7 มกราคม พ.ศ. 2551 18:03:00
"แก้วสรร"เผยแจ้งข้อหาเพิ่ม 14ราย "อริสมันต์"เป็นตัวกลางเรียกรับสินบน 7ล้าน "วัฒนา"เพิ่มอีก7กระทง "ชวนพิศ"เพิ่มเป็น2กระทง ติดดาบ"กล้านรงค์"ฟัน"หมอเลี้ยบ-บอร์ดทศท.-กสท." เอื้อเอไอเอส กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ(คตส.) มีนายนาม ยิ้มแย้ม ประธานคตส.เป็นประธานการประชุม ภายหลังการประชุม นายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการคตส. แถลงว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบตามที่ตนในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนโครงการบ้านเอื้ออาทร เสนอชี้มูล และแจ้งข้อกล่าวหาบุคคลเพิ่มเติมอีก 3 คดี จำนวน 14 ราย โดยพบว่ามีการทุจริตโควตาโครงการบ้านเอื้ออาทร ซึ่งพบสินบนแล้ว 1,200 ล้านบาท ซึ่งผู้ที่ถูกกล่าวหาเพิ่มเติมมีดังนี้
กลุ่มที่ 1. คดีทุจริต-รับเรียกสินบน คือ นายพรพรหม วงศ์พิวัฒน์ หน้าห้องรัฐมนตรี ฐานเป็นผู้สนับสนุนการทุจริต นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง ฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนให้รัฐมนตรี โดยได้รับเงินส่วนแบ่ง 7 ล้านบาท นางรัตนา แซ่เฮง เลขาคนสนิทของบริษัทเพรสซิเดนท์ ในฐานะตัวกลางเรียกรับสินบน และผู้บริหารบริษัทไทยเฉนหยู ซึ่งไม่ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล กลุ่มที่ 2. คดีทุจริตโควตาเดวา โดยแจ้งข้อกล่าวหานางชวนพิศ ฉายเหมือนวงศ์ เพิ่มอีก 1 กระทง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ ให้ประโยชน์ต่อผู้อื่นที่ไม่ควรได้ และเป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนโดยจงใจ เนื่องจากก่อนหน้านี้มีบริษัทได้เสนอขายที่ดินสร้างบ้านเอื้ออาทร ในโครงการบางขุนเทียน ยูนิตละ 3.9 แสนบาท ซึ่งเป็นแบบเหมาเบ็ดเสร็จ และมีการตกลงกันเรียบร้อยแล้ว แต่หลังนายวัฒนา เข้ามารับตำแหน่ง ได้มีการถอนเรื่องออกจากสารบบ และมีการเสนอเรื่องเข้ามาใหม่เป็นระบบโควตา ทำให้รัฐต้องจ่ายเพิ่มจาก 3.9 แสน เป็นยูนิตละ 4.2 แสนบาท กว่า 1 พันยูนิต ทำให้รัฐเสียหายกว่า 200 ล้านบาท
กลุ่มที่ 3. คดีฟอกเงินเข้าบริษัทเพรสซิเดนท์ ซึ่ง คตส.จะส่งสำนวนให้ดีเอสไอ.ดำเนินการตรวจสอบต่อ โดยผู้ถูกกล่าวหาประกอบด้วย นายอาทิตย์ ภู่ภักดี นายศรัทธา ภู่ภักดี นายอนุรักษ์ วิศาลจตุรงค์ นายสุรพงษ์ กุลแพ นายศานติ อภัยนนท์ นายทรัพย์ทวี การกิจโอฬาร บริษัทโกลเด้นฯ และบริษัทกู๊ดโกลบอลฯ กับน.ส.อรวรรณ ศรัทธาสุกล ซึ่งทั้งหมดเกี่ยวข้องในเส้นทางการฟอกเงิน 8 พันล้านบาท แต่มีเงินที่เกี่ยวข้องกับคดีเอื้ออาทร 1.2 พันล้านบาท จาก 50 บัญชี โดยพฤติการณ์ มีการส่งเงินไปฮ่องกง อ้างว่าซื้อสินค้าเข้าประเทศ จากนั้นโอนเข้าบริษัทเพรสซิเด้นท์ โดยอ้างว่าเป็นรายได้
จากการขายข้าว ส่วนที่ไม่มีชื่อนายวัฒนา ในกลุ่มนี้ เนื่องจากนายวัฒนาไม่มีพฤติกรรมการฟอกเงิน แต่มีพฤติกรรมทุจริตเรียกรับสินบน ซึ่งคตส.ได้ตั้งข้อกล่าวหาไปแล้วในครั้งที่คตส.พบว่ามีการฟอกเงิน 80 ล้านบาท ทั้งนี้ผู้ที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาไปแล้ว ยังถูกตั้งข้อกล่าวเพิ่มอีก 7 กระทง ตามรายชื่อบริษัทที่ถูกสอบ อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่พบเงินจำนวน 1.2 พันล้านบาท หากพบก็จะสามารถอายัดทรัพย์ได้ทันที
นายแก้วสรร กล่าวว่า พฤติการณ์เริ่มตั้งแต่นายวัฒนา เมืองสุข เข้ามาเป็นรมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ มีการเปลี่ยนระบบจากการให้บริษัทหาที่ดินเป็นแปลง ๆ มาเสนอขาย ในราคายูนิตละ 3.9 แสนบาท มาเป็นระบบโควตา เพื่อสร้างในส่วนที่เหลืออยู่ 2 แสนยูนิต คิดราคาตายตัวอยู่ที่ยูนิตละ 4.2 แสนบาท ทำให้ราคาสูงเกินส่วนต่าง โดยบริษัทที่ได้โควตา ต้องเสียเงินให้รัฐมนตรีหน่วยละ 1 หมื่นบาท รวม 2 แสนยูนิต เป็นเงิน 2 พันล้านบาท ซึ่งมีการผ่านเส้นทางการฟอกเงิน และที่ผ่านมา คตส.เคยชี้มูลบริษัทเพรสซิเด้นท์ ซึ่งเป็นบริษัทผู้รับเงินรายใหญ่มาแล้ว
นายแก้วสรร กล่าวว่า คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ได้ตรวจสอบ 15 บริษัท พบ 8 บริษัทที่ร่วมสู่เส้นทางการฟอกงิน แต่มี 7 บริษัท ที่ให้ความร่วมมือ คณะอนุกรรมการจึงไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหา และได้กันไว้เป็นพยาน สำหรับกรณีของนายอริสมันต์ คณะอนุกรรมการตรวจพบว่ามีพฤติการณ์เป็นนายหน้า เข้าเจรจากับเจ้าของที่ดิน และเสนอขายที่ดินเพื่อทำ โครงการบ้านเอื้ออาทร แทนที่จะให้บริษัทติดต่อเสนอขายเอง โดยคนกลุ่มนี้ทำตัวเป็นนายหน้าไปหาเจ้าของที่พอตกลงราคาก็วิ่งเสนอต่อรัฐในราคาเกินจริง ซึ่งเป็นการกระทำที่ทุจริต เข้าใจว่าบุคคลนี้ได้รับ 2 ต่อ จำนวน 7 ล้านบาทจากราคาส่วนต่าง
"พฤติกรรมทั้งหมดมีหลักฐานเอกสารการรับเงินคอร์รัปชั่นครบถ้วน ถือว่าคดีบ้านเอื้ออาทรเกมส์แล้ว ไม่น่าจะยื้อได้ แต่ถ้าจะประวิงเวลาคงจะทำได้อย่างเก่งไม่เกิน 3 เดือน หลังจากนั้นจะได้แจ้งมติให้ผู้ถูกกล่าวหาคัดค้านการตั้งอนุกรรมการไต่สวน และเข้าแก้ข้อกล่าวหาต่อไป " นายแก้วสรรระบุ
นายแก้วสรร กล่าวว่า ที่ประชุมยังมีมติให้อนุกรรมการไต่สวนคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง ครอบครัว และพวกพ้อง ที่มีนายกล้านรงค์ จันทิก เป็นประธาน มีอำนาจตรวจสอบเจ้าหน้าที่ผู้บริหารระดับสูงของรัฐวิสาหกิจ คือ ทศท.และกสท. อีก 3 คดี คือ 1.คดีผู้บริหารทศท.แก้ไขสัญญาลดค่าสัมปทานให้ เอไอเอส.จาก 25% เหลือ 20% ทำให้รัฐขาดรายได้ 4 หมื่นล้านบาท โดยมีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ 4-5 ราย เกี่ยวข้อง 2. ผู้บริหารทศท.แก้ไขสัมปทานให้ เอไอเอส. หักลดค่าใช้โครงข่ายร่วมโดยมิชอบ ทำให้รัฐเสียหาย 2.3 หมื่นล้านบาท โดยต้องมีผู้ที่ต้องถูกดำเนินคดีทั้งอาญาและแพ่ง
3.รัฐมนตรีไอซีที. ผู้บริหารกระทรวงคมนาคมอนุมัติแก้ไขสัญญาดาวเทียม เอื้อประโยชน์ให้บริษัท ชินแซทเทิลไลท์ โดยมิชอบในการยิงดาวเทียมไอพีสตาร์ ซึ่งไม่ใช่ดาวเทียมสื่อสารพื้นฐานสำหรับประเทศ แต่เป็นการยิงดาวเทียมนอกเหนือสัญญาเพื่อการลงทุนด้านการสื่อสารใน 14 ประเทศ ทำให้ประเทศไทยเกิดความเสียหาย หลังจากที่ดาว
เทียมไทยคม 3 เสียหาย มีการอนุมัติเงินประกันดาวเทียม 30 ล้านดอลล่าร์ไปเช่าดาวเทียมต่างประเทศ ทั้งที่เป็นเงินสำหรับยิงดาวเทียมดวงใหม่ ถือเป็นการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ และยังพบว่ารัฐมนตรีไอซีที และกระทรวงคมนาคม อนุมัติให้บริษัทชินแซทฯ ลงทุน 1 หมื่นล้านบาท ในการยิงดาวเทียมไอพีสตาร์ โดยการเพิ่มทุน โดยมีการแก้ไขสัญญาให้บริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จากเดิมต้องถือหุ้นในบริษัทชินแซท 51% เหลือ 40% โดยที่เหลือนำไปกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อระดมทุน ถือว่าผิดข้อตกลงในการแก้ไขสัญญาในการยิงดาวเทียมตั้งแต่ต้น
ทั้งนี้ หากมีการดำเนินคดีกับอดีตรัฐมนตรีไอซีที ซึ่งปัจจุบันเป็น ส.ส. ก็ไม่มีผลต่อการทำงานของ คตส. เพราะคตส.ไม่มีอำนาจในการจับกุมคุมขัง
http://www.bangkokbiznews.com/2008/01/07/WW10_WW10_news.php?newsid=217909