ผมบอกแล้วไงว่าไม่ใช่คนกรุงเทพไม่เอาแต่คนกรุงเทพเอาพปช.น้อยกว่า
ปชป.ก็แค่นั้นครับ คนกรุงเทพมีหน้าที่เลือกผู้ว่าก็พอแล้วอย่ามากำหนดว่า
ใครจะมาเป็นคนปกครองประเทศ ทั้งประเทศไม่ใช่กรุงเทพนะ แล้วรายได้
หลักของเราก็มาจากข้าว แล้วที่ต่างชาติมาลงทุนในไทยก็คือ แรงงานนะครับ
คุณจะมาแบ่งแยกยยั้งงี้ก็ไม่ถูก เดี้ยวเขาให้กรุงเทพไถนาเอง ทำงาน
ในโรงงานเอง แล้วยังงี้มานจะพอหรือครับ รายได้หลักที่ต่างชาติต้องการก็คือ
แรงงานไม่ใช่ พวกที่นั้งกระดิกเท้าในห้องแอร์ เข้าใจนะครับ คุณก็ต้องยอมรับ
ว่าประเทศเราต้องง้อประเทศอื่นๆ นะครับ
โง่จัด
ยังหลงงมงายอยู่กับข้อมูลตั้งแต่สมัยก่อน 14 ตุลา 2516
ปัจจุบันนี้ รายได้หลักของประเทศมาจากอุตสาหกรรม - การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
ซึ่งก็คือ สินค้าที่ผลิตออกไปจากพื้นที่จังหวัด สระบุรี + อยุธยา + ปทุมธานี + กรุงเทพฯ + สมุทรปราการ + สมุทรสาคร + ฉะเชิงเทรา + ชลบุรี + ระยอง
จนเรียกได้ว่าพื้นที่ส่วนนี้ "ปั๊มเงิน" จากอุตสาหกรรม ( และการพาณิชย์ ) มากกว่าอีสานบ้านโคตรพ่อโคตรแม่คุณรวมกันทั้งภาค ไม่ต่ำกว่า 30 เท่า
...หรือพูดง่าย ๆ ว่าเงินงบประมาณที่เอาไปสร้างสนามกีฬา + โรงยิม แล้วปล่อยให้ร้างจนกลายเป็นมั่วสุมของพวกขี้ยาในเขตอีสาน ก็คือเงินที่ส่งไปจากการหากินจนหน้าดำคร่ำเครียด ( เข้าออฟฟิสก่อน 8.00 แล้วออกจากออฟฟิสหลัง 2 ทุ่ม โดยไม่ได้ OT ...ฮา แต่ไม่ขำโว้ย...เชี่ย ! ) + ความอดทนต่อมลพิษ อาชญากรรม การจราจรแออัด และความอดกลั้นต่อค่าครองชีพอันสูงลิบลิ่วของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ส่วนนี้
...ค่าก่อสร้างสำนักงานอาคารสำนักงาน อบต - อบจ หรือแม้แต่วิทยาลัยราชภัฎประจำจังหวัด ก็ได้มาจากภาษีของธุรกิจ - กิจการที่อยู่ในพื้นที่ส่วนนี้
...แม้แต่งบประมาณนมกล่อง งบซื้อคอมพิวเตอร์ แลเงินค่าจ้างครู สำหรับเด็ก ๆ ในอีสาน ก็มาจากรายได้ของรัฐบาลที่รีดนาทาเร้นมาจากผู้คนที่อยู่ในพื้นที่ส่วนนี้
ลำพังรายได้ของกิจการในเขต จว.ภาคอีสาน หรือต่อให้เอาภาษีของแรงงานชาวอีสานที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ส่วนนี้ ( ซึ่งน้อยกว่าสวัสดิการที่รัฐจ่ายให้แรงงานเหล่านั้นซะอีก ) ทั้งหมดมารวมกัน
...มันไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงตัวเอง
...ไม่พอที่จะเป็นค่าจ้างข้าราชการ + ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของส่วนราชการ
...ไม่เหลือพอที่จะใช้ซ่อมถนนหรือขุดลอกคลอง ซะด้วยซ้ำ
...อย่าทำเป็นกำแหงนัก ไปศึกษาก่อนว่า "ข้าว ( หอมมะลิ )" ที่โม้นักโม้หนาว่า "สร้างประเทศไทย" นั้น
แท้จริงแล้ว มันเป็นการบริโภคในประเทศเสียกว่า 70%
และ
ข้าวที่สร้างรายได้เข้าประเทศ - ข้าวที่นำเงินเข้าประเทศจริง ๆ คือข้าวขาวจากที่นาในเขต จว.ปทุมธานี + สุพรรณบุรี หรอก ( โว้ย )ส่วนถ้าจะอวดอ้างว่า "แรงงานจากอิสาน" คือแรงงานสร้างชาตินั้น ก็อย่าทำเป็น "โม้" อีกเลย
ทุกวันนี้ แรงงานในระดับค่าแรงรายวัน - แรงงานไร้ฝีมือ - แรงงานในธุรกิจก่อสร้าง แท้จริงแล้ว เกือบทั้งหมดเป็นแรงงานพม่า - ลาว ( ที่โดนแผ่นคอนกรีตตกลงมาทับตายเมื่อ 3-4 วันก่อนก็แรงงานเขมร )
ในขณะที่ แรงงานฝีมือหรือระดับชำนาญการจริง ๆ ส่วนใหญ่ก็ปะปนกันไป
ไม่ใช่มีแต่คนอีสานแล้วเวลานี้ี่ "คนอีสาน" อยู่ไหน ?
ไปดูตาม "คาเฟ่ หรือบาร์อะโกโก้" สิ
ไปดูตาม "ท้องถนน - คนขับแท้กซี่" สิ
ไปดูตาม "ตลาดนัด" สิ
ไปดูตาม "แผงลอย" บนทางเดินเท้าในกรุงเทพ ฯ สิ
...ไม่มีแล้ว ไอ้ประเภทเข้ามาเป็นลูกจ้าง "โดนไอ้พวกคนบางกอกมันกดขี่ข่มเหง" น่ะ ...คนอีสานที่เข้ามาหากินในกรุงเทพ ฯ ทุกวันนี้ "ผิวผ่อง" จะตายห่า
แถมกว่าครึ่งที่อยู่ในกรุงเทพ ฯ มานานจนมีผัว - มีเมีย - มีลูก ( ซึ่งถือว่าเป็นเด็กกรุงเทพ ฯ )
ต่าง "อ้วน - ลงพุง" เป็นโรคสารพัดสารพันที่ล้วนมาจากสภาวะ "กินมาก" เกินไป
...คนอีสานสมัยนี้ "หนักไม่เอา - เบาไม่สู้ - กรูจะเล่นหนังเล่นละคร" กันหมดแล้วนะครับ
...คนอีสานสมัยนี้ "ทะเยอทะยาน" แต่ "ไร้ความอดทน" หวังจะ "เสี่ยงโชค - ขุดทอง" มากกว่า "ก้มหน้าก้มตาทำมาหากิน" อยู่บน "ความบากบั่นมานะเพียรพยายาม" แล้วนะครับ
...คนอีสานสมัยนี้ "ขี้ฉ้อตอแหล" หากินอยู่บนความน่าสมเพช ( จนถึงน่าทุเรศ ) ด้วยความเชื่ออันหลอกหลอนกันเอง ( และตั้งหน้าตั้งตาหลอกหลอนคนภูมิภาคอื่น ) ในเรื่อง "ความซื่อ" นะครับ
...คนอีสานสมัยนี้ "กินมาก - อยากได้ใคร่มี - หวังจะสุขสบาย" ยิ่งกว่าคนเมืองที่ตนอพยพเข้าไปทำมาหากินซะอีกนะครับ
...คนอีสานสมัยนี้ "มีเงินเข้าหน่อยก็กร่าง - เป็นคางคกขึ้นวอ" หนักหนากว่าคนอีสานรุ่นก่อนหลายเท่านะครับ
...คนอีสานสมัยนี้ "เจ้าเล่ห์เพทุบายแบบเข้าสันดาน - เข้าสายเลือด ( ติดเชื้อชั่วจากเจ๊ก )" ชนิดแยกไม่ออกระหว่าง "การเอากำไร - การเอาเปรียบ" และ "การวางเฉย - การไม่รู้สึกไม่รู้สา ( หน้าด้าน )" แล้วนะครับ
...........ตื่นได้แล้ว ปีนี้ 2551
...........คนอีสานไม่ได้น่าสงสาร - น่าเห็นใจ อย่างที่พวกนักการเมืองในท้องถิ่นของพวกคุณพยายาม "สอพลอ - ยกยอ ( เพื่อหวังจะได้คะแนนเสียง )" อีกแล้ว
ลุง can พูดได้ตรงประเด็นและเข้าใจ ถึงจิตใจของคนอีสานมาก.......
..
.
.
คงเป็นเพราะเป็นคนในพื้นที่เหมือนกัน 555+
.
.
บ้านเกิดผมอยู่ นครพนม ตอนนี้ก็ มี สวนยางเต็มแล้วครับ ขนาดบ้านผมยังปลูกเลย แต่ก่อนที่เขาให้ปลูกแรกๆ ก็ไม่อยากปลูกเหมือนกัน แต่ตอนนี้ผ่านมาซัก 4-5 ปีเริ่มเห็น สวนยางของคนอื่น เริ่มกรีดยางแล้ว เขาได้ เดือนๆหนึ่งเป็นแสน บาท ....โหๆ
.
.
ตอนแรกก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่พอไปดูแล้วก็น่าดีใจกับเขาด้วย เพราะตอนนี้ไม่ต้องมาเป็นหนี้ใครมีเงินใช้จ่ายสบาย ...ส่วนสวนยางของผมก็รอเวลาซักหน่อย เพราะทาง นครพนม ดินดี ฝนดี..ไม่นาน คงจะเริ่มกรีดยางได้.55+
.
.
ปล.เลิกพูดได้แล้วว่า เอาเงินไปแจกคนอีสาน แล้ว ได้เป็น สส. แน่นอนน่ะ
.
.
หัดทำประโยชน์ให้ชาวอีสานเห็นดีกว่าน่ะ
.
.
นี่ก็โง่
ต้นยางพาราที่กรีดเอาน้ำยาง ไม่เหมือนต้นยางนาที่เจาะเอาน้ำมันไปทำขี้ไต้นะเฟ้ย
ยางพาราเป็นพืชที่มีช่วงเวลาเก็บเกี่ยวได้เพียงปีละ 3 เดือน หรืออย่างเก่งก็ 4 เดือน
คือเดือน พย.-กพ. ( ราว ๆ ช่วงนี้ล่ะ )
หลังจาก กพ.เข้าหน้าแล้ง ยางจะผลัดไบ - ไม่มีน้ำยาง
ต่อจากนั้นเข้าหน้าฝน ก็กรีดยางไม่ได้ เพราะหน้ายางจะเน่า - เชื้อราจะวิ่งเข้าสายใยอาหาร ( ท่อน้ำยาง ) จนทำให้ยางตายยืนต้น
การที่จะโม้ว่า "รายได้เดือนละแสน" ก็คือ "มั่วล้วน ๆ" เพราะ "คิดหยาบ ๆ + รับทราบตื้น ๆ"
ด้วย "ตัณหาหาไป" ทำนอง เห็นเขาแล้วก็อยากได้อย่างเขา - อยากเป็นอย่างเขา บ้าง
ต้นยาง เป็นพืชที่ต้องการน้ำ + ความชื้นค้่อนข้างสูง
จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะปลูกยางบนพื้นที่อันร้อนแล้ง ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนใหญ่ในอีสาน
"ทำได้ก็เพียงแต่ปลูกในบริเวณที่ใกล้แหล่งน้ำ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทำรายได้จากการปลูกพืชอื่นอยู่แล้ว"
ไม่มีทางนำยางไปปลูกในพื้นที่ที่ทุกวันนี้ปลูกมันสำปะหลัง - ยูคาลิปตัส ได้เลย
เนื่องจาก "ท่อน้ำยางจะตัน ( น้ำยางซึม ๆ ออกมาจากแนวกรีดแล้วก็แห้ง ไม่ทันได้ไหลลงจอก )
และที่สำคัญกว่านั้นก็คือหลังจากปลูกยางแล้ว ดินในพื้นที่สวนยางจะเป็นพิษ...แถมไนโตรเจนก็หายหมด
ทำให้กลายเป็นภาระอันหนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นไปอีกในการฟื้นสภาพดินในวันข้างหน้า ( ซึ่ง "ชาวอีสาน" ของคุณคงตายห่าไปหมดแล้ว หรือหวังว่ารัฐบาลทักษิณ 3-4-5 จะออก กม.อนุญาตขายที่ดินให้ต่างชาติได้ แล้ว "ชาวอีสาน" ก็ขายทิ้ง - อพยพเข้ามายึดชิงเอาสวนสาธารณะ - ที่ดินการรถไฟ ในกรุงเทพ ฯ ต่อไป )
( น้ำยางเป็นโปรตีน ที่ได้มาจากการดูดเอาไนโตรเจนในดิน + อากาศ มาสร้างป็นอนุพันธุ์ทางเคมี ซึ่งมีลักษณะเป็นพิษ สังเกตได้ว่าไม่มีแมลงชนิดใดกินน้ำยางเป็นอาหาร )
สำคัญที่สุดก็คือประเทศอื่น ๆ ทุกวันนี้ เขาจะหลีกเลี่ยงการขนส่ง "ด้วยถนน + ล้อยาง" กันหมดแล้ว
เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ( รวมทั้งเวียดนาม ) ล้วนแต่เน้นไปสร้างระบบรางกันเกือบหมด
จะมีก็แต่ "พวกบ้ารถ" อย่างอเมริกันชน ที่โคตรพ่อโคตรแม่มัน "หากินอยู่กับการปั่นราคาน้ำมัน" เท่านั้น
ส่วนพี่ไทย ก็กำลังจะหมดปัญญาใช้ระบบขนส่งแบบ "ถนน + ล้อยาง" ในเร็ววัน
เนื่องจาก "น้ำมันแพงจัด" ถึงขนาดที่ว่าการเดินทางด้วยพาหนะ "ล้อยาง" ถือเป็นความโก้หรูของ "คนเฉพาะกลุ่ม"
...ซึ่ง "คนกลุ่มนั้น" เขาก็ไม่ใช้หรอก "ยางรถยนต์ของไทย" น่ะ
อ้อ...ถ้าถึงวันนั้น - วันข้างหน้า วันที่ "ยางราคาตก ( ยางเคยราคาตกมาก ๆ จนชาวสวนต้องตัดยางทิ้ง - ขายไม้ นะครับ คือ ช่วงราว ๆ ปี 2532-35 )"
....หวังว่าคงไม่มีใครบ้า เร่เอายางแผ่นรมควันมาบอกขายตามหมู่บ้านจัดสรร หรือตลาดนัด - ตลาด อตก.- ใต้ถุนกระทรวง ฯ - ใต้ตึก กฟผ. ( แบบมังคุด - ลางสาด )
แม่ง...คงจี้ตายห่าเลย ถ้าวันหนึ่งได้ยินเสียงแบบนี้....
"ยางแผ่นรมควันไหมครับพี่ ยางแผ่นรมควันถูก ๆ จ้าาาา"