่งขึ้นหลวงศรีประกาศมาพร้อมกับเจ้าแก้วนวรัฐ ท่านพระครูบาเจ้าจึงได้บอกว่า การที่จะนำไฟฟ้าขึ้นบนดอยนั้นจะไม่สำเร็จ แต่ถ้าสร้างทางขึ้นดอยจะสำเร็จ ทั้ง 2 ท่านต่างก็แปลกใจเพราะหลายปีก่อน ทางราชการเคยคิดสร้างทางกันครั้งหนึ่งแล้ว โดยคำนวนว่าใช้งบประมาณถึง 2 แสนบาท ซึ่งสูงมากในสมัยนั้น เรื่องจึงเงียบไป แต่วันนี้กลับมาได้ยินว่าพระครูบาเจ้าศรีวิชัย จะสร้างทางขึ้นดอย ก็อดลังเลใจไม่ได้ แต่ท่านพระครูตอบอย่างหนักแน่นว่าการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพจะสำเร็จแน่นอน และจะสร้างเสร็จภายใน 6 เดือนด้วย จึงร่วมกันปรึกษาและได้กำหนดเอาวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2477 เมื่อถึงวันกำหนด พระครูบาเจ้าได้ให้ พระครูบาเถิ้ม (เจ้าอาวาสวัดแสนฝาง ผู้ดูแลพระธาตุดอยสุเทพ) กล่าวคำบวงสรวงอัญเชิญท้าวทั้ง 4 ทิศ พอถึงเวลา 10.00น. คณะสงฆ์ซึ่งมีพระครูบาเถิ้มนำสวดเจริญพระพุทธมนต์ และสวดชัยมงคลคาถา พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นผู้ลงจอบแรก แล้วให้ท่านพระครูบาเจ้าลากมูลดินให้เป็นพิธีเริ่มแรก ซึ่งเป็นจุดแรกที่เริ่มสร้าง ปัจจุบันคือทางตรงหน้าอนุสาวรีย์พระครูบาเจ้าในปัจจุบัน
เมื่อเริ่มงานได้ประมาณ 7 วัน ชาวเชียงใหม่จำนวนมากได้ร่วมกันจัดเครื่องไทยทาน และเครื่องมือการสร้างทางต่างๆ บรรทุกรถร่วม 50 คัน มีดุริยางค์ดนตรี เป็นขบวนครึกครื้นมาถวายที่วัดศรีโสดา ชาวบ้านหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้วต่างชวนกันมาเป็นหมู่คณะ และผู้คนหลายเชื้อชาติภาษา มีทั้งชาวป่าชาวเขาต่างมุ่งหน้ามาสู่เชียงใหม่เพื่อร่วมกันสร้างทาง วันหนึ่งๆ ไม่น้อยกว่า 5,000 คน
เหตุการณ์สำคัญที่ผู้ร่วมเห็นในครั้งนั้นมาเล่าให้ฟังว่า ก่อนการสร้างทาง บริเวณนั้นจะมีเสียงสัตว์ร้องระงมตามธรรมชาติของป่าดงดิบ แต่พอถึงเวลาสร้างทางจริงๆ บริเวณนั้นกลับดูเงียบไปหมดเหมือนไม่มีสัตว์ป่าอยู่เลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะท่านพระครูบาเจ้าท่านได้ขอเมตตาให้สัตว์ทั้งหลายหลีกทางให้ ด้วยกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิต เป็นเวรเป็นกรรมต่อกัน แต่พองานสร้างทางเสร็จ เสียงนกเสียงสัตว์น้อยใหญ่ก็กลับมาได้ยินอีกเป็นที่น่าอัศจรรย์
ตรงจุดโค้งหักศอกที่จวนจะถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ เป็นจุดที่ทำยากมากใครมาถึงจุดนี้ ก็เว้นเสียกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ท่านพระครูบาเจ้าจึงมอบหมายให้ ขุนกันชนะนนท์ กำนันตำบลดอยสุเทพ รับเอาช่วงนั้นไป ขุนกันก็น้อมรับแล้วจึงช่วยทำจนสำเร็จ นับว่าเป็นจุดอันตราย เพราะทั้งชันทั้งแคบ แถมยังเป็นทางหักศอกเสียด้วย คนทั้งหลายจึงเรียกตรงนี้ว่า โค้งขุนกัน มาจนทุกวันนี้
เมื่อทุกสิ่งสำเร็จเรียบร้อย จึงได้เตรียมงานพิธีทำบุญฉลอง และเปิดทางให้รถยนต์วิ่งขึ้นสู่พระธาตุดอยสุเทพ ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2478 โดยท่านพระครูบาเจ้านั่งรถของเถ้าแก่โหง้วเปิดทางเป็นคันแรกจนถึงเชิงบันไดนาคบนดอยสุเทพนับเป็นผลงานชิ้นสำคัญยิ่งของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย โดยบุญญานุภาพของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ทำให้การทำบุญฉลองในครั้งนั้นนานถึง 15 วัน 15 คืน ณ วัดศรีโสดา ผู้คนหลั่งไหลกันมาทำบุญอย่างมืดฟ้ามัวดินตลอดทั้งกลางวัน กลางคืน
ระหว่างการทำบุญ 15 วัน 15 คืน วันหนึ่งคุณหลวงศรีประกาศ และ เจ้าแก้วนวรัฐ ได้มากราบเรียนปรึกษาท่านพระครูบาเจ้าถึง ตาปะขาวปี ท่านเป็นศิษย์ที่พระครูบาเจ้าเคยบวชให้ตั้งแต่สามเณรจนกระทั้งเป็นพระภิกษุ โดยได้รับฉายาว่า พระอภิชัย แต่ท่านผู้นี้มีกรรมถูกกลั่นแกล้งโดยทางเจ้าคณะจับสึกถึง 2 ครั้ง จนต้องหลบหนีไปอยู่ประเทศพม่า แต่พอรู้ข่าวการสร้างทางของท่านพระครูบาเจ้า จึงได้นำกะเหรี่ยงประมาณ 500 คน จากพระบาทแม่ตะเมาะ ตำบลดอยเต่า มาร่วมในคราวนี้ด้วย หลวงศรีประกาศ และ เจ้าแก้วนวรัฐ จึงได้หารือกับท่านพระครูบาเจ้าว่าควรที่จะช่วยให้ท่านได้บวชอีกครั้ง แต่ท่านพระครูบาเจ้าแย้งว่าไม่อยากทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นอีก เจ้าแก้วนวรัฐ และ หลวงศรีประกาศ ก็ยืนยันว่า หากมีปัญหาอะไร จะช่วยกันแก้ไขไม่ให้เดือดร้อน ท่านพระครูบาเจ้าจึงตกลงจัดพิธีอุปสมบทให้ ตาปะขาวปี เป็นพระภิกษุอภิชัย ขึ้นอีกครัง ณ วัดศรีโสดา
พอเสร็จงานทำบุญฉลองได้เพียง 10 กว่าวัน ท่านพระครูบาเจ้าได้ถูกคณะสงฆ์สมณะศักดิ์ชั้นผู้ใหญ่ในเมืองเชียงใหม่ ตั้งข้อกล่าวหาท่านพระครูบาเจ้าหลายข้อ ข้อสำคัญคือ เรื่องที่พระครูบาเจ้าอุปสมบทให้แก่พระอภิชัย เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ท่านพระครูบาเจ้าจึงเชิญ เจ้าแก้วนวรัฐ และ คุณหลวงศรีประกาศ มาชี้แจงให้เจ้าคณะพระครูทั้งหลายทราบ แต่ทั้ง 2 ท่านไม่ยอมมา ต่างหลบหน้าไม่มาช่วยแก้ไขตามที่ได้กล่าวไว้ ทำให้ท่านพระครูบาเจ้าต้องเดินทางไปกรุงเทพ เพื่อทำการสอบสวน ซึ่งกินเวลาถึง 6 เดือน 17 วัน ผลปรากฏออกมาว่าท่านพระครูบาพ้นข้อกล่าวหา และอนุญาตให้กลับภูมิลำเนาเดิมได้
หลังจากพิจารณาคดีเสร็จแล้ว หลวงศรีประกาศจึงได้ไปเยี่ยมท่านพระครูที่วัดเบญจมบพิตร แล้วกราบเรียนท่านถึงการที่จะขอนิมนต์ให้ท่านไปช่วยบูรณะสถานที่สำคัญในเมืองเชียงใหม่อีก แต่ท่านพระครูบาเจ้าได้ปฏิเสธ และได้กล่าวอมตะวาจาว่า
ตราบใดที่น้ำปิงไม่ไหลล่องขึ้นเหนือ จะไม่ขอเหยียบย่างแผ่นดินเมืองเชียงใหม่อีก
นับว่านักบุญแห่งล้านนาได้กล่าวถ้อยคำที่ไม่มีใครคาดคิด และก็เป็นไปตามวาจาที่ท่านได้ลั่นออกไปแล้วจริงๆ เพราะหลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้กลับมาเมืองเชียงใหม่อีกเลย ท่านได้แต่นิ่งเฉยไม่รับคำนิมนต์อาราธนาของชาวเชียงใหม่อีกเลย
ท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย มรณภาพในเวลาเที่ยงคืน 5 นาที 30 วินาที ตรงกับวันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 ปีขาล รวมสิริอายุ 60 ปี 8 เดือน 10 วัน หลังจากพิธีพระราชทานเพลิงศพ ด้วยความศรัทธาของหลวงศรีประกาศ ทำให้หลวงศรีประกาศเดินทางไปกรุงเทพ เพื่อว่าจ้างกรมศิลปากรหล่อรูปเหมือนครูบาศรีวิชัย แต่กลับประหลาดใจเมื่อพบว่ามีผู้ว่าจ้างหล่อรูปท่าน และเสร็จมานานแล้ว แต่ไม่มีคนมารับไปในราคา 50,000 บาท และไม่พบหลักฐานว่าผู้ใดเป็นผู้ว่าจ้าง หลวงศรีประกาศจึงต้องติดต่อเป็นแรมปีจึงได้มา
เมื่อรูปหล่อพระครูบาเจ้ามาถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ มีผู้คนมากมายมารับ แต่ไม่สามารถยกลงได้ หลวงศรีประกาศจึงต้องจุดธูปอธิษฐานว่าจะนำไปประดิษฐานที่ห้วยแก้วบริเวณที่พระครูบาเจ้าทำพิธีลากมูลดินเริ่มเปิดการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ หลังจากนั้นรูปหล่อพระครูบาเจ้าก็กลับเคลื่อนย้ายไปยังเชิงดอยสุเทพอย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนักเพราะเป็นวันเดียวกับที่เขื่อนภูมิพล สร้างเสร็จและทำพิธีเปิดในวันเดียวกัน วันนั้นเป็นวันที่แม่น้ำปิงไหลย้อนกลับขึ้นเหนือ
เมื่อบัดนี้ เขื่อนภูมิพล เปิดใช้ก็เสมือนว่าน้ำปิงได้ไหลย้อนกลับขึ้นเหนือสมดังวาจาท่าน และท่านพระครูบาเจ้าก็กลับสู่เมืองเชียงใหม่ รูปปั้นเหมือนของท่านพระครูบาเจ้าเป็นอนุสาวรีย์ที่เปี่ยมล้นด้วยความศรัทธาของชาวเมืองเชียงใหม่ ดั่งสายตาของท่านที่เฝ้ามองดูชาวเชียงใหม่ ด้วยความเมตตาปราณี ดั่งคำว่า
..นักบุญแห่งล้านนาไทย..
ที่มา : นิตยสาร PASZO
ปล.๑ ร้านกาแลเป็นร้านโปรดที่ผมชอบที่จะพาญาติๆหรือเพื่อนๆ ที่ขึ้นมาเที่ยวเชียงใหม่มาทานอาหารครับ เพราะบรรยากาศสวยงามแบบที่รูปที่คุณดอกฟ้าถ่ายมานี่แหละครับ โดยเฉพาะหน้าหนาว
ปล.๒ ขอแนะนำร้านเค้กแสนอร่อยสำหรับคนชอบทานเค้กครับ ชื่อร้าน Love@first bite ถ้ามาจากในเมืองให้วิ่งข้ามสะพานนวรัฐ ลงสะพานแล้วเลี้ยวขวา เข้าถนนเชียงใหม่-ลำพูนซอย 1 การันตีความเนียนของเนื้อเค้กครับ
ปล.๓ เห็นคุณดอกฟ้าชอบดอกไม้ ผมเลยขอแนะนำว่าถ้ามีโอกาส ขอให้ขึ้นไปดอยปุยครับดูดอกพญาเสือโคร่ง หรืออีกชื่อนึงว่า ชมพูภูพิงค์ แต่รู้จักกันว่าดอกซากุระเมืองไทย ซึ่งจะออกดอกช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ครับ หรือพิมพ์คำว่า ขุนช่างเคี่ยน ใน google ดูครับ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-07-2008, 14:55 โดย paper punch »
|
บันทึกการเข้า
|
LOVE CHANGES EVERYTHING...
|
|
|
qazwsx
|
|
« ตอบ #51 เมื่อ: 24-06-2008, 19:28 » |
|
ไปเชียงใหม่อย่างไร ก็อย่าไปมือเปล่าเมื่อใช้บริการและห้องพักโรงแรมวโรรส ...อย่าลืมซื้อพวงมาลัยไปคล้องรูปปั้นท่านทักษิณหน้าโรงแรมด้วยนะ
จากนั้นเมื่อต้องการซื้อของ - ของฝากใด ๆ อย่าลืมกาดวโรรส - กาดต้นพยอม ...เวลาซื้อก็ "ยกยอปอปั้นท่านทักษิืณ" ให้มาก ๆ หน่อย แล้วคุณจะได้รับส่วนลดและของแถมมากมาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
paper punch
|
|
« ตอบ #52 เมื่อ: 24-06-2008, 19:37 » |
|
ไปเชียงใหม่อย่างไร ก็อย่าไปมือเปล่าเมื่อใช้บริการและห้องพักโรงแรมวโรรส ...อย่าลืมซื้อพวงมาลัยไปคล้องรูปปั้นท่านทักษิณหน้าโรงแรมด้วยนะ
จากนั้นเมื่อต้องการซื้อของ - ของฝากใด ๆ อย่าลืมกาดวโรรส - กาดต้นพยอม ...เวลาซื้อก็ "ยกยอปอปั้นท่านทักษิืณ" ให้มาก ๆ หน่อย แล้วคุณจะได้รับส่วนลดและของแถมมากมาย
มิน่าละครับ ปู่เย็น ผมซื้อของไม่เคยได้ลดเลย สงสัยต้องทำแบบที่ปู่บอกซะแล้วววว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
LOVE CHANGES EVERYTHING...
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #53 เมื่อ: 26-06-2008, 03:22 » |
|
สวัสดีคุณดอกฟ้าและทุกๆท่านครับ ผมอยู่เชียงใหม่ครับ เห็นกระทู้นี้เลยเข้ามาดูชอบมากครับ ขออนุญาติเพิ่มเติมข้อมูลของท่านพระครูบาศรีวิชัยครับ
ตำนานแห่งศรัทธาที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ย้อนอดีตไปเมื่อพ.ศ.2477 ครูบาศรีวิชัย เพิ่งแล้วเสร็จภารกิจจาริกแสวงบุญ จากการบูรณะวัดวาอารามในจังหวัดเชียงราย และมาประจำที่ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมา หลวงศรีประกาศ ได้เข้ากราบนมัสการ แล้วปรารภถึง พระธาตุดอยสุเทพ ซึ่งถือว่าเป็นปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวเชียงใหม่ หลวงศรีประกาศจึงคิดที่จะนำไฟฟ้า ขึ้นไปประดับองค์พระธาตุ แต่เป็นเรื่องเหลือกำลัง จึงได้ปรึกษาท่านพระครูบาเจ้า พระครูบาเจ้าได้บอกกับคุณหลวงว่าจะขออธิษฐานจิตดูก่อนว่าจะทำได้หรือไม่ ในคืนนั้นท่านพระครูบาเจ้าก็ได้ตั้งจิตเป็นสมาธิ และได้ปรากฏเป็นนิมิตให้เห็น ตาปะขาว (ชีปะขาว) มาจูงแขนนำท่านจากวัดพระสิงห์เห็นเป็นถนน แล้วเดินไปสักการะบูชาองค์พระธาตุดอยสุเทพ
วันรุ่งขึ้นหลวงศรีประกาศมาพร้อมกับเจ้าแก้วนวรัฐ ท่านพระครูบาเจ้าจึงได้บอกว่า การที่จะนำไฟฟ้าขึ้นบนดอยนั้นจะไม่สำเร็จ แต่ถ้าสร้างทางขึ้นดอยจะสำเร็จ ทั้ง 2 ท่านต่างก็แปลกใจเพราะหลายปีก่อน ทางราชการเคยคิดสร้างทางกันครั้งหนึ่งแล้ว โดยคำนวนว่าใช้งบประมาณถึง 2 แสนบาท ซึ่งสูงมากในสมัยนั้น เรื่องจึงเงียบไป แต่วันนี้กลับมาได้ยินว่าพระครูบาเจ้าศรีวิชัย จะสร้างทางขึ้นดอย ก็อดลังเลใจไม่ได้ แต่ท่านพระครูตอบอย่างหนักแน่นว่าการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพจะสำเร็จแน่นอน และจะสร้างเสร็จภายใน 6 เดือนด้วย จึงร่วมกันปรึกษาและได้กำหนดเอาวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2477 เมื่อถึงวันกำหนด พระครูบาเจ้าได้ให้ พระครูบาเถิ้ม (เจ้าอาวาสวัดแสนฝาง ผู้ดูแลพระธาตุดอยสุเทพ) กล่าวคำบวงสรวงอัญเชิญท้าวทั้ง 4 ทิศ พอถึงเวลา 10.00น. คณะสงฆ์ซึ่งมีพระครูบาเถิ้มนำสวดเจริญพระพุทธมนต์ และสวดชัยมงคลคาถา พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นผู้ลงจอบแรก แล้วให้ท่านพระครูบาเจ้าลากมูลดินให้เป็นพิธีเริ่มแรก ซึ่งเป็นจุดแรกที่เริ่มสร้าง ปัจจุบันคือทางตรงหน้าอนุสาวรีย์พระครูบาเจ้าในปัจจุบัน
เมื่อเริ่มงานได้ประมาณ 7 วัน ชาวเชียงใหม่จำนวนมากได้ร่วมกันจัดเครื่องไทยทาน และเครื่องมือการสร้างทางต่างๆ บรรทุกรถร่วม 50 คัน มีดุริยางค์ดนตรี เป็นขบวนครึกครื้นมาถวายที่วัดศรีโสดา ชาวบ้านหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้วต่างชวนกันมาเป็นหมู่คณะ และผู้คนหลายเชื้อชาติภาษา มีทั้งชาวป่าชาวเขาต่างมุ่งหน้ามาสู่เชียงใหม่เพื่อร่วมกันสร้างทาง วันหนึ่งๆ ไม่น้อยกว่า 5,000 คน
เหตุการณ์สำคัญที่ผู้ร่วมเห็นในครั้งนั้นมาเล่าให้ฟังว่า ก่อนการสร้างทาง บริเวณนั้นจะมีเสียงสัตว์ร้องระงมตามธรรมชาติของป่าดงดิบ แต่พอถึงเวลาสร้างทางจริงๆ บริเวณนั้นกลับดูเงียบไปหมดเหมือนไม่มีสัตว์ป่าอยู่เลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะท่านพระครูบาเจ้าท่านได้ขอเมตตาให้สัตว์ทั้งหลายหลีกทางให้ ด้วยกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิต เป็นเวรเป็นกรรมต่อกัน แต่พองานสร้างทางเสร็จ เสียงนกเสียงสัตว์น้อยใหญ่ก็กลับมาได้ยินอีกเป็นที่น่าอัศจรรย์
ตรงจุดโค้งหักศอกที่จวนจะถึงวัดพระธาตุดอยสุเทพ เป็นจุดที่ทำยากมากใครมาถึงจุดนี้ ก็เว้นเสียกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ท่านพระครูบาเจ้าจึงมอบหมายให้ ขุนกันชนะนนท์ กำนันตำบลดอยสุเทพ รับเอาช่วงนั้นไป ขุนกันก็น้อมรับแล้วจึงช่วยทำจนสำเร็จ นับว่าเป็นจุดอันตราย เพราะทั้งชันทั้งแคบ แถมยังเป็นทางหักศอกเสียด้วย คนทั้งหลายจึงเรียกตรงนี้ว่า โค้งขุนกัน มาจนทุกวันนี้
เมื่อทุกสิ่งสำเร็จเรียบร้อย จึงได้เตรียมงานพิธีทำบุญฉลอง และเปิดทางให้รถยนต์วิ่งขึ้นสู่พระธาตุดอยสุเทพ ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2478 โดยท่านพระครูบาเจ้านั่งรถของเถ้าแก่โหง้วเปิดทางเป็นคันแรกจนถึงเชิงบันไดนาคบนดอยสุเทพนับเป็นผลงานชิ้นสำคัญยิ่งของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย โดยบุญญานุภาพของท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย ทำให้การทำบุญฉลองในครั้งนั้นนานถึง 15 วัน 15 คืน ณ วัดศรีโสดา ผู้คนหลั่งไหลกันมาทำบุญอย่างมืดฟ้ามัวดินตลอดทั้งกลางวัน กลางคืน
ระหว่างการทำบุญ 15 วัน 15 คืน วันหนึ่งคุณหลวงศรีประกาศ และ เจ้าแก้วนวรัฐ ได้มากราบเรียนปรึกษาท่านพระครูบาเจ้าถึง ตาปะขาวปี ท่านเป็นศิษย์ที่พระครูบาเจ้าเคยบวชให้ตั้งแต่สามเณรจนกระทั้งเป็นพระภิกษุ โดยได้รับฉายาว่า พระอภิชัย แต่ท่านผู้นี้มีกรรมถูกกลั่นแกล้งโดยทางเจ้าคณะจับสึกถึง 2 ครั้ง จนต้องหลบหนีไปอยู่ประเทศพม่า แต่พอรู้ข่าวการสร้างทางของท่านพระครูบาเจ้า จึงได้นำกะเหรี่ยงประมาณ 500 คน จากพระบาทแม่ตะเมาะ ตำบลดอยเต่า มาร่วมในคราวนี้ด้วย หลวงศรีประกาศ และ เจ้าแก้วนวรัฐ จึงได้หารือกับท่านพระครูบาเจ้าว่าควรที่จะช่วยให้ท่านได้บวชอีกครั้ง แต่ท่านพระครูบาเจ้าแย้งว่าไม่อยากทำให้เกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นอีก เจ้าแก้วนวรัฐ และ หลวงศรีประกาศ ก็ยืนยันว่า หากมีปัญหาอะไร จะช่วยกันแก้ไขไม่ให้เดือดร้อน ท่านพระครูบาเจ้าจึงตกลงจัดพิธีอุปสมบทให้ ตาปะขาวปี เป็นพระภิกษุอภิชัย ขึ้นอีกครัง ณ วัดศรีโสดา
