ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
28-04-2024, 13:40
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ห้องสาธารณะ  |  ส่งความปรารถนาดีถึงเพื่อนเสรีไทย 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ส่งความปรารถนาดีถึงเพื่อนเสรีไทย  (อ่าน 1618 ครั้ง)
เพื่อนไทย
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 18-01-2008, 16:21 »

สร้างธรรมในใจ สู้ภัยเศรษฐกิจ
โดย พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
วัดป่าสาลวัน
ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา


มิจฉาทิฏฐิพาชาติวิบัติ
    มาสมัยโลกาภิวัตน์ เราไปรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกมากลบเกลื่อน
วัฒนธรรมอันดีงามของเรา บางทีเราก็ลืมของดีของเราไป ไปนิยมชมชอบของฝรั่ง
เอาวัฒนธรรมของชาวฝรั่งมา เมื่อจิตใจของเราหันไปชมชอบวัฒนธรรมของเขา
มันก็เอียงไปนิยมชมชอบเครื่องอุปโภคบริโภคของเขา

นี่มิจฉาทิฏฐิกำลังเกิดขึ้นแล้ว
    เพราะอาศัยความเข้าใจผิดเห็นผิดว่าของเรานี่มันคร่ำครึ สู้ของฝรั่งไม่ได้
ไปเอาของฝรั่งมา เราไปนิยมของเขาเราก็สั่งซื้อของเขาเข้ามาทีละหลายๆ แสนล้าน
เงินทองมันก็รั่วไหลออกไปต่างประเทศ ซื้อเข้ามาเท่าไรก็ไม่พอ เมื่อเงินทอง
มันไหลออกนอกประเทศ เงินคงคลังมันก็น้อยลงจนหมดเกลี้ยง เมื่อมันหมดแล้ว
เราก็ต้องกู้เงินเขามาลงทุนอีก มันเกิดจากมิจฉาทิฏฐิที่เราหลงไปนิยมชมชอบของเขา
ไปทิ้งของดีของเรา ด้วยประการฉะนี้ ประชาชนพลเมืองของไทยเรา จึงตกเป็นลูกหนี้
ของต่างประเทศทั้งประเทศ

สัมมาทิฏฐิพาชาติพ้นภัย
เราเป็นลูกไทยหลานไทย
ลูกไทยหลายไทยย่อมมีวัฒนธรรม
และศีลธรรมประจำชาติของตนเอง
คือ ศาสนา

    ศาสนาคือคำสอนของพระศาสดา คือ พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า
ให้เรามีความสำนึกผิดชอบชั่วดี สอนให้เรารู้จักความเป็นไทยของตนเอง
สอนให้รู้จักดำรงรักษาไว้  ซึ่งวัฒนธรรมและขนบประเพณีอันดีของไทย
ถ้าตราบใดที่เรายังนิยมชมชอบวัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมอันดีของไทย
เราก็เป็นลูกหลานไทยโดยสมบูรณ์
 
    พยายามสร้างความรู้สึกที่เป็นสัมมาทิฏฐิขึ้นในจิตในใจ เมืองไทย
เรามีวัฒนธรรมศีลธรรมอันดีงามมาตั้งแต่เก่าแก่โบราณ ถ้าหากว่าเราหันไปนิยม
ชมชอบวัฒนธรรมขนบประเพณีของชาวต่างประเทศ จิตใจของเราเขวไป
ข้างมิจฉาทิฏฐิ ไปทอดทิ้งของดีที่มีประจำบ้านประจำเมืองของเรา ถ้ามีความรู้สึก
ดูหมิ่นวัฒนธรรมของตน หันไปนิยมชมชอบเครื่องอุปโภคบริโภคของชาวต่างประเทศ
 
    เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นมิจฉาอาชีวะ คือเลี้ยงชีวิตผิดหลัก ทุกสิ่งทุกอย่าง
ในเมืองไทยเรามีพร้อม เกษตรกรรมประจำครอบครัว อุตสาหกรรมประจำครอบครัว
เรามาปลูกความนิยมชมชอบซึ่งสิ่งที่เราผลิตขึ้นได้ในบ้านในเมืองของเรา คนไทย
ใช้ของไทย รับประทานของไทย เราจะอยู่รอด

ทุกข์เพราะฝืนกฎธรรมชาติ
    คำสอนของพระพุทธองค์ ในส่วนที่เป็นสภาวธรรม หรือธรรมะที่เป็น
เครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติของพระพุทธองค์ หมายถึงอะไรบ้าง
 
    หมายถึง กายกับใจของเรา สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมที่เราสัมผัสรู้
ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือใจ จะเป็นอะไรก็ได้ทั้งสิ่งที่เป็นไปโดยคดีโลก
และคดีธรรม รวมแล้วว่าสิ่งใดที่เราสามารถรู้ได้ด้วยจิตด้วยใจ สิ่งนั้นแหละ
เป็นสภาวธรรม สิ่งที่มาสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส
ธรรมารมณ์ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสภาวธรรม เป็นธรรมสิ่งรู้ของจิต
สิ่งระลึกของสติของพระพุทธเจ้าและของพุทธสาวกผู้ปฏิบัติธรรม
หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในจักรวาลนี้ ตั้งแต่อณู ปรมาณู
จนกระทั่งมวลสารที่เกาะกลุ่มกันเป็นก้อนใหญ่โต
บันทึกการเข้า
เพื่อนไทย
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 18-01-2008, 16:24 »

เขามีกฎธรรมชาติตายตัวอยู่ ๓ อย่าง คือ อนิจจัง ไม่เที่ยง
ทุกขัง ทนอยู่ตลอดกาลไม่ได้ อนัตตา ไม่เป็นตัวของตัวเอง
ซึ่งมันเป็นกฎธรรมชาติที่จะต้องเป็นไปอย่างนั้น แม้แต่ร่างกายของเรา
เกิดมาแล้วก็ต้องแก่ เจ็บ ตาย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นกฎของธรรมชาติทั้งนั้น
สภาวะทั้งหลายมันเกิดขึ้นแล้วก็ทรงอยู่ ดับไป ความเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย
เหล่านั้น เรียกว่า อนิจจัง คือความไม่เที่ยง ในปัจจุบันนี้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลง
อย่างรุนแรงที่สุดซึ่งกระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของชาวบ้านชาว เมืองเรา
ค่าเงินบาทมันลอยตัวดอลลาร์ มันขึ้นสูง เมื่อก่อนเงินของเรา ๒๕ บาท
ซื้อดอลลาร์ได้เหรียญหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้มันต้องเพิ่มไปถึง ๕๐ กว่าบาท
อันนี้ก็คือความเปลี่ยนแปลง ซึ่งอยู่ในกฎพระไตรลักษณ์

ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นไปตามกฎธรรมชาติของเขา
 
แล้วทำไมหนอ
มนุษย์เราจึงต้องไปทุกข์ไปเดือดร้อน
ที่เราต้องทุกข์ต้องเดือดร้อน
เพราะเราไปสำคัญผิดสำคัญผิดในชื่อของเราเอง

    ที่มันไปทุกข์ไปร้อนกับสิ่งเหล่านี้ ก็เพราะว่ามนุษย์เรานี่มัน
ภูมิใจในชื่อของตัวเอง ดันทุรังไปแปลชื่อของตัวเองว่า มนุษย์ แปลว่า
ผู้มีใจสูง ในเมื่อสำคัญว่าตัวมีใจสูง ตัวเองก็ทนงตัวว่าเรามีอำนาจบาตรใหญ่
เที่ยวไปเอาอำนาจตัวเองไปเบ่งทับสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ เช่น จะไปบังคับ
ความแก่ไม่ให้แก่ บังคับความเจ็บไม่ให้เจ็บ บังคับความตายไม่ให้ตาย
บังคับไม่ให้เงินบาทมันลอยตัว ในเมื่อสิ่งนั้นมันขัดใจเรา เราเกิดความไม่พอใจ
เราก็เป็นทุกข์ ทุกข์ตัวนี้ เป็นทุกข์อริยสัจที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ทุกข์อริยสัจนี่
หมายถึงทุกข์ที่เกิดกับจิตโดยส่วนเดียว อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หมายถึง
ความเปลี่ยนแปลงของสภาวะที่มีอยู่ในโลกนี้

    แต่สิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามกฎธรรมชาตินั่นแหละ บางอย่าง
มันขัดใจเรา เราก็เกิดทุกข์เพราะเหตุนั้น เช่น บางครอบครัวลูกตายเสีย
เมียตายจาก ทรัพย์สมบัติอันตรธานสูญหาย อันนั้นมันก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติ
ตามกฎของกรรม ทีนี้เราไม่พอใจ เราก็เกิดทุกข์เพราะเหตุนั้น ความอันตรธาน
ของสิ่งที่เรามีอยู่นั้นมันเป็นไปตามกฎธรรมชาติของพระไตรลักษณ์
แต่ว่าเมื่อเราเอาจิตของเราไปสอดแทรก จะไปบังคับขัดขวางไม่ให้
เป็นไปอย่างนั้น มันขัดใจเรา เราเกิดโทมนัสน้อยใจ เราเกิดทุกข์
ทุกข์ตัวนี้มันเกิดที่ใจ ทุกข์ใจ เป็นทุกข์อริยสัจที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
และทุกข์ใจตัวนี้มันเกิดมาจากไหน
บันทึกการเข้า
เพื่อนไทย
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 18-01-2008, 16:25 »

เกิดมาจากความยินดีซึ่งเรียกว่า กามตัณหา
เกิดจากความยินร้ายคือ วิภวตัณหา
เกิดจากความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของของเราคือ ภวตัณหา
เพราะฉะนั้นมันจึงทุกข์

    ปัจจุบันนี้ไปที่ไหน ไม่ว่าชนบทหรือในกรุง ไปได้ยินแต่คำว่า
ค่าเงินบาทมันลดลง ค่าดอลลาร์มันสูง มันถึงคราวแล้วญาติโยมทั้งหลาย
ที่เราต้องทำจิตทำใจ เราต้องเตรียมตัวเตรียมใจ เคยบริโภคสิ่งของราคาแพง ๆ
ก็ลดลงมา มันก็เป็นการลดค่าครองชีพ เพราะฉะนั้น ธรรมะอันเป็นคำสอน
ของพระพุทธเจ้า ได้แก่ สภาวธรรมอันเป็นสิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติ
มันตกอยู่ในอำนาจของพระไตรลักษณ์

ธรรมะพาพ้นภัย
ความจริงใจต่อความเป็นไทย
อดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก
แล้วพยายามช่วยตนเองโดยทุกวิถีทาง
เราจะอยู่รอด

    พระพุทธเจ้าสอนเราว่า อัตตา หิ อัตโน นาโถ ทุกคนต้องเป็นที่พึ่ง
ของตนเอง แม้ศาสนาคริสต์เขาสอนว่า พระเจ้าช่วยๆ ถ้าเราไปอ่านคัมภีร์เขาให้ลึกซึ้ง
ก็จะสรุปลงได้ว่า พระเจ้าจะช่วยเฉพาะบุคคลที่พยายามช่วยตัวเองเท่านั้น
มันก็ อัตตา หิ อัตโน นาโถ นั่นเอง เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาต่างๆ มันอยู่ตรงที่ว่า
ทุกคนต้องพยายามช่วยตัวเอง ใครมีหน้าที่อะไร ใครเป็นข้าราชการ ก็พยายาม
ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ใครเป็นนักเรียนนักศึกษา ก็พยายามทำหน้าที่
ของตนเองให้ดีที่สุด ใครเป็นพระเป็นสงฆ์ ก็พยายามทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด
ให้เป็นแนวทางที่จะช่วยตนเองให้พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนได้ เราก็อยู่ได้
 
    นอกจากนี้ พยายามทำจิตทำใจของเราให้เลิกการนิยมสิ่งแปลกๆ
ซึ่งมาจากต่างประเทศ ให้มันน้อยลงๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่ว่าเราจะไปปฏิเสธว่า
ของเขาไม่ดี แต่เราควรจะคัดเลือกเอามาให้มันเหมาะสมกับบ้านเมืองของเรา

อันนี้ เราเอามาทั้งดุ้น แล้วมาฝึกประชาชน กุลบุตรของเรา ให้เป็นมิจฉาทิฏฐิกัน
โดยหันหลังให้วัฒนธรรมอันดีของไทย

    สร้างจิต คือฟื้นฟูความรู้สึกของเราที่มันหลงลืมและทอดทิ้งของดี
ของบ้านเมืองเราให้มันตื่นมาอีกครั้ง ในเมืองไทยของเรานี่ มันมีทางเดียวเท่านั้น
ที่จะแก้ปัญหาอย่างปัจจุบันนี้ได้ คือ ฟื้นฟูเกษตรกรรมแบบผสมผสาน
ปรับปรุงเศรษฐกิจพอเพียงตามนโยบายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ซึ่งเป็นนโยบายที่ยอดที่สุด และตรงกับชีวิตจริงของคนไทยด้วย
บันทึกการเข้า
เพื่อนไทย
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: 18-01-2008, 16:26 »

อยุธยาไม่สิ้นคนดี      
มีใครๆ เขามาถามว่า "เมืองไทยเราจะอยู่รอดไหม" ก็เลยบอกว่า
"ไปถามผู้บริหารประเทศชาติ" หลวงพ่อคิดว่าจะอยู่รอดเมืองไทย 
เราถึงจะเป็นอย่างไรมันก็ไม่ถึงกับต่างประเทศบางประเทศที่เขาเป็นในปัจจุบัน
คนไทยเราโดยปกติธรรมดานี่เวลาบ้านเมืองปกติ บางทีก็คล้ายกับว่า
จะไม่สามัคคีกลมเกลียว บ้านอยู่ติดกันมองข้ามกำแพงบ้านเกิดทะเลาะกันแล้ว
แต่เวลาบ้านเมืองเกิดวิกฤติการณ์ขึ้นมา ถึงคราวบ้านเมืองจะล่มจมคนไทย
จะเกาะกันเป็นกลุ่มแน่นหนามั่นคง
 
   หลวงพ่อว่าที่บรรพบุรุษท่านพูดเป็นคำขวัญว่า อยุธยาไม่เคย
สิ้นคนดี คำพูดของบรรพบุรุษของเราคำนี้มันเป็นอมตะ พอถึงคราวจะล่มจม
มันจะมีคนดีขึ้นมา มารื้อฟื้นของดีๆ ของเราคืนมา เวลานี้พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวก็กำลังรื้อฟื้นแผ่นดิน ไร่นาผสมผสานของพระองค์นั่นแหละดีที่สุด
มันเลี้ยงเรามาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย เกษตรกรรมประจำครอบครัว ทำนา ทำสวน
เลี้ยงสัตว์ สมัยที่หลวงพ่อเป็นเด็ก กำลังหนุ่มแน่น เป็นลูกชาวนา ทำไร่ทำนา
ถึงปีมาเราทำนากันทุกปี เวลาว่างไปทำสวน ปลูกผักปลูกหญ้า บางทีไร่นา
มีสระเลี้ยงปูเลี้ยงปลา

    เวลาน้ำหลากมามาก เราจับปูจับปลา ทำกะปิ ทำปลาร้า ทำน้ำปลา
ในสวนเราก็มีผักมีหญ้า เครื่องครัวเครื่องอยู่เครื่องกินของเรามีพร้อมหมด ในเมื่อเรา
มีสิ่งเหล่านี้ เราจะไปเดือดร้อนอะไร เวลาหิวมา เราก็มองเห็นข้าวเปลือกอยู่ในยุ้ง
ในฉาง เราก็ตักเอามาตำมาซ้อม มานึ่งมาหุง กับไม่มี มองลงไปใต้ถุนบ้าน
ก็มีเล้าเป็ดเล้าไก่ มองไปในสวนก็มีผักมีหญ้า มีพริกมีมะเขือพร้อมบริบูรณ์หมด
ในเมื่อเรามีทุกสิ่งทุกอย่างนี้ เราจะไปเดือดร้อนอะไร ทีนี้คนทำไร่ทำนามี
ข้าวเปลือก คนทำราชการ ไม่ได้ค้าขาย ไม่ได้ทำไร่ทำนา ก็อาศัย
พวกชาวไร่ชาวนาเอาข้าวมาขาย
 
    มันก็จุนเจือมาอยู่ได้ตั้งแต่หลายชั่วอายุคนแล้วเพราะอาศัย
เกษตรกรรมประจำครอบครัวอุตสาหกรรมประจำครอบครัว อาหารเราผลิตเองได้
เครื่องอุปโภค เครื่องนุ่งห่มเราทำเอาเองได้
อันนี้มันเป็นเรื่องของเกษตรกรรมประจำครอบครัว อย่าลืมว่าเกษตรกรรม
จะเป็นผู้ครองโลก สมัยปัจจุบันนี้ วัตถุดิบในป่าในดงมันร่อยหลอลงไป
และหมดไปทุกที โรงงานอุตสาหกรรมเชิญสร้างลงไป ถ้าพืชเกษตร
ไม่มีป้อนโรงงาน โรงงานก็อยู่ไม่ได้
******************
เพราะฉะนั้นอย่าลืมนึกถึงอดีต
อย่าไปนึกว่าคนรุ่นปู่ย่าตายายของเรานี่เป็นคนครึ
ล้าสมัย ไม่ทันสมัย เป็นเต่าล้านปี
เป็นมนุษย์สมัยไดโนเสาร์
อันนี้มิจฉาทิฏฐิมันกำลังเกาะกินใจของเรา
วัฒนธรรมชาวตะวันตกเขานิยมวัตถุ
แต่เอเชียเรานี่นิยมคุณธรรม
อบรมสั่งสอนกันให้มีคุณธรรม ให้มีความรัก
ความเมตตาปรานี เราอยู่ร่วมกันได้
อย่ามองข้ามของดีที่เมืองไทย

                เราต้องย้อนกลับมาพิจารณาดู สิ่งที่เรามีมาตั้งแต่เก่าแก่ดั้งเดิม
วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีของประเทศ ของบ้าน ของเมือง
ที่ปู่ย่าตายายของเรายึดเป็นหลักปฏิบัติและดำรงชีพกันมาตลอด รื้อฟื้นขึ้นมา
มันเป็นอมตะ มันเป็นของดีที่ไม่สูญสลาย แต่ว่าเราไม่รู้จักคุณค่า
ในเมืองไทยนี่มีดีทุกอย่าง
บันทึกการเข้า
เพื่อนไทย
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: 18-01-2008, 16:29 »

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างพลังจิต พลังสมาธิของเรา เป็นต้น
แล้วบางทีชาวต่างประเทศที่ฉลาดๆ เขามามองๆ ดู แล้วก็ตั้งเป็นหลักสูตร
มาเผยแพร่ให้คนไทย เช่น พลังจักรวาล เป็นต้น พลังจักรวาลนี่
ก็คือวิธีการสร้างพลังจิตนั่นแหละ
 
    การสร้างพลังจิตของเรามีมาตั้ง ๒,๒๔๑ ปี ตั้งแต่พุทธศาสนา
เข้ามาสู่เมืองไทยของเรา แต่เนื่องจากเรามองข้ามของดีที่เรามีอยู่ นิสัย
คนไทยนี่ชอบของใหม่ของแปลก พลังจักรวาลนี่มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ในตัวของเรานี่มันมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ
แล้วก็มีธาตุเหล็กผสมผสานอยู่ในเนื้อในหนังในเลือดเรา ในดวงอาทิตย์
มีสนามแม่เหล็ก ดวงจันทร์ ดวงดาว มีสนามแม่เหล็ก ในโลกที่เราอาศัยอยู่
ก็มีสนามแม่เหล็ก การสื่อสารของสนามแม่เหล็กคือ พลังไฟฟ้า ทีนี้ในตัวเรานี่
ในเมื่อเราสามารถสร้างจิตของเราให้มันนิ่งอยู่ในจุดหนึ่งจุดใดอย่างแน่วแน่
พลังในจักรวาลมันจะวิ่งเข้ามารวมในจุดนั้น ทำให้เราเกิดมีพลังจิตพลังใจ
 
    ปู่ย่าตายายเราเคยใช้กันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว สมัยที่
โรงพยาบาลยังไม่มีมากมาย เราก็อาศัยการอมยาพ่นฝนยาทาตามประสา
การพ่นการเป่าคือการใช้พลังจิต หรือบางทีอาจท่องมนต์ ทำน้ำมนต์อะไร
ทำนองนี้ ใช้พลังจิตทั้งนั้น แต่คนสมัยใหม่ เขามาบัญญัติศัพท์เรียกว่า
พลังจักรวาล ให้มันแปลก แล้วคนทั้งหลายจะได้สนใจ บ้านเมืองเรานี่
คอมมิวนิสต์เต็มบ้านเต็มเมืองเรายังปราบอยู่ บารมีของประเทศนี่มันเท่าไร

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยรับสั่งถามหลวงปู่ฝั้นว่า
"ต่อไปนี้บ้านเมืองไทยเราจะเป็นอย่างไร" ไม่เป็นไรหรอก มหาบพิตร
บ้านเมืองเราเป็นเมืองพุทธศาสนา มีศีลมีธรรม ใครมาเบียดเบียนเมืองไทย
ธรณีจะสูบมัน" เพราะฉะนั้นในฐานะที่ท่านทั้งหลายเป็นผู้มีส่วนรับผิดชอบ
ความเสื่อมความเจริญของบ้านของเมือง ขอได้โปรดมั่นใจว่าเรา
จะต้องอบรมกุลบุตรของเราให้มีวิชาความรู้ มีความสามารถในการที่
จะรับมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ สำหรับหลวงพ่อเองมั่นใจว่าประเทศไทย
เราจะไม่ล่มจม

   สมัยที่เป็นเด็กนักเรียน เรียนประวัติศาสตร์ ครูท่านสอนว่า
ทวีปเอเชียมี ๑๒ ประเทศ ตกเป็นเมืองขึ้นของชาวยุโรปเกือบทั้งหมด
ยังเป็นเอกราชอยู่ ๓ ประเทศ คือ จีน ไทย ญี่ปุ่น สมัยนั้นประเทศไทย
มีพลเมือง ๑๐ กว่าล้าน ญี่ปุ่นมีร้อยล้าน จีนมีเป็นพันล้าน แต่ไทย
มีพลเมือง ๑๐ กว่าล้านยังอุตส่าห์เป็นเอกราชอยู่ได้ จะว่าไทยเราไม่เก่งอย่างไร
    เพราะฉะนั้นไทยเราต้องเก่งตลอดเวลา เก่งมาแล้วก็ต้องเก่งต่อไป
เพราะฉะนั้นไม่ต้องหวั่นวิตก ขอให้เรามีความจริงใจ อดทน อย่างเดียวเท่านั้น
บันทึกการเข้า
เพื่อนไทย
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #5 เมื่อ: 18-01-2008, 16:30 »

ฝึกจิต พิชิตทุกข์
    เราสามารถปฏิบัติสมาธิไปกับงานต่างๆ โดยเอางานเป็นอารมณ์
กำหนดสติให้รู้ตามการยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
การปฏิบัติแบบนี้ การที่จิตจะสงบวูบวาบลงไปเป็นสมาธิ สว่างไสว
อาจจะช้า แต่ว่าเราได้พลังงานทางสติเป็นตัวเด่น เมื่อเรามีพลังงานทางสติ
เป็นตัวเด่น แม้จิตเราไม่สงบละเอียดลงไป แต่เราจะมีสติสัมปชัญญะรู้เท่าทัน
เหตุกาณ์หรือสถานการณ์แวดล้อมของเราดีขึ้น

เพราะฉะนั้นใครจะสร้างพลังจิตของตนเอง
ทำจิตของตนเองให้มีพลังงาน
เราต้องทำจิตของเราให้มีสิ่งรู้
สติมีสิ่งระลึก จะเป็นอะไรก็ได้

    พยายามฝึกจิตของเราให้มีสติปัญญา ยอมรับสภาพความจริง
ที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ คนที่คิดสั้นฆ่าตัวตาย เพราะขาดสติ ขาดสมาธิ
ขาดปัญญา ไม่ยอมรับสภาพความจริง คนที่ไม่มีสติปัญญา ยากที่จะรับ
ความจริงได้ จิตที่ยอมรับสภาพความจริงได้ ต้องเป็น
 
จิตที่มีความมั่นคง มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญา

บันทึกการเข้า
เพื่อนไทย
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #6 เมื่อ: 18-01-2008, 16:34 »

ติดตามอ่านความคิดเห็นในเวปบอร์ดเสรีไทยมานาน ได้ประโยชน์พอสมควร
วันนี้ ด้วยความปรารถนาดี และขอตอบแทนความคิดเห็นที่เพื่อนๆ ในเวปนี้ให้
ข้อคิดดีๆ แก่ จขกท. นี้ บ้าง จึงขอนำธรรมเทศนาของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
มาฝากเพื่อนๆ บ้าง

หลวงพ่อพุธ ท่านมรณภาพไปหลายปีแล้ว แต่ธรรมขององค์พระบรมศาสดา
สัมมาสัมพุธเจ้า ที่หลวงพ่อพุธท่านนำมาถ่ายทอดถึงลูกหลานชาวพุทธ
ในกาลปัจจุบัน นั้น ทันสมัยตลอดกาล ธรรมของพระพุทธองค์
ไม่เคยเสื่อม เป็นสัจธรรมนิรันดร์กาล ที่เสื่อมก็เสื่อมในหัวใจคนเท่านั้น
เข้าใจว่า เทศนากัณฑ์นี้ นั้นท่านคงเทศน์ไว้เมื่อหลังจากเกิด
วิกฤตเศรษฐกิจ 2540

แม้สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว และการ post เทศน์กัณฑ์นี้
ในเวลานี้ ก็ดูเหมือนจะช้าไปบ้าง แต่ผู้ post แน่ใจว่าว่า คำสอนที่อยู่ในกัณฑ์นี้
ยังมีความสำคัญ และมีคุณค่าสูงอย่างยิ่ง สำหรับผู้นำไปปฏิบัติ เพราะจะสามารถ
ช่วยได้ทั้งตน คือผู้ปฏิบัติ และช่วยได้ทั้ง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
อันเป็นที่รักของเรา ในยุคที่บ้านเมืองกำลังสับสนวุ่นวาย และมีแนวโน้ม
ไปสู่ความเสื่อมในหลายๆ ด้านยิ่งขึ้นๆ ดังที่เห็น และเป็นอยู่

ขอให้ตระหนักถึงคำสอนของ หลวงพ่อพุทธทาส ภิกขุ ที่เตือนไว้อย่างจริงจัง
และหนักแน่น ก่อนท่านสิ้นเป็นเวลาหลายปีว่า
ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาจะวินาศ

 
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: