ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
02-12-2024, 22:21
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  ห้องสาธารณะ  |  เป็นเรื่องที่น่าอายหากว่านายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ ประกาศจัดตั้งรัฐบาลแข่ง 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
เป็นเรื่องที่น่าอายหากว่านายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ ประกาศจัดตั้งรัฐบาลแข่ง  (อ่าน 1535 ครั้ง)
ยุด ฤาษีเฒ่า มารศาสนา
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 29-12-2007, 09:59 »




หลังการเลือกตั้ง และคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการนับคะแนนอย่างเป็นทางการแล้ว พรรคพลังประชาชน เป็นฝ่ายได้ชัยชนะในการเลือกครั้งนี้ ได้รับเลือกเป็นส.ส.มากถึง 232 คน และ พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับเลือกเป็นส.ส.จำนวน 165 คน

           โดยมารยาททางการเมืองที่ ถือปฏิบัติกันเป็นสากลทุกประเทศทั่วโลก ก็คือ เมื่อทราบผลการลงคะแนนของประชาชนแล้ว พรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่า ก็จะประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ และแสดงความยินดีกับพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนมากกว่า พร้อมทั้งสนับสนุนให้จัดตั้งรัฐบาลเพื่อบริหารประเทศชาติ ต่อไป

           กรณีการแข่งขันระหว่าง อัลกอร์ พรรคเดโมแครต กับ จอร์ ดับเบิลยู บุช พรรครีพับลิกัน เมื่อ ปี 2001 ถึงแม้จะมีผลต่างของคะแนนเพียงเล็กน้อย และมีข้อสงสัยว่าการนับคะแนนมีความผิดพลาดหรือไม่ แต่เมื่อมีการประกาศผลอย่างเป็นทางการ อัลกอร์ ก็ประกาศยอมรับการตัดสินใจของประชาชน ยอมรับความพ่ายแพ้ และแสดงความยินดีกับจอร์จ ดับเบิลยู บุช พร้อมทั้งกล่าวว่าการแข่งขันได้สิ้นสุดลงแล้ว พร้อมจะสนับสนุนให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เข้าบริหารประเทศ ได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง

           เมื่อเปรียบเทียบมาถึงประเทศไทย ผู้แพ้อย่างพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากจะไม่แสดงอาการยอมรับความพ่ายแพ้กับผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจของประ ชาชนเสียงส่วนใหญ่แล้ว ยังแสดงอาการประหนึ่งว่าเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะด้วยซ้ำไป เมื่อได้ทราบว่าพรรคพลังประชาชน ได้คะแนนเสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนส.ส.ทั้งหมด คือ 240 เสียง ทั้งๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้จำนวนส.ส.น้อยกว่าพรรคพลังประชาชน 60 กว่าคน

           คำแถลงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่ยอมแพ้ แม้ว่าจะได้รับความไว้วางใจจากประชาชน น้อยกว่าพรรคพลังประชาชน มากกว่า 60 เสียง แต่ก็ยังแสดงออกอย่างเปิดเผยว่า จะพยายามจัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคพลังประชาชน ซึ่งมีความพยามที่จะดำเนินการมาตั้งแต่ก่อนจะรู้ผลการเลือกตั้งด้วยซ้ำไป โดยการล็อกพรรคการเมืองต่างๆ ไม่ให้ไปร่วมจัดรัฐบาลกับพรรคพลังประชาชน สะท้อนถึงการไม่ยอมรับกติกาประชาธิปไตย ไม่ยอมรับมติของประชาชน ไม่ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน

           นอกจากจะไม่แถลงยอมรับความพ่ายแพ้ อันเกิดจากการตัดสินของประชาชนแล้ว นายอภิสิทธิ์ ยังแสดงท่าทีเย้ยหยันพรรคพลังประชาชน ว่า “เป็นเรื่องที่น่าอายหากว่าพรรคพลังประชาชนซึ่งได้จำนวนส.ส.มากที่สุด ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้” แต่กลับปฏิเสธที่จะแสดงความเห็นว่าการที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนน้อยกว่า จะจัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคพลังประชาชน เป็นเรื่องที่น่าอายหรือไม่

           ในขณะที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พยายามที่จะนำเสนอตรรกะแบบเข้าข้างตัวเอง ว่า “การที่พรรคพลังประชาชนได้ส.ส.ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง แสดงว่าประชาชนไม่ต้องการให้พรรคพลังประชาชนจัดตั้งรัฐบาล” แต่กลับหลีกเลี่ยงที่จะตอบว่าการที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับความไว้วางใจน้อยกว่าพรรคพลังประชาชน เป็นการแสดงให้เห็นว่าประชาชนต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์ จัดตั้งรัฐบาล อย่างนั้นหรือ จึงมีความคิดและความพยายามที่จะจัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพรรคพลังประชาชน ที่ได้ส.ส.มากกว่าถึง 60 กว่าคน

           เป็นที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่งจนแทบไม่น่าเชื่อว่าอายุ 61 ปี ของการดำเนินการทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้เป็นระยะเวลาอันยาวนานมากพอที่จะทำให้สมา ชิกพรรคประชาธิปัตย์ เรียนรู้และเคารพกติกาประชาธิปไตย มีน้ำใจเป็นนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย และรู้จักมารยาทของการอยู่ร่วมกันในสังคมการเมือง ที่จะต้องยอมรับการตัดสินของประชาชน ซึ่งเป็นการตัดสินที่สำคัญที่สุดที่นักการเมืองทุกคน พรรคการเมืองทุกพรรค ทั่วโลกต้องยอมรับ

           ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ หลังทราบผลการลงคะแนนเสียงของประชาชนอย่างเป็นทางการแล้ว ไม่ได้บ่งบอกเลยว่า พรรคประชาธิปัตย์ “แพ้เป็น” ตรงกันข้ามกลับเป็นท่าทีอาการของคนไม่ยอมแพ้ มากกว่า นอกจากไม่ยอมแพ้ แล้ว ยังมีพฤติกรรมไม่แตกต่างจากผู้ไม่ยอม รับกฎกติกาประชาธิปไตย อีกด้วย

           ภาพลักษณ์ของการเมืองไทยจะสวยงามอย่างยิ่ง ความตึงเครียด และวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นมายาวนานกว่า 2 ปีของประเทศไทย และการเมืองไทย จะคลี่คลายมลายหายไปและยุติลงทันที หากว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ และสนับสนุนให้พรรคพลังประชาชนจัดตั้งรัฐบาล เหมือนกับที่ครั้งหนึ่งนายชวน หลีกภัย อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เคยประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ให้กับพรรคความหวังใหม่ และไม่จัดตั้งรัฐบาลแข่งกับพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ทั้งๆ ที่แพ้ให้แก่พรรคความหวังใหม่ เพียง 2 เสียงเท่านั้น

           แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคประชาธิปัตย์แพ้ต่อพรรคพลังประชาชนมากกว่า 60 เสียง แต่นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ กลับไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ และประกาศจัดตั้งรัฐบาลแข่งทันที โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนเสียงส่วนใหญ่ที่ได้ไปลงคะแนนเลือกตั้งและมอบความไว้วางใจให้แก่พรรคพลังประชาชนมากกว่าพรรคประ ชาธิปัตย์ ส่งผลให้สถานการณ์การเมืองไทย ยังคงอยู่ในภาวะตึงเครียด และอยู่ในวิกฤติต่อไป อีกทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้มีปัจจัยแทรกซ้อนที่ไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย

           หากพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงดึงดัน ไม่ยินยอมน้อมรับความพ่ายแพ้ และไม่ฟังเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน เช่นที่กำลังกระทำอยู่ในขณะนี้ ก็จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองใหม่เกิดขึ้นแก่การเมืองไทย ที่เสียงส่วนใหญ่ของประชาชน และความไว้วางใจที่ประชาชนมอบให้แก่พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเป็นผู้บริหารประเทศ เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมาย และต้องยอมให้แก่ระบบพวกมากลากไป ที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังสร้างขึ้นในขณะนี้

           เสียงของประชาชน จะมีความหมายได้อย่างไร หากว่าพรรคการเมืองไม่เคารพการตัดสินใจของประชาชน และยังคงแสดงพฤติกรรมต่อต้าน ท้าทายเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนเช่นที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังกระทำอยู่ในขณะนี้

           พฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ แสดงให้เห็นว่าพรรคการเมืองพรรคนี้ เป็นพรรคการเมืองที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน มากกว่ากฎเกณฑ์กติกา และมารยาททางสังคม ตลอดจนผลประโยชน์ของประเทศชาติ และการดำรงอยู่ของระบบและความถูกต้องที่สืบทอดกันมากว่า 75 ปีของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในประเทศไทย

           ถึงแม้จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่แสดงความยินดีกับผู้ชนะที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนสูงสุด ไม่ยอมรับมติของประชาชนเสียงส่วนใหญ่ ไม่หยุดที่จะจัดรัฐบาลแข่ง ไม่เลิกราที่จะเอาชนะคะคานกัน โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ความดีงาม และประโยชน์ของส่วนรวม และมารยาททางการเมือง

           แต่อย่างน้อยพรรคประชาธิปัตย์ ก็ควรจะมีสำนึกละอายแก่ใจบ้าง ว่า เมื่อประชาชนไม่ไว้วางใจให้เป็นรัฐบาล แล้ว แม้นว่าจัดตั้งรัฐบาลได้จริง ก็ไม่อาจจะบริหารประเทศได้ และจะนำการเมืองไทยเข้าสู่วิกฤติอีกครั้ง เพราะพรรคการเมืองที่ไม่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน พรรคการเมืองที่ประชาชนเสียงส่วนใหญ่ ไม่ต้องการให้มาบริหารประเทศ จะไม่มีวันเป็นรัฐบาลที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ได้ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ ก็เคยประสบกับสถานการณ์นี้มาแล้ว ในกรณี สปก. 4-01 ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ ต้องหนีการลงมติไว้วางใจ ด้วยการยุบสภา เพราะไม่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน นั่นเอง

           พรรคประชาธิปัตย์ อาจจะเป็นพรรคการเมืองที่เก่งและมีความสามารถมากมายหลายเรื่อง ทั้ง ด้านดีและร้าย ทั้งทางเทพและทางมาร แต่สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่มี และควรจะเริ่มต้นฝึกหัดให้มี ก็คือ มารยาททางการเมือง และ การแพ้เป็น

           เพราะ ผู้ที่แพ้ไม่เป็น จะไม่มีวันที่จะพบกับคำว่าชัยชนะ ตลอดไป

           เพราะ หลังจากแพ้เลือกตั้ง แล้ว ก็จะต้องแพ้ในการแข่งขันจัดตั้งรัฐบาล อีก

           เพราะ จะเป็นการพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แพ้อย่างที่ยังมองไม่เห็นโอกาสแห่งชัยชนะ

           เพราะ นี่คือการพ่ายแพ้ครั้งที่ 5 ติดต่อกันของพรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้ง นับแต่ ปี 2538 เป็นต้นมา

           เพราะ นี่คือพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประชาชนเสียงส่วนใหญ่ของประเทศไทย ไม่เคยให้ความไว้วางใจเป็นผู้บริหารประเทศ อย่างน้อยก็เป็นเวลายาวนานต่อเนื่องกัน 12 ปี

           เพราะ นี่คือผลของการ “แพ้ไม่เป็น” และ “ไม่ยอมแพ้” จึงทำให้ไม่เคยพบกับคำว่าชัยชนะ

           เพราะ นี่คือผลของการไม่รู้จักแพ้ ไม่รู้จักชนะ และไม่รู้จักอภัย ของพรรคการเมืองที่ชื่อว่า ประชาธิปัตย์
 
 
บันทึกการเข้า
KILLERRR
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 29-12-2007, 10:09 »

แค่เห็นหน้าไอ้มาร์ค มันทำเป็น เย้ยหยัน ทำตา ทำปาก สะแหยะ ยิ้ม เอียงคอ เบ้หน้า แล้วทุเรศอยากโดดถีบมันเข้าแสกหน้าจริงๆ มันคงคิดว่า โคตรมันแอบเขี่ยๆ ผู้มากบารมี ให้ลุ้นกันเต็มที่

เด็กเส้นโดยกำเนิด สันดานมันก็แบบนี้ ไม่ทราบว่า ตอนมันจุติในครรถ์มารดา มันจะใช้เส้นสาย เบียดแซงวิญญาน ดวงอื่นมาเกิดหรือเปล่า หวังว่าคงไม่ใช่ สุนัขนะ
บันทึกการเข้า
มะม่วงจำบ่ม
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: 29-12-2007, 10:18 »

ชะเอิงเอย แล้วใครจะทำไม ข้าจะจีบคอ ดัดจริต ดีดดิ้ง ?


บันทึกการเข้า
ผู้ใหญ่อี๊ด
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 167



« ตอบ #3 เมื่อ: 31-12-2007, 03:22 »

ผมว่ามองโลกแปลกนะที่คิดอย่างนั้น
คะแนน สส. เขต เป็นคะแนนที่สามารถซื้อหาได้
แล้วแต่ความอยากของผู้ลงสมัคร หรืออาจได้การสนับสนุนจากพรรค
แต่คะแนนสัดส่วนพรรคนี่สิ คือของจริง คนละหนึ่งเสียง
ปชป.ได้ 14,08x,xxx เสียง
พปช.ได้ 14,07x,xxx เสียง
ใครมากกว่ากัน
ใครที่ประชาชนส่วนมากกว่า ไว้วางใจ ไม่ได้ซื้อมา
ไม่น่า.....เลยนะคนตั้งกระทู้
พปช.ควรจะอายเสียมากกว่า เพราะในอดีตก็อ้างแต่คะแนนพรรคมาตลอด[size=1200pt][/size]
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-12-2007, 03:28 โดย ผู้ใหญ่อี๊ด » บันทึกการเข้า
กร
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: 31-12-2007, 09:12 »

เดี๋ยวนี้รู้จักอ้างมารยาท อ้างจริยธรรม เมื่อก่อนทักษิณซุกหุ้นบอกว่า ไม่ต้องพูดถึงมารยาทถึงจริยธรรมเพราะวัดไม่ได้   
บันทึกการเข้า
ผู้ใหญ่อี๊ด
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 167



« ตอบ #5 เมื่อ: 04-01-2008, 01:05 »

ความจริงครึ่งเดียวที่หลายๆท่านทราบแล้ว ว่าทักษิณทำอะไรแล้วหลายคนชอบ
แต่อีกครึ่งที่เหลือนี่สิ ท่านทราบหรือยังว่าทักษิณ
ไม่อยากเป็นแค่นายกรัฐมนตรีอย่างที่เราทราบ

ครึ่งนึงที่เราทราบคือเขาทุ่มเงินมากในการเป็นนายกฯ
แต่อีกครึ่งนึงที่เราไม่ยอมองคือเขาใช้เงินมากกว่าการอยากเป็นนายกฯ

ในยุคที่ชาวไทยมีผู้ปกครองสูงสุดพยามยามให้ปัญญาแกประชาชน
แต่ก็ปลายยุคนี้แหละที่ทักษิณทำตัวเป็นพระเวสสันดรจำแลง
ประชาชนผู้อยากไร้ผู้เคยชินกับการไปวัดทุกวัน
โดยเฉพาะชาวเหนือชาวอิสานก็ยังคงมีประเพณีบุญพระเวส
เห็นกัญหา ชาลี เมื่อไหร่เป็นร้องไห้น้ำตาตก ในใจมีแต่พระเวส
ทั้งที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า(อาจจะเป็นคนอื่นเขียน)
ในอดีตชาติสุดท้ายตนเป็นพระเวสสันดร ให้ทานมามากแล้ว
แต่มนุษย์ไม่สามารถหลุดพ้นจากทุกข์ได้ ชาตินี้จึงมาให้ศีล ให้การศึกษาแทน
แต่จวบจน 2551 ปีล่วง คนยังนับถือ และไว้วางใจพระเวสสันดรมากกว่าพระพุทธเจ้า

เมื่อมีคนหัวแหลมรู้ความจริงเข้า ก็เลยจำแลงแปลงกลายเป็นพระเวสสันดร
ได้คะแนนมา 19 ล้านเสียง เลยอ้างแหลกรานเลย เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมาย

นี่แหละครับอีกครึ่งนึงที่หลายท่านยังไม่รู้ หรือรู้แล้วยังอยากได้พระเวสสันดรจำแลง

ทำตัวเป็นพระเวสสันดรได้ หว่านเงินเป็นหมื่นแสนล้านได้ แล้วท่านคิดหรือยังว่าเขาจะจำแลงเป็นอะไรต่อไปอีก

เป็นนายกรัฐมนตรีประเทศไทย คนอื่นเขาใช้เงินไม่กี่บาท เป็นมาแล้วหลายคนหลายครั้ง

เป็นประธานาธิบดี อเมริกา จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย ก็ใช้เงินไม่เท่าไหร่

เป็นนายกฯญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน จีน ออสเตรเลีย เยอรมัน อังกฤษ ก็ใช้เงินไม่มากนัก

แล้วที่ใช้ไปเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน ทักษิณอยากเป็นอะไรกันแน่

นี้แหละคืออีกครึ่งหนึ่งที่เหลือ ที่ทุกคนควรรู้ไว้

ถ้ารู้ช้ากว่านี้ คุณท่านหลายๆคนอาจจะหลงหรือจำยอมทอนคืนหรือจ่ายเพิ่ม

อีก50สตางค์ที่เหลืออย่างไม่คาดฝันให้กับคนชื่อทักษิณ ก็ได้นะครับ
   
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
    กระโดดไป: