ทำไมไม่ออกมาพูดให้เร็วกว่านี้ มาพูดตอนนี้จะได้อะไร
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เอกชนไม่เชื่อมือ"สมัคร-มิ่งขวัญ" แนะดึงคนนอกร่วมทีมเศรษฐกิจhttp://news.sanook.com/politic/politic_227611.phpโดย คม ชัด ลึก วัน อังคาร ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2550 00:00 น.
เอกชนยังไม่มั่นใจมือเศรษฐกิจพลังประชาชนมอง "สมัคร-มิ่งขวัญ" ไม่มีผลงานชัดเจน แนะหาคนนอก
ที่มีฝีมือนั่งกระทรวงเศรษฐกิจสำคัญ หวั่น พปช.มุ่งแก้ ก.ม.นิรโทษกรรม 111 คน เป็นชนวนความวุ่นวาย
ชี้หาก ปชป.ได้ตั้งรัฐบาลไม่มีปัญหา เหตุมีมือเศรษฐกิจหลายคน ด้านนายแบงก์วอนสมานฉันท์
จากผลการเลือกตั้งที่ออกมาในขณะนี้มีแนวโน้มว่าพรรคพลังประชาชน(พปช.) ที่มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรค
และมีนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ จะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งในมุมมองของภาคเอกชน
ส่วนใหญ่แล้ว ทำใจให้ยอมรับได้ไม่ว่าพรรคใดจะเป็นแกนนำ แต่สิ่งที่ต้องการเห็นจากรัฐบาลชุดใหม่คือ ความสมานฉันท์ และการเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจมากกว่าการเล่นเกมทางการเมือง
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล กรรมการรองเลขาธิการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หากพรรคพลังประชาชน
เป็นรัฐบาล และนายสมัครเป็นนายกรัฐมนตรีจริง ภาคเอกชนก็ยังไม่แน่ใจว่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมา
ไม่มีประวัติการเป็นผู้บริหารด้านเศรษฐกิจที่ชัดเจน
และแม้พรรคพลังประชาชนมีนายมิ่งขวัญเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ
แต่โดดเด่นด้านการตลาด จึงไม่กล้าฟันธงสอดคล้องกับ
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่ระบุว่ายังไม่ทราบว่า
นายมิ่งขวัญมีประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจอย่างไร รู้เพียงว่าเป็นอดีตผู้บริหารของโตโยต้า และอดีตผู้อำนวยการบริษัท
อสมท ซึ่งการทำงานในระดับดังกล่าวทำได้ดี แต่หากเข้ามาบริหารงานระดับประเทศยังไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร
อาจจะเหมือนกับเมื่อครั้งที่ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังครั้งแรก ก็เกิดคำถามว่า
จะเป็นได้หรือไม่
"ขณะนี้เอกชนต้องการทราบว่าทีมเศรษฐกิจของแกนนำที่จะจัดตั้งรัฐบาลของแต่ละพรรคมีใครบ้าง
ซึ่งหากพลังประชาชน
มีเพียงนายมิ่งขวัญคนเดียวอาจไม่เพียงพอ อาจต้องดึงคนนอกมาเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องมั่นใจว่าคนนอกที่เข้ามา
บริหารเศรษฐกิจได้ดี" นายสันติ กล่าวและว่า
หากประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลคงไม่มีปัญหา เพราะมีผู้มีความรู้ด้านเศรษฐกิจ
หลายคน แต่ถ้าเป็นแกนนำในการตั้งรัฐบาลก็อาจมีปัญหาเรื่องความสามัคคีในพรรคร่วมรัฐบาล และส่งผลกระทบต่อ
ความเชื่อมั่นของนักธุรกิจ
ด้าน
นายธนิต โสรัตน์ รองเลขาธิการสายงานเศรษฐกิจสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่าเอกชนต้องทำใจ