พอเสร็จงานทำบุญฉลองได้เพียง 10 กว่าวัน ท่านพระครูบาเจ้าได้ถูกคณะสงฆ์สมณะศักดิ์ชั้นผู้ใหญ่ในเมืองเชียงใหม่ ตั้งข้อกล่าวหาท่านพระครูบาเจ้าหลายข้อ ข้อสำคัญคือ เรื่องที่พระครูบาเจ้าอุปสมบทให้แก่พระอภิชัย เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ท่านพระครูบาเจ้าจึงเชิญ เจ้าแก้วนวรัฐ และ คุณหลวงศรีประกาศ มาชี้แจงให้เจ้าคณะพระครูทั้งหลายทราบ แต่ทั้ง 2 ท่านไม่ยอมมา ต่างหลบหน้าไม่มาช่วยแก้ไขตามที่ได้กล่าวไว้ ทำให้ท่านพระครูบาเจ้าต้องเดินทางไปกรุงเทพ เพื่อทำการสอบสวน ซึ่งกินเวลาถึง 6 เดือน 17 วัน ผลปรากฏออกมาว่าท่านพระครูบาพ้นข้อกล่าวหา และอนุญาตให้กลับภูมิลำเนาเดิมได้
หลังจากพิจารณาคดีเสร็จแล้ว หลวงศรีประกาศจึงได้ไปเยี่ยมท่านพระครูที่วัดเบญจมบพิตร แล้วกราบเรียนท่านถึงการที่จะขอนิมนต์ให้ท่านไปช่วยบูรณะสถานที่สำคัญในเมืองเชียงใหม่อีก แต่ท่านพระครูบาเจ้าได้ปฏิเสธ และได้กล่าวอมตะวาจาว่า
ตราบใดที่น้ำปิงไม่ไหลล่องขึ้นเหนือ จะไม่ขอเหยียบย่างแผ่นดินเมืองเชียงใหม่อีก
นับว่านักบุญแห่งล้านนาได้กล่าวถ้อยคำที่ไม่มีใครคาดคิด และก็เป็นไปตามวาจาที่ท่านได้ลั่นออกไปแล้วจริงๆ เพราะหลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้กลับมาเมืองเชียงใหม่อีกเลย ท่านได้แต่นิ่งเฉยไม่รับคำนิมนต์อาราธนาของชาวเชียงใหม่อีกเลย
ท่านพระครูบาเจ้าศรีวิชัย สิริวิชโย มรณภาพในเวลาเที่ยงคืน 5 นาที 30 วินาที ตรงกับวันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2481 ปีขาล รวมสิริอายุ 60 ปี 8 เดือน 10 วัน หลังจากพิธีพระราชทานเพลิงศพ ด้วยความศรัทธาของหลวงศรีประกาศ ทำให้หลวงศรีประกาศเดินทางไปกรุงเทพ เพื่อว่าจ้างกรมศิลปากรหล่อรูปเหมือนครูบาศรีวิชัย แต่กลับประหลาดใจเมื่อพบว่ามีผู้ว่าจ้างหล่อรูปท่าน และเสร็จมานานแล้ว แต่ไม่มีคนมารับไปในราคา 50,000 บาท และไม่พบหลักฐานว่าผู้ใดเป็นผู้ว่าจ้าง หลวงศรีประกาศจึงต้องติดต่อเป็นแรมปีจึงได้มา
เมื่อรูปหล่อพระครูบาเจ้ามาถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่ มีผู้คนมากมายมารับ แต่ไม่สามารถยกลงได้ หลวงศรีประกาศจึงต้องจุดธูปอธิษฐานว่าจะนำไปประดิษฐานที่ห้วยแก้วบริเวณที่พระครูบาเจ้าทำพิธีลากมูลดินเริ่มเปิดการสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ หลังจากนั้นรูปหล่อพระครูบาเจ้าก็กลับเคลื่อนย้ายไปยังเชิงดอยสุเทพอย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนักเพราะเป็นวันเดียวกับที่เขื่อนภูมิพล สร้างเสร็จและทำพิธีเปิดในวันเดียวกัน วันนั้นเป็นวันที่แม่น้ำปิงไหลย้อนกลับขึ้นเหนือ
เมื่อบัดนี้ เขื่อนภูมิพล เปิดใช้ก็เสมือนว่าน้ำปิงได้ไหลย้อนกลับขึ้นเหนือสมดังวาจาท่าน และท่านพระครูบาเจ้าก็กลับสู่เมืองเชียงใหม่ รูปปั้นเหมือนของท่านพระครูบาเจ้าเป็นอนุสาวรีย์ที่เปี่ยมล้นด้วยความศรัทธาของชาวเมืองเชียงใหม่ ดั่งสายตาของท่านที่เฝ้ามองดูชาวเชียงใหม่ ด้วยความเมตตาปราณี ดั่งคำว่า
..นักบุญแห่งล้านนาไทย..
ที่มา : นิตยสาร PASZO
ปล.๑ ร้านกาแลเป็นร้านโปรดที่ผมชอบที่จะพาญาติๆหรือเพื่อนๆ ที่ขึ้นมาเที่ยวเชียงใหม่มาทานอาหารครับ เพราะบรรยากาศสวยงามแบบที่รูปที่คุณดอกฟ้าถ่ายมานี่แหละครับ โดยเฉพาะหน้าหนาว
ปล.๒ ขอแนะนำร้านเค้กแสนอร่อยสำหรับคนชอบทานเค้กครับ ชื่อร้าน Love@first bite ถ้ามาจากในเมืองให้วิ่งข้ามสะพานนวรัตน์ ลงสะพานแล้วเลี้ยวขวา เข้าถนนเชียงใหม่-ลำพูนซอย 1 การันตีความเนียนของเนื้อเค้กครับ
ปล.๓ เห็นคุณดอกฟ้าชอบดอกไม้ ผมเลยขอแนะนำว่าถ้ามีโอกาส ขอให้ขึ้นไปดอยปุยครับดูดอกพญาเสือโคร่ง หรืออีกชื่อนึงว่า ชมพูภูพิงค์ แต่รู้จักกันว่าดอกซากุระเมืองไทย ซึ่งจะออกดอกช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ ครับ หรือพิมพ์คำว่า ขุนช่างเคี่ยน ใน google ดูครับ
ขอบคุณ คุณpaper punch มากเลยค่ะ เดือนตุลาคมนี้ ดอกฟ้าฯจะไปเที่ยวเชียงใหม่อีกครั้ง
จะไปหาของอร่อยๆทาน ตามที่คุณแนะนำ ส่วนดอกพญาเสือโคร่ง ดอกฟ้าฯเห็นในโปสการ์ดที่เค้าขายยังส่งให้น้องคนนึง แล้วบรรยายหลังภาพว่า
นี่คือดอกไม้ของเมืองไทย....ที่คล้ายดอกซากุระ แต่ตอนนี้โรยหมดแล้ว เลยไม่ได้มีโอกาสไปชื่นชม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
paper punch
|
|
« ตอบ #54 เมื่อ: 27-06-2008, 22:42 » |
|
สวัสดีคุณดอกฟ้าครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยตอนมาเชียงใหม่ก็ยินดีนะครับ
เพิ่มเติมครับ คิดว่าหลายท่านคงจะพอทราบแล้ว
- พระธาตุหริภุญไชย จ.ลำพูน เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของปี ระกา - พระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของปี มะแม (ปีเกิดของผมด้วยครับ)
- กาดวโรรส ที่เรานิยมไปซื้อของฝากกัน ที่นี่จะเรียกกาดนี้ว่า กาดหลวง ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
LOVE CHANGES EVERYTHING...
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #55 เมื่อ: 11-07-2008, 22:38 » |
|
สวัสดีคุณดอกฟ้าครับ ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยตอนมาเชียงใหม่ก็ยินดีนะครับ
เพิ่มเติมครับ คิดว่าหลายท่านคงจะพอทราบแล้ว
- พระธาตุหริภุญไชย จ.ลำพูน เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของปี ระกา - พระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ เป็นพระธาตุประจำปีเกิดของปี มะแม (ปีเกิดของผมด้วยครับ)
- กาดวโรรส ที่เรานิยมไปซื้อของฝากกัน ที่นี่จะเรียกกาดนี้ว่า กาดหลวง ครับ
ขอบพระคุณ...ที่กรุณาให้ข้อมูลค่ะ
ดอกฟ้าฯ หลงรักเชียงใหม่...ไปซะแล้ว
ต้องกลับไปเยี่ยมเยือนอีกครั้ง....แน่นอน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
paper punch
|
|
« ตอบ #56 เมื่อ: 14-07-2008, 15:29 » |
|
ขอบพระคุณ...ที่กรุณาให้ข้อมูลค่ะ
ดอกฟ้าฯ หลงรักเชียงใหม่...ไปซะแล้ว
ต้องกลับไปเยี่ยมเยือนอีกครั้ง....แน่นอน
สวัสดีครับคุณดอกฟ้าฯ ผมมีเว็บไซด์ ที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับคุณดอกฟ้าฯ ก่อนมาเชียงใหม่ครับ www.cm108.comรวบรวมเหตุการณ์ประจำวันที่เชียงใหม่ รูปภาพ ที่เที่ยว ร้านอาหาร ฯลฯ ครับ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-07-2008, 15:36 โดย paper punch »
|
บันทึกการเข้า
|
LOVE CHANGES EVERYTHING...
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #57 เมื่อ: 20-09-2008, 22:09 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-09-2008, 22:11 โดย ดอกฟ้ากับหมาวัด »
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #59 เมื่อ: 21-09-2008, 18:28 » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
|
|
personal jesus
|
|
« ตอบ #62 เมื่อ: 23-09-2008, 19:15 » |
|
แวะมาชม สวยมาก น่าเที่ยวจัง บะหมี่ กับ กาลอจี๊ ก็น่ากินมากกกก....น้ำลายไหล สองหยด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #63 เมื่อ: 23-09-2008, 20:36 » |
|
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-09-2008, 20:47 โดย ดอกฟ้ากับหมาวัด »
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
เล่าปี๋
|
|
« ตอบ #64 เมื่อ: 23-09-2008, 22:17 » |
|
อ่านกระทู้นี้ทีไร น้ำลายจะหกทุกทีเลย ขอบคุณ จขกท.ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ขงเบ้งดูดาว เฮอะเอ่อเอ้ย เมื่อดาวตก เสียวในหัวอกเมือเห็นดาว ไม่พราวไสว หรือว่าตัวเราจะหมดบุญ จึงเป็นไป ดาวที่สดใสเมื่อก่อนนั้น พลันมืดมัว....
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #65 เมื่อ: 23-09-2008, 23:06 » |
|
อ่านกระทู้นี้ทีไร น้ำลายจะหกทุกทีเลย ขอบคุณ จขกท.ครับ หาผ้าซับน้ำลายผืนโตๆไว้นะคะ
เดี๋ยวจะพาไปชิมอาหารอร่อยๆ สุดยอดไปเล้ย อิ อิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #66 เมื่อ: 23-09-2008, 23:34 » |
|
แดดร่ม ลมตกฝนตั้งเค้ามารีบเผ่นไปฟากกระนู้น เพื่อดูงาน กาลครั้งหนึ่ง อัมพวาฯ ดีกว่า เดี๋ยวลุงป๋าสามจะค้อนเอา ว่าแนะนำแล้วไม่ให้ความสนใจ เดินข้ามถนนไปเดี๋ยวเดียวก็ถึง [/size] เป็นซอยแคบๆ มีของมาวางขายมากมาย
นี่มะดัน...ซื้อกลับบ้านไปต้มมะดันปลาทูดีก่า
ปูทะเล 2 ตัวร้อย แถมน้ำจิ้ม กุ้งสดๆน่าทาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
เล่าปี๋
|
|
« ตอบ #67 เมื่อ: 24-09-2008, 17:01 » |
|
เอื๊อก..ขอกลืนน้ำลายก่อน หาผ้าซับไม่ทัน..เห็นแล้วน่าหม่ำจริงๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ขงเบ้งดูดาว เฮอะเอ่อเอ้ย เมื่อดาวตก เสียวในหัวอกเมือเห็นดาว ไม่พราวไสว หรือว่าตัวเราจะหมดบุญ จึงเป็นไป ดาวที่สดใสเมื่อก่อนนั้น พลันมืดมัว....
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
paper punch
|
|
« ตอบ #75 เมื่อ: 29-09-2008, 18:50 » |
|
โอย..สุดยอดครับ สุดยอด
จากนี้ไปจะขอเป็นลูกทัวร์ตามไกด์ดอกฟ้าฯไปทุกทริปเลยคร้าาาาบ. ก็เล่นมีแต่ของอร่อยๆน่าทาน แถมที่เที่ยวก็สวยซะขนาดนั้น
เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่รู้ จริงๆครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
LOVE CHANGES EVERYTHING...
|
|
|
ดอกฟ้ากับหมาวัด
|
|
« ตอบ #76 เมื่อ: 01-10-2008, 00:10 » |
|
ขอบคุณมากค่ะ...ที่กรุณาติดตาม
ดอกฟ้าฯว่าเมืองไทย มีที่ๆ น่าท่องเที่ยวอีกมากมาย เงินทองไม่รั่วไหล เพราะอยู่ในประเทศของเรา
รอดูทริปต่อไปนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
***ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินเปรียบเสมือนเรือ ประชาชนเปรียบเสมือนน้ำ
น้ำพยุงเรือให้แล่นไปได้ และน้ำก็จมเรือได้เช่นกัน***
|
|
|
|