ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
29-03-2024, 04:56
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สโมสรริมน้ำ  |  รวมเรื่องน่าประทับใจ (^^) อ่านแล้วซึ้งนะครับ (T^T) 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
รวมเรื่องน่าประทับใจ (^^) อ่านแล้วซึ้งนะครับ (T^T)  (อ่าน 14532 ครั้ง)
ผู้ทำลาย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496


lynnicky


เว็บไซต์
« เมื่อ: 16-05-2006, 16:49 »

เรื่อง: ในมุมหนึ่ง..อีกมุมหนึ่ง
ที่มา: ไม่ระบุ

.........ในมุมหนึ่ง...


หลายครั้งที่ฉันแอบมองหน้าเค้าเวลาที่เค้าเผลอ..
เค้าน่ารักมาก แต่ทำไมนะเค้าถึงไม่เคยแม้แต่จะชำเลืองมองฉันเลย

หลายครั้งที่เค้าคุยกับผู้หญิงคนอื่น แต่ฉันกลับรู้สึกหึงไปมากมาย..
ทั้งที่เราเป็นแค่เพื่อนกัน..แต่เค้ากลับไม่เคยที่แคร์ความรู้สึกฉันเลย

หลายครั้งที่ฉันสารภาพอย่างอ้อมๆกับเค้าว่าฉันแอบหลงรักผู้ชายคนนึงอยู่..
เค้าก็รับฟังแล้วหัวเราะแล้วบอกว่า..ดีแล้วล่ะที่เธอมีความรัก..แต่ใครน๊อ จะเป็นผู้ชายที่โชคร้ายคนนั้น

หลายครั้งที่ฉันแกล้งทำสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่น.เพื่อหวังให้เค้ามีความรู้สึกว่าหึงบ้าง
แต่เค้าก็ไม่เคยจะยินดียินร้ายสักนิด...มิหนำซ้ำยังเข้าไปคุยกับผู้ชายคนนั้นอย่างดีหน้าตาเฉย

หลายครั้ง..ที่ฉันถามเค้าว่า ถ้าเกิดเธอว่าเธอรู้สึกว่ารักใคร
แล้วเค้าไม่เคยรักตอบหรือแม้แต่จะมองมาเลย เธอจะรู้สึกอย่างไร..เค้ากลับตอบว่า เรื่องของผม

หลายครั้งที่ฉันไม่สบาย ฉันแค่อยากได้ยินคำว่า..
ทานยาหรือยัง เป็นห่วงนะ..แต่เค้ากลับแค่มองแล้วก็เดินผ่านไป

หลายครั้งที่ฉันอยากให้เค้าเดินไปส่งที่ป้ายรถเมล์..
แต่เค้าบอกว่า..ไม่ดีหรอก..เดี๋ยวแฟนเห็น

หลายครั้งที่ฉันโทรไปหาเค้า พยายามคุยแบบเพื่อนเพื่อให้เค้าไม่อึดอัดแต่เค้ากลับพูดมาว่า..
ทำไมถึงต้องโทรมาด้วย..อย่าทำให้ผมต้องพูดอะไรที่จะทำให้คุณรู้สึกไม่ดีออกไปนะ..

หลายครั้งที่ฉันอยากจะบอกความในใจออกไปให้เค้าได้รับรู้สักที..
แต่ทุกๆคำที่ฉันได้รับจากเค้า..มันเพียงพอแล้ว..ฉันไม่ต้องการที่จะบอกอะไรเลยกับเขา..ฉันไม่เกลียดเค้าหรอก
เพราะคนเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกรักหรือเกลียดได้..ห้ามหัวใจกันไม่ได้หรอก.....
แต่ต่อไปนี้ฉันคงไม่กล้าที่จะมองเธอแล้วล่ะ ไม่คุย ไม่โทรไปหรือทำให้เธออึดอัดใจใดๆทั้งสิ้น
ลาก่อนนะคนดี...และลาก่อนความรักของฉัน......


.............อีกมุมหนึ่ง......


หลายครั้งที่ผมรู้สึกว่าคุณแอบมองผมอยู่..คุณรู้มั้ยว่ามันทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะสบตาคุณ..คุณน่ารักมาก
ผมไมเคยใจสั่นแบบนี้มาก่อนเลย..สายตาคุณทำไมถึงได้ทำให้ผมเป็นได้ขนาดนี้นะ....

หลายครั้งที่ผมต้องพยายามคุยกับผู้หญิงคนอื่นๆ เพื่อให้ไม่ให้คิดกับคุณมากไปมากกว่านี้.
แต่ผมห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้เลย..ทำไมนะ...

หลายครั้งที่คุณบอกผมว่าคุณแอบหลงรักผู้ชายคนนึงอยู่..
คุณรู้ใหม หัวใจผมมันเจ็บปวดแค่ใหน..ทำไมถึงไม่เป็นผมนะ

หลายครั้งที่ผมเห็นคุณสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่น..ผมทรมานมากเลยรู้มั้ย...
ผมรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า..คุณมีแฟนแล้วสินะ..สำหรับผม..เพื่อนเท่านั้นที่คุณรู้สึกสินะ..แต่ผมก็ยอมได้..เพื่อคุณ....

ทุกครั้งที่คุณถามผมว่าถ้าผมไปหลงรักใครโดยที่เค้าไม่เคยมองเลย
ผมจะทำยังงัย..ผมตอบคุณไปแล้วนะ..เรื่องของผม..คุณรู้มั้ยว่านั่น
เป็นคำพูดที่ผมตอบกับตัวเอง..นั่นสินะ..เรื่องของผมที่จะรักผู้หญิงคนนี้โดยที่เค้าไม่เคยสนใจผมเลยแม้แต่น้อย.....

ทุกครั้งที่คุณไม่สบาย.คุณรู้มั้ยว่าถ้าผมเจ็บแทนคุณได้..ผมจะไม่รอช้าเลย..
คนดี..คุณรู้มั้ยว่าผมมองเห็นเค้าคนนั้นเอายามาให้คุณ..ผมไม่อาจทนดูภาพนั้นได้เลย..
อยากเข้าไปชกหน้าเค้า แต่ก็ทำไม่ได้..ผมถึงได้แค่มองแล้วก็เดินจากไปอย่างเงียบๆ
คุณคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมยืนมองอยู่นานแค่ไหนด้วยห้วใจที่ปวดร้าว ถุงยาในมือผมมันร่วงลงตอนไหนไม่รู้......

ทุกครั้งที่คุณบอกว่าจะให้ผมไปส่งคุณที่ป้ายรถเมล์..รู้มั้ยผมตื่นเต้นมากๆที่จะได้ไปส่งคุณ..
แต่ผมคงไม่ไปส่งคุณแค่ป้ายรถเมล์หรอก..ผมอยากส่งคนที่ผมรักให้ถึงบ้านเลย..แต่พอนึกถึงหน้าของผู้ชายคนนั้น
แฟนคุณคนนั้น..ผมไม่อยากให้คุณมีปัญหา..ผมไม่อยากให้แฟนคุณเข้าใจผิด..
ผมถึงได้บอกกับคุณว่า ไม่ดีหรอก เดี๋ยวแฟนเห็น...

หลายครั้งที่คุณโทรหาผม..หัวใจผมมันเต้นตามเสียงของโทรศัพท์
ผมไม่อยากรับโทรศัพท์คุณเลย..ผมไม่อยากให้ใจผมมันรักคุณไปมากกว่านี้อีกแล้ว..มันทรมาน..
และในที่สุดผมก็ไม่อาจทนรอให้มันดังอย่างนั้นได้อีกแล้ว..ผมรับและตัดสินใจบอกคุณไปว่า
อย่าทำให้ผมต้องพูดอะไรที่จะทำให้คุณรู้สึกไม่ดีเลย..
(คุณรู้อะไรมั้ยเพราะผมกล้วว่าผมจะสารภาพความในใจกับคุณที่มันเก็บไว้มานานออกไป..ผมกลัวใจตัวเองเหลือเกิน..
ถ้าผมเผลอพูดออกไป..คุณคงรู้สึกไม่ดี คงเกลียดผมและเดินจากผมไป..
....ผมไม่อยากให้คุณจากผมไปไหนทั้งนั้น..ผมรักคุณนะ..)

แต่หลังจากวันนั้น..ทำไมคุณถึงเมินเฉยกับผมนัก..คุณรู้ตัวมั้ยสายตาที่คุณมองผมอย่างเย็นชานั้นน่ะ..
มันทำให้ผมไม่เป็นอันทำอะไร..เป็นเหมือนเดิมได้มั้ยคนดี..กลับมาเหมือนเดิมกับผมได้มั้ย..
แม้จะได้แค่เป็นเพื่อนกับคุณเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น แค่นี้ ผมก็สุขใจแล้ว

..... เพราะอะไร..บอกผมสักคำ.......

บางทีสิ่งที่คุณเห็น..หรือสิ่งที่คุณคิด...
จริงๆ แล้วมันอาจไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย....คุณรักใครทำดีกับเค้าให้มากๆ
เพราะเค้าก็อาจจะ พยายามทำดีเพื่อคุณอยู่ก็ได้..โดยที่คุณก็ไม่เคยได้รู้เลย
บันทึกการเข้า

แสนยานุภาพผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
ผู้ทำลาย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496


lynnicky


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 16-05-2006, 16:51 »

เรื่อง: ขอแค่ 1 นาที
ที่มา: ไม่ระบุ


ขอแค่ 1 นาที
...ชายหนุ่มไฟแรงมุมานะทำงานอย่างมุ่งมั่น
เขามีความฝันจะสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์กับแฟนสาว
เธอจะมารอการกลับมาหน้าประตูบ้านเขาทุกวัน
เขาพบเธอยิ้มแย้มต้อนรับสนทนากันและเธอก็กลับไป
วันนี้เขากลับช้ากว่าปกติมาก
แต่แปลกที่ยังเห็นเธอยืนรอเช่นทุกวัน
"โทษทีนะที่รัก วันนี้มีงานด่วนเลยกลับช้า"
เธอยังยิ้มให้เขา

คุณทำงานจนมีรถ มีบ้านอย่างที่ตั้งใจแล้ว
ทำไมยังทำงานหนักอีก"
"ผมอยากมีบ้านที่มีบริเวณมากกว่านี้
รถที่ดูโอ่อ่ากว่านี้..เพื่อคุณนะจ้ะ"

เวลาผ่านไป 1 ปีหญิงสาวมาบ้างไม่มาบ้าง
แต่เขาไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องนี้

วันหนึ่งเธอเอ่ยถามเขา
"คุณมีเงินพอจะซื้อบ้านหลังใหญ่รึยัง"
"ขอเวลาอีกหน่อยผมอยากซื้อแหวนวงใหม่มาเปลี่ยนให้คุณ"
เขาจุมพิตมือที่สวมแหวนทองวงเล็กเบาๆ
"ฉันบอกหรือว่าอยากได้แหวนวงใหม่"
"ผมอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ..ที่รัก"

3 เดือนแล้วที่เขาไม่เห็นเธอหน้าประตูบ้าน
วันนี้เขามีบ้านหลังใหญ่จึงตัดสินใจลางาน 1 วันเพื่อไปหาเธอ
เขาขับรถคันหรูผ่านเส้นทางที่ขรุขระอย่างยากลำบาก
"นี่คุณต้องเดินผ่านทางเส้นนี้มาหาผมทุกวันเหรอ.."

เมื่อมาถึงแม่ของเธอออกมาต้อนรับและมอบกล่องไม้ใบหนึ่งให้
เขาและบอกทางไปสถานที่ ที่เขาจะพบเธอได้
เนินเขาเล็กๆ รายล้อมไปด้วยดอกไม้แท่นหินสลักชื่อหญิงสาวตั้งอยู่กลางเนิน
มือสั่นเทาเปิดกล่องไม้อย่างช้าๆ ข้างในอัดแน่นไปด้วยกระดาษแผ่นเล็ก
เขาเริ่มอ่านข้อความทีละใบ

"วันนี้คุณกลับมาช้า ฉันรอ2ชม.ไม่เป็นไร ฉันรักคุณ"
"วันนี้ฝนตกฉันยังรอแม้ไม่เจอคุณ แต่ฉันยังรักคุณ"
"ฉันเริ่มป่วยจนไปหาไม่ได้คุณคงไม่ทันสังเกต แต่ฉันยังรักคุณ"
"วันนี้คุณบอกจะเปลี่ยนแหวนวงใหม่...
คุณคงลืมว่าฉันตอบแต่งงานกับคุณเพราะแหวนวงนี้ ฉันยังรักคุณ"

"ฉันป่วยมากจนไม่อาจไปพบคุณได้...
ภาวนาให้คุณรู้สึกตัวสักทีว่าฉันแค่ต้องการคุณเพราะฉันรักคุณ"

ชายหนุ่มเรียนรู้แล้วว่า...
บางทีสิ่งที่เขาไขว่คว้ามาตลอดชีวิต
อาจเทียบไม่ได้กับสิ่งเล็กน้อยที่เขาเคยได้รับจนเป็นเรื่องปกติของทุกวัน

รถคันหรูแล่นไกลออกไปมีเพียงกล่องแหวนเพชรราคาแพงหน้าหลุมศพ
ที่ดูไม่เหลือค่าอะไรสำหรับเขาอีกต่อไป
ผมมีบ้านหลังใหญ่แต่คงกว้างไปสำหรับอยู่คนเดียว
ผมมีรถราคาแพงแต่ไม่รู้จะขับพาใครไปไหน

ผมมีเวลาอยู่กับงานครึ่งชีวิตแต่ไม่เคยมีเวลาที่จะได้อยู่กับคนที่ผมรัก
ตอนนี้ผมมีเงินมากมายแต่ไม่อาจซื้อเวลาเพียง 1 นาทีที่จะบอกรักเธอ

ผมมีทุกอย่างเพียบพร้อมแต่ขาดส่วนที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ครอบครัวสมบูรณ์ได้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2006, 17:05 โดย lynnicky » บันทึกการเข้า

แสนยานุภาพผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
ผู้ทำลาย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496


lynnicky


เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 16-05-2006, 16:56 »

เรื่อง: บนบ่าของคุณมีแมลงปอไหม
ที่มา: ไม่ระบุ


มีเมืองเล็กๆ ที่สวยและสงบสุขเมืองหนึ่ง มีคู่รักคู่หนึ่งที่รักกันมาก
ทุกวันพวกเขาจะพากันไป ดู ชม พระอาทิตย์ขึ้นที่ชายหาด
และไปส่งพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ชายหาดตอนโพล้เพล้
ทุกคนที่เคยพวกเขาพบเจอจะมองด้วยสายตาอิจฉาในความรักของคนคู่นี้เสมอ..

แต่แล้ววันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุรถชนขึ้น
หญิงสาวผู้โชคร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส
เธอนอนเงียบๆ อยู่บนเตียงของโรงพยาบาล
วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า เธอก็ยังคงไม่ฟื้นคืนมา

ตอนกลางวัน
ชายหนุ่มจะมาเฝ้าอยู่ที่หน้าเตียง
ร้องเรียกคนรักของเขาเสมอ ทั้งๆ ที่เธอไม่ตอบสนองใดๆ เลย

ตกกลางคืน
ชายหนุ่มจะไปสวดภาวนาอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าที่โบสถ์นอกเมือง
เขาร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้ง ไม่มีจะไหลออกมาอีกแล้ว

ผ่านไป 1 เดือน
หญิงสาวยังคงหลับใหลไม่ฟื้นเหมือนเดิม
ส่วนชายหนุ่มก็ดูจะซูบเซียวขึ้นทุกวัน
แต่ก็ยังคงสวดอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอไม่หยุด

แต่แล้ววันหนึ่ง
พระผู้เจ้าก็เกิดเห็นใจในรักของชายหนุ่ม
และตกลงที่จะ(ประทาน)พรให้แก่เข า
พระผู้เป็นเจ้าได้ถามชายหนุ่มว่า
“เจ้ายอมที่จะแลกพรนี้ด้วยชีวิตของเจ้าไหม”
ชายหนุ่มตอบโดยไม่ลังเลว่า “ ผมยอมครับ”
พระผู้เป็นเจ้าพูดว่า “งั้นดีฉันจะให้คนรักของเจ้าฟื้นขึ้นมา
แต่เจ้าต้องแลกกับการกลายเป็นแมลงปอเป็นเวลา 3 ปี เจ้าจะตกลงยอมไหม”
ชายหนุ่มได้ฟังดังนั้น แต่ก็ยังคงยืนยันคำตอบเดิม “ผมยอมครับ”

ฟ้าสางแล้ว
ชายหนุ่มได้กลายเป็นแมลงปอสวยงามตัวหนึ่ง
เขาบอกลาพระผู้เป็นเจ้าแล้วรีบบินกลับไปที่โรงพยาบาล
หญิงสาวฟื้นขึ้นมาแล้วจริงๆ
มีนายแพทย์หนุ่มยืนอยู่ข้างๆ เธอ คุยเรื่องอะไรกันสักอย่างหนึ่ง
แต่ช่างเสียดายที่เขาไม่สามารถที่จะได้ยิน..

หลายวันผ่านไป
หญิงสาวแข็งแรงพอที่จะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว
แต่เธอดูไม่มีความสุขเลย เธอออกตระเวนหาข่าวคราวของชายหนุ่ม
แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าชายหนุ่มหายไปอยู่ที่ไหน
หญิงสาวยังไม่ละความพยายามที่จะตามหาชายคนรักของเธอ
ชายหนุ่มซึ่งอยู่ในร่างของเจ้าแมลงปอได้(แต่)บินวนเวียนอยู่รอบตัวหญิงสาวไม่ห่าง
(ทว่า)เขาไม่สามารถที่ส่งเสียง ไม่สามารถโอบกอด(เธอ)
เขาทำได้แค่เพียงเฝ้ามองดูหญิงสาวไม่ให้คาดสายตาเท่านั้น

ฤดูร้อนผ่านไปแล้ว
ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดใบไม้ปลิวร่วงหล่นจากต้นไม้ใหญ่
เจ้าแมลงปอจำต้องจากที่นี่ไปแล้ว
นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้บินมาเกาะที่บ่าของหญิงสาว
เขาอยากใช้ปีกของเขาลูบใบหน้าของหญิงสาว
อยากใช้ปากเล็กๆ จูบที่หน้าผาก
แต่อย่างไรก็ดีร่างเล็กบอบบางในคราบของแมลงปอ
ก็ไม่สามารถเรียกร้องความสนใจจากหญิงสาวได้

แค่พริบตา ฤดูใบไม้ผลิก็มาเยือน
เจ้าแมลงปอรีบบินกลับมาหาคนรักของเขา
เพื่อจะพบว่าร่างอันคุ้นตานั้น บัดนี้ได้ยืนเคียงคู่อยู่กับชายรูปร่างสันทัดคนหนึ่ง
ภาพๆ นั้นทำให้เจ้าแมลงปอเกือบจะบินตกลงมาจากอากาศเลยทีเดียว
ชาวบ้านต่างกล่าวขานถึงเรื่องอุบัติเหตุที่ทำให้หญิงสาวได้รับบาดเจ็บสาหัส
ทำให้ได้พบกับแพทย์หนุ่มที่น่ารัก และ ใจดี คนนั้น
และยังกล่าวถึงความรักของคนทั้งคู่ที่เหมือนถูกกำหนดมาอย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนพวกเขายังคงพูดถึงหญิงสาวที่สดใสร่าเริงขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากมายนัก
เจ้าแมลงปอรู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก

หลังจากนั้นไม่กี่วัน
แมลงปอเห็นแพทย์หนุ่มผู้นั้นพาคนรักของตนไปชายทะเลเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น
พลบค่ำก็อยู่(ที่)ชายหาดเพื่อดูพระอาทิตย์ตก

แต่สำหรับเขาแล้ว
นอกจากบินมาเกาะที่บ่าของหญิงสาวแล้ว เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย
หน้าร้อนของปีนี้ช่างยาวนานนัก
เจ้าแมลงปอบินต่ำลงๆ ทุกวันด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวด
เขาไม่มีเรี่ยวแรงเพียงพอที่จะบินเข้าใกล้ หญิงอันเป็นที่รัก
ท่าทางการพูดคุยกันอย่างสนิทสนมของคนทั้งคู่
เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของทั้งคู่ ทำให้เขารู้สึกโดดเดี่ยวยิ่งนัก

ย่างเข้าฤดูร้อนของปีที่ 3
เจ้าแมลงปอไม่ค่อยไปเฝ้าดูคนรักของเขาแล้ว
บ่าของเธอบัดนี้ถูกโอบกอดด้วยมือของแพทย์หนุ่ม
ใบหน้าถูกประทับจูบอย่างเบาๆ จากเขาผู้นั้น
ดูท่าทางแล้วไม่มีทางเลยที่หญิงสาวจะมีเวลาที่จะไปคิดถึงแมลงปอที่เจ็บปวดตัวหนึ่ง
ยิ่งไม่มีทางที่จะไปคิดถึงอดีตสิ่งที่ผ่านไป
วันครบรอบปีที่ 3 ที่พระผู้เป็นกำหนดไว้ใกล้มาถึงแล้ว
คนรักของเจ้าแมลงปอกับนายแพทย์หนุ่มได้จัดพิธีแต่งงานขึ้นในวันสุดท้ายนั้นเอง
เจ้าแมลงปอค่อยๆ บินเข้าไปในโบสถ์ และไปเกาะที่บ่าของพระผู้เป็นเจ้า
เขาได้ยินเสียงของคนรักที่ดังมาจากข้างล่างตอบรับคำสาบานของพระผู้เป็นเจ้าว่า
“ฉันยอมรับ”
เขาเห็นแพทย์หนุ่มคนนั้นสวมแหวนให้คนรักของเขา
ตามด้วยจุมพิตที่แสนหวานของคนทั้งคู่
เจ้าแมลงปอปล่อยให้น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลออกมา
พระผู้เป็นเจ้าถามแมลงปอว่า “เจ้ารู้สึกเสียใจไหม”
เจ้าแมลงปอเช็ดน้ำตาแล้วตอบว่า “เปล่า”
พระผู้เป็นเจ้าถอนหายใจแล้วพูดต่อว่า
“งั้นพรุ่งนี้เจ้าก็ได้กลับเป็นเจ้าคนเดิมแล้ว”
เจ้าแมลงปอส่ายหน้าอย่างช้าๆ ก่อนตอบว่า
“ขอผมเป็นแมลงปออย่างนี้ไปตลอดชีวิตเถอะครับ”

บางบุพเพ(ชะตา) ถูกกำหนดมาเพื่อที่ต้องสูญเสียไป
บางบุพเพ ตอนจบไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด
รักคน ๆ หนึ่ง ไม่จำเป็นต้องได้รับรักตอบ แต่
เมื่อได้รับรักจากใครคนหนึ่งเราต้องดูแลรักษามันไว้อย่างดี

บนบ่าของคุณมีแมลงปอไหม……..
บันทึกการเข้า

แสนยานุภาพผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
ผู้ทำลาย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496


lynnicky


เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 16-05-2006, 16:57 »

เรื่อง: ฉันรักคุณ
ที่มา: ไม่ระบุ

เกรด 10
ผมนั่งเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ผมนั่งมองหญิงสาวข้างๆ ผม
เธอคือคนที่ผมเรียกว่า "เพื่อนรัก"
ผมจ้องมองไปที่ผมยาวราวกับเส้นไหมของเธอและอยากให้เธอเป็นของผม
แต่เธอไม่ได้คิดกับผมแบบนั้น

ผมรู้....หลังเลิกเรียนเธอเดินเข้ามาหาผม เพื่อจะขอยืมโน๊ตที่เธอจดไม่ทันในวันนั้น
ผมยื่นโน๊ตให้ไป เธอตอบกลับมาว่า "ขอบใจ"
และจูบลงที่แก้มของผม
ผมอยากจะบอกเธอให้รู้ว่า ผมไม่ต้องการเป็นแค่ "เพื่อน"
ผมรักเธอแต่ผมก็อายเกินไปที่จะบอก
และผมไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

เกรด 11
โทรศัพท์ดังขึ้น ปลายทางของคนที่โทรมาก็คือ "เธอ" นั่นเอง
เธอกำลังร้องไห้และพร่ำบ่นไม่ยอมหยุดว่า คนรักของเธอหักอกเธอเช่นไร

เธอขอให้ผมไปหาเพราะเธอไม่อยากอยู่คนเดียว และผมก็ไป
ผมนั่งอยู่ข้างๆ เธอที่โซฟา จ้องมองไปยังดวงตาที่อ่อนโยนของเธอ
และอยากให้เธอเป็นของผม สองชั่วโมงกับการนั่งดูหนัง
ที่ Drew Barrymore เล่นกับมันฝรั่งอีกสามถุง
เธอก็ตัดสินใจเข้านอน เธอมองมาที่ผมและพูดว่า "ขอบใจนะ"
และจูบลงที่แก้มของผม
ผมอยากจะบอกเธอให้รู้ว่า ผมไม่ต้องการเป็นแค่ "เพื่อน"
ผมรักเธอแต่ผมก็อายเกินไปที่จะบอก
และผมไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

ปีสุดท้าย
ก่อนวันของงานพรอม(Prom) เธอเดินมาหาผมที่ล็อกเกอร์
"คู่เดทของฉันมันห่วย" เธอพูดขึ้น
เขาจะไม่ยอมไปงานพรอมกับเธอ
และผมก็ยังไม่มีคู่เดท ซึ่งตอนสมัยอยู่เกรด 7
เราเคยสัญญากันว่า ถ้าคนใดคนหนึ่งยังไม่มีคู่เดท
เราจะไปงานพรอมด้วยกันในฐานะ "เพื่อนรัก"
และเราก็ตกลงเป็นคู่เดทในงานพรอมด้วยกัน
คืนวันงานหลังจากเลิกงานแล้ว
ผมยืนอยู่ที่บันไดหน้าบ้านของเธอ

ผมจ้องมองเธอเช่นเดียวกับเธอที่ยิ้มให้ผม
และจ้องมองกลับมาที่ผมด้วยดวงตาสดใสของเธอ
ผมอยากให้เธอเป็นของผม แต่เธอไม่ได้คิดกับผมแบบนั้น
ผมรู้...ผมอยากจะบอกเธอให้รู้ว่า ผมไม่ต้องการเป็นแค่ "เพื่อน"
ผมรักเธอแต่ผมก็อายเกินไปที่จะบอก
และผมไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

วันจบการศึกษา
วันเวลาผ่านไป จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน
ก่อนที่ผมจะทันกระพริบตา มันก็เป็นวันจบการศึกษาแล้ว

ผมมองดูเรือนร่างอันสมส่วนของเธอลอยขึ้นไปบนเวที
ราวกับนางฟ้าเพื่อรับประกาศนียบัตร
ผมอยากให้เธอเป็นของผม แต่เธอไม่ได้คิดกับผมแบบนั้น
ผมรู้...ก่อนที่ทุกคนจะกลับบ้าน
เธอเดินเข้ามาหาผมในชุดครุยและหมวก และเธอร้องไห้เมื่อผมกอดเธอ
จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นจากไหล่ของผมและพูดว่า
"เธอเป็นเพื่อนรักของฉัน ขอบใจนะ" และจูบลงที่แก้มของผม
ผมอยากจะบอกเธอให้รู้ว่า ผมไม่ต้องการเป็นแค่ "เพื่อน"
ผมรักเธอแต่ผมก็อายเกินไปที่จะบอก
และผมไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

2-3ปีต่อมา ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่เก้าอี้แถวในโบสถ์
เธอคนนั้นกำลังจะแต่งงาน
ผมนั่งมองเธอพูด "ฉันรับค่ะ" และไปสู่ชีวิตใหม่ของเธอ
เธอแต่งงานกับชายคนอื่นไปแล้ว ผมอยากให้เธอเป็นของผม
แต่เธอไม่ได้คิดกับผมแบบนั้น
ผมรู้..ก่อนเธอจะนั่งรถออกไป เธอเดินมาหาผมและพูดว่า
"เธอมางานของฉัน!" และพูดว่า "ขอบใจนะ" และจูบลงที่แก้มของผม
ผมอยากจะบอกเธอให้รู้ว่า ผมไม่ต้องการเป็นแค่ "เพื่อน"
ผมรักเธอแต่ผมก็อายเกินไปที่จะบอก
และผมไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

งานศพ
หลายปีผ่านไป ผมก้มหน้ามองโลงศพของผู้หญิงที่เคยเป็น "เพื่อนรัก" ของผม

ในงานศพ พวกเขาได้อ่านสมุดบันทึกของเธอทั้งหมด
ที่เธอเคยเขียนไว้สมัยเรียนไฮสคูล และในสมุดบันทึกเขียนไว้ดังนี้ :
ฉันจ้องมองเขาและปรารถนาให้เขาเป็นของฉัน
แต่เขาไม่ได้คิดกับฉันแบบนั้น
ฉันรู้....ฉันอยากจะบอกเขาให้รู้ว่า ฉันไม่ต้องการเป็นแค่ "เพื่อน"
ฉันรักเขาแต่ฉันก็อายเกินไปที่จะบอก
และฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น
ฉันปรารถนาให้เขาบอกว่า เขารักฉัน
และฉันก็ปรารถนาอยากจะบอกเขาเหมือนกัน
ฉันคิดกับตัวเองและร้องไห้
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ
ฉันรักเธอ

รักใครก็บอกเขาไปซะ ก่อนที่เขาจะไม่ได้อยู่ฟังคำนั้นจากเราอีกต่อไป

ใครจะรู้คนที่คุณคิดว่า เขาไม่ได้รักคุณเลย
ใจจริงแล้ว เขาเองอาจจะรู้สึกแบบเดียวกับคุณก็ได้
ไม่บอกรักแล้วจะรู้ใจกันได้อย่างไร?
บันทึกการเข้า

แสนยานุภาพผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
ผู้ทำลาย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496


lynnicky


เว็บไซต์
« ตอบ #4 เมื่อ: 16-05-2006, 16:59 »

เรื่อง: อุทาหรณ์แด่คนไม่กล้าบอกรักใคร

เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ฉันอายุ 6 ขวบ
ขณะกำลังเล่นอยู่ที่ฟาร์มในแคลิฟอร์เนีย

ฉันได้พบเด็กชายที่แลดูธรรมดาคนหนึ่ง
ประเภทที่เขาอาจแหย่คุณและคุณก็แหย่เขากลับกลั่นแกล้งกันไปมา
พูดง่ายๆ ว่าตอนพบกันครั้งแรกนั้นเรารู้สึกดีต่อกัน
แล้วพอได้มาเจอกันอีกก็แหย่กันเล่นตรงบริเวณรั้ว
และที่นั่นก็กลายเป็นที่ที่เราพบกันและเล่นด้วยกันเสมอมา
ฉันน่าจะเล่าความลับของฉันทั้งหมดให้เขาฟังได้นะ
เขาเป็นคนเงียบ ๆ คอยแต่นิ่งฟังเวลาที่ฉันเล่าโน่นนี่
เป็นคนที่ฉันสามารถคุยด้วยได้ทุก ๆ เรื่อง

ตอนอยู่ในโรงเรียนเราอยู่คนละกลุ่ม แต่พอกลับบ้านเราก็จะคุยกันถึงเรื่องราวในโรงเรียน
.....วันหนึ่งฉันบอกเขาว่า เด็กผู้ชายที่ฉันชอบคนหนึ่งหักอกฉัน
เขาปลอบว่าไม่เป็นไรหรอกสักพักมันจะดีไปเอง

ฉันเลยสบายใจขึ้น และยิ่งทำให้นึกว่า เขาเป็นเพื่อนแท้คนหนึ่งของฉัน
นั่นเป็นความรู้สึกในตอนนั้นของฉันจริง ๆ .....
เราเรียนด้วยกันเรื่อยมาจากมัธยมจนถึงมหาวิทยาลัย
คบหากันมาโดยตลอด แม้ฉันจะคิดเสมอว่า เราเป็นแค่เพื่อน
แต่ลึก ๆ แล้ว...ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่

ในคืนวันสำเร็จการศึกษาเราต่างมีคู่นัดไปนั่งฟังเพลงกัน
แต่ฉันก็ยังอยากจะพบเขาอยู่ดี
เมื่อทุกคนกลับบ้านกันหมด ฉันแวะไปหาเขา
เพื่อจะบอกว่าฉันอยากจะขอพบเธอ
อือ ...
นั่นดูเหมือนจะเป็นโอกาสทองของฉันทีเดียว แต่ที่สุดแล้วเราแค่นั่งดูดาว
ผลัดกันเล่าแผนการชีวิตของกันและกัน...
ฉันจ้องตาเขาขณะฟังเขาเล่าว่า เขาอยากแต่งงานและวางหลักปักฐาน
ทั้งยังคุยถึงวิถีทางที่ จะทำให้ตัวเองร่ำรวยและประสบความสำเร็จในชีวิต
...โดยมีฉันนั่งคุดคู้อยู่ข้าง ๆ เขา


