==ทวงคืนสมบัติชาติจากระบอบทักษิณ จาก ปตท. สู่ อสมท==

ทวงคืนสมบัติชาติจากระบอบทักษิณ จาก ปตท. สู่ อสมท
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง : เจิมศักดิ์ขอคิดด้วยฅน

คำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ในคดีที่ ปตท. แปรรูปไปเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ได้ชี้ชัดในประเด็นสำคัญอย่างยิ่งยวด เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ถูกต้อง และเหมาะสมอย่างที่สุด

เนื่องจาก จะต้องดำเนินการแยกกรรมสิทธิ์ที่ดิน และระบบท่อส่งก๊าซ ออกมาเป็นของรัฐ เป็นสาธารณสมบัติ
ของแผ่นดินอย่างเด็ดขาด เพราะทรัพย์สินที่ได้มาจากการใช้อำนาจรัฐในขณะที่ ปตท. ยังเป็นองค์การของรัฐอยู่
โดยที่ บมจ.ปตท. ไม่ต้องออกจากตลาดหลักทรัพย์

สมควรที่รัฐบาล จะต้องนำคำพิพากษาดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ เพื่อแก้ไขสิ่งผิดให้ถูกต้อง
และปรับปรุงการบริหารราชการแผ่นดินให้ถูกต้องตามกฎหมายและแนวทางในคำชี้ขาดของศาล

ไม่ใช่จำเพาะกรณีของ ปตท. เท่านั้น แต่จะต้องดำเนินการกับกรณีอื่นๆ ที่มีลักษณะเดียวกันด้วย

1. ศาลปกครองสูงสุด พิพากษาชี้ชัดว่า ในขณะที่ ปตท. มีสถานะเป็นองค์การของรัฐนั้น ปตท.ได้ใช้เงินทุนจากรัฐ
และใช้อำนาจมหาชนของรัฐเวนคืนที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการของรัฐ ที่ดินที่เวนคืนจึงเป็นทรัพย์สินของรัฐหรือ
ของแผ่นดินที่ใช้เพื่อกิจการของรัฐ และเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ดังกรณีที่ดินตามแนวท่อก๊าซธรรมชาติจาก
จังหวัดระยองมายังจังหวัดสมุทรปราการ โดยมี ปตท. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนรัฐและเป็นผู้ใช้ประโยชน์โดย
ไม่เสียค่าตอบแทนให้รัฐ ส่วนการที่ ปตท. ใช้อำนาจรัฐเหนือที่ดินของเอกชนเพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ
ซึ่งเป็นระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาตินั้น ปตท.กระทำการในฐานะที่เป็นองค์การของรัฐ บังคับแก่อสังหาริมทรัพย์ของเอกชน
และจ่ายเงินค่าทดแทนโดยอาศัยทรัพย์สินของรัฐ ดังนั้น สิทธิเหนือทรัพย์สินของเอกชนที่เกิดจากการใช้อำนาจของ
ปตท. จึงเป็นทรัพยสิทธิของรัฐและเป็นอสังหาริมทรัพย์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินเพื่อใช้ประโยชน์ของแผ่นดิน
โดยเฉพาะ ตามมาตรา 1304(3) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และจัดเป็นที่ราชพัสดุ

แนวทางที่สำคัญอย่างที่สุดอันต้องกระทำ ที่ศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษาไว้ คือ

"เมื่อ ปตท. เปลี่ยนสภาพไปเป็นบริษัทมหาชนจำกัด คือ บมจ. ปตท. ซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคลเอกชนแล้ว บมจ.ปตท.
จึงไม่อาจมีอำนาจมหาชนของรัฐ รวมทั้งไม่อาจถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของ ปตท. ที่ได้มาจากการใช้อำนาจมหาชน
ของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแทนรัฐได้ จึงต้องโอนสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าวกลับไปเป็นของรัฐ
ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงมีหน้าที่แยกสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าวออก และโอนให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือ
กรรมสิทธิ์แทนรัฐให้เสร็จสิ้นก่อนจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ตามบทบัญญัติในมาตรา 24 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ
ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542"

ในที่สุด ศาลปกครองสูงสุด จึงพิพากษาให้ "แบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้ที่ดิน
เพื่อวางระบบการขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ รวมทั้งแยกอำนาจและสิทธิ ในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจาก
อำนาจและสิทธิของ บมจ.ปตท"

พูดให้เข้าใจง่ายๆ ว่า อะไรที่เป็นสมบัติแผ่นดิน อันได้มาจากการใช้อำนาจรัฐหรืออำนาจมหาชน ก็จะต้องตกเป็น
สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จะปล่อยให้ตกไปเป็นสมบัติของเอกชนไม่ได้เป็นอันขาด

แนวทางนี้ สำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะขณะนี้ ปรากฏว่า ไม่ใช่มีแต่กรณี ปตท.เท่านั้น ที่มีการฮุบสมบัติแผ่นดิน
หรือนำสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปขายทอดตลาดจนตกเป็นผลประโยชน์ของเอกชน แต่ได้มีกรณีอื่นๆ
ที่กระทำการในลักษณะเดียวกัน

2. จะต้องมีผู้รับผิดในกรณี ปตท. ที่ได้กระทำการดังกล่าวโดยผิดกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐอย่างร้ายแรง
เพราะได้ยักย้ายถ่ายเทสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์แก่เอกชนโดยมิชอบ การกระทำ
ดังกล่าวเกิดขึ้นปลายปี 2544

ขณะนั้น นายวิเศษ จูภิบาล เป็นผู้บริหาร ปตท. นายมนู เลียวไพโรจน์ เป็นปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (ขณะนั้น ปตท. ขึ้นกับกระทรวงอุตสาหกรรมฯ)
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ฯลฯ

เรื่องนี้ ต้องมีการสะสาง นำตัวผู้กระทำผิดมารับผิดตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป

3. รัฐบาล พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ จะประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารนี้ เพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษา
ควรจะต้องพิจารณาเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

(1) ดำเนินการแยกท่อก๊าซและที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน รับโอนคืนมาจาก ปตท. ซึ่งไม่ควรจะดำเนินการ
เฉพาะท่อก๊าซและที่ดินตามที่อยู่ในคำพิพากษาเท่านั้น เพราะท่อก๊าซและที่ดินอีกหลายแห่งที่เป็นสาธารณสมบัติ
ของแผ่นดิน หรือเป็นทรัพยสิทธิของรัฐ จึงสมควรต้องดำเนินการทั้งหมด ไม่ใช่ทำแต่เรื่องที่ปรากฏถ้อยคำใน
คำพิพากษาเท่านั้น

อย่าลืมว่า หน้าที่ของรัฐบาล คือ บริหารราชการแผ่นดินทั้งหมด มิใช่ทำตามเฉพาะถ้อยคำในคำพิพากษา
พราะฉะนั้น เมื่อปรากฏว่า มีส่วนอื่นๆ ที่ไม่ถูกต้องอยู่อีก ก็จะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน

(2) ควรมีหน่วยงานของรัฐ (เช่น รัฐวิสาหกิจ องค์การอิสระ) ดูแลที่ดินและท่อก๊าซที่เป็นโครงข่ายสำคัญของพลังงาน
ไม่ใช่ให้เป็นของกรมธนารักษ์ แล้วยกให้ ปตท.เช่าสิทธิทั้งหมด เพราะรัฐจะได้เพียงค่าเช่า (ไม่ต่างจากสถานะก่อน
ศาลพิพากษา) แต่จะต้องมีหน่วยงานใหม่ เป็นเจ้าของบริหารจัดการ เพื่อให้ใครก็ได้ที่ต้องส่งก๊าซ สามารถเข้ามาใช้
เพื่อให้เกิดการแข่งขันกันในระบบ (ไม่ควรให้หน่วยงานเดียวผูกขาด-รัฐได้แต่เงิน)

(3) คณะรัฐมนตรี ควรพิจารณาดำเนินการกับ อสมท. ไปเสียทีเดียว เพราะมีปัญหาไม่ต่างจาก ปตท.
ดังปรากฏว่า องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย( อสมท.) ในขณะที่มีสถานะเป็นองค์การของรัฐนั้น
ได้ใช้เงินทุนจากรัฐและใช้อำนาจมหาชนของรัฐในการเข้าบริหารจัดการคลื่นความถี่โทรทัศน์และวิทยุอันเป็น
สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็น คลื่นวิทยุ กว่า 60 คลื่น คลื่นโทรทัศน์ช่อง 9 ช่อง 3 และยูบีซี
รวมมากกว่า 10 สถานี รวมทั้งที่ดิน โครงข่ายสัญญาณ เสาส่ง ฯลฯ ล้วนแต่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
หรือทรัพยสิทธิของรัฐ

สาธารณสมบัติของแผ่นดินเหล่านี้ มีมูลค่ามหาศาล ซึ่งเมื่อองค์การของรัฐ คือ อสมท. (ในขณะนั้น)
เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน หรือเป็นผู้ดูแลจัดการใช้ประโยชน์ ก็เป็นผลให้รัฐสูญเสียโอกาสที่จะนำไปใช้
ในกิจการอื่นๆ เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน

เมื่อ อสมท. ดำเนินการขายหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ เปลี่ยนสภาพไปเป็นบริษัทมหาชนจำกัด คือ บมจ. อสมท.
ซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคลเอกชนแล้ว บมจ.อสมท. จึงไม่อาจมีอำนาจมหาชนของรัฐ รวมทั้งไม่อาจถือกรรมสิทธิ์
ในทรัพย์สินของ อสมท. ที่ได้มาจากการใช้อำนาจมหาชนของรัฐอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแทนรัฐได้ จึงต้องโอนสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าวกลับไปเป็นของรัฐ ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงมีหน้าที่แยกสาธารณสมบัติ
ของแผ่นดินดังกล่าวออก และโอนให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนรัฐให้เสร็จสิ้นก่อนจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท

ปรากฏว่า จนถึงปัจจุบัน รัฐบาลยังคงปล่อยปละละเลย กระทั่ง บมจ. อสมท. (โมเดิร์นไนท์) ยังคงถือครองและ
ใช้สาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าว เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ทางธุรกิจแก่เอกชนผู้ถือหุ้นของตนเองอย่างโจ่งแจ้ง
โดยไม่มีการแบ่งแยกทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน สิทธิการใช้คลื่นความถี่โทรทัศน์และวิทยุ
สิทธิในการใช้ที่ดิน เสาส่งสัญญาณ ฯลฯ รวมทั้งแยกอำนาจและสิทธิ ในส่วนที่เป็นอำนาจมหาชนของรัฐออกจาก
อำนาจและสิทธิของ บมจ.อสมท.

รัฐบาลชุดปัจจุบัน ไม่ควรรอให้ประชาชนไปฟ้องร้องทีละเรื่อง รอให้ศาลพิพากษาทีละกรณี แล้วค่อยบริหารราชการ
แผ่นดินทีละอย่างตามคำพากษาทีละคดี แต่เมื่อมีแนวทางปรากฏชัด มีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายประจักษ์แจ้ง
เมื่อมีเหตุอันควรรู้ก็จะต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ถูกต้อง ไม่ใช่ละเว้น ปล่อยปละละเลย หรือจงใจที่จะไม่ดำเนินการ
ตามกฎหมาย

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ในขณะนั้น) จะต้องรับผิดชอบด้วย
และนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ผู้บริหาร อสมท. ในขณะนั้น ก็ควรจะต้องมีความละอายในกมลสำนึก เกิดความรู้สึก
ผิดชอบชั่วดี ควรออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อสาธารณชน ไม่ใช่ยังเสนอตัวเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของ
พรรคพลังประชาชนเยี่ยงนี้ต่อไป

(4) คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน ควรจะต้องตรวจสอบรัฐวิสาหกิจที่ถูกนำไปแปรรูปทั้งหมด ในลักษณะที่เป็น บมจ. ทั้งหลาย
เช่น การบินไทย การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ว่าได้เอาสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่เคยได้มาจากการเวนคืน
หรือเป็นทรัพย์สินที่ไม่ควรให้เอกชนเป็นเจ้าของ นำไปขายหาผลประโยชน์ในตลาดหลักทรัพย์ เฉกเช่น ปตท. หรือไม่ ?

อาทิ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย มีสนามบิน 6 แห่ง ดอนเมือง สุวรรณภูมิ ภูเก็ต เชียงใหม่ เชียงราย และหาดใหญ่
ก็ควรจะต้องตรวจสอบว่า ที่ดิน โครงข่ายของการบินทั้งหลายที่ผูกขาดเพื่อประโยชน์สาธารณะ ได้ถูกขายให้เอกชน
ในลักษณะ บมจ.นั้น ถูกต้องหรือไม่ ? เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ คือ สิ่งที่คณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ควรจะดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อชำระ
สะสางความไม่ถูกต้อง และการขายสมบัติชาติ สาธารณสมบัติของแผ่นดินโดยมิชอบในระบอบทักษิณ

หากทำได้จริง ประชาชนชาวไทยจะได้เห็นธาตุแท้ของนักการเมืองที่แสวงหาอำนาจรัฐ ผ่านการเลือกตั้ง เพื่อเข้ามา
หาผลประโยชน์ ขายสมบัติชาติ หากินกับสาธารณสมบัติของแผ่นดิน อันจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของบ้านเมือง จะเกิด
เป็นพลังร่วมกันของคนทั้งชาติ เพื่อที่จะต่อต้านคนขายชาติ ขับไล่พวกคนพาลสันดานเหลี่ยม และร่วมกันปฏิเสธเครือข่าย
พรรคพวกของคนพวกนี้ มิให้กลับมาสู่อำนาจรัฐผ่านการเลือกตั้ง เพื่อปกปิดการกระทำผิดของตนเอง และกอบโกยสมบัติ
ของชาติซ้ำแล้วซ้ำอีก

ถ้าท่านเอาจริง เชื่อว่า ประชาชนทั้งประเทศ ก็พร้อมจะยืนหยัดเคียงข้างความถูกต้อง

ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง