วันเสาร์ ที่ 22 ธันวาคม 2550
จะวุ่นวายหรือคืนสู่ความสงบ...อยู่ที่ เจ้านายใหญ่ คนเดียว
Posted by
เทพชัย , ผู้อ่าน : 602 , 11:28:11 น.
วันอาทิตย์นี้แล้วละครับที่เราจะรู้ว่าประเทศไทยจะเดินไปทางไหน แต่คงมีคนสงสัยว่าอะไรที่ทำให้คนไม่น้อยเชื่อว่า แทนที่จะปูทางให้ประเทศไทยกลับไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยและความสมานฉันท์อีกครั้ง
การเลือกตั้งตรั้งนี้จะเปิดฉากความวุ่นวายและการเผชิญหน้าทางการเมืองรอบใหม่
คำตอบหาได้ไม่ยาก เพราะมีคนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเลือกที่จะทำให้บ้านเมืองปั่นป่วนต่อไปอีก
หรือจะหาทางทำให้เกิดความสงบสุขทางการเมือง
พูดง่ายๆ และตรงๆ ก็คือ คนๆ นี้มีทางเลือกระหว่างการไขว่คว้าหาอำนาจอีกรอบหรือการช่วยทำให้บ้านเมืองรอดพ้นจากภาวะวิกฤติ
ที่ต้องเขียนถึงเรื่องสภาพการเมืองไทยหลังการเลือกตั้งบ่อยครั้งก็เพราะดูๆ ไปแล้วไม่มีอะไรที่ให้ความมั่นใจว่ามันจะดีขึ้นหรืออย่างน้อยก็เป็นการเปิดช่องให้บ้านเมืองมีโอกาสได้หายใจเพื่อหาทางกลับไปสู่ความสมานฉันท์อีกครั้ง
อย่างที่รู้กันนะครับ คนแค่เพียงคนเดียวเท่านั้นที่กำลังมีอิทธิพลกำหนดทางเดินให้ประเทศไทยในยามนี้ และ
ดูจากคำพูดคำจาและพฤติกรรมของคนที่อ้างว่าได้ล้างมือจากการเมืองและไม่มีความทะเยอทะยานเหลืออีกแล้ว มันก็ไม่ต้องตีความอะไรมากมายนักว่า กำลังเลือกทางเดินไหนให้กับบ้านเมือง
เพราะถ้าคำพูดที่ว่า ผมพอแล้ว หรือ ผมไม่ต้องการกลับไปมีอำนาจทางการเมืองอีก มีความหมายจริงๆ ไม่ใช่เป็นแค่การพูดส่งเดช การเลือกตั้งก็คงจะไม่เกิดขึ้นท่ามกลางเมฆหมอกแห่งความไม่แน่นอนและความวิตกกังวล
ในทางตรงข้ามสัญญาณที่ส่งผ่านบรรดา นอมินี และความเคลื่อนไหวจากลอนดอนสู่ฮ่องกง มันสวนทางกับคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ในยามตกยากอย่างสิ้นเชิง
ทุกวันนี้มีแต่ความฮึกเหิมและความหยิ่งผะยอง เพราะความมั่นใจว่าพรรคการเมืองนอมินีที่อุตส่าห์ตั้งขึ้นมาผ่านเครื่องรีโมทกำลังก้าวไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง
ไม่มีใครว่าอะไรถ้าชาวบ้านจะแห่กันเทคะแนนให้กับพรรคการเมือง นอมินี เพราะยังรักและหลงไหลในนโยบายประชานิยมของรัฐบาลชุดที่แล้ว หรือเพราะไม่มีโอกาสได้เข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ชี้ให้เห็นถึงความเลวร้ายของนักการเมืองที่ปกครองประเทศแบบผูกขาดและกอบโดยผลประโยชน์ให้กับตัวเองและครอบครัว
แต่จะต้องไม่ทึกทักว่านั่นคือคะแนนที่จะเอามาฟอกตัวคนบางคนที่เป็นต้นเหตุของวิกฤติการเมืองที่บ้านเมืองต้องเผชิญมาถึงสองปีเต็มๆ
เพราะถ้าคิดอย่างนั้น รับรองได้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเผชิญหน้าทางการเมืองรอบใหม่อย่างแน่นอน
ความจริงการฟอกตัวอดีตผู้นำที่ถูกตั้งข้อหาโกงบ้านโกงเมือง หรือการหาทางให้บรรดาสมาชิก บ้านเลขที่ 111 กลับเข้าสู่เวทีการเมืองได้อีก ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรจนถึงต้องเป็นวาระที่ใช้ในการหาเสียง
จะทำหรือไม่ทำก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้ชาวบ้านมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือเลวลงแม้แต่น้อย
บ้านเมืองมีกระบวนการยุติธรรมที่จะตัดสินความผิดถูก และบรรดานักการเมือง นอมินี ทั้งหลายควรจะเลิกพูดให้ชาวบ้านเข้าใจว่าคะแนนที่ได้จากการเลือกตั้งเป็นคะแนนที่จะช่วยล้างมลทินให้กับ เจ้านายใหญ่ และเหล่าอดีตผู้บริหารของพรรคไทยรักไทย
เพราะนั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศของการเผชิญหน้า
ไม่ต้องถามอีกแล้วครับว่าทำไมเลือกตั้งแล้วบ้านเองยังจะวุ่นวายต่อไปอีก
เพราะคำตอบชัดเจนอยู่แล้วว่า เป็นเพราะคนเพียงแค่คนเดียวที่ไม่รู้จักคำว
อ่านความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
โมบาย วันที่ : 22/12/2007 เวลา : 20.35 น.
ความสงบมาแน่ถ้า คุณทักษิณ ชินวัตร ได้กำอำนาจผ่านคนที่ไว้ใจได้มากที่สุดคือสารพัดหมอเพื่อให้มั่นใจว่ากลับมาจะสามารถผ่านคดีความต่างๆได้ง่ายขึ้นถึงแม้"ศาล"จะเป็นอิสระแต่ถ้าอำนาจรัฐฯอยู่ในมืออะไรๆก็เบาแรงลงมาก
หากเป็นอย่างอื่น คุณทักษิณ ก็จะดำเนินชีวิตเหมือน"กำนันเป๊าะ"คือหนีคุกหัวซุกหัวซุนจนกว่าคดีความจะหมออายุ กลัวอะไรมีตังค์เสียอย่างจะฟันแหม่มก๊าบขนาดไหนก็ไม่เห็นยุ่งยาก 5 5 5
--------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 7
ผู้ไม่ประสงค์จะออกนามและเงิน วันที่ : 22/12/2007 เวลา : 19.21 น.
http://www.oknation.net/blog/whitaker ที่จริงตอนแรกๆก็ทำงานดี และพูดจาใช้ได้
แต่พอรอบสอง ได้สส.ถึง373เสียง เลยเหิมเกริม เริ่มจากความพยายามเปลี่ยนผู้ว่าฯสตง. บวกกับกินหนัก และไม่ยอมถอย อ้างความชอบธรรม เลยป็นเรื่อง...
คราวนี้ถอยไม่ได้ เพราะถูกอายัดทรัพย์ไว้เยอะ เลยใช้นอมินีเพื่อหาทางกลับมา แต่ไม่ยอมเลิก"คิดบัญชี"แน่ๆ
เฮ้อ พังเพราะความสำเร็จ ลากเอาประเทศไปด้วย...
--------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 6
อารยา วันที่ : 22/12/2007 เวลา : 17.13 น.
http://www.oknation.net/blog/arya-tirawej หายนะของบ้านเมืองเริ่มจากผู้นำยอมให้อำนาจแฝงทำผิดกฏหมาย ท้าทายกติกา จนวันหนึ่งก็สามารถทำลาย พลังประชาชน ปราการสุดท้ายของความเป็นชาติได้
เมื่อทุกพรรคมีนโยบายกระเดียดไปในทำนองหาเสียงเข้าพรรคเป็นพื้นเช่นนี้ ก็คงต้องมาดูข้อแตกต่าง เพื่อจะช่วยตัดสินใจว่าจะเลือกพรรคใด
1. ระยะเวลา คงต้องดูกันยาวๆ ไม่ใช่แค่พรรคที่เพิ่งตั้งมา 5 ปี10 ปี อาจต้องถึงครึ่งศตวรรษที่มี ส.ส.อยู่ในสภาสม่ำเสมอ เข้าใจทั้งในหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
และได้ร่วมใช้อำนาจรัฐในฐานะเป็นฝ่ายบริหารด้วย
2. ที่มีประสบการณ์ทั้งความสำเร็จและล้มเหลว หรือผ่านร้อนผ่านหนาวในฐานะเป็นฝ่ายบริหารมาแล้ว ยาวนานพอที่จะพูดได้ว่าเป็น "สถาบันการเมือง" แปลว่าขาดพรรคนั้นแล้ว บ้านเมืองจะประสบปัญหาด้านความมั่นคง กล่าวในทางกลับกันคือ พูดไม่ได้ว่าพรรคการเมืองนั้นเป็นพรรค "เฉพาะกิจ" ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อแสวงหาประโยชน์ให้กับใคร หรือกลุ่มบุคคลใด
3. เป็นพรรคการเมืองที่มี อุดมการณ์ ไม่ใช่เพียงมี คำขวัญ มาพูดกันให้ไพเราะหู อาทิ คิดใหม่ทำใหม่ เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส สี่ปีซ่อม สี่ปีสร้าง อีกหกปีจะไม่มีคนจนในเมืองไทย ฯลฯ
อุดมการณ์ ที่ว่านี้หมายถึงความมุ่งมั่นบนหลักการที่เชื่อมโยงกับระบอบการปกครอง
เช่น ต่อต้านเผด็จการ และต้องเข้าใจถ่องแท้เผด็จการมีรูปแบบอะไรบ้างเพื่อจะต้องรับมือแทนประชาชน
หรือเมื่อมีสถานการณ์บังคับให้ต้องพบกับทั้งเผด็จการทหาร กับ เผด็จการรัฐสภาพร้อมกัน
ต้องแน่ใจว่าภาระกิจอันดับแรกคือต้องกำจัดเผด็จการรัฐสภา
ในขณะเดียวกันกับต้องมียุทธศาสตร์ในการทำให้ปลอดอำนาจเผด็จการทหารด้วย
แม้การไม่มีทางเลือกดังกล่าวจะเสี่ยงต่อการพ่ายแพ้ก็ตาม
http://www.oknation.net/blog/yong/2007/12/22/entry-1 จะวุ่นวายหรือคืนสู่ความสงบ...อยู่ที่ เจ้านายใหญ่ คนเดียว จะวุ่นวายหรือคืนสู่ความสงบ...อยู่ที่ เจ้านายใหญ่ คนเดียว จะวุ่นวายหรือคืนสู่ความสงบ...อยู่ที่ เจ้านายใหญ่ คนเดียว จะวุ่นวายหรือคืนสู่ความสงบ...อยู่ที่ เจ้านายใหญ่ คนเดียว ถ้าเลือกพรรคประชาธิปัตย์เป็นเสียงข้างมาก จะวุ่นวายหรือคืนสู่ความสงบ.........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า