คืนนั้นฉันกลับบ้านพร้อมความรู้สึกอันปวดร้าว
ด้วยเหตุที่ฉันไม่ได้พูดออกไปดังใจปรารถนา
ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่หัวใจฉันเจ็บปวด
สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ฉันอยากจะบอกเล่าให้เขาฟังใจจะขาด
แต่ทุกครั้งจะต้องมีใครสักคน อยู่ตรงนั้นด้วยเสมอ
...หลังจากนั้นเขาก็ได้งานทำในนิวยอร์ก
แน่นอนฉันยินดีกับอนาคตอันสดใสนั้น
แต่ยังคงเก็บงำความรู้สึกของตัวเองเช่นเดิม
ขณะที่เขากำลังจากไป ฉันกอดเขาแล้วร้องไห้
คิดว่านั่นเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะมีเขาอยู่เคียงข้าง

คืนนั้นฉันร้องไห้จนตาบวม และยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น
เมื่อนึกถึงว่า ที่สุดแล้ว ฉันก็ยังไม่ได้เล่าความในใจให้เขาฟัง
ฉันเริ่มต้นด้วยงานเลขาฯ
แล้วย้ายสายงานมาเป็นนักวิเคราะห์ระบบคอมพิวเตอร์
รู้สึกภูมิใจในตัวเองที่ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง

วันหนึ่ง

ฉันก็ได้รับการ์ดแต่งงานใบหนึ่งทางไปรษณีย์
มาจากเขานั่นเอง ใจหนึ่งฉันก็ยินดีกับเขา
แต่อีกใจก็ยะเยียบเศร้า
ได้แต่พร่ำบอกกับตัวเองว่า ฉันไม่มีโอกาสได้อยู่เคียงข้างเขาอีกแล้ว
อย่างมากที่สุดเราก็เป็นได้แค่เพื่อนกัน
...งานแต่งงานได้จัดขึ้นอย่างอลังการทีเดียว ณ โบสถ์ใหญ่แห่งหนึ่ง

ขณะที่งานเลี้ยงจัดในโรงแรม ฉันได้พบจ้าสาว และแน่ละ
ได้พบเขาด้วยแล้วฉันก็ตกหลุมรักเขาอีกครั้งหนึ่ง
ฉันเก็บความลับนี้ไวกับตัวเอง
...ไม่อยากให้มันไปทำลายวันอันเป็นมงคลของเขา
คืนนั้นฉันพยายามทำตัวให้สนุก แต่กลับกลายเป็นว่าฉันกำลังฆ่าตัวเอง
ด้วยการเผชิญหน้ากับคนที่กำลังดูมีความสุขมากอย่างเขา
ฉันจึงจำเป็นต้องพยายามฝืนยิ้ม
และทำตัวให้มีความสุขเพื่อกลบเกลื่อนหยาดน้ำตาที่ซุกซ่อนไว้ในใจ

เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันพยายามลืมเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในนิวยอร์ก
มันถึงเวลาแล้วที่ฉันต้องเดินไปตามวิถีทางของฉันเองบ้าง
ตลอดหลายปีมานี้เรายังคงติดต่อกันทางจดหมาย
เขาย้ำเสมอว่าคิดถึงฉันมาก อยากจะมีโอกาสได้คุยกับฉันอีก

...และแล้วเขาก็เงียบหายไปหลังจากที่ฉันเขียนไปหาเขา 6
ฉบับฉันเริ่มกังวลว่าอาจจะมีเรื่องร้าย ๆ อะไรเกิดขึ้น
แต่แล้วก็ได้รับโน้ตสั้นๆบอกว่า "ขอให้มาพบผมตรงรั้ว ณ
ที่เดิมที่เราเคยเล่าอะไรต่ออะไรให้กันฟัง"
ฉันไปตามนัดและพบเขาอยู่ที่นั่นจริง ๆ เขากำลังอกหักและดูโศกเศร้ามาก

เรากอดกันแน่นและหายใจแทบไม่ออก
และเขาก็เล่าเรื่องการหย่าร้างให้ฉันฟังทั้งน้ำตา
เขาร้องไห้...ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหลออกมา ...ในที่สุด
เราก็เดินเข้าไปในบ้านคุยกันและหัวเราะ
เมื่อนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ อย่างไรก็ตาม ฉันยังคงเก็บความลับนั้นไว้
ไม่ได้เล่าความในใจให้เขาฟัง
หลายวันที่อยู่ด้วยกัน ทำให้เขากลับมามีความสุข และลืมปัญหาการหย่าร้าง
ขณะที่ฉันได้ตกหลุมรักเขาอีกครั้ง

เมื่อถึงวันที่เขาต้องกลับไปนิวยอร์ก
...ฉันต้องไปส่งเขาด้วยน้ำตา ไม่อยากห็นภาพเขาเดินจากไป

แม้เขาสัญญาว่าจะบินมาหาฉันทุกเมื่อ ที่ฉันสามารถลางานได้
แต่ฉันไม่สามารถรอเขาได้อีกต่อไป
โดยส่วนลึกในหัวใจแล้วเราต่างมีความสุขเสมอเมื่ออยู่ด้วยกัน

วันหนึ่งเขาก็ไม่ได้กลับมาอย่างที่เขาเคยสัญญาไว้
ฉันได้แต่คิดว่า คงเป็นเพราะเขางานยุ่งเกินกว่าที่จะปลีกตัวมาได้
มันผ่านไปจากวันนั้นเป็นเดือนจนลืมเรื่องนี้ไป
และแล้วทนายความจากนิวยอร์ก ก็แจ้งข่าวร้ายนี้ให้ฉันทางโทรศัพท์
...เขาเพิ่งเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุทางรถยนต์
ฉันเข้าใจทันทีถึงความรู้สึกของคนหัวใจสลาย
เพิ่งรู้ว่าทำไมเขาไม่มาหาฉันในวันนั้น
นี่เป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองอกหัก

คืนนั้นฉันร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด
ถามตัวเองว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้นกับคนดี ๆ อย่างเขา
ฉันเดินทางไปนิวยอร์กอีกครั้ง เพื่อร่วมรับฟังการเปิดพินัยกรรม
แน่นอนที่สุดสมบัติต่าง ๆ เขามอบให้กับครอบครัวและอดีตภรรยา

ฉันได้พบภรรยาเขาอีก
เธอเล่าถึงความเป็นอยู่ของเขาให้ฉันฟัง และยังบอกว่าเขาได้ทำอะไรให้เธอบ้าง
แต่กลับสัมผัสได้ว่า
เขาไม่มีความสุขเลย แม้ว่าเธอพยายามเอาอกเอาใจต่าง ๆ นานาแล้วก็ตาม
แต่ไม่สามารถทำให้เขามีความสุขอย่างคืนวันแต่งงานได้เลย

ในพินัยกรรมระบุว่า
ฉันจะได้รับสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่เป็นสมบัติส่วนตัวของเขา
ที่ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า ทำไมเขาจึงตัดสินใจเช่นนั้น
เมื่อเสร็จธุระฉันจึงบินกลับไปยังแคลิฟอร์เนีย
ระหว่างเดินทางฉันหวนระลึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ของเรา
...และเปิดสมุดบันทึกออกอ่าน
สมุดบันทึกนั้นเริ่มบันทึกขึ้นจากวันแรกที่เราได้พบกัน
อ่านไปชั่วขณะหนึ่งฉันเริ่มร้องไห้



เมื่อพบข้อความว่า
เขาได้ตกหลุมรักฉันในวันที่ฉันถูกหักอก แต่เขาก็ขลาดเกินไป ที่จะบอกฉันว่าเขารู้สึกอย่างไร
นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมวันนั้น.... เขาจึงนิ่งเงียบและคอยแต่จะเป็นผู้ฟัง
จากบันทึกทำให้ฉันรู้ว่า เขาพยายามจะบอกฉันหลายครั้ง
แต่เขาก็ไม่มีความกล้าหาญพอ

เวลาที่เขารู้สึกดีใจที่สุด จึงเป็นโอกาสที่เขาได้พบฉันและเต้นรำด้วยกันในวันแต่งงาน
ซึ่งเขาพยายามจินตนาการว่า นั่นเป็นงานวิวาห์ของเรา
นี่ละสาเหตุที่ทำให้เขาไม่มีความสุข
จนกระทั่งเขาได้หย่าขาดจากภรรยา
...ส่วนเวลาที่มีความสุข กลับเป็นวินาทีที่เขากำลังอ่านจดหมายของฉัน
ในที่สุดสมุดบันทึกก็จบลงด้วยข้อความว่า
"แล้วก็มาถึงวันนี้ ...วันนี้แล้วที่ผมจะได้บอกรักเธอ ... "
แต่มันกลับเป็นวันที่เขาต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
...วันที่ฉันเพิ่งมาค้นพบว่า เขาก็รู้สึกเช่นเดียวกับฉันตลอดมา.......
บันทึกการเข้า

แสนยานุภาพผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
ผู้ทำลาย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496


lynnicky


เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 16-05-2006, 17:00 »

เรื่อง: สิบปี
ที่มา: ไม่ระบุ


ในร้านกาแฟเล็กๆ แห่งหนึ่งมีกระดิ่งเล็กๆ แขวนไว้ที่ประตูร้าน
ทุกครั้งที่มีแขกเข้าร้านก็จะทำให้กระดิ่งนั้นส่งเสียงดัง "Ding Ding"

วันหนึ่ง มีผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 30 กว่าปี เข้ามาในร้านกาแฟนี้
เจ้าของร้านสาวสวยก็รีบออกมาต้อนรับให้เขานั่งด้านใน
"กาแฟแก้วนึงครับ"
"ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ"
เจ้าของร้านสาวพูดพลางยิ้มให้อย่างมีมารยาท
แล้วก็ไปบดเม็ดกาแฟและตั้งกาต้มกาแฟ
ชายหนุ่มนั่งมองหญิงสาวอยู่ตลอด
ไม่นานนัก เจ้าของร้านสาวก็นำกาแฟมาเสิร์ฟให้ที่โต๊ะชายหนุ่ม
"ขอบคุณครับ"
"คุณเพิ่งมาเป็นครั้งแรกใช่ไหม?  รู้สึกว่าที่นี่เป็นอย่างไรบ้างคะ?"
เจ้าของร้านสาวถาม
 “ใช่ครับ ผมรู้สึกว่าที่นี่บรรยากาศดีมากๆ เลยครับ”
“ฉันก็ชอบบรรยากาศของร้านนี้มากเหมือนกันถึงแม้ว่ากิจการร้านนี้ไม่ค่อยดีนัก
ฉันกับสามีก็เสียดายไม่อยากจะปิดร้านทิ้ง”
ทั้งคู่เงียบไปสักพัก
“ผมขอถามอะไรคุณบางอย่างได้ไหมครับ?
เอ่อ... ก่อนที่จะถามคุณผมอยากจะเล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้คุณฟังก่อน”
ชายหนุ่มพูดถามขึ้นมา

“ได้ค่ะ คุณพูดมาได้เลย” เจ้าของร้านสาวก็สนใจที่จะฟัง
ชายหนุ่มก็เล่าเรื่องเรื่องหนึ่งซึ่งผ่านมานานมากแล้ว
“เมื่อก่อนผมมีแฟนคนหนึ่ง
เราสองคนก็ตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในอนาคตแล้ว
ความรักของเราสองคนนั้นถึงแม้จะธรรมดา แต่แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว
เพราะผมรักเธอมากเพียงแค่มีเธออยู่ข้างๆ ผมก็มีความสุขมากแล้ว
แต่ทว่า ความสุขอันนี้มันช่างสั้นนักหลังจากนั้นก็มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น
ก่อนหน้าพิธีหมั้นของเราสองคนหนึ่งเดือน
คืนนั้นผมมีธุระต้องทำจึงไม่สามารถไปส่งเธอกลับบ้านได้
ในคืนนั้น เธอโดนคนร้ายรุมข่มขืน...”

“แล้วหลังจากนั้นเป็นอย่างไรคะ? ความรู้สึกของคุณที่มีต่อเธอเปลี่ยนไปหรือ?”
เจ้าของร้านสาวถามด้วยความสงสาร

“ถึงแม้จะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
ความรักของผมที่มีให้เธอก็คงยังมั่นคงมิได้แปรเปลี่ยนเลยสักนิด
ผมก็ตั้งใจจะจัดพิธีหมั้นขึ้นตามเดิม
แต่... เธอคิดไม่ตก เธอเชื่อว่าเธอไม่ได้เป็นเธอคนเดิมแล้ว
ในวันหมั้นของเราสองคนวันนั้น เธอผูกคอตาย
โชคยังดีที่ว่าพวกเราพบเธอได้เร็ว ช่วยชีวิตเธอไว้ได้
แต่เพราะว่าสมองขาดอ็อกซิเจ็นนานเกินไป
ทำให้เธออยู่ในสภาพไม่มีความรู้สึกตัว และอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาเลยก็ได้...
สุดท้าย เธอก็ฟื้นขึ้นมา เมื่อผมรู้ว่าเธอฟื้นขึ้นมาแล้วก็รีบไปหาเธอ
แต่พ่อแม่เธอขวางกั้นผมไว้ไม่ให้ไปพบเธอ
พวกเขาคุกเข่าลงมาขอร้องผม กลายเป็นว่าความทรงจำบางส่วนได้หายไป
หมอบอกว่าเมื่อคนโดนกระตุ้นจิคใจอย่างแรง
ก็อาจจะเลือกที่จะหลบหลีกความทางจำอันนั้นโดยการฝังลึกไว้ในใจตัวเอง
ไม่ต้องการที่จะจำเรื่องเลวร้ายนั้นอีก
เธอลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาด้วย
พ่อแม่เธอขอร้องให้ผมอย่าเพิ่งไปพบเธอสักพัก
เขาไม่ต้องการให้เธอนึกถึงเรื่องน่าเศร้านั้นอีก
เพราะกลัวว่าเธอจะฆ่าตัวตายอีก
ถ้าบังเอิญเจอกันในที่อื่น ก็จะทำเป็นไม่รู้จักไม่ทักทายกันเด็ดขาด
ช่วงเวลานั้นมันช่างทรมานยิ่งนัก อยากรักเธอ แต่ไม่อาจทำได้
อยากจะพบหน้าเธอ แต่ก็ไปพบไม่ได้ วันนี้ เป็นวันครบสิบปีนั้นแล้ว”

“ขอแสดงความยินดีให้ด้วยค่ะ คุณรอคอยมาสิบปีแล้ว
ในที่สุดวันนี้ก็สามารถไปพบเธอได้แล้ว”

“ใช่ครับ แต่... ยิ่งใกล้ถึงเวลานี้ ผมก็ยิ่งกลัว
สิบปีที่ผ่านมานี้ความรักผมนั้นยังไม่เปลี่ยน แต่ตัวเธอล่ะ?
ถ้าผมเล่าเรื่องในอดีตให้เธอฟัง เธอก็ยังจำผมไม่ได้
แล้วผมจะทำยังไงดีล่ะ? หรือว่าเธอได้แต่งงานไปแล้ว
ผมควรจะทำเช่นไรดี? เพราะเช่นนี้ ผมอยากจะถามคุณว่า
คุณคิดอย่างไร? ถ้าแฟนผมคนนี้แต่งงานไปแล้ว
ผมควรจะบอกให้เธอได้รับรู้เรื่องนี้มั้ย?”

เจ้าของร้านสาวก็พูดอย่างจริงใจว่า “ถ้าสมมุติว่าเธอมีแฟนแล้วก็ไม่เป็นไร
เพราะทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้แต่งงานกัน คุณยังมีโอกาส
แต่ถ้าเธอคนนั้นได้แต่งงานมีครอบครัวไปแล้วคุณก็ไม่ควรไปทำลายครอบครัวเขา”

ชายหนุ่มได้รับฟังแล้ว ก็แค่ตอบสั้นๆ ด้วยความผิดหวัง... “นั่นสินะ...”

"Ding Ding"
พอดีเวลานี้ก็มีแขกคนอื่นเข้ามาในร้าน
เจ้าของร้านสาวก็พูดกับชายหนุ่มว่า
“ฉันต้องไปต้อนรับแขกแล้ว เชิญตามสบายนะคะ”
เธอเดินออกไปได้สองก้าว ก็หันกลับมาถามเขาว่า
“จริงสิคุณเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ยังไม่ค่อยสนิทกับฉันมากนัก
ทำไมถึงเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังล่ะคะ?”