รับสภาพกับความไร้เสถียรภาพของรัฐบาลใหม่ ที่อาจต้องมาจากการผสมของหลายพรรคการเมือง และมีเวลาบริหารประเทศ
ได้ไม่นาน อย่างมากไม่เกิน 1 ปีเท่านั้น ดังนั้น ไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลภาคเอกชนก็ยอมรับได้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เอกชนต้องการคือ
ให้รัฐบาลใหม่ตั้งทีมเศรษฐกิจ โดยการดึงบุคคลภายนอกที่มีความรู้ความสามารถ
เข้าใจปัญหาเศรษฐกิจ และเป็นที่ยอมรับของนักลงทุนทั้งในและต่างชาติเข้ามาร่วมเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจที่สำคัญๆ อาทิ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้สามารถบริหารงานและแก้ปัญหาเศรษฐกิจของ
ประเทศที่บอบช้ำมาตลอด 2 ปี โดยเร่งฟื้นฟูความเชื่อมั่นนักลงทุน และดูแลเศรษฐกิจได้ดีกว่าคนที่มาจากการเลือกตั้ง
"เชื่อว่าการที่รัฐบาลผสมจะทำให้ผู้นำรัฐบาลหรือรัฐมนตรีที่ดูแลด้านเศรษฐกิจ ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ในการประสานประโยชน์
ทางการเมืองมากกว่าที่จะมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หากปล่อยให้เป็นเช่นนั้นเศรษฐกิจประเทศจะยิ่งวิกฤติหนัก หลังจากอยู่
ในช่วงตกต่ำสุดมาแล้ว" นายธนิต กล่าว
ทั้งนี้รัฐบาลใหม่ควรจะสานนโยบายของรัฐเดิมที่เห็นว่ามีประโยชน์กับประเทศ โดยเฉพาะการกระตุ้นการลงทุน
เพื่อให้เกิดการจ้างงานและกระตุ้นการบริโภคในประเทศ ในส่วนของการลงทุนควรจะให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน
0.2-0.25% เป็น 5-6% และขอให้การดำเนินนโยบายประชานิยมที่ทุกพรรคการเมืองได้หาเสียงไว้ และต้องทำให้เร็ว
เพราะภารกิจเร่งด่วนขณะนี้คือกระตุ้นการบริโภคในประเทศ อัดฉีดเม็ดเงินลงสู่รากหญ้า เศรษฐกิจของประเทศ
จึงจะฟื้นได้เร็วขึ้น
ขณะที่
นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ให้ความเห็นว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด
คือ
พรรคพลังประชาชนไม่มีการกำหนดทิศทางการพัฒนาการเมืองไปสู่ความสมานฉันท์ ทั้งที่เรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งที่เปราะบาง
มากที่สุดในขณะนี้ และจะมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคม นอกจากนี้
การประกาศของนายสมัครที่จะเสนอแก้กฎหมาย
เพื่อให้นิรโทษกรรมแก่นักการเมือง 111 คน อาจนำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมืองได้อีกครั้ง เพราะกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยจะออกมา
ชุมนุมประท้วง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ จะทำให้ประเทศไทยได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้น
เนื่องจากทุกคนเฝ้ารอรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอย่างเป็นทางการ
ด้าน
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ในส่วนของภาคเอกชนต้องการเห็น
รัฐบาลใหม่มีนโยบายในเรื่องการสร้างความสมานฉันท์เป็นอันดับแรก ทั้งระหว่างฝ่ายค้านและรัฐบาล หรือ คมช.
และรัฐบาลเก่าซึ่งจะทำให้ภาพลักษณ์ประเทศดีขึ้น ช่วยฟื้นการลงทุนให้กลับมาได้
และยังไม่อยากเห็นการใช้นโยบาย
ประชานิยมในขณะนี้ แต่ต้องเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมา โดยเฉพาะการสนับสนุน
การลงทุนเอกชนหรือโครงการก่อสร้างระบบการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ เนื่องจากราคาน้ำมันเป็นต้นทุนที่สำคัญในขณะนี้
หากลงทุนหลายเส้นทางก็จะช่วยได้ในอนาคต
ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการนิรโทษกรรมบ้านเลขที่ 111 ก็จะทำให้ยุ่งควรหันมามองมุมเศรษฐกิจที่ประชาชนต้องการ เริ่มได้ที่ความสมานฉันท์ หันหน้ามาจับมือกันหรือมีคนกลางมาคุยเพื่อปรับ
ทัศนคติสร้างความสงบให้ประเทศ นายชาติชาย กล่าว
นายการุณ เลาหรัชตนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยพาณิชย์ลีสซิ่ง กล่าวว่า
โดยความเห็นส่วนตัวอยากได้
พรรคประชาธิปัตย์ เข้ามาบริหารประเทศสักพักหนึ่ง แต่เนื่องจากพลังประชาชนแรงมากในต่างจังหวัด ทำให้ต้องรอ
ให้พลังประชาชนจัดตั้งรัฐบาลก่อน และหากเป็นที่ยอมรับของประชาชนแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหา ส่วนในแง่ของภาคธุรกิจ
ระยะสั้นจะต้องรอให้จัดตั้งรัฐบาลก่อน ขณะที่ระยะยาวต้องดูว่า ใครจะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีในกระทรวงเศรษฐกิจที่สำคัญ
โดยเฉพาะกระทรวงการคลัง เพราะในปี 2551 จะมีปัญหาต่อเนื่องจากปีนี้โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ยังปรับสูงขึ้น ค่าใช้จ่าย
ภาคประชาชนเพิ่มขึ้น เช่น ค่าทางด่วน รวมทั้งปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่จบ
การที่พลังประชาชนได้เป็นแกนนำครั้งนี้โดยส่วนตัวหวั่นว่าจะมีการชุมนุมคัดค้านเกิดอีกครั้งหรือไม่
แต่ในแง่ผลกระทบ
ต่อการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ อาจจะทำให้ดัชนีซึมๆ เพราะจริงๆ แล้วไม่มีทีมเศรษฐกิจ หรือผู้ที่ดูแลด้านเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะคลัง อุตสาหกรรม เกษตรฯ คมนาคม พาณิชย์ ดังนั้นการมาเป็นรัฐบาลของพลังประชาชนดูแล้วค่อนข้างเหนื่อย
จำเป็นต้องเชิญคนภายนอกเข้ามาเป็นรัฐมนตรี โดยเฉพาะกระทรวงการคลังที่มีความสำคัญมากในขณะนี้ นายการุณ ระบุ
ส่วน
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า แม้รัฐบาลชุดใหม่
จะเป็นรัฐบาลผสม ก็ไม่กังวลเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะขึ้นอยู่กับความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีคนใหม่
แต่รัฐบาลใหม่ต้องดูแลภาคเศรษฐกิจ โดยเร่งกระตุ้นการลงทุนในประเทศ ทั้งภาคเอกชน และการลงทุนภาครัฐ
เนื่องจากตลอดเวลา 15 เดือนที่ผ่านมา ไม่ได้มีการลงทุนเพิ่มเติมเลย ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนก็มีความสำคัญ
เพราะจะมาช่วยชดเชยการส่งออกที่คาดว่าปี 2551 จะขยายตัวลดลง
ทั้งนี้สิ่งสำคัญคือนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดใหม่ต้องกล้าตัดสินใจเร่งเดินหน้าโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่
และการลงทุนในโครงการอุตสาหกรรมปิโตรเคมี 11 โครงการ หากนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลใหม่กล้าตัดสินใจ
เศรษฐกิจไทยในปี 2551 ก็มีโอกาสเติบโตใกล้เคียงกับปีนี้ที่ร้อยละ 4.5-5
นอกจากนี้รัฐบาลจะต้องดูแลราคาพืชผลทางการเกษตร อย่าให้ราคาสินค้าเกษตรตก เพราะภาคการเกษตร
มีความสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจเช่นเดียวกับภาคการส่งออกและการลงทุน ซึ่งทั้งหมดเป็นการบ้าน
ที่รัฐบาลชุดใหม่จะต้องพิสูจน์ว่าจะขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจในอนาคตอย่างไร