พรรคพวกในกองบรรณาธิการได้เปรียบเปรยกระบวนการครองอำนาจของพรรคไทยรักไทยว่า เมืองหลวงหรือศูนย์บัญชาการใหญ่คือบ้านจันทร์ส่องหล้า และมีนายหญิงเป็นผู้บัญชาการสูงสุดที่มีอำนาจสมบูรณ์เด็ดขาด
แล้วเปรียบเทียบว่าพรรคไทยรักไทยมีฐานที่มั่นใหญ่สองแห่ง คือ ทำเนียบรัฐบาลหรือนัยหนึ่งคือการครองอำนาจเป็นรัฐบาล กับ กกต.
ฟังเขาพูดคุยกันก็ดูเข้าท่าเข้าที เพราะที่พรรคไทยรักไทยเหิมเกริมอยู่ในทุกวันนี้และทุ่มเทปกป้องความเป็นรัฐบาลรักษาการและ กกต. ก็เพราะฐานะที่สำคัญเช่นนี้เอง
หนังสือพิมพ์บางฉบับได้รายงานข่าวเมื่อเช้าวันที่ 16 พฤษภาคม 2549 ว่าพรรคไทยรักไทยทุ่มสุดหน้าตักเพื่อรักษา กกต. ชุดนี้ไว้ให้จัดการเลือกตั้งต่อไป นี่ก็คือการยืนยันความสำคัญดังกล่าว
หมายเหตุผู้จัดการก็เคยชี้ไว้ว่าหาก กกต. ถูกขับพ้นจากตำแหน่งวันไหน ก็อาจมีการตัดสินใจแบบบ้าเลือดและเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงคือการก่อรัฐประหาร นี่ก็คือการยืนยันความสำคัญดังกล่าวเป็นนัยเดียวกัน
กกต. เป็นฐานที่มั่นสำคัญก็เพราะเป็นกลไกที่จะให้ใครได้เป็น ส.ส. รวมทั้งที่จะให้ใครได้ ส.ส. มากจนเป็นรัฐบาลก็ได้
บทบาทและการกระทำของ กกต. ในการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ที่ย่ำยีกฎหมายบ้านเมืองจนการเลือกตั้งนั้นถูกกล่าวหาว่าเป็นการเลือกตั้งแบบโคตรโกงมหาโกง คือโกงกันโดยไม่เกรงฟ้า ไม่กลัวดิน ไม่เห็นกฎหมายอยู่ในสายตากันเลย จนทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะนั้นก็พอได้เห็นกันแล้วว่าบทบาทมีขนาดไหน
ยิ่งถึงวันนี้บทบาทของ กกต. มีถึงขนาดจะยุบพรรคการเมืองใหญ่ที่ว่าจ้างพรรคเล็กทำลายระบอบประชาธิปไตย และมีถึงขนาดตัดสิทธิ์ทางการเมืองของคนใหญ่คนโตในบ้านเมืองอีกด้วย จึงยิ่งสำคัญมากขึ้นไปอีก
การทุ่มสุดตัวเพื่อปกป้องรักษาฐานที่มั่นคือ กกต. ชุดที่ไม่ยอมรับผิดในเรื่องสารพัดผิดที่กระทำไว้กับบ้านเมืองจึงเกิดขึ้น แต่ก็ทำท่าว่าจะรักษาไว้ไม่ได้ เพราะพลเอก จารุภัทร เรืองสุวรรณ อดีตนายทหารราชองครักษ์ พอทราบความจริงแล้วก็สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและได้ยื่นใบลาออกไปแล้ว
คงเหลือแต่ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ นายวีระชัย แนวบุญเนียร และนายปริญญา นาคฉัตรีย์ เพียง 3 คน ที่ยังดิ้นรนอยู่ต่อเพื่อรับใช้พรรคการเมืองต่อไป
คนไทยเราลองกล้าทุ่มถึงขนาดบังอาจเผชิญหน้ากับสามศาล ซึ่งรู้ ๆ อยู่ว่าเป็นหน่วยงานที่ได้รับกระแสพระราชดำรัสให้เข้ามาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองแล้วก็คงไม่มีอะไรที่จะต้องพูดกันอีก
ก็ต้องบอกว่าสถานการณ์ของ
กกต. 3 คนที่ว่านี้คงไม่ลาออกแน่ เพราะมันมีอะไรค้ำปากจุกอกกันอยู่ คงต้องยอมติดคุกหรือยอมตายคาตำแหน่งนั่นแหละ ดังนั้นจึงเหลือแต่วิธีการที่จะทำให้ กกต. 3 คนนี้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือพ้นไปจากหน้าที่
ไม่ว่าถูกคุมขังตามหมายของศาล หรือถูกศาลพิพากษาจำคุกก็ตาม มีแต่หนทางนี้เท่านั้น อย่าไปเสียเวลาวิงวอนให้ยากอีกเลย
ความผิดมากมายมหาศาลและมีคดีค้างคาศาลนับไม่ถ้วนดังที่เป็นอยู่นี้ เห็นที กกต. 3 คนนี้จะอยู่ในตำแหน่งต่อไปไม่ได้แน่ และใครคิดจะรักษาฐานที่มั่นนี้ไว้ก็คงไม่สำเร็จแน่
หรือถึงคิดเสี่ยงภัยก่อการที่เป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตยก็ใช่ว่าจะสำเร็จได้ดังคิด เพราะอาจถูกปราบปรามอย่างราบคาบภายในเวลาอันรวดเร็ว
เมื่อใดที่มี กกต. ชุดใหม่ที่เป็นอิสระ เป็นกลาง เข้ามาดำเนินการแล้ว การเลือกตั้งก็จะสุจริตและเที่ยงธรรม และ
ย่อมมีการนำเรื่องพรรคใหญ่ว่าจ้างพรรคเล็กให้ทำลายระบอบประชาธิปไตยขึ้นพิจารณาแน่ การยุบพรรคและการตัดสิทธิ์ทางการเมืองก็เกิดขึ้นแน่ ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมั่นคงสถาพรก็จะเกิดขึ้น
การรักษาฐานที่มั่นที่เน่าผุ และการโจมตีฐานที่มั่นคือ กกต. นี้กำลังเป็นสมรภูมิที่ดุเดือดแหลมคมอย่างยิ่ง
ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จึงต้องร่วมแรงร่วมใจกันทำให้ กกต. 3 คนนี้ต้องรับผิดชอบในบรรดาความผิดทั้งหลายที่ทำไว้ และให้พ้นไปจากตำแหน่งโดยเร็วที่สุด
ฐานที่มั่นอีกแห่งหนึ่งคือความเป็นรัฐบาลรักษาการ ซึ่งเป็นต้นตอของการใช้อำนาจที่วิปริตและไม่รับผิดชอบนั้น ขณะนี้สภาทนายความได้นำคดีขึ้นฟ้องศาลปกครอง โดยมีนัยยะที่ขอให้ศาลวินิจฉัยสถานภาพของรัฐบาลรักษาการว่าเป็นอย่างไร
ความเป็นรัฐบาลรักษาการที่มุ่งหวังให้ยืนยงยาวนานกำลังถูกนำเข้าไปอยู่ในอำนาจของสถาบันตุลาการอีกแห่งหนึ่งแล้ว
ฐานที่มั่นของอำนาจรัฐพรรคไทยรักไทยทั้งสองแห่งจึงสั่นคลอนเต็มที
เมื่อใดที่ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่าการขอลาพักจากหน้าที่ตลอดไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ารับตำแหน่งของรักษาการนายกรัฐมนตรี ประกอบกับเจตนาที่แสดงออกและพฤติกรรมทั้งมวลว่าเป็นการลาออกแล้ว ก็จะมีผลทำให้คณะรัฐมนตรีรักษาการพ้นจากตำแหน่งตามไปด้วย
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9490000064211