“เพราะว่า เธอคนนั้นเคยพูดเอาไว้ว่า หลังแต่งงานแล้ว
เธออยากจะเปิดร้านกาแฟเล็กๆ อย่างนี้เหมือนกัน”
ชายหนุ่มคิดสักครู่ถึงตอบออกมา

“อ๋อ อย่างนี้เองหรือคะ”
พูดจบเธอก็หันหลังกลับเดินไปต้อนรับแขกที่เข้ามาใหม่

ชายหนุ่มมองตามร่างของเจ้าของร้านสาวนั้น
น้ำตาเขาค่อย ๆหยาดไหลออกมา

เขาตัดสินใจไม่บอกเธอว่าแท้จริงแล้วเขามาที่ร้านนี้เพื่ออะไร
แฟนของเขาคนนั้น อยู่ใกล้แค่เอื้อม
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอนั้นมันช่างไกลยิ่งนัก
กาแฟในแก้วนั้น ก็ไม่รู้เย็นลงตั้งแต่เมื่อไหร่...

แล้วถ้าคุณเป็นชายหนุ่มคนนั้นคุณจะทำอย่างไร????
บันทึกการเข้า

แสนยานุภาพผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
ผู้ทำลาย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496


lynnicky


เว็บไซต์
« ตอบ #6 เมื่อ: 16-05-2006, 17:02 »

เรื่อง: จดหมายถึงศิราณี
ที่มา: ไม่ระบุ


ถึงพี่ศิราณี... ที่นับถือ

นู๋ได้ติดตามการตอบจดหมายของพี่ศิราณีมานานมากแล้วนะคะ....
แต่ก็ไม่เคยเขียนจดหมายมาถึงพี่เลย...จนวันนี้...
นู๋มีเรื่องรบกวนต้องให้พี่ศิฯ...ของนู๋ช่วยแล้วค่ะ


ตอนนี้นู๋อายุ 15 นะคะ เพิ่งทำบัตรไม่นานนี่เองค่ะ...
นู๋มีเพื่อนคนนึงนะคะเป็นผู้ชายค่ะสมมุติชื่อ ต. ละกันค่ะ
เราคบกันมาหลายเดือนแล้วค่ะ... รู้จักกันทางเน็ท..ผ่านเว็บแห่งหนึ่งแหละค่ะ
ก็โทรคุยกัน chat กัน...เมล์หากันเรื่อยมาค่ะ
แต่ไม่เคยเห็นหนัากันนะคะ จนมาเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา...
เค้าก็ขอนัดพบนู๋...เค้าว่าเค้าอยากเจอนู๋...
นู๋เล่นตัวเล็กน้อยพอเป็นพิธี..ทั้งที่ใจระริกอยากตอบตกลงใจจะขาด
นู๋บอกว่าไปไม่ได้มีธุระ...คุณแม่ไม่ชอบให้ไปกะผู้ชาย...
แหลสารพัดค่ะ...จนเค้าเริ่มเปลี่ยนใจ
จะไม่ชวนแล้วนู๋ใจแป้วเลยค่ะ...รีบบอกทันทีว่า
“ถ้าคุณ ต. ตื้ออีกนิดนู๋อาจเปลี่ยนใจ”....
แต่เค้างี่เง่าค่ะ....บอกเกรงใจ
นู๋เป็นอันว่านู๋เป็นฝ่ายชวนเค้าไปแทนค่ะ...
(แต่ไม่เป็นไรนะคะ นู๋เต็มใจ)

และแล้ววันนัดก็มาถึง
เรานัดกันที่หน้าร้านพันธุ์ทิพย์ตามแบบฉบับโลกไซเบอร์...แต่นู๋บอกชัดเจนนะคะ
ว่า...พันธุ์ทิพย์หน้าร้านซีเอ็ดบุ๊คค่ะ...แล้วค่อยไปต่อกันที่สยามหรือมาบุญครอง...
(แหลอีกแล้วค่ะออกนอกประเด็น)....แถวแถวนั้นจะมีโรงหนังแต่กะว่าถ้ามาเจอกัน

นู๋จะล่อลวงเค้าเข้าไปดูหนังกะนู๋เลยค่ะ....อ้อลืมบอกไปเค้าว่าเค้าจะมาในชุดเขียว
กางเกงดำค่ะ นู๋บอกเค้านู๋จะใส่เกาะอกสีดำไปค่ะ....
ถึงสัดส่วนนู๋ไม่เป็นใจแต่นู๋ก็จะพยายามรัดค่ะ
เอาให้อกเป็นอก พุงเป็นพุง....

พอถึงเวลานัดนู๋ก็เห็นเค้ามาแต่ไกลเลยน่ะค่ะ....หล่อมากกกกกกกกกก
ค่ะขอบอก ด้วย sense ของนู๋...
นู๋รู้ว่าใช่แน่นู๋ก็เดินรี่ไปหาเค้าเลยค่ะ...สอบถามก็ใช่จิงจิงค่ะ
^-^ ( ดีใจ ชะ--เอิง เอิง เอย )
แค่เจอะหน้าครั้งแรก...นู๋อยากเปลี่ยนความสัมพันธ์ของเรา
จากเพื่อนมาเป็นพ่อของลูกหนูทันทีเลยค่ะ...


หล่อจิงจิงค่ะ... หล่อระเบิดระเบ้อ...
หล่อสะบัด...หล่อสุดสุด

นู๋มองเค้าด้วยสายตาอยากกลืนกินเค้าไปทั้งตัว...นานกว่า 3 นาที กว่าจะเริ่มพูดคุยกัน
เค้าก็เหมือนกันค่ะ...มองนู๋ด้วยความตะลึงต่างกันนิดเดียวค่ะสายตาเค้าเหมือน....เหมือน...

สมเพทนู๋งัยไม่ทราบแต่ไม่เป็นไรค่ะ....ถึงนู๋ไม่สวยแต่นู๋ self ค่ะ...
นู๋รีบแสดงความเป็นเจ้าของในตัวเค้าทันที...
ด้วยการคล้องแขนเค้าประกาศให้โลกรู้ว่าผู้ชายคนนี้นู๋จอง..
นู๋ก็รีบจูงเค้าไปซื้อตั๋วหนังค่ะ
หนังเรื่องอะไรนู๋ไม่สนใจ...สนใจว่าจะลากเค้าไปดูหนังกัน
2 ต่อ 2 เท่านั้น...เค้าก็อึ้งอึ้งค่ะ

พอเข้าไปนะคะ...นู๋ก็ชวนเค้ากินป๊อปคอร์นค่ะ...กะว่าตอนหยิบจะให้มือมาจับกันแบบในหนัง
ที่นู๋เคยดูแต่....เค้าก็ไม่กินค่ะปล่อยให้นู๋กินคนเดียวจนเกือบหมด...
ถามเค้า...เค้าก็บอกว่าไม่หิวนู๋คิดในใจ.. (ป๊อปคอร์นแค่นี้มันทำให้อิ่มนักรึไงว่ะ)..
นั่งดูไปซักครึ่งเรื่องหนังก็สนุ๊กสนุกนะคะ....แต่เค้าสิคะนั่งนิ่ง ๆ
...สลับกับถอนหายใจเป็นบางเวลา นู๋คิดว่าเค้าคงไม่ชอบดูหนังเท่าไหร่...
ต้องใช่แน่ๆ เลย...นู๋เกรงว่าเค้าจะเบื่อค่ะ...ก็เลยเริ่มเอนตัวไปหาเค้า...
กะจะซบไหล่เค้าอ่ะค่ะ.. ^-^ อิอิ
พอซบแล้วเค้าก็นั่งตัวเกร็งค่ะ....นู๋ว่าเค้าคงชอบ...นู๋ก็เลยนอนอย่างนั้นจนหนังจบค่ะ...


พอออกมาเวลาก็เกือบๆ 6 โมงเย็น...นู๋กะจะชวนเค้าไปต่อค่ะ....
ไปเดินช็อปปิ้งซื้อของแล้วค่อยไปหาอะไรกินกัน... ตามประสาข้าวใหม่ปลามัน...
แต่เค้ายกนาฬิกาขึ้นมาดูทำท่ารีบรีบบอกว่าเค้ามีนัด...ต้องรีบไป


นู๋ก็เซ้าซี้เล็กน้อยบอกว่าอย่าเพิ่งไป...นู๋ยังอยากรู้จักเค้ามากกว่านี้...เค้าทำหน้าตาลำบากใจมากค่ะ
(แต่ก็ดูน่ารักนะคะ...นู๋ชอบค่ะ...หน้าตาลำบากใจของผู้ชายเนี้ย)
"เอาค่ะ..เอาค่ะ" นู๋พูดกับเค้า...
บอกให้เค้ากลับไปก็ได้...นู๋ยอมค่ะ...แต่คืนนี้ต้องโทรหานู๋นะคะ...
เค้าดีใจค่ะเหมือนนกบินออกจากรัง


นู๋ก็ดีใจค่ะ....ที่เค้ารักบ้านอยากไปทำธุระกับทางนู้น...อย่างนี้เกิดนู๋กับเค้าแต่งงานกันเค้า...

คงต้องรักครอบครัวแน่ ๆ เลยค่ะ...จริงไม๊ค่ะพี่ศิฯ ^-^

คืนนั้น...นู๋เฝ้ารอโทรศัพท์ค่ะ... รอ ..ร๊อ
...รอ...จนถึงตีสามเค้าก็ยังไม่โทรมา...
ปรกตินู๋จะโทรไปคุยบ่อยอยู่นะคะ...นู๋ทนต่อไม่ไหว โทรไปหาเค้าเองเลยค่ะ โทรไปสายก็ไม่ว่าง...

เอ๊ะหรือว่าเค้าอาจเล่นเน็ท... นู๋ก็เลยเข้าในเน็ท...
เปิด ICQ เผื่อเค้าจะอยู่...แต่เค้าก็ไม่เข้ามาค่ะ...
นู๋รอจนนู๋เริ่มท้อค่ะ ..ก็เลยเผลอหลับไป...

ตั้งแต่วันนั้น...จนถึงวันนี้ผ่านไปเป็นเดือน ๆ...
นู๋ก็ไม่ได้รับการติดต่อจากเค้าเลยค่ะ...
โทรไปสายก็ไม่ว่าง...เมล์ไปก็ไม่ตอบ..
นู๋เป็นห่วงเค้าค่ะ...กลัวว่าเค้าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรรึเปล่า...
เป็นอะไรมั้ย... เฮ้อ...กุ้มใจค่ะ....นู๋ขอถามพี่ศิฯ
ดังต่อไปนี้นะคะ

1. ที่นู๋ซบไหล่เค้าในโรงหนัง...นู๋จะมีสิทธิท้องได้รึเปล่าคะ...แล้วถ้าท้อง...เค้าจะรับเป็นพ่อในท้องมั้ยคะ


2. เค้าเป็นอะไรรึเปล่าคะ...ทำไมไม่ติดต่อมา...นู๋เป็นห่วงเค้ากลัวจะเกิดอันตรายค่ะ...


3.พี่ศิฯ ว่าเค้ารักนู๋จริงมั้ยคะ....นู๋กลัวว่าเกิดเผลอตัวเผลอใจยอมเค้าแล้ว...เค้าจะทอดทิ้งนู๋ค่ะ


4. อืม...เกิดสมมุติว่าเราตกลงแต่งงานกัน...พี่ศิฯว่าเราจะตั้งชื่อลูกว่าอะไรดีคะ
..ฮิฮิ... เขิลค่ะ

5.ข้อสุดท้ายน่ะค่ะ พี่ศิฯ...คิดว่าเค้าเป็นคนยังไงคะ...(แต่นู๋ว่าเค้าไม่เลวเลยน่ะค่ะ)


ขอรบกวนพี่ศิฯ
แค่นี้นะคะ...หวังว่าพี่ศิฯคงกรุณาตอบคำถามของนู๋โดยเร็วนะคะ...นู๋จะรอค่ะ


ป.ล
อ้อ..นู๋ลืมบอกไปค่ะว่าก่อนที่เค้าจะกลับ...เค้าซื้อของที่ระลึกให้นู๋ด้วยค่ะ...
แหม..ไม่อยากบอกเลย..แต่ไม่เป็นไรมั้งค่ะบอกแค่พี่ศิฯ
คนเดียว...อืม...เค้าซื้อกระจกให้นู๋ค่ะ น่ารักจังเลย
^-^เค้าคงคิดว่านู๋ชอบแต่งตัวสวยๆ....เลยซื้อกระจกเอาไว้ให้นู๋ส่องอ่ะค่ะ...
อย่างงี้แปลว่าเค้าก็ต้องมีใจให้นู๋ด้วยใช่ไม๊ค่ะพี่ศิฯ....
^-^

และแล้วฝ่ายชายก็เขียนจดหมายไปหาพี่ศิราณีเป็นเนื้อความว่า..


ถึงพี่ศิราณีที่ผมนับถือ...

....ผมได้ติดตามการตอบจดหมายของพี่มาเป็นเวลานานแล้วครับ
แต่ก็เป็นเพียงการอ่านเท่านั้น
โดยไม่คาดคิดว่าจะได้มีโอกาสนำความเดือดร้อนของตัวเองมารบกวนพี่
....เรื่องโชคร้ายของผมเกิดขึ้นโดยมีโลกของอินเตอร์เน็ตเป็นสื่อครับ...ใช่แล้วครับ
ผมพบผู้หญิงคนหนึ่งในเน็ท ผ่านทางเว็บแห่งหนึ่งครับ
สมมติว่าเธอชื่อ อ. แล้วกันนะครับ (ย่อมาจากอุบาทว์)
ในครั้งแรกที่ทำให้ผมประทับใจในตัวเธอคือสมองครับ...
อย่าครับ อย่าเพิ่งหัวเราะเยาะผม
เพราะผมเป็นชายผู้ซึ่งมองการไกล ผู้หญิงทุกคนที่ผมคบ
สมองต้องสำคัญเป็นอันดับหนึ่งครับ
และผู้หญิงคนนี้เองก็สร้างความประทับใจให้แก่ผมอย่างมากมาย


ผมเพียรพยายามหลายครั้งหลายคราที่จะขอนัดเดทกับเธอ
แต่เธอก็บ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด เห็นมั๊ยครับ
เธอช่างมีความเป็นกุลสตรีจริง...แต่ความพยายามของผมก็เกือบเป็นหมัน
เพราะความใจแข็งของเธอเนี่ยแหล่ะ
....จนกระทั่งวันหนึ่ง....เหมือนฟ้าผ่า เอ๊ย! ฟ้ามาโปรด
เธอโทรมาขอนัดพบผม แล้วเธอก็นัดพบที่หน้าห้างพันทิพย์
เห็นมั๊ยครับเธอช่างเปี่ยมไปด้วยมันสมองซะจริงๆ
แทนที่จะนัดที่เซ็นเตอร์พ้อยท์ หรือศูนย์การค้าธรรมดาๆ ทั่วไป
มันยิ่งเพิ่มความประทับใจให้ผมมากขึ้นไปอีก

ผมวาดฝันถึงภาพของเธอ ผู้หญิงสูงโปร่ง
ขายาวเรียวเหมือนซอนย่า จมูกโด่งเหมือนน้องฟ้า
และสมองประหนึ่งน้องป๊อบ

ผมนั่งนับรอวันนั้นครับ จนกระทั่ง....
วันนั้น...ที่หน้าร้านซีเอ็ดบุ๊ค ผมมองหานางในฝันของผม
แต่ฉับพลัน ยัยเตี้ยล่ำ ดำปี๋ ฟันเหยิน กรามเหลี่ยม
ก็เข้ามาทักผม....ไม่ !!!....

เสียงร้องในใจของผมปฏิเสธทันทีว่าต้องไม่ใช่เธอ
แต่เธอยืนยันครับว่าเป็นเธอเนี่ยแหล่ะ
โธ่...ชีวิตผมต้องมาพังพินาศลงก็คราวนี้เอง
สมองผมตอนนั้นมึนตึ๊บไปหมดแล้วครับ
มารู้ตัวอีกทีก็หน้าโรงหนังแล้ว
และแขนของยัยผีเสื้อสมุทรก็เกาะหนึ่บอยู่กับแขนผม....

สายตาทุกคู่มองจ้องมายังผม
นี่ผมจะทำอย่างไรดีถ้าพ่อแม่ผมรู้เข้า
ต้องตัดผมออกจากกองมรดกเป็นแน่นอน

แม่นั่นพยายามทุกวิถีทางที่จะให้ผมตกมาเป็นของเธอ
ทั้งเกาะแกะ เสนอของกินให้ผม
โถ่...อารมณ์นั้นใครจะรับประทานอะไรลงล่ะครับ
มีแต่อยากจะขย้อนของเก่าออกมาล่ะไม่ปาน..

แต่ที่หนักที่สุดคือ เธอเอาใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยหัวสิวมาพิงกับไหล่ของผม
แน่นอนครับ....ประสาททุกส่วนของผมมันตายด้านไปหมด...ชีวิตมันช่างบัดซบอะไรเช่นนี้

พระเจ้าให้ผมเกิดมาแล้วส่งสิ่งสยองขวัญที่สุดในโลกมาด้วยทำไม......


และแล้วเวลาที่ผมรอคอยก็มาถึง
ทันทีที่หนังจบผมแทบจะกระโดดออกมาจากที่นั่น
ซึ่งกว่าเธอจะยอมปล่อยผมออกมาได้
ผมก็ถูกเธฮข่มขืนทางสายตาไม่น้อยกว่าสิบครั้ง
แต่ก็ช่างเถอะครับ...รอดมาได้ก็บุญแล้ว..
ทันทีที่กลับถึงบ้านผมรีบแช่ตัวลงในอ่างน้ำซึ่งใส่เดทตอลไปเกือบค่อนถัง


หวังจะชะล้างคราบต่างๆ นาๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้
หลังจากวันนั้นเธอยังเพียรพยายามติดต่อผมทุกวิถีทางทั้งโทรศัพท์
และ icq แต่ผมไม่ยอมหลงกลอีกแล้วครับ
ผมดึงสายโทรศัพท์ออก พร้อมๆ
กับตั้งใจจะหันหลังให้เครื่องคอมพิวเตอร์ตลอดชีวิต
มาถึงตอนนี้ผมมีคำถามจะถามพี่ศิราณีดังนี้ครับ

1. ที่เค้าซบไหล่ผมในโรงหนัง พร้อมกับทิ้งคราบน้ำเหลืองจากหัวสิวไว้นั้น จะทำให้ผมติดโรคอะไรมั๊ยครับ


2.เรื่องที่เกิดขึ้นนั้น มันจะเป็นตราบาปในชีวิตของผมมั๊ยครับ กับการที่ผมได้เข้าใกล้สิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัวแบบนั้น

3.พี่ศิราณีคิดว่าเธอจะยังตามมาหลอกหลอนผมอีกมั๊ยครับ แล้วทำยังไงผมถึงจะหนีเธอพ้นครับ

4. สมมติว่าวันหนึ่งเธอบังเอิญตามหาตัวผมจนเจอ ผมควรทำอย่างไรดีครับ

5.และข้อสุดท้าย เรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะทำให้ผมสามารถแต่งงานกับหญิงอื่นได้มั๊ยครับ
จะมีใครรังเกียจประวัติครั้งนี้ของผมมั๊ยครับ

หวังว่าสิ่งที่ผมพร่ำพรรณามาทั้งหมดนี้ คงจะไม่เป็นการรบกวนเวลาอันมีค่าของพี่นะครับ
เพราะผมร้อนใจมาก แล้วผมจะรอคำตอบจากพี่นะครับ


--- จบ ---
บันทึกการเข้า

แสนยานุภาพผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
ผู้ทำลาย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496


lynnicky


เว็บไซต์
« ตอบ #7 เมื่อ: 16-05-2006, 17:03 »


เรื่อง: หากรู้สักนิด
ที่มา: ไม่ระบุ


ชายหนุ่มวัย 18 ปีคนหนึ่งกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็ง...
มะเร็งระยะสุดท้ายที่ไม่สามารถเยียวยารักษาให้หายได้อีกแล้ว
และก็พร้อมจะจากไปในทุกขณะ

เขาใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมาตลอดมีคุณแม่เป็นผู้ดูแล

แล้ววันหนึ่งเขาก็เกิดเบื่อหน่ายชีวิตประจำวันอันจำเจซ้ำซาก
อยากจะออกไปนอกบ้านสักครั้ง

เมื่อรับรู้ความในใจของบุตรชายเช่นนั้นแล้ว
ไหนเลยผู้เป็นมารดาจะไม่โอนอ่อนผ่อนตาม
เขาจึงมีโอกาสออกไปเดินเล่นละแวกบ้าน
ผ่านร้านค้ามากมาย...จวบจนพบร้านขายซีดีแห่งหนึ่ง
เขาก็ต้องหยุดชะงัก

จ้องมองเข้าไปในร้านแห่งนั้น..ที่นั่นเขาได้เห็นเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกันคนหนึ่ง
และในทันใดชายหนุ่มก็แจ่มชัดอย่างยิ่งว่าเธอคือรักแรกพบของเขาที่อุบัติขึ้น ณ บัดนั้น

เขาเดินเข้าไปข้างในร้าน ขณะสายตาจับจ้องอยู่แต่เธอ
กระทั่งมาหยุดยืนตรงหน้าเธอโดยไม่รู้ตัว
"จะให้ฉันช่วยอะไรได้บ้างคะ" เธอเอ่ยถามพร้อมกับส่งยิ้ม
ช่างเป็นรอยยิ้มที่หวานที่สุดเท่าที่เขาเคยสัมผัส
มันทำให้เขาอยากประทับริมฝีปากเธอในทันที
เขาตอบตะกุกตะกักออกไปว่า "เอ้อ ผมอยากได้ซีดีสักแผ่นครับ"
จากนั้นก็ทำทีหันไปเลือกซีดีได้แผ่นหนึ่ง
ก่อนจะกลับมาอยู่เบื้องหน้าเธออีกครั้งเพื่อชำระเงิน
"คุณอยากให้ฉันห่อกระดาษด้วยมั้ยคะ"
เธอถามพร้อมส่งยิ้มหวานมาให้ด้วยอีกหน เขาพยักหน้า
เธอจึงหันหลังไปจัดการให้จนเสร็จเรียบร้อยแล้วยื่นให้ชายหนุ่ม
กลับมาถึงบ้านเขาจัดการเก็บแผ่นซีดีไว้ในตู้
เพราะไม่ได้สนใจบทเพลงในแผ่นซีดีแม้แต่น้อย
สิ่งที่เขาสนใจก็คือคนขายนั่นต่างหาก

หลังจากวันนั้นแล้ว
ชายหนุ่มก็แวะเวียนไปที่นั่นเป็นประจำทุกวัน
ซื้อซีดีมาวันละแผ่นเสมอ
พร้อมกับอนุญาตให้หญิงสาวห่อกระดาษทุกครั้ง
รวมทั้งเมื่อกลับมาบ้านก็เก็บมันไว้ในตู้เหมือนที่เคยปฏิบัติมา
เขารู้สึกขวยเขินที่จะชวนเธอออกไปเที่ยวด้วยกัน
ทั้งๆ ที่เบื้องลึกนั้นปรารถนาเหลือเกิน
แต่ก็...ไม่กล้าพอ


เมื่อคนเป็นแม่รับรู้ในเวลาต่อมา
ท่านก็คะยั้นคะยอให้ลูกชายทำตามใจปรารถนาของตน
รุ่งขึ้นเขาจึงรวบรวมความกล้าทั้งหมด
ไปยังร้านนั้นอีกครั้ง
ซื้อซีดีหนึ่งแผ่นเหมือนวันก่อนๆ
และระหว่างที่เธอหันหลังให้นั้น
เขาก็ตัดสินใจทิ้งเบอร์โทรศัพท์ของตนไว้บนโต๊ะก่อนวิ่งออกจากร้านไป

สองสามวันต่อมาคุณแม่ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์
จึงรับสายและพูดว่า "สวัสดีค่ะ"
หญิงสาวในร้านขายซีดีนั่นเองที่เป็นผู้โทรมา
เมื่อสาวน้อยถามหาคนเป็นลูกชาย ผู้เป็นแม่ก็เริ่มร่ำไห้
แล้วบอกว่า
"หนูคงไม่รู้หรอกว่า...เขาเพิ่งจากไปเมื่อวานนี้เอง"

ถัดจากนั้นเสียงจากคนถามก็คล้ายจะถูกปลิด
คงเหลือแต่เพียงเสียงสะอื้นเบาๆของผู้เป็นแม่

ในวันนั้นเอง
ผู้เป็นแม่ก็เข้าไปในห้องของลูกชายเพื่อหวนระลึกถึงเขาอีกครั้ง...
เริ่มด้วยการสัมผัสเสื้อผ้าที่เขาเคยสวมใส่

และทันทีที่เปิดประตูตู้ ก็ต้องประหลาดใจ
เมื่อพบซีดีที่ยังห่อกระดาษไว้
กองอยู่เต็มไปหมด คุณแม่เลือกหยิบมาแผ่นหนึ่ง
นั่งลงบนเตียงและเริ่มแกะออกดู
ทันใดนั้นก็มีกระดาษเล็กๆแผ่นหนึ่งหล่นลงมา
คุณแม่หยิบมันขึ้นมาอ่าน
"สวัสดีค่ะ คุณดูน่ารักจังเลย คิดอยากออกไปเที่ยวกับฉันบ้างรึเปล่า"
กระทั่งเธอแกะซีดีแผ่นถัดๆมา ก็ยังพบกระดาษแผ่นเล็กๆ
มีข้อความเช่นเดิม... 
บันทึกการเข้า

แสนยานุภาพผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
ผู้ทำลาย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496


lynnicky


เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 16-05-2006, 17:07 »

เรื่อง: ผู้ชายอาไร้...น่ารักชะมัด
จากนามปากกา: แม่มณี


สองสามวันก่อน แม่ป่วย...
ผู้หญิงใจแข็งคนนั้น ยืนกรานว่าจะไม่ไปโรงพยาบาลโดยเด็ดขาด
เธอกินยาจีน พักผ่อนอยู่บ้าน
เสียงบ่นของแม่...หายไป
กลับมีเสียงของใครอีกคนขึ้นมาแทน...เสียงของพ่อ
พ่อที่ปกติแล้วลูกๆทุกคนลงมติว่า...ดุ และ เงียบขรึม
วันนี้พ่อกลายเป็นผู้ชายขี้บ่นไปซะแล้ว...
พ่อบ่นทั้งวันและทุกวัน
เรื่องที่บ่นก็มีอยู่เรื่องเดียว...บ่นแม่

พ่อบ่นว่า แม่ไม่ยอมไปหาหมอ
แต่...คนขี้บ่นนี่แหละ
ที่ไปปรึกษาเภสัชกรที่ร้านขายยา
ซื้อหายาอมแก้เจ็บคอ ยาแก้ไข้ที่แม่ใช้ประจำมาวางไว้ให้ข้างเตียง

พ่อ...ที่ปกติชอบออกไปหากับข้าวแปลกๆข้างนอกกินเป็นกิจวัตร
บ่นว่าเบื่อกินข้าวที่บ้าน
แต่...พ่อก็สั่งเมณี่ไปซื้อกับข้าวที่ร้านโปรดของแม่มากินที่บ้าน
เพียงเพราะไม่อยากให้แม่อยู่บ้านคนเดียว
แม่แตะกับข้าวได้คำเดียว...เอาใจพ่อ
ทั้งๆที่เมณี่ก็ว่ากับข้าวอร่อยดี
แต่...พ่อกลับว่า วันนี้เชฟฝีมือตก ทำไม่อร่อย...เลยไม่ถูกปากแม่

แล้ววันนี้...แม่อาการดีขึ้น ลุกขึ้นมาเดินเหินได้นิดหน่อย
บ่น...อยากกินแครกเกอร์กับโกโก้ร้อน
แต่...ของแห้งที่บ้านหมด รวมทั้งแครกเกอร์ยี่ห้อโปรดด้วย
พ่อ...ผู้ชายที่แสดงออกตลอดเวลา...ว่าเกลียดการเดินซูเปอร์มาเก็ต
บอกลูกๆว่าน้ำส้มของพ่อหมด ไปซื้อกันเถอะ
พวกเราอมยิ้ม
ผู้ชายปากแข็ง...จะบอกว่าไปซื้อของให้แม่ก็ไม่ได้
ต้องอ้างยังโน้นยังงี้
แต่...แค่ย่างเท้าเข้าห้างสรรพสินค้า
คนจะซื้อน้ำส้มเดินหา...แครกเกอร์
เฮ้อ...

พ่อ...มีโรคประจำตัว...โรคหัวใจ
พ่อต้องเดินช้าๆ เพราะไม่อยากให้หัวใจทำงานหนักเกินไป
แต่ในซุปเปอร์มาเก็ตวันนี้
พ่อเดิน...เข้าช่องโน้น ออกช่องนี้
เพราะแม่กินได้แต่ข้าวต้ม
ข้าวต้มซองชนิดมีกับพร้อมปรุงถูกพ่อกวาดมาทุกชนิด
เครื่องข้าวต้ม...ทั้งผักดอง ผักกระป๋อง
พ่อหยิบทุกขวดทุกกระป๋องมาอ่าน...หายี่ห้อที่แม่ชอบ
ความจริงจะสั่งเมณี่ไปหาซื้อน่าจะง่ายกว่านะ
แต่พ่อก็เลือกที่จะทำเอง
เพราะพ่อเลือกของเหล่านั้น...ด้วยความรัก
เมณี่ทำได้แค่เข็นรถตาม...
แต่แค่นี้ก็ยากแล้วนะ
เพราะเข็นตามไม่ทันสักที
ถ้าเทียบกับใจที่ไปถึงชั้นวางขวดผักดองเรียบร้อยแล้วของผู้ชายตรงหน้า

หลังที่เริ่มคุ้มงอตามวัยของพ่อ
นำอยู่ข้างหน้าหน้าลิ่วๆ
ตาของพ่อ...ที่มีไว้มองผู้หญิงคนเดียวในชีวิต
มองหาแต่สรรพสิ่งที่เหมาะกับแม่

ณ วินาทีนั้น
เมณี่อิจฉา...อิจฉาผู้หญิงที่นอนป่วยอยู่ที่บ้าน
อิจฉาแม่ตัวเอง

เพราะพ่อที่ลูกๆคุ้นเคย คือผู้ชายที่ไม่เคยแคร์ใคร...
กับลูกๆ...เรารู้...พ่อรัก
เพราะพ่อแสดงออกกับเราเสมอ
หากกับแม่...พวกเราเพิ่งรู้...พ่อห่วงแม่มากมาย
คงเพราะปกติเราเห็นแต่แม่ที่คอยดูแลพ่อ
โรคประจำตัวพ่อเยอะแยะนี่นา
แม่...ซึ่งเป็นผู้หญิงที่แข็งแรง
อึด...ในสายตาพวกเรา
ยามเมื่อได้รับการดูแลจากพ่อ
ดูเหมือนจะซึ้งไม่ต่างจากเรา

คนซึ่งร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดยี่สิบห้าปี
ดูแลกันและกันยามป่วยไข้
คงไม่มีอะไรน่าชื่นใจไปกว่านี้แล้วมั้ง

====================
เมณี่หันมามองรอบตัว
สักวันข้างหน้า...ยามเมื่อชีวิตได้ผ่านวันเวลา
ทั้งความสุข ความทุกข์ ความโศก
จะมีใครสักคนมั้ย...ที่ยืนข้างๆเมณี่
ดูแล...ยามที่เมณี่ป่วยไข้
จะมีใครสักคนมั้ย...ที่จำได้
กับแค่แครกเกอร์ยี่ห้อโปรดของเมณี่
จะมีใครสักคนมั้ย...ที่ยอมเดินฝ่าฝูงคนพลุกพล่านที่ตัวเองแสนเกลียด
เพียงเพื่อเครื่องกระป๋อง...
ที่อยากจะเลือกสรรแต่สิ่งดีๆเพื่อคนอันเป็นที่รัก
จะมีใครสักคนมั้ย...ที่ส่งยาอมแก้เจ็บคอให้เมณี่
พร้อมกับบอกว่า
'คราวก่อนเจ็บคอ กินแล้วหาย นี่ยังเหลือ เอาไปกินสิ'
ทั้งๆที่ยาอมหลอดนั้น มันยังไม่ได้แกะ!!!
ผู้ชายที่เก็ก...รักษาฟอร์มแม้แต่กับคนใกล้ตัวใกล้ใจ

ผู้ชายอาไร้...น่ารักชะมัด
บันทึกการเข้า

แสนยานุภาพผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
ผู้ทำลาย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496


lynnicky


เว็บไซต์
« ตอบ #9 เมื่อ: 16-05-2006, 17:08 »

เรื่อง: You'll never walk alone
ที่มา: ไม่ระบุ

ความหวาดกลัว..เข้ามาจับอยู่กลางหัวใจ
..ของพลทหารในสงครามโลกครั้งที่ 1..
เมื่อเขาได้เห็น "เพื่อนสนิท"..ล้มลงในสนามรบ
ขณะติดอยู่ในสนาม.. ที่มีแสงไฟจากปืน
..พุ่งข้ามศีรษะไปมา..อยู่ตลอดเวลา
พลทหาร..ขออนุญาตผู้กองของเขาออกไปที่.. "เขตปลอดเจ้าของ"
ซึ่งอยู่ตรงกลาง..ระหว่างสนาม เพื่อเอาศพของ "เพื่อนสนิท"กลับมา

"ได้" ..ผู้กองบอก "แต่ฉันไม่คิดว่า..คุ้มนะ...
เพื่อนของเธอ..คงจะตายไปแล้ว ..
และเธอ..ก็อาจจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียก็ได้"

คำพูดของผู้กอง-ไม่สำคัญและพลทหาร..ก็ออกไป
เขาไปถึง..เพื่อน..ได้อย่างปาฏิหาริย์
แบกเพื่อนขึ้นบ่า.. แล้วนำกลับมาที่สนาม
เมื่อทั้งคู่กลิ้งลงมา..ที่ก้นหลุม
นายทหาร..สำรวจทหารที่บาดเจ็บ
แล้วหันไปมองเพื่อนเขา.. อย่างอ่อนโยน

"ฉันบอกเธอแล้วว่า..มันไม่คุ้ม" ผู้กองบอก
"เพื่อนเธอตายแล้ว..และเธอก็บาดเจ็บสาหัส"

"ถึงกระนั้น..มันก็คุ้มค่า..ครับท่าน" พลทหารตอบ
"เธอหมายความว่าอย่างไร.. 'คุ้มค่า?' " ผู้กองถามกลับ
"เพื่อนของเธอ..ตายแล้วนะ!"
"ใช่..ครับท่าน" ..พลทหารตอบ
"แต่มันก็คุ้มค่า..เพราะว่า ..ตอนที่ผมไปถึง..เขายังไม่ตาย
ผมดีใจ..ที่ได้ยินเขาบอกว่า...
"ฉันรู้ว่า..นายต้องมา.."

You'll never walk alone.
บันทึกการเข้า

แสนยานุภาพผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
ผู้ทำลาย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496


lynnicky


เว็บไซต์
« ตอบ #10 เมื่อ: 16-05-2006, 17:11 »

เรื่อง: เราไม่ได้..ไม่รักกัน
ที่มา: ไม่ระบุ

บางที.. อาจไม่จำเป็น..เสมอไป
ที่ความรัก..จะต้องจบลง
ด้วยการ..ได้เป็น..คนรัก

*
*
*

บนเตียงเล็กๆ.. ในบ้านอบอุ่น..หลังหนึ่ง
แดดยามเย็น..ทอบางบาง..ผ่านหน้าต่าง

หญิงชรา..อายุราวๆ 70 ปี
นอนซม..อยู่บนเตียง

เธอรู้ว่า...นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้าย..ในชีวิตของเธอแล้ว
..แต่จะเป็นอะไรไปล่ะ ..เธอพอใจกับชีวิตทั้งหมด..ที่เธอได้ผ่านมา

เธอ..ได้แต่งงาน ..มีครอบครัว..ที่อบอุ่น
แม้จะไม่มีลูก..ก็ตาม

มีเพื่อนที่ดี ..ผ่านชีวิตการงานที่ดี
ถึงแม้วันนี้..สามีของเธอจะตายไป..ร่วม 10 ปี

แต่..ในวันสุดท้าย..ของชีวิต
เพื่อน-ที่เธอรักที่สุด..
ก็มานั่งเคียงข้างเธอ..อยู่ตรงนี้
มาส่งเธอ..เหมือนทุกครั้ง..ทุกคราว

*

“หมอบอกว่า..ฉันคงอยู่ได้ไม่เกินพรุ่งนี้เช้าหรอก”
เธอ..เอ่ยบอกกับเขา ...
เพื่อนชรา..ที่รู้จักกับเธอมา..แต่ครั้งยังเด็ก

“ฉันรู้”
ชายชรา..พยักหน้ารับ

“เธอมาส่งฉัน..เหมือนทุกทีสินะ”
หญิงชรา..มองหน้าชายชรา

“ใช่..ก็ฉันส่งเธอ..มาตลอดทั้งชีวิตนี่นา ..ขาดไปอย่าง..คงไม่ครบ”
ชายชราตอบ..ด้วยรอยยิ้มบางๆ

“ตอนเด็กๆ..บ้านเรา..อยู่ทางเดียวกัน..เรากลับบ้านด้วยกันทุกเย็น..
บ้านฉัน..อยู่เลยบ้านเธอไปมาก..” เธอ..รำลึกความหลัง

“แต่ฉัน..ก็ไปส่งเธอทุกวัน”
ชายชราบอก

“ใช่..เธอทำอยู่อย่างนั้น..ตลอดชั้นประถม..และมัธยม..ที่เราเรียนด้วยกัน
..จนเพื่อนๆล้อว่า..เราเป็นแฟนกัน” หญิงชราพูดขึ้น

“สุดท้าย..ก็ต้องเลิกล้อกันไป”
เพื่อนชราของเธอ..ต่อคำ

“ตั้งแต่..เธอคบกับแฟนคนแรกของเธอ..นั่นแหละ”
เธอเย้ายิ้มๆ

“แต่ฉันก็ไปส่งเธอทุกวัน..อยู่อย่างเดิม... จนต้องเลิกกับแฟน..ไม่ใช่รึ”
ชายชรา..ทวนความหลัง

เธอจำได้ว่า..เธอบอกเขาอยู่บ่อยๆ ว่า..ไม่ต้องเดินมาส่งเธอแล้ว..
เดี๋ยวแฟนเขาจะโกรธเอา.. แต่เขาก็ยังดึงดัน..ที่จะมาส่งเธอ

“โกรธก็โกรธไป ..ฉันรู้จักเธอ-มาก่อนตั้งนาน ..ยังไงเธอ..ก็ต้องมาก่อน”
นั่น..เป็นคำพูดที่เธอจำได้-ไม่ลืม ..แม้ว่า..มันจะผ่านมาเกือบ 60 ปีแล้ว..ก็ตาม..

เธอยังจำ..วันที่เขาต้องขึ้นรถไฟ..เพื่อไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้

วันนั้น..เธอไปส่งเขาที่สถานี ..ร้องไห้จะเป็นจะตาย
..เขาวุ่นกับการปลอบเธอ..จนไม่เป็นอันได้ร่ำลาพ่อแม่

พอเธอสงบลง..และขอตัวเข้าไปล้างหน้าล้างตา..ในห้องน้ำ ..
พ่อแม่ของเขา..ไปเช็คเที่ยวรถไฟ ...
พอเธอกลับมา..ก็พบเขานั่งร้องไห้คนเดียว..กับกองกระเป๋า...
เงยหน้าขึ้นบอกกับเธอ..ทั้งน้ำตา

“กลับบ้านเอง..เดินดีๆ นะ”

…และนั่น..ทำให้เธอต้องเสียน้ำตา..อีกรอบ

*
เธอจำได้ว่า..วันที่เขาปิดภาคเรียน..และกลับมาบ้าน..
เธอแนะนำเขา..ให้รู้จักกับแฟนหนุ่มของเธอ

ตอนแรก..ทั้งสอง..เหมือนจะเข้ากันได้ดี ..แต่หลังจากนั้น 2-3 วัน
..มีคนมาบอกว่า..แฟนเธอกับเพื่อนเธอ..ต่อยกัน

“มัน..นอกใจเธอ” เขาบอกเรียบๆ..

แต่..เธอไม่เชื่อ

วันนั้น..เธอเชื่อแฟนมากกว่า..ว่าเขาอิจฉาแฟนเธอ..จึงหาเรื่องชกต่อย
..เธอว่าเขา..ไปหลายคำ

อาทิตย์นึงให้หลัง..เธอจึงรู้ว่า..เขาเป็นคนถูก
..เมื่อเธอไปหาเขาที่บ้าน..ก็เจอแต่..พ่อของเขา

“มันกลับไป..แต่อาทิตย์ก่อนแล้ว ..เห็นว่ามีธุระด่วน ..ไม่รู้อะไร”
*

เธอส่งจดหมายไปขอโทษ ..เขาบอกไม่เป็นไร..เขาไม่เคยโกรธเธอ..แค่น้อยใจเล็กๆ
..ในจดหมายลงท้าย..ด้วยคำ-คำเก่า

"กลับบ้านเอง..เดินดีๆนะ"

เธอรู้ว่า..ในคำที่เหมือนสั้นๆ นั้น ..เขาพูดอะไรออกมา..มากมายขนาดไหน..

เธอจำได้..ถึงวันที่เธอ..บอกเขาว่า..
เธอจะแต่งงาน..

เขา..มองหน้าเธอ..
เธออ่านไม่ออกว่า..มันเป็นความรู้สึกอะไร
..ดีใจ?
..เสียใจ?
และเมื่อเธอถามเขาตรงๆ ..เขาก็ตอบว่า..

“..เราใจหาย..”
*

แต่ก่อนหน้านั้น.. ก็เขานี่แหละ..ที่เป็นคนช่วยเธอเลือก..
ช่วยเธอดูว่า..ผู้ชายคนนี้นิสัยดี ..และรักเธอจริง

“เรา-ผู้ชายด้วยกัน..เราดูออก”

ซี่งเขา..ก็ดูไม่ผิด ..สามีของเธอดี..เหมือนอย่างที่เขาบอก ..

วันแต่งงาน..เธอบอกเขาว่า..

“ความเป็นเพื่อนของเรา..ยังเหมือนเดิมนะ ..ไม่ต้องห่วง”

เขามองเธอนิ่งๆ..พยักหน้าน้อยๆ.. ไม่ตอบคำ

ถึงเวลารดน้ำสังข์ ..เขาอวยพรเธอมากมาย ..แต่พูดกับสามีเธอ..เพียงสั้นๆ ว่า..

“ฝากด้วยนะ..”
*

เขาแต่งงาน..มีครอบครัวของเขา
เธอ..ก็มีครอบครัว..ของเธอ

มีบางช่วงของชีวิต..ที่ห่างกันไป
แต่ก็ไม่เคย..ลืมกัน

เธอ..ส่งการ์ดอวยพรวันเกิดให้เขา..ทุกๆปี
ตอนนี้..เขาน่าจะเก็บมันไว้ได้ 59 ใบแล้วล่ะ
เพราะเธอนับของเธอแล้ว..มันได้ 58 ใบ
น้อยกว่า..อยู่ใบนึง..
เพราะเธอ..เกิดทีหลังเขา 5 เดือน..

บางที ..เธอรู้สึกสนิทกับเขา..มากกว่า..คนรักของเธอเสียอีก

หลายเรื่อง..ที่เขารับรู้..แต่คนรักของเธอ..ไม่แม้แต่ระแคะระคาย..

และก็เช่นกัน..หลายความลับ..ที่เขาระบาย
..ที่เขาฝากไว้ที่เธอ..เธอก็รับ..และเก็บงำมันไว้..ด้วยความเต็มใจ..

*
*

“คิดอะไรอยู่?”
เขาเอ่ยขึ้นมา..ทำลายความเงียบ

“เรา..กำลังนึกแปลกใจ”
เธอเอ่ย..ด้วยท่าทีครุ่นคิด

“ทำไม..เราถึงไม่ได้เป็น..คนรักกัน?”

เขานิ่งไป..เหมือนกำลังคิดเช่นกัน

”เราสนิทกันมาก..มั้ง”
เขาว่า

“นั่น..ไม่น่าใช่เหตุผลนี่”
เธอว่า

“เธอ..ถามยากไปนะ”
เขาตอบ..หลังจากนิ่งคิดอีก..อยู่ครู่ใหญ่

“ไม่ยากหรอก ..ลองคิดเล่นๆ สิว่า..ทำไมเราถึงไม่รักกันนะ?”

แววตาเธอ..มีแววขี้เล่นซุกซน ..เหมือนเด็กหญิง..ครั้งกระโน้น

“อืมม..อันนี้..ค่อยง่ายขึ้นมาหน่อย”
เขาพูดขึ้น

เธอมองหน้าเขา.. แปลกใจเธอว่า..เธอไม่ได้เปลี่ยนคำถาม..นี่นะ..

“ฉันไม่รู้หรอกว่า..ทำไม-เราถึงไม่ได้เป็น..คนรักกัน”
เขามองหน้าเธอ..ด้วยสายตาอ่อนโยน

”แต่..ถ้าเธอถามว่า..ทำไม-เราถึงไม่รักกันน่ะ”
เขาเว้นช่วง
“ฉันก็จะตอบว่า -- ฉันว่า..เราไม่ได้-ไม่รักกัน..ซะหน่อย”

เธอหลับตาลง.. คำถามที่ถูกซ่อนไว้..หลายสิบปี..กลับตอบออกมาง่ายๆ..อย่างนี้เอง

“นั่นสินะ ..เราไม่ได้-ไม่รักกัน..ซะหน่อย”
เธอตอบ..ทั้งๆที่หลับตาลง

ตอนนี้..เธอพร้อมที่จะจากโลกใบนี้ไป..อย่างมีความสุขแล้ว

ในความรู้สึก..ที่เริ่มพร่าและเลือน...เธอสัมผัสได้ถึงมือของเขา..ที่เอื้อมมากุมมือเธอไว้

“กลับบ้านเอง..เดินดีๆนะ..”

และนั่น..
คือ..คำสุดท้าย..ที่เธอได้ยิน…
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2006, 17:14 โดย lynnicky » บันทึกการเข้า

แสนยานุภาพผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
ผู้ทำลาย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496


lynnicky


เว็บไซต์
« ตอบ #11 เมื่อ: 16-05-2006, 17:12 »

เรื่อง: คุณจะเลือกทางไหน
ที่มา: ไม่ระบุ

มีเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นกันใกล้รางรถไฟ 2 ราง รางหนึ่งอยู่ในระหว่างการใช้งาน ในขณะที่อีกรางหนึ่งไม่ได้ใช้งานแล้ว

มีเพียงเด็กคนเดียวเท่านั้นที่เล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งาน ส่วนเด็กที่เหลือนั่งเล่นอยู่บนรางที่ยังใช้งานอยู่

เมื่อรถไฟแล่นมา คุณอยู่ใกล้ๆที่สับรางรถไฟ คุณสามารถเปลี่ยนทางรถไฟไปยังรางที่ไม่ได้ใช้งานเพื่อช่วยชีวิตเด็กส่วนใหญ่ แต่นั่นหมายถึงการเสียสละชีวิตของเด็กคนที่เล่นอยู่บนรางที่ไม่ได้ใช้งาน

หรือคุณเลือกจะปล่อยให้รถไฟวิ่งทางเดิม? ลองหยุดคิดสักนิด มีทางเลือกใดที่เราสามารถตัดสินใจได้

คุณต้องทำการตัดสินใจก่อนที่จะอ่านต่อไป รถไฟไม่สามารถหยุดรอให้คุณไตร่ตรองได้ คนส่วนมากอาจเลือกที่จะเปลี่ยนทางรถไฟ และยอมสละชีวิตของเด็กคนนั้น ผมคิดว่า คุณก็อาจจะคิดเช่นเดียวกัน

แน่นอน ตอนแรกผมก็คิดเช่นนี้เพราะการช่วยชีวิตเด็กส่วนมาก ด้วยการเสียสละชีวิตเด็กหนึ่งคนนั้นดูสมเหตุผลทั้งทางศีลธรรมและความรู้สึก แต่คุณเคยคิดบ้างไหมว่าเด็กที่เลือกเล่นบนรางที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ที่จริงเขาได้ตัดสินใจถูกต้อง ที่จะเล่นในสถานที่ๆปลอดภัยแล้วต่างหาก

แต่ทว่า เขากลับต้องเสียสละชีวิตให้กับเพื่อนที่ไม่ใส่ใจ และเลือกที่จะเล่นในที่อันตราย

สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นรอบตัวเราทุกวัน ในสถานที่ทำงาน ย่านชุมชน การเมืองโดยเฉพาะในสังคมประชาธิปไตย คนกลุ่มน้อยมักจะถูกเสียสละให้กับผลประโยชน์ของคนหมู่มาก แม้ว่าคนกลุ่มน้อยจะฉลาด มองการณ์ไกล และคนหมู่มากจะโง่เง่า ไม่ใส่ใจก็ตาม

เด็กคนที่เลือกที่จะไม่เล่นบนรางที่อยู่ในการใช้งานตามเพื่อนๆของเขา และคงไม่มีใครเสียน้ำตาให้หากเขาต้องสละชีวิตก็ตาม


เพื่อนที่ส่งต่อเรื่องนี้มาบอกว่า เขาจะไม่พยายามเปลี่ยนเส้นทางรถไฟ เพราะเขาเชื่อว่าเด็กที่เล่นอยู่บนรางที่อยู่ในการใช้งานย่อมรู้ดีว่า รางนั้นยังอยู่ในระหว่างการใช้งาน และพวกเขาควรจะหลบออกมาเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงหวูดรถไฟ

ถ้าทางรถไฟถูกเปลี่ยน เด็กหนึ่งคนนั้นต้องตายอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่เคยคิดว่ารถไฟจะเปลี่ยนมาใช้เส้นทางนั้น

นอกจากนั้น รางที่ไม่ได้ถูกใช้งานอาจเป็นเพราะรางนั้นไม่ปลอดภัย ถ้ารถไฟถูกเปลี่ยนเส้นทางมาที่รางนี้ เราทำให้ชีวิตของผู้โดยสารทั้งหมดตกอยู่ในอันตราย ในขณะที่คุณพยายามช่วยชีวิตเด็กจำนวนหนึ่งโดยการสละชีวิตเด็กหนึ่งคน อาจกลายเป็นการสังเวยชีวิตผู้คนนับร้อยก็เป็นได้

เรารู้ว่าชีวิตเต็มไปด้วยการตัดสินใจอันยากลำบาก บางครั้งเราอาจลืมไปว่า การตัดสินใจอันรวดเร็วใช่จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอไป

จำไว้ว่า สิ่งที่ถูกต้องไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่นิยมปฎิบัติ และสิ่งที่เป็นที่นิยม ไม่จำเป็นต้องถูกต้องเสมอไป

ทุกๆคนสามารถทำสิ่งผิดพลาดได้ และนั่นคือเหตุผลที่เขาใส่ยางลบไว้ที่ปลายของดินสอ
บันทึกการเข้า

แสนยานุภาพผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
ผู้ทำลาย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496


lynnicky


เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 16-05-2006, 17:16 »


เรื่อง: อากงสอนหลาน
ที่มา: ไม่ระบุ

“กาลครั้งหนึ่ง.....นานมาแล้ว.....
มี..อากง..แก่ๆ...อยู่คนนึ่ง...อยากจะสอนข้อคิดอะไรบางอย่างให้หลานๆ...ตามปะสาคนแก่
อากง...จึงเรียกหลานๆ ทั้งสี่มานั่งล้อมโต๊ะสี่มุม....แล้วบอกหลานทั้งสี่ว่า
เอาล่ะหลานๆ ..ตอนนี้หลับตา..นะ..หลับตา.....
พอหลานๆ หลับตา...อากง...ก็เดินเข้าไปห้องเก็บของ...แล้วหยิบโคมไฟเก่าๆ มาอันนึ่ง...
อากง...เปิดฝาครอบ...จุดไฟ...แล้วปิดฝาครอบ... แล้ว...อากง...ก็บอกหลานทั้งสี่...ว่า...
ลืมตาขึ้น..แล้วบอก...อากง...ซิว่าโคมไฟสีอะไร...?
เด็กทั้งสี่ลืมตาขึ้น....ตอบไล่ๆ กัน....ตอบไม่เหมือนกัน...และเริ่ม...ทะเลาะกัน....
คนที่นั่งด้านนึ่งบอกว่า...สีแดง...อีกด้านนึ่งบอกว่า...เขียว...สีเหลือง...และน้ำเงิน....ตาม ลำดับ...
ทั้งสี่ทะเลาะกันพักนึ่ง....ก็มีเด็กคนนึ่งถาม...อากง...ว่า......
อากง....ทำไมของอย่างเดียวกัน...มีตั้งหลายสี...........
อากง...ก็เลยบอกว่า...เดี๋ยวนะ...อากง...จะทำอะไรให้ดู....
อากงเดินมาที่โต๊ะ...หยิบฝาครอบแล้วหมุนให้ดู...ปรากฎว่า....
ฝาครอบสี่ด้าน....สี่สี...แดง...เหลือง...เขียว...น้ำเงิน...
หลังจากนั้น...อากง...ก็บอกว่า....เอ๊าตอนนี้บอกอากงซิ...โคมไฟสีอะไร...?
หลานๆ....ตอบเหมือนกันคือสีของเปลวไฟ.....
อากง..เลยบอกว่า...เอาล่ะหลาน...อากง..ถามอะไรชักสองข้อนะ....
ข้อที่..1.....เมื่อสักครู่นี้....ครั้งแรก...ไครผิด....
หลานตอบว่า....ไม่รู้.....
อากง...บอกว่า....รึว่า...อากง..ผิด........
อากง...เลยบอกอีกว่า...ฟังนะ..เจ้าทั้งสี่..นั่งอยู่ในที่เดียวกัน....
มองของ อย่างเดียวกัน...ในเวลาเดียวกัน...ยังเห็นไม่เหมือนกันเลย.....
ทำไม..? ทำไมถึงไม่มีใครผิดล่ะ....
อากง..เลยบอกว่า...ก็เพราะคนทุกคนมองจากมุมมอง...ของตัวเอง...เห็นในสี่งที่ตัวเองเห็น....
แต่..ถ้าเจ้าอยากเข้าใจว่าทำไมคนอื่นเห็นอย่างที่เขาเห็น...เจ้าก็เดินไปมองที่มุมของเขา แล้วเราก็จะเห็นอย่างที่เขาเห็น....
แต่ถ้าลองนึกภาพนะ...เจ้าทั้งสี่ นั่งอยู่ที่เดียวกันมองของอย่างเดียวกัน...ในเวลาเดียวกัน ยังเห็นไม่เหมือนกันเล๊ย....
ในอนาคต....เวลาที่อยู่ในสังคม...เป็นไปได้มั๊ย... คน..ก็มองสี่งต่างๆ....ไม่เหมือนกัน......
เพราะฉนั้น....เวลาที่คนคิดไม่เหมือนเรา....ใครผิด...
ในอนาคตนะ...เวลาที่เจ้าคิดไม่เหมือนคนอื่น....อย่าไปโกรธว่าเขาผิด...อย่าไปกลัวว่า...ตัว เองผิด....
เพราะคนแต่ละคน...ก็เห็นสี่งต่างๆ...จากขอบข่ายประสบการณ์และสี่งแวดล้อมของตนเอง....
แต่ถ้าเจ้าอยากเข้าใจว่า...ทำไมคนอื่นถึงคิดแบบนั้น....เจ้าก็เดินไปมุมของเขา....
และเมื่อเจ้ายอมเข้าใจคนอื่น....อาจเป็นไปได้ว่าคนอื่นก็อาจจะยอมที่จะเดินมา....และเข้าใจเจ้า.....
คำถามที่..2...อากง..บอกว่า....ที่เห็นครั้งแรกกับครั้งหลัง....เป็นของอย่างเดียวกันมั๊ย..?....
หลานบอกว่า....อย่างเดียวกัน.....
แล้วเห็นเหมือนกันมั๊ย....?....ครั้งแรกเห็นอะไร...?
หลานตอบว่า...ฝาครอบ....และครั้งหลังเห็นเปลวไฟ....
อากงเลยบอกว่า....หลานๆเอ๊ย...
ในอนาคตถ้าเลือกได้นะ...อย่ามองสี่งต่างๆ...เพียงแค่ที่เห็น....
จงเข้าใจสิ่งต่างๆ... อย่างที่เป็น 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-05-2006, 17:19 โดย lynnicky » บันทึกการเข้า

แสนยานุภาพผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
ผู้ทำลาย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496


lynnicky


เว็บไซต์
« ตอบ #13 เมื่อ: 16-05-2006, 17:18 »


เรื่อง : เข็มนาฬิกากับหน้าที่
ที่มา : ไม่ระบุ


ณ ห้องนั่งเล่นของบ้านหรูสไตล์ตะวันตกหลังหนึ่ง
มีนาฬิกาเรือนงามเรือนหนึ่งประดับเด่นอยู่บนผนังของห้องนั่งเล่นนั้น
เข็มนาฬิกาทั้งสามบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนงามนี้ต่างภูมิใจในหน้าที่ของพวกตน
ที่ได้บอกเวลาอย่างเที่ยงตรงแก่เจ้าของบ้านและผู้มาเยือนมาโดยตลอด

วันหนึ่งเจ้าเข็มวินาทีสีแดงสดรูปร่างเพรียวบางรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับภาระหน้าที่ของตัวเอง
ที่ต้องตรากตรำเดินอยู่บนหน้าปัดตลอดเวลาอย่างเหน็ดเหนื่อย
ในขณะที่ในวันหนึ่ง ๆ เจ้าเข็มสั้นและเจ้าเข็มยาวไม่ค่อยได้เดินสักเท่าไรเลย
เจ้าเข็มวินาทีจึงรู้สึกว่าตนถูกเอารัดเอาเปรียบอย่างมาก จึงโวยวายออกไปว่า
“ข้าทนไม่ไหวแล้วนะ พอทีเถอะ ข้าเหนื่อยเหลือเกินกับการทำหน้าที่ของข้า
พวกเจ้าเอาเปรียบข้า ข้าไม่เคยได้พักอย่างพวกเจ้าบ้างเลย
ข้าไม่อยากเดินอีกต่อไปแล้ว พอกันที”

เมื่อได้ฟังดังนั้น เจ้าเข็มสั้นจึงบอกกับเจ้าเข็มวินาทีไปด้วยเสียงอันแหลมเล็กว่า
“โอ๊ะ.........โอ!! โถๆๆๆ เจ้าเข็มวินาทีเอ๋ย เจ้าหาว่าพวกข้าเอาเปรียบงั้นรึ?
เจ้าจงมองดูรูปร่างของข้าสิอ้วนอุ้ยอ้ายและยังตัวสั้นเตี้ย
แถมข้ายังมีหัวที่โตมากอีกต่างหากข้าต้องแบกหัวหนัก ๆ นี้ไว้ตลอดเวลาเลย
กว่าข้าจะเดินได้แต่ก้าวนี่ช่างยากลำบากกว่าเจ้าเป็นไหน ๆ
แล้วอย่างนี้เจ้าจะมาหาว่าข้าเอาเปรียบเจ้าได้อย่างไรกัน”

เจ้าเข็มยาวก็กล่าวเสริมว่า “เจ้าเข็มวินาทีเอ๋ยเจ้าคงไม่รู้หรอกนะว่า
ข้าแอบอิจฉาเจ้าที่เจ้ามีรูปร่างเพรียวบางสามารถเดินได้อย่างคล่องแคล่ว
และมีสีแดงสดใสสะดุดตาเช่นเจ้านี้ ผิดกับข้านักที่ตัวดำและหนาเทอะทะ”

“ไม่จริง พวกเจ้าโกหกไม่ต้องมาหลอกข้าซะให้ยาก
บอกว่าข้าดีอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไมไม่มาเป็นข้าดูบ้างล่ะ
ข้าจะได้พักผ่อนเสียที” เจ้าเข็มวินาทีกระแทกเสียง

เจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสามจึงสลับหน้าที่กัน
โดยที่เจ้าเข็มสั้นทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มยาว
ขณะที่เจ้าเข็มยาวทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มวินาที
ส่วนเจ้าเข็มวินาทีได้แต่นอนดูเพื่อน ๆ เดินตามหน้าที่ใหม่
มันดีใจมากที่ไม่ค่อยได้เดินสักเท่าไรเพราะมันทำหน้าที่แทนเจ้าเข็มสั้น

ทันใดนั้นเจ้าของบ้านที่กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นก็เกิดความประหลาดใจมาก
ที่เห็นนาฬิกาเรือนงามบนผนังเดินผิดปกติ
กึก...กึก..........กึก........
เจ้าเข็มวินาทีสะดุ้งเฮือกเมื่อรับรู้ถึงการสั่นสะเทือนของนาฬิกา
“โอ๊ย......... เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ?” เจ้าเข็มวินาทีถามขึ้น
“แย่แล้ว..... พวกเราไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้วหรือนี่
ทำไมเขาถึงยกนาฬิกาที่เราอยู่ลงจากผนังเสีย ? เราจะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้”

เจ้าเข็มสั้นพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือ
“เมื่อพวกเราต่างไม่ได้ทำตามหน้าที่ของตน
นาฬิกาเรือนนี้ก็ไม่สามารถบอกเวลาได้อย่างแม่นยำเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
เจ้าของบ้านเขาคงเห็นว่าเราคงหมดประโยชน์แล้วล่ะ
แต่ข้าว่ามันคงไม่สายเกินไปนะ ที่พวกเราจะทำให้นาฬิกาเรือนที่เราอยู่นี้มีคุณค่าขึ้นอีกครั้ง
โดยที่เราต้องทำตามหน้าที่ของแต่คนตามเดิม” เจ้าเข็มยาวบอก

“ข้าผิดไปแล้ว เพราะข้าคนเดียวทำให้พวกเราหมดคุณค่าไป “
เจ้าเข็มวินาทีพูดด้วยความสำนึกผิด
แล้วเจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสามก็กลับมาทำหน้าที่ของพวกตนตามเดิม

เมื่อเจ้าของบ้านเห็นว่านาฬิกาเรือนงามของเขาสามารถบอกเวลาได้ตามปกติแล้ว
เขาจึงนำนาฬิกาเรือนนั้นไปแขวนที่ผนังห้องนั่งเล่นตามเดิม
เจ้าเข็มนาฬิกาทั้งสามก็เดินบนหน้าปัดนาฬิกาเรือนงามตามหน้าที่ของพวกตนอย่างมีความสุข 
บันทึกการเข้า

แสนยานุภาพผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
ผู้ทำลาย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496


lynnicky


เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 16-05-2006, 17:21 »

เรื่อง: ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรัก
ที่มา: ไม่ระบุ

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความรักที่พบบ่อยที่สุดอย่างหนึ่งคือ

" ถ้ารักกันแล้วเราขาดกันไม่ได้ "
ยกตัวอย่างกรณีที่เราจะพบเสมอ
ทันทีที่รู้ว่าคน (ที่เรา) รักจากไปสู่ที่ชอบๆ

...คือไปอยู่กับคนที่เขาชอบมากกว่าเรา
และที่ชอบของเขาเป็นที่ไม่ชอบของเรา

ไม่ว่าหญิงหรือชายจะเกิดอาการกินไม่ได้นอนไม่หลับ จะเป็นจะตาย
หลายรายถึงกับสำเร็จความตายด้วยตนเอง...คิดว่าเป็นการบูชาความรัก

ตัวอย่าง คนไข้สาวรายหนึ่ง
แฟนหนุ่มมีอันต้องจำพรากจากไป...อยู่กับสาวอื่นแทน

เธอพรอดพร่ำรำพันต่อหน้าจิตแพทย์ "
หนูไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก
แล้ว หนูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา "

เธอลืมไปว่าก่อนที่จะมีเขา เธอก็ยังมีชีวิตอยู่ได้

" หนูรักเขามากค่ะ...คุณหมอขา
คุณหมอคงเข้าใจใช่ไหมคะว่าหนูรักเขามากแค่ไหน"

ถ้อยคำมากมายพรั่งพรูจากปากของเธอ
ขณะที่กระแสน้ำตาที่คลอเบ้าหลั่ง
ล้นท้นท่วม จนกระดาษทิชชูที่มีอยู่ไม่เพียงพอ


จิตแพทย์เริ่มคิดถึงวัสดุผ้าที่มีคุณสมบัติในการซึมซับของเหลวได้มากกว่า...

" คุณเข้าใจผิดเสียแล้วล่ะครับ คุณไม่ได้รักแฟนคุณหรอก "
จิตแพทย์พูดบ้าง หลังจากฟังมานาน

" คุณหมอหมายความว่ายังไง ก็หนูเพิ่งพูดไปแหม่บๆ
ว่าถ้าขาดเขาเสียแล้วชีวิตของหนูก็อยู่ไม่ได้ "

น้ำเสียงเธอแสดงความไม่พอใจ จิตแพทย์พยายามอธิบาย

"สิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดไม่ได้เรียกว่าความรักหรอกครับ
เขาเรียกว่า...ภาวะกาฝาก

ตราบใดที่คุณยังต้องพึ่งใครสักคนเพื่อความอยู่รอดของคุณ
คุณก็ทำตัวเหมือนพยาธิ ในลำไส้ของเขา...

มันทำให้ชีวิตคุณไม่มีทางเลือกและขาดอิสรภาพ
มันกลายเป็นภาวะจำเป็นมากกว่าความรัก "

คนไข้สาวช็อคไปชั่วขณะ
นึกว่าจะได้รับคำปลอบใจที่มีคุณภาพสูงกว่า
ที่เคยได้จากเพื่อนๆ ...

แต่หมอยังพูดต่อทั้งๆ ที่คนไข้กำลังนั่งนิ่งตะลึงด้วยความมึนงง
เหมือนจงใจ " ซ้ำเติม " ปัญญาสู่จิตอันขลาดเขลา


"ความรักที่แท้ต้องมีอิสรภาพ...คนสองคนจะรักกันได้ก็ต่อเมื่อเขาทั้ง
สองสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ตามลำพังอย่างไม่เป็นทุกข์

แต่เขาทั้งสองก็เลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกันเพื่อความสุขที่มากขึ้น "


ฉับพลันทันใดในดวงใจของหญิงสาว...พุทธิปัญญาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างพวยพุ่ง

ดวงตาเห็นธรรมเป็นแสงสว่างส่องทางชีวิตให้หลุดพ้นจากหุบเหวห้วงอารมณ์อันมืดมิด...

เธอใช้เวลาตั้งสติพักหนึ่ง สีหน้าเริ่มสงบ
คิ้วผ่อนคลายขมวดรอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏที่มุมปาก ก่อนเปล่งวาจา

"คำพูดของคุณหมอเปรียบเสมือน
แสงตะวันที่สาดส่องทะลุทำลายกำแพงเมฆหมอกแห่งมิจฉา
ทิฐิของดิฉันบัดนี้ดิฉันได้เห็นแล้วซึ่งสัจธรรม
ต่อแต่นี้ไปจะขอดำเนินชีวิตที่เหลือตามรอยแห่งพุทธะ...สาธุ "

จิตแพทย์ที่กล้าพูดเตือนสติแทนการพูดประคองใจท่านนี้ คือ Dr.Scott Peck

ซึ่งได้เขียนบรรยายเหตุการณ์เรื่องนี้ในหนังสือขายดิบขายดีชื่อ
The Road Less Traveled

ซึ่งท่านได้ให้แนวคิด เรื่อง "ภาวะพึ่งพิง " (Dependency)
ไว้ด้วยความหมายว่า

เป็นภาวะที่เราไม่สามารถดำเนินชีวิตโดยปราศจากการดูแลเอาใจใส่จาก
บุคคลอื่น

ในภาวะปกติเราอาจต้องพึ่งพิงขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นในกรณีที่เรา
ได้รับบาดเจ็บ หรือกำลังป่วย

แต่หากเรามีสุขภาพร่างกายที่ดีแล้วยังต้องพึ่งพิงผู้อื่นทางจิตใจ
เพื่อช่วยให้ เราเป็นสุขี

แสดงว่าสุขภาพทางจิตของเรากำลังย่ำแย่ เจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ

เวลาที่ผ่านไป จะช่วยเยียวยาบาดแผลให้สมานจนหายสนิท
พร้อมภูมิต้านทานทางใจที่มากขึ้น...

คนที่มีสุขภาพจิตดีจะให้ความรักแก่ตัวเองเป็น
และดำเนินชีวิตได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงใคร

แต่อาจพึ่งพาในบางกรณี เพราะคนเราไม่ได้เก่งหรือทำเป็นหมดทุกอย่าง

แต่ถ้าคุณถึงขั้น " ขาดเขาไม่ได้ "
...จงอย่าเอาคำว่า " รักเขามากเหลือเกิน "

มาลวงหลอกใจตัวเอง ยิ่งต้องถึงคิดฆ่าตัวตาย
...ยิ่งแสดงว่า " แม้แต่ตัวเอง ก็ยังไม่รัก "

หลายคนคิดว่าถ้าฉันฆ่าตัวตาย
จะทำให้เขารู้สึกผิดกับการกระทำของเขาที่ทิ้งเราไป

ตั้งวัตถุประสงค์ของกิจกรรมว่า " เขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต"

...คิดอย่างนี้ส่วนใหญ่มักตายฟรี

ปัจจุบันผู้หญิงไทยมีการศึกษา
มีการงานและความสามารถไม่แพ้เพศชาย

ไม่จำเป็นต้องอาศัยเพศชายเป็นผู้นำของชีวิตเหมือนหญิงไทยสมัยโบราณ...

การอยู่เป็นโสด เป็นหม้าย หรือหย่าร้าง
ไม่มีผลถึงกับทำให้วิญญาณต้องหลุดออกจากร่าง


ผู้หญิงทั้งหลายจึงสามารถใช้ชีวิตด้วยตนเองได้อย่างมีความสุขและ
ภาคภูมิใจ ในเกียรติของผู้หญิง


และหากได้พบชายใด ที่เราเห็นว่าทำให้ชีวิตเรามีความสุขมากขึ้น
และดีขึ้นกว่าการ อยู่คนเดียว

คุณก็อยู่ในฐานะที่มีโอกาสเลือก...ไม่ใช่จำเป็นต้องเลือก
หรือจำใจเลือกเขามาเป็นคู่ชีวิต

ขอกล่าวทวนประโยคเดิมที่จิตแพทย์ Dr.Scott Peck
พูดกับคนไข้ด้วยภาษาต้นฉบับ

" Love is the free exercise of choice. Two people love each
other only when they are quite capable of living without
each other but choose to live with each other "

แต่หากคุณรู้สึกว่าจำยาก อาจท่องจำเป็นคำกลอน
ร้อยกรองต่อไปนี้ก็ทำให้ง่ายขึ้น

" แม้ต่างคนต่างอยู่ก็อยู่ได้
ถึงห่างไกลใจยังสุขทุกวสันต์
จะอยู่ใกล้หรืออยู่ไกลไม่สำคัญ
แต่ขอเลือกอยู่ด้วยกันฉันและเธอ "
บันทึกการเข้า

แสนยานุภาพผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
ผู้ทำลาย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496


lynnicky


เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 16-05-2006, 17:24 »

เรื่อง: ความฝัน "THE ROSE"
ที่มา: ไม่ระบุ

วันหนึ่งในห้องเรียน
ครูผู้สอนได้ให้นักศึกษาทุกคนทำความรู้จักกับเพื่อนในห้องที่ยังไม่รู้จักกัน
ฉันหันมองหารอบตัว
แล้วสายตาก็ไปหยุดที่หญิงสูงอายุผู้หนึ่ง ที่กำลังจ้องมาที่ฉันเช่นกัน
หญิงสูงอายุพูดขึ้น "ว่าไง สุดหล่อ ฉันชื่อโรส อายุ 87 ปี
ขอกอดสักทีจะได้มั๊ย?"
ฉันหัวเราะและตอบ "ได้สิ"
แล้วเธอก็กอดฉันแน่ในวงแขนอันอบอุ่นของเธอ
ฉันได้ถามเธอว่า ทำไมเธอจึงไม่ได้เข้าเรียนวิทยาลัยซะตั้งแต่ตอนสาวๆ หละ
เธอกล่าวว่า เธอฝันที่จะได้รับปริญญาสักใบมาตลอดชีวิต
และขณะนี้เธอกำลังทำในสิ่งที่เธอตั้งใจ

หลังจากชั่งโมงเรียนนั้น
เรากลายเป็นเพื่อนสนิทกัน แบ่งปันซึ่งกัน แลกเปลี่ยนความคิดกัน
และเพียงแค่ช่วงปีการศึกษา โรสก็กลายเป็นจุดเด่นในวิทยาลัย
เธอผูกสัมพันกับเพื่อนคราวหลานอีกมากมาย ชีวิตหลากสีสันในวัยเรียน
กลับมาสู่เธออีกครั้งปลายฤดูการศึกษา
เรามีการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตร
โรสได้รับการเชื้อเชิญให้เป็นผู้กล่าวเปิดพิธีบอลประเพณีนั้น
เธอแนะนำตัวเล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจวางการ์ดเล็กๆ ที่เธอจดเตรียมคำพูดไว้ลงกับสแตน
ด้วยอาการประหม่าเล็กๆ แต่ยังคงกล่าวต่อว่า "โอ้..ต้องขออภัย
เบียร์กับวิสกี้ร์ย้อมใจเมื่อกี้
ทำให้มีปัญหากับโน้ตเล็กนี่แทนเสียแล้ว
เอางี้แล้วกัน ให้ฉันบอกคุณ ว่าฉันเรียนรู้อะไรในชีวิตฉัน

"เราไม่ได้หยุด เล่น เพียงเพราะว่าเราแก่ขึ้น, เราเริ่มแก่ขึ้น
เพราะว่าเราหยุดเล่นต่างหาก, ความลับ 4 ข้อ ของการเป็นเด็กตลอดกาลคือ,

1 มีความสุข
2 สิ่งใดที่ตั้งใจไว้ จงทำให้สำเร็จ
3 คุณต้องหัวเราะในทุกๆ วัน มองหาในมุมดีให้พบทุกวัน
4 มีความใฝ่ฝัน เพราะถ้าคุณสูญเสียความฝัน คุณก็ไม่ต่างอะไรกับคนตาย
แล้วเรามีคนตาย ที่ไม่รู้ว่าตัวเองกลายเป็นคนตายอยู่มากมาย เดินอยู่รอบๆ ตัวเรา

มีความแตกต่างอยู่มากระหว่าง การแก่ตัวลง กับการเติบโตขึ้น
ถ้าคุณอายุ 18 ปี แล้วนอนเฉยๆ อยู่บนเตียง
ปีหนึ่งที่ผ่านไปคุณก็จะมีอายุ 19 ปี

ทุกคนแก่ขึ้นได้ โดยไม่ต้องใช้ความสามารถใดๆ ในความคิดของการเติบโต
คือการทำสิ่งต่างๆด้วยความสามารถในโอกาสที่มี
โดยไม่มีการเสียใจในภายหลัง คนที่ได้ชื่อว่าเติบโต
จะไม่มีวันเสียใจในสิ่งที่ทำ หากแต่จะเสียใจในสิ่งที่ไม่ได้ทำ "

แล้วเธอก็ร้องเพลง 'The Rose' ปิดท้ายคำปราศัยในครั้งนั้น
โรสถึงแก่กรรมอย่างสงบ บนเตียงของเธอ ภายหลังจบการศึกษาเพียง 1 อาทิตย์
มีนักศึกษากว่า 2,000 คนเข้าร่วมไว้อาลัยแด่สุภาพสตรี
ผู้สอนให้เรารู้ว่า ไม่มีคำว่าสายไปในสิ่งที่คุณพยายามทำและพยายามเป็น

THE ROSE Some say love it is a river
ใครบางคนบอกว่า ความรัก นั้นเป็นดังแม่น้ำสายใหญ่

That drowns the tender reed.
ที่ท่วมทับหญ้าน้ำที่อ่อนไหว

Some say love it is a razor that leaves your soul to bleed.
บางคน บอกว่า รักนั้นเป็นใบมีดโกน ที่คอยกรีดเฉือนหัวใจให้หลั่งเลือด โดยปราศจากบาดแผล

Some say love it is a hunger an endless aching need
บ้างก็บอกว่ารักนั้นคือผู้หิวโหย ที่ไม่เคยรู้จักอิ่ม

I say love it is a flower and you it's only seed
ฉันว่าความรัก เป็นดังดอกไม้ และเธอก็เพียงแค่เริ่มปลูกความรักนั้น

It's the heart afraid of breaking that never learns to dance.
ถ้าหัวใจ กลัวที่จะพ่ายแพ้ ก็จะไม่มีโอกาสได้เรียนรู้การร่ายระบำแห่งความรัก

It's the dream afraid of weaking that never takes the chance.
ถ้าความฝัน กล้วการตื่นขึ้น ก็จะพลาดการดื่มด่ำในใฝ่ฝัน

It's the one who won't be taken who cannot seem to give
ผู้ที่ไม่เคยได้รับ มักไม่เคยเรียนรู้การให้

and the soul afraid of dyin' that never learns to live.
หากจิตวิณญาณ กล้วการตายจาก จะไม่มีวันเรียนรู้ ถึงการดำรงอยู่

When the night has been too lonely and the road has been too long
แม้ค่ำคืนล่วงผ่าน ช่างแสนยาวนาน แลถนน ก็ดูเหมือนจะยาวไกล
and you think that love is only for the lucky and the strong
และหากคุณคิด ว่ารักมีสำหรับผู้ที่โชคดีและเข้มแข็งเท่านั้น

just remember in the winter far beneath the bitter snows
จำไว้เพียงอย่างหนึ่ง ในฤดูหนาว เบื้องล่างลึกลงกลางหิมะอันแสนหนาวเหน็บ
lies the seed that with the sun's love in the spring becomes the rose.
เมล็ดพันธุ์ยังคงทอดกายอยู่และเมื่อมีรักอันอบอุ่นแห่งอาทิตย์
ปลุกเพื่อตื่นเป็นกุหลาบดอกงามอีกครั้งในฤดูผลิใบสู่แสงอรุณ
บันทึกการเข้า

แสนยานุภาพผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
ผู้ทำลาย
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,496


lynnicky


เว็บไซต์
« ตอบ #16 เมื่อ: 16-05-2006, 17:25 »

เรื่อง: ภาษารัก
ที่มา: ไม่ระบุ

เจ้าชายกับเจ้าหญิง
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
เจ้าชายหนุ่มหล่อของเราก็โดนแม่มดใจร้ายสาปให้พูดไม่ได้
ในแต่ละปีเขามี สิทธิ์พูดได้แค่คำเดียว
แต่ถ้าเขาไม่พูดสิทธินี้ก็จะสะสมไว้ใช้ได้ในปีถัดไป
วันหนึ่งเจ้าชายก็พบกับเจ้าหญิงแสนสวยผมทอง ปากเต็มอิ่ม
สะโพกผายกลึง
เจ้าชายตกหลุมรักเจ้าหญิงแบบหัวปักหัวปำ
อยากได้เธอมาร่วมเรียงเคียงหมอน
เจ้าชายตั้งใจว่าจะเอ่ยคำแรกกับเธอผู้เลอโฉมว่า
“ที่รัก”

ดังนั้นเขาจึงต้อง อดกลั้นไม่พูดจา 2 ปีเต็ม
เพื่อจะได้สิทธิพูด 2 พยางค์อันทรงคุณค่านี้
อดทนมาจนครบ 2 ปี
เจ้าชายก็เปลี่ยนความคิดใหม่ว่า เรื่องอะไรจะพูดเพียงแค่คำว่า “ที่รัก”
เขาน่าจะพูดว่า “ที่รัก ผมรักคุณ” มากกว่า
ดังนั้นเจ้าชายจึงต้องอดทน ไม่พูดจาต่อไปอีก 3 ปี
จึงจะมีสิทธิพูด 5 พยางค์นี้ได้ครบ 5 ปี

เจ้าชายผู้มุ่งมั่นก็เปลี่ยนใจใหม่อีกแล้ว
เขาควรจะขอเจ้าหญิงแต่งงานเสียเลย จะดีกว่า
ดังนั้นเขาจึงต้องสะสมสิทธิการพูดต่ออีก 10 ปี
เจ้าชายไม่รู้จักภาษาใบ้
เขียนหนังสือไม่ได้ อ่านหนังสือไม่ออก
การคบหากับเจ้าหญิง จึงได้แค่เพียงมองหน้ากันไปมองหน้ากันมาจนครบ 10 ปี

ในที่สุดก็ถึงเวลาอันสำคัญ
เจ้าชายจูงมือเจ้าหญิงเข้าไปในราชอุทยานของพระองค์
ต้นไม้ที่ร่มรื่น ดอกไม้ที่ แสนสวย นกร้องเบาๆ
คลอเคล้าด้วยสายลมอ่อน
เจ้าชายเก็บกุหลาบแดงช่อโตมามอบให้เจ้าหญิง
คุกเข่าต่อหน้าและจับมือเธอขึ้นจุมพิต...

“ที่รัก... ผมรักคุณ แต่งงานกับผมนะ”
เจ้าชายเอ่ยปากขอแต่งงานกับเจ้าหญิงที่หลับตาสะเทิ้นอายด้วยเสียงนุ่มหล่อแบบด็อกเตอร์สลัมพ์
เจ้าหญิงแสนสวยลืมตาจ้องเจ้าชาย
สายตาอันหยาดเยิ้มทำให้หัวใจเจ้าชาย พองโตแทบบ้า
ริมฝีปากอวบอิ่มขยับพูด

“อะไรนะคะ. หญิงไม่ได้ยิน”!!!!!

บทแทรก: จำเป็นหรอที่ "คำว่ารัก" จะต้องเอ่ยจากปากเท่านั้น
แค่การกระทำที่แสดงออกจากใจจริง
ก็เป็นการเอ่ย "คำว่ารัก" ออกมาจากหัวใจแล้ว
บันทึกการเข้า

แสนยานุภาพผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน
สเลเต
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 211



เว็บไซต์
« ตอบ #17 เมื่อ: 18-05-2006, 19:34 »

เป็นเรื่องดีดีจริงๆค่ะ
อ่านแล้วประทับใจ
ขอบคุณนะคะ
บันทึกการเข้า

เหมือนจะพร้อมให้หอมดอก...สเลเต
แวะไปชมบ้านหลังน้อยกันได้นะคะ

http://mahahong.bloggang.com

และแอบประชาสัมพันธ์งานรวมเล่มชิ้นแรกด้วยค่ะ

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=mahahong&month=03-2006&date=28&group=1&blog=1
หน้า: [1]
    กระโดดไป: