ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
28-03-2024, 23:46
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สโมสรริมน้ำ  |  ชิวหาพาเพลิน 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ชิวหาพาเพลิน  (อ่าน 3012 ครั้ง)
นายชด(หนุ่ม)
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 88



« เมื่อ: 15-05-2006, 09:35 »

ชิวหา คือ ลิ้น  คนเราจะพูดก็ใช้ลิ้น  กินอาหารรับรสชาติต่างๆก็ใช้ลิ้น  ทำอไรส่วนตั๊ว ส่วนตัวก็ใช้ลิ้นอีกนั่นแหละ

สรุป ลิ้นคนเราก็ให้ความสุข ทำให้เราบันเทิงได้ เพลิดเพลินได้

บางคนเกิดอาการเซ็ง กกต. ก็นั่งเฉยๆ  ไม่รู้จะทำอะไรก็กระเดาะลิ้นเล่นเป็นเสียงดังกอกๆ แกกๆ

บางคนก็นั่งห่อลิ้นเล่น บางคนเก่งมากๆ  ห่อเป็นรูปขนมไทย ทองหยิบก็เห็นมีทำกันได้

หนักข้อไปกว่านั้น บางคนเอาน้ำลายวางบนลิ้น ทำเป็น  bubble เล่นก็มี

แต่ที่คนกล่าวถึงลิ้นนั้น จะมีนัย อยู่สองอย่างคือ  การพูด  และ การลิ้มรส

โบราณว่า ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วดีเป็นจัตวา

นั่นหมายนัยว่า ให้ความสำคัญแก่การพูดเป็นอันดับแรก เหนือกว่า ความเป็นคนดี หรือ ไม่ดี  โดยมีความรู้ทางการคิดคำนวณเป็นรอง และความรู้จากศาสตร์ต่างๆเป็นอันดับถัดมา  ท้ายสุด จึ่งแบ่งแยกว่าเป็นคนดีหรือไม่ดี

คนบางคนเราไม่มีทางทราบว่าเขาดี หรือไม่ดี  แต่ จะทราบได้ว่า เขาพูดดี หรือไม่ดี เป็นอันดับแรกจากที่เราได้ยิน
ทั้งที่ความจริง ไม่มีใครทราบว่าเขาจะดีจริงหรือไม่ดี  แต่หากคำพูดดีๆออกมาจากปาก  แต่หาก ความเป็นเลิศทางการคิดคำนวณถูกกำหนด  แต่หากสาระและความรู้ต่างๆที่พรั่งพรูออกมาจากผู้นั้น ก็สามารถทำให้เขาเป็นคนที่มี"ภาพที่ดี" ได้ 
   

สังคม คนในสังคม ไม่มีใครจะรู้รายละเอียดที่แน่ชัดว่าใครกันดีหรือไม่ดี  แต่ สังคมจับภาพสิ่งเหล่านี้ได้จาก คำพูดและสิ่งที่พูดนั่นแหละที่เป็นภาพเบื้องต้นของคนนั้นๆ

นั่นคือ เรื่อง ชิวหา ที่มีนัย ไปหาเรื่องคำพูด

นัยอีกประการคือ การลิ้มรส

ในลิ้นคนเรามีตุ่มรับรส สัมผัส ทั้งเปรี้ยว หวาน ขม เค็ม ครบถ้วน  ดังนั้นเมื่อเราลิ้มรสอะไรเข้าไปจึงรับรู้ได้ว่รสชาติมันเป็นอย่างไร  คนที่กินอะไรแล้วไม่รับรู้รสชาติ บางคนเขาก็เรียกคน ลิ้นจระเข้  อาจเป็นเพราะ จรเข้คงไม่มีตุ่มรับรสเหมือนคนเรากระมัง

ความชมชอบรสชาติในการรับประทานอาหารต่างๆของคนเรา นั้นต่างกัน แม้แต่ละคนจะมีตุ่มรับรสชาติเหมือนกัน แต่ขีดขั้นของความชอบในแต่ละรสชาติได้ได้ลิ้มลองนั้น ต่างกันเป็นปัจเจกของแต่ละบุคคล

แต่โดยส่วนรวมแล้ว อาหารที่มีรสเลิศ เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไปที่ไปรับประทานนั้น คงเป็นเพราะ รสชาติของอาหารนั้น กลมกล่อมและเป็นคุณลักษณะที่ต้องกับผู้คนโดยรวมในการรับรู้รสชาติและชื่นชมในรสชาตินั้น

การจะทำให้อาหารถูกปาก ถูกลิ้นของคนโดยรวมนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  หลายท่าน บอกว่า ไม่มีอาหารอะไรจะอร่อยเท่าฝีมือของแม่  อาจเป็นเพราะท่านคุ้นในรสชาติที่ได้กินมาแต่เล็กๆ มากกว่า  และนั่นเป็นสาเหตุใหญ่เลยในการที่คนเราจะบอกว่า เขาชอบรสชาติไหน?

สมัยโบราณ หญิงสาวที่จะเป็นสะใภ้ของบางบ้าน ก่อนการแต่งงานออกเรือนไป  บางบ้านนิยมให้ไปฝึกการทำอาหารกับ ว่าที่แม่สามี  ที่เป็นเช่นนั้นเพราะจได้จับทางรสชาติของอาหารที่สามีคนเองชื่นชอบได้ชัดเจนขึ้น อันเป็นเสน่ห์ปลายจวัก ที่มัดใจสามีของ การครองเรือนที่ดี

หลายบ้านนิยมให้ลูกสาวไปเรียนทางด้านกับข้าว กับปลา เพื่อจะได้ทำอาหารเก่ง เป็นแม่ศรีเรือน เพราะถือว่าคนเราต้องกิน  และหากได้กินอาหารที่อร่อย ถูกปาก  มีหรือจะหนีไปไหน ก็ต้องกลับมากินที่บ้านนั่นเอง 

ผมมองว่านี่เป็นกุศโลบายในการมัดใจสามีที่ดีมากๆเลยทีเดียว
ยิ่งหากเรื่องการบ้านการเรือนเก่งด้วยแล้ว  สามีคงไม่มีทางหนีไปไหนแน่นอน

คำว่าการบ้าน การเรือน บางคนอาจเข้าใจในวงแคบๆว่า ก็คงหนีไม่พ้นงานทำความสะอาดบ้านเรือน หรือเย็บปักถักร้อย    ความจริงแล้วมันมีมากกว่านั้น ไม่จำเพาะงานที่มองสองสามอย่างนั้น

งานประเภทหัตถกรรม เกือยทุกประเภท ก็อยู่ในส่วนของงานบ้านการเรือน
งานปรเภทการดูแลเศรษฐกิจและจัดทำระบบการรับ จ่าย ก็ถือว่า งานบ้านการเรือนเช่นกัน

งานติดต่อ การเป็นแม่งานจัดงาน การต้อนนรับแขกเหรื่อของสามีและครอบครัว ก็เป็นงานบ้านการเรือน

หากเรามองแบบสมัยใหม่ 

             การที่ภรรยา ต้องทราบงานบ้านการเรือนนั้น เปรียบเสมือน เธอต้องรู้งานทางด้าน ทรัพยากรมนุษย์  งานฝ่ายบุคคล  งานประชาสัมพันธ์  งานการตลาด งานแปลเอกสาร งานของ อินทริพริเตอร์ งานของเลขานุการิณี  งานทำอาหาร  งานคหกรรมต่างๆ  งานด้านสุขศึกษา  งานบัญชี  งานเศรษฐศาสตร์จุลภาค  งานด้านการสื่อสาร ฯลฯ...............
......................................มันไม่ใช่งานน้อยๆเลยสักนิด ครับ สำคัญเอาการเลยล่ะ!!


ปัจจุบัน สภาพของสังคมและความเป็นอยู่เปลี่ยนไปมาก  ชายและหญิง เริ่มเปลี่ยนไปจากค่านิยมและวัฒนธรรมเดิมๆ  แต่ก็มีไม่น้อยที่ฝ่ายชายยัง "ตั้งความหวังให้ ภรรยาเป็นแม่ศรีเรือนเช่นในอดีต" 

ทั้งที่ เธอเองนั้นก็ต้องออกนอกบ้านทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวไม่ต่างไปจากฝ่ายชายสักน้อย  แถมบางท่านอาจทำรายได้ได้สูงกว่า มีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตกว่า 

แต่ก็ได้รับความมุ่งหวังจากฝ่ายชายว่า เธอน่าจะต้องเป็นแม่ศรีเรือน................เหนื่อยไหมล่ะครับ  คุณสุภาพสตรี


บางครอบครัว ทั้งสามีภรรยา ต่างก็ทำงานหาเงิน เรียกได้ว่า ช่วยกันสร้างครอบครัว นั่นแหละครับ

แต่ท่านชายบางท่าน ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยจะเข้าใจ ภรรยาสักเท่าไร  ยังมุ่งหวังว่า เมื่อตนเองกลับมาบ้านแล้ว จะต้องมีคนคอยเอาน้ำเย็นๆให้ดื่ม  ต้องมีหวานใจมายิ้มต้อนรับ  ต้องมีคนมาคอยเอาใจ เพราะเหนื่อยมาทั้งวัน

โดยลืมไปสนิทว่า  ภรรยาตนเองก็เหนื่อยเหมือนกัน(นี่หว่า)  แถมยังต้องการเช่นเดียวกับคุณนั่นแหละ (จะรู้ไม๊ว่าเธอก็ต้องการเหมือนกันน่ะ)


ครับ สังคมเปลี่ยนไป วัฒนธรรมบางอย่างคงต้องปรับเปลี่ยนไปเพื่อให้เกิดดุลย์และความเหมาะสมครับ

จากที่บางท่าน เคยตั้งความหวังไว้ในบางเรื่องกับภรรยาท่านในเรื่องแม่ศรีเรือน  ก็คงต้องจำกัดความกันใหม่แล้วว่า ควรเป็นอย่างไร  และทำอย่างไร?กัน

ผมว่า ทำแบบเดิมก็ได้ครับ ไม่แปลก  แต่คราวนี้ ท่านชายเองก็ควรต้องทำตัวเป็น "พ่อศรีเรือน" ด้วย

กล่าวง่ายๆก็คือ คุณอยากได้อะไร อยากให้ภรรยาคุณทำอะไรให้  คุณก็ทำในสิ่งนั้นให้เธอซะ..
มันเป็นวิธีการที่ดีมากๆ  ที่จะบอกให้อีกฝ่ายรู้  มันเป็นวิธีการที่จะถักทอสายใยแห่งรักในระหว่างคุณและเธอให้มันเหนียวแน่นขึ้น

มันจะสร้างความอบอุ่นแก่ครอบครัวของคุณได้มากๆทีเดียว  หากเป็นเช่นนั้น

ไม่ต้องมาจำกัดกันอีกต่อไปแล้วว่า ใครจะต้องทำอะไรให้ใคร
แต่มากำหนดเลยทีเดียวว่า คุณสองคนคือ คนอสงคนที่มีชีวิตผูกพันร่วมกัน  ดังนั้น ทุกๆอย่างที่คุณอยากได้ ก็คือ ทุกอย่างที่เธออยากได้

ทุกอย่างที่คุณทำให้เธอ มันก็คือ ทุกอย่างเช่นกันที่เธอก็จะทำให้คุณ   แต่อย่าไปคาดหวังเชียวนะครับว่า ฉันทำแบบนี้แล้ว เธอต้องทำแบบนี้  แบบนั้น ไม่ใช่วิธีการและวิธีคิดที่ถูกเลย

การทำอะไรก็ตามที่ เราทำให้แก่คนที่รัก  ไม่จำต้องมองว่า สิ่งนั้นจะได้ตอบมาในลักษณะเดียวกัน หรือลักษณะใด  แต่ให้ถือว่า นั่นคือการแสดงออกของความรักที่คุณ ต้องการให้เธอหรือเขาต่างหาก

และไม่นาน  สิ่งดีๆก็จะมาเองโดยไม่ต้องเรียกร้อง ไม่ต้องมุ่งหวัง


ครั้งสุดท้ายที่คุณ กอดภรรยาคุณเพื่อให้เธอรู้สึกดีๆ  อบอุ่นและมั่นใจว่าเธอมีคุณในชีวิต เมื่อไร?ครับ?

มีแพทย์และนักวิชาการทางด้านจิตวิทยาการใช้ชีวิตในสังคมครอบครัวกล่าวว่า   การโอบกอดของมนุษย์นั้น จะเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ทำให้คนเราคลายกังวล  คลายเครียด ลดความทุกข์ และเพิ่มความสุข ได้ อย่างน่าเหลือเชื่อมากๆ

การพูดคำพูดที่ดีๆต่อกันด้วยความจริงใจ แทนการด่าทอ  ทะเลาะกันของคนในครอบครัว ทุกๆวัน จะบรรเทาความเครียดที่ถูกปลุกเร้าจากสังคมโลกปัจจุบันได้อย่างดีทีเดียว

แพทย์และนักสังคมสงเคราะห์บางรายถึงขนาดแนะนำว่า ให้ คู่สามีภรรยา พูดคำหวาน(ที่ไม่เอียน) ต่อกัน บ่อยๆ  มันเป็นการดีต้อความเข้าใจและจิตใจของทั้งสองฝ่าย


ชิวหาพาเพลิน ที่จะกล่าวต่อไปในกระทู้   จะมีทั้งคำพูด  และ การเอาใจด้วย รสชาติของอาหาร ที่อาจไม่ได้ทำเองก็ได้  แต่เป็นการพาไปกิน ไปชิม   

และบางส่วนอาจเป็นตัวอย่างของชิวหา พาเพลิน ชนิดลงนรกไปก็มี 


มาเล่าสู่กัน


บันทึกการเข้า

ฤทธี  สีหจักร ลักษณ์ซ่อนเงื่อน
เถื่อนกำบัง  พังภูผา ม้ากินสวน
พวนเรือโยง  โพงน้ำบ่อ ล่อช้างป่า
ฟ้างำดิน  อินทร์พิมาน ผลาญศัตรู
ชูพิษแสลง  แข็งให้อ่อน ยอนภูเขา
เย้าให้ผอม  จอมปราสาท ราชปัญญา
ฟ้าสนั่นเสียง  เรียงหลักยืน ปืนพระราม
นายชด(หนุ่ม)
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 88



« ตอบ #1 เมื่อ: 15-05-2006, 10:01 »

คำพูดของคนเรานั้น หากพูดในเรื่องที่ดี ก็จะดีมากๆ  แต่หากพูดในเรื่องที่ไม่ดี  ก็อาจทำให้คนอื่นรวมทั้งผู้พูดเองเดือดร้อน  คำพูดเช่นนั้นถือเป็น ทุรพจน์


เพื่อนผมคนหนึ่งเป็นคนที่พูดไม่รู้จักคิดก่อน  ชอบพูดอะไรเรื่อยเปื่อย จนบางคาราวก็สร้างปัญหาแก่ผู้คนรอบข้าง

เพื่อนคนหนึ่ง ภรรยาเขาเพิ่งคลอดลูกสาวคนแรก ท้องแรกเลย  ดีใจเป็นที่สุดเพราะ เพื่อนและภรรยาเขา ต่างก็อยากจะได้ลูกสาวมาชื่นชมสมใจ

เพื่อนคนที่ปากไม่ดี ก็ไปเยี่ยม พร้อมคนอื่นๆ
มีการพูดตุยกันถึงการตั้งชื่อเล่นของลูกสาวเพื่อนคนนั้น

ปรากฏว่า  พ่อของเด็ก ก็กล่าวกะภรรยา ว่าจะให้ชื่อเล่นลูกว่า  "น้องบี"

แต่ไอ้เพื่อนปากบ๊อกๆ คนนั้นกลับ พูดทะลึ่งขึ้นมาว่า " เฮ้ย ทำไมเป็น บี วะ  งั้น แกคงมีลูกสาวชื่อเอ  มาก่อน น่ะสิ"

งานนั้น ภรรยาของเพื่อนไม่ขำด้วยครับ  เกือบวงแตก  เพราะปากของเขา  ดีว่า ผมแก้สถานการณ์พูดว่า ไม่ใช่ เอบี  แบบนั้น   บี ที่ว่า น่ะ  เมื่อกี้คุยกันว่า  BEE ที่แปลว่าผึ้งตะหาก.............


หลายครั้งคนเราก็พูดออกไปโดยไม่คิดมาก่อน  ครั้นมาคิดอีกทีมันก็สายไปเสียแล้ว ไม่น่าเลย ที่ผายลมทางปาก แทนคำพูดดีๆ

แต่ก็มีบางครั้งที่ผู้พูด ไร้เจตนาใดๆให้เป็นแบบนั้น  แต่คำพูดนั้นมันกำกวมอยู่ในตัว  ก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้

มีคราวหนึ่ง ลูกน้องสองสามคน  ทำล่วงเวลาที่บริษัท

ลูกน้องคนหนึ่ง อาสาจะออกไปซื้อข้าวเย็นและขนมมาให้เพื่อนๆ แทนการโทรสั่งร้านแระจำ  ก็สอบถามเพื่อนที่ทำงานด้วยกันว่า  ใครจะสั่งอะไรบ้าง
หลังจากสั่งกันคนละอย่างสองอย่างแล้ว

ลูกน้องคนที่รับอาสา  ก็ถามกับเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นมุสลิมว่า หากวันนี้  ข้าวหมกไก่ ไม่ขาย จะให้ซื้ออะไร? เพื่อนก็เลยบอกว่า ซื้ออะไรก็ได้แทน  เป็น ขนมปังก็แล้วกัน

หายไปนานพอควรก็กลับมาหิ้วของมาเยอะแยะ แต่ไม่ได้ข้าวหมกไก่มา เพราะวันนี้ เขาเลิกขายเร็ว  แต่ก็ซื้อขนมปังมาฝากเพื่อน แล้วยื่นให้

เพื่อนกล่าวขอบคุณ พร้อมหยิบขนมปังมาจะฉีกห่อพลาสติกออกแล้วกิน  แต่ก็วางลงแล้วมองหน้าเจ้านั่นเขม็ง

" บอกว่า ข้าวหมกไม่มี ให้ซื้อหนมปังมาแทนไง"

นายคนรับอาสาเถียง  "อ้าว  นั่นก็ขนมปังนี่นา  "


"ใช่โว้ย   ขนมปัง   ขนมปังไส้หมูหยอง  ใครมันจะยัดได้วะ?????????????หา"


งานนั้น ท้ายสุด ผมก็ต้องทำข้าวต้มเลี้ยงลูกน้องทุกคน  แต่ไม่ลืมที่จะแอบๆกุนเชียงหมูไว้ข้างตัว เพราะกลัวลูกน้องบางคนเห็นแล้ววิ่งมาเตะผม


บันทึกการเข้า

ฤทธี  สีหจักร ลักษณ์ซ่อนเงื่อน
เถื่อนกำบัง  พังภูผา ม้ากินสวน
พวนเรือโยง  โพงน้ำบ่อ ล่อช้างป่า
ฟ้างำดิน  อินทร์พิมาน ผลาญศัตรู
ชูพิษแสลง  แข็งให้อ่อน ยอนภูเขา
เย้าให้ผอม  จอมปราสาท ราชปัญญา
ฟ้าสนั่นเสียง  เรียงหลักยืน ปืนพระราม
นายชด(หนุ่ม)
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 88



« ตอบ #2 เมื่อ: 15-05-2006, 10:17 »

คำทักทายกัน ส่วนตัวของเพื่อนสนิท บางครั้งก็เป็นเรื่องและสร้างปัญหาให้ไม่น้อยครับ เพราะว่าในที่สาธารณชนนั้น คนเราจะกล่าวอะไร ทำอะไร  มันก็ได้ยินไปหมด  ไม่เฉพาะคนสองคน

ครั้งหนึ่ง ผมกับเพื่อนหลังจากไปร่ำสุรากันจนได้ที่ ก็ชวนกันไปหาเพื่อนเก่าอีกคน แถวตรอกวัดพระพิเรนทร์ ที่ใครๆสมัยนั้นก็รู้ว่า นักเลงเยอะ


บ้านเพื่อนอยู่ลึกเข้าไปโขพอควร ต้องผ่านร้านขายของที่เป็นร้านกาแฟและขายของชำก่อนถึงบ้านเขาสองสามหลัง
หน้าร้านกาแฟมีคนกำลังเชียร์มวยอยู่ด้วยความมัน หลายคน

เราเดินไปเกือบถึงร้านกาแฟแล้ว  เพื่อนคนหนึ่ง เห็น เพื่อนที่เรากำลังมาหา กำลังอุ้มไก่ ชน เดินออกมาพอดี  คาดว่ากำลังจะเอาไปตีไก่แน่ๆ
เพื่อนคนนั้นเลยตะโกนเรียก ด้วยกลัวว่า จะเดินไปหาไม่ทัน  เข้าไปบ่อนไก่ เสียก่อน  พร้อมยกมือชี้โหวกเหวก

"  เฮ้  เฮ้  ไอ้สัตย์  ไอ้สัตย์  จะไปไหน   ไอ้สัตย์"

ได้ผลเกินคาดเลย พ่อแม่ พี่น้อง

ชายฉกรรจ์กลุ่มที่กำลังเชียร์มวยอยู่หันมามองพวกผมเป็นตาเดียว
1.  มันแปลกถิ่น
2. พวกมันท่าทางเมาและ พวกกูไม่รู้จักมึงเลย
3. มังด่ากูว่า ไอ้สัด

สองในหลายคน ก้าวอาดๆ เดินมาถึงก็กระชากคอเสื้อเพื่อนผม.......
"เมิงด่าใคร? หา  ไอ้ลูกหมา"

"เปล่าครับ พี่  ผมเรียกเพื่อน"  เพื่อนผมตอบไป ตอนนั้นความเมาหายไปหมด เหลือแต่ขี้กุ้งที่วิ่งมาขึ้นที่หัวแทน

ความซวยมาเยือน เพราะเพื่อนผม  นายสัตยา  ดันเดินหายไปแล้ว มันไม่ได้ยิน  แล้วนี่พวกผมจะทำไงล่ะ  พยานบุคคลก็หายไปแล้ว

"ไหนวะ  อั๊วไม่เห็นมีซักคน" พี่คนที่เป็นญาติกะยักษ์วัดแจ้ง ใจเย็นถามต่อ  ดีไม่เอามือทุบกบาลเพื่อนผม

"จริงๆ พี่ เพื่อนผมมันชื่อสัตยา บ้านอยู่หลังโน้น ผมเรียกวันไอ้สัด ประจำ  นี่มันอุ้มได่เดินเข้าไปข้างในแล้ว  มันไม่ได้ยินผม"

งานนั้น กว่าจะเคลียร์ได้  กว่าจะเดินตามไปเจอเพื่อนได้  โดนตบกะโหลกฟรีไปเลย  ส่วนพวกผมเดินตัวลีบตามไปจนเจอเพื่อน
บันทึกการเข้า

ฤทธี  สีหจักร ลักษณ์ซ่อนเงื่อน
เถื่อนกำบัง  พังภูผา ม้ากินสวน
พวนเรือโยง  โพงน้ำบ่อ ล่อช้างป่า
ฟ้างำดิน  อินทร์พิมาน ผลาญศัตรู
ชูพิษแสลง  แข็งให้อ่อน ยอนภูเขา
เย้าให้ผอม  จอมปราสาท ราชปัญญา
ฟ้าสนั่นเสียง  เรียงหลักยืน ปืนพระราม
นายชด(หนุ่ม)
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 88



« ตอบ #3 เมื่อ: 15-05-2006, 10:36 »

เมื่อพูดถึง การท่องหาของอร่อย กิน  ก็ต้องยอมรับว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่เป็นผู้เสพติดอย่างถอนตัวไม่ขึ้น  หากว่าง เป็นต้องเสาะหา ร้านอาหารที่คนเขาพูดถึงความอร่อยไปนั่งกินสักครั้ง  ไม่ว่าร้านนั้นจะเป็นอาหารอะไรก็ตาม

สมัยก่อน ผมชอบไปเดินเล่นและหาเพื่อนแถวท่าพระจันทร์  แถวธรรมศาสตร์ และศิลปากร  ไปทีไร  ก็อดที่จะแวะกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋นไม่ได้

ร้านที่ว่านี้ขายมานานแล้ว น่าจะตั้งแต่รุ่นคุณพ่อของเขา 
อย฿แถว ถนนมหาราช ตรงข้าม ศิลปากรนี่เอง ชื่อร้านก็ไทยๆเราครับ  โภชนารมย์

ร้านนี้เขาจะขายก๋วยเตี๋ยวเป็ดตุ๋น   เนื้อเป็ดจะตุ๋นจนเปื่อย แต่ยังคงความหอมหวานของเนื้อไว้ครบ   น้ำของเขาเป็นน้ำข้น  ซดเฮือกชื่นใจมาก

ขอแนะนำให้ลองสั่งก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่เป็ดตุ๋นของเขามารับประทาน  และสั่งไปด้วยว่า เอาน่อง  แต่หากหมด  เนื้อส่วนอื่นๆ  ก็อร่อยไม่แพ้กัน

พริกส้ม เป็นพริกตำ  เป็นพริกเหลืองตำที่เข้ากันดีเหลือหลาย

ร้านนี้จำได้ว่า ได้เชล์ชวนชิมด้วยครับ

ที่ขาดไม่ได้และต้องเอามารับประทานเคียงกันคือ เปาะเปี๊ยะสด หน้าปู    เนื้อปูเป็นชิ้นโตๆ สดๆ  อร่อยมาก
น้ำราดเปาะเปี๊ยะ ก็ไม่หวานเกินไป  พริกส้มก็กรอบ  แตงกวาที่ใช้ก็ชิ้นพอดีคำ  ที่สำคัญ  ไข่เจียวซอยนี่หอมและรสชาติกลมกล่อมเป็นที่สุด

หากจะไปรับประทานก็ควรไปสัก 10 โมงเช้าครับ  บ้านสอง บ่ายสาม จะหมดแล้ว

จากนั้น  ก็จะเลยไปกินชา กาแฟ ที่ โรงแรม ไทยโฮเต็ล แถว วิสุทธิ์กษัตริย์  ที่นี่ ทั้งกาแฟและ ชาจะชงคล้ายๆ ตะวันออกกลางครับ เข้มข้น   หอมกรุ่นพิลึก

หากยังไม่อิ่ม มีร้านเย็นตาโฟอร่อยใกล้ๆ ร้านอยู่ บนถนนวืสุทธิ์กษัตริย์เลย  ต้องไปจอดรถที่โรงแรมครับ แล้วเดินออกมา  อยู่เยื้องกับ  ศูนย์ โตโยต้า    เย็นตาโฟของเขาอร่อยมากๆ   อย่าไปปรุงเชียว  เพราะเขารสชาติดีอยู่แล้ว  ไม่ต้องปรุงก็ได้ครับ     เรียกว่า ทานได้เลยเมื่อเอามาเสิร์ฟ

ร้านชื่อ สุขวดี เป็นร้านกึ่งใหม่กึ่งเก่า โอเพ่นแอร์   แต่อร่อยทีเดียว


วันนี้จะพยายามนึกร้านที่ทำให้น้ำลายสอ ย่านนั้นให้มากที่สุดครับ  เผื่อว่า ใชนช่วงงานฉลอง 60 ปี ครองราชย์ในหลวง เพื่อนๆใครที่จะไปดูพระราชพิธีแห่เรือ  จะทำการ ตะเวนทัวร์ อร่อยกันก่อนล่วงหน้าสักสองสามวันก็ไม่ผิดกติกา

บันทึกการเข้า

ฤทธี  สีหจักร ลักษณ์ซ่อนเงื่อน
เถื่อนกำบัง  พังภูผา ม้ากินสวน
พวนเรือโยง  โพงน้ำบ่อ ล่อช้างป่า
ฟ้างำดิน  อินทร์พิมาน ผลาญศัตรู
ชูพิษแสลง  แข็งให้อ่อน ยอนภูเขา
เย้าให้ผอม  จอมปราสาท ราชปัญญา
ฟ้าสนั่นเสียง  เรียงหลักยืน ปืนพระราม
(ลุง)ถึก สไลเดอร์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,026



« ตอบ #4 เมื่อ: 15-05-2006, 11:36 »

ถ้าคนเราไม่มีลิ้น เราก็คงจะมีวัฒนธรรมการกินแบบเดียวกับจระเข้
หิวขึ้นมาก็จับอะไรก็ได้ยัดเข้าปากลงท้อง
  สัตว์อีกชนิดหนึ่งที่กินทุกอย่างที่ขวางหน้า
มันคือ"แพะ"ครับ เสื้อผ้าที่ตากไว้ตามราวมันก็กิน
ผู้สันทัดกรณีบอกว่า กระทั่งตะปู แพะมันยังกินเข้าไปได้เลย
เวลามันขรี้ จะออกมาเป็นก้อนกลมๆเหมือนยาลูกกลอน แพทย์แผนโบราณ
บอกว่า แพะเป็นสัตว์ที่มีไฟธาตุแรง


ยังไงๆก็ต้องขอขอบคุณพระเจ้า ที่ได้ประทานลิ้นมาให้เรา
นอกจากจะทำให้ตัวเองได้รับความสำราญแล้ว ยังทำให้ผู้อื่นมีความสุขไปด้วย

ไม่มีลิ้น ผมคงจะร้องเพลงไม่ได้เน๊าะ[/color]
บันทึกการเข้า

(ลุง)ถึก สไลเดอร์
ประกายดาว
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,266


" ดาว " ดวงน้อยประกาย นั่นยังพร่างพราย.....


« ตอบ #5 เมื่อ: 15-05-2006, 12:25 »

สรุป....

ปาก และ การเสพไม่ว่า เสพรส อาหาร หรือมธุรส วาจาผ่านภาษา น้ำเสียงสำเนียงใดๆ
เป็น หนึ่ง สุนทรีย์ ในชีวิตแน่ๆ ...

ไม่งั้น ประกายดาวจะกลัวปากเท่า รูเข็มหรือคะ ถ้าพูดไม่เพราะ และไม่สุภาพ
จำได้ว่า ในชีวิตนี้ หนูพูดไม่เพราะแค่หนึ่งครั้งในชีวิต กับ คุณป้าทันตแพทย์ โดย
ผรุสวาท ว่า " ไอ้เชี้ย หมอ " ดังๆ ให้ แม่ขายหน้า เมื่ออายุ 6 ขวบ

ดังนั้น ในเวลาต่อมาครอบครัว หนูและ ที่โรงเรียนจึงสั่งสอนเรื่องการพูดจา
ให้น่าฟังนี้ อย่างมากๆ หนูก็ต้องขอบคุณแม่ คุณยาย พ่อหนู และ คุณครูทั้งหลาย
ทุกๆ คน ทุกๆ ท่าน

ต่อมา มีคนรัก ...หนูก็จะมีเสียงแบบหวานฉ่ำเป้นพิเศษไว้เรียก หรือเสียงแบบดุๆ
ไว้ปราม นับว่า เสียงนี่ทรงพลังหลายอย่างจริงๆ  Tongue out


บันทึกการเข้า



วันที่ดาว ทวงฟ้า นภากระจ่าง
ดาวล้านดวง ทวงทาง ระหว่างฝัน
ผุดขึ้นมา  คราเดียว พร้อมพร้อมกัน
ประกาศมั่น.... วันนี้... เสรีไทย



http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=twinkling-stars&group=1
batman
สมาชิกสามัญขั้นที่ 3
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 158


« ตอบ #6 เมื่อ: 15-05-2006, 12:27 »

เห็นหัวข้อแล้ว รีบเข้ามาเลย
เกือบจะตอบคนละประเด็นเสียแล้ววววว  Laughing
บันทึกการเข้า
ประกายดาว
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,266


" ดาว " ดวงน้อยประกาย นั่นยังพร่างพราย.....


« ตอบ #7 เมื่อ: 15-05-2006, 12:31 »

ขอยืนยันว่า เยนตาโฟ สุขาวดี อร่อยมากๆ ร้านโปรด แม่หนู

ส่วนก๋วยเตี๋ยวเป็ด
โห...หนูก็ชอบเส้นใหญ่น้ำค่ะ แบบว่า แม่ ทำไมชอบสั่งเส้นใหญ่
ให้หนูกินไม่รู้ ติดไปเลย เส้นใหญ่เป็ด ตรงนั้นอร่อยเจงๆ
บันทึกการเข้า



วันที่ดาว ทวงฟ้า นภากระจ่าง
ดาวล้านดวง ทวงทาง ระหว่างฝัน
ผุดขึ้นมา  คราเดียว พร้อมพร้อมกัน
ประกาศมั่น.... วันนี้... เสรีไทย



http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=twinkling-stars&group=1
นายชด(หนุ่ม)
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 88



« ตอบ #8 เมื่อ: 15-05-2006, 13:51 »

จู่ๆลุงแดง หันมาพูดกับผมว่า  คนเรานั้น ใช้ปากในการหาความสุข กันเสียเป็นส่วนใหญ่

ลุงพูดผ่าขึ้นมากลางวงอาหารในงานบุญสุงกรานต์ปีหนึ่ง  แทบจะทำให้ทุกคนสำลักข้าวไปตามๆกัน โดยเฉพาะ ฐาติที่เป็นผู้หญิง  บางคนที่สาวหน่อยถึงกับหน้าแดงแจ๊ด ก้มหน้าก้มตาฉีกเนื้อปลาอย่างเดียว  จนเนื้อปลาหมดไปสามตัว เธอก็ยังก้มหน้าฉีกมันอยู่นั่นแหละ

ผมถามลุงเสียงเรียบๆเพื่อคืนบรรยาการในการกินอาหารกลับมาดังเดิม

"ลุงหมายถึง  การที่เราได้กินอาหารถูกปาก ได้คุยกะคนถูกใจ ใช่ไหมฮะ"........นั่นปะไร  คนเราก็สามารถแก้สถานการณ์ได้ด้วยปาก ด้วยลิ้นเช่นกันครับ!!!!

"ใช่  ใช่   ลุง หมายถึงแบบนั้นแหละ  ไอ้ทิด  อ้า   แล้ว เอ็งคิดว่าอะไรเร๊อะ????"  ลุงแดงตอบเสียงดังลั่น

ผมว่านอกจากผมแล้ว ทุกๆคนในวงข้าววันนั้น ต่างลอบถอนใจอย่างโล่งอกแน่ๆ ที่ลุงแก หมายความแบบนั้นจริงๆ

ลุงแดง นั้นสมัยหนุ่มๆ  แกหล่อเอามากๆ  แถมแกเป็นคนที่เดินหลังตรงๆเอามากๆเช่นกัน  พระเอกในดวงใจแกคือ  ยูร บรินน่อร์ พ่อหัวล้านรูปหล่อ ชางตะวันตกที่เป็นดาราดังในอดัต นั่นเอง

เรียกว่า แทบทุกอิริยาบถของลุงแดง จะถอดแบบ ยูร บรินเน่อร์มาหมด  ไม่ว่าจะท่าเดิน นั่ง หรือแม้แต่เวลาขยับปากพูด  การเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อมีการสอบถาม   

ป้าแป๋ว นั้น ถือว่าเป็นสะใภ้จากแดนไกลก็ว่าได้ เพราะ ป้าเป็นคนชุมพร เป็นสาวหลังสวน  ที่มาเรียนคหกรรมที่บางกอก

ลุงแดงเล่าว่ากว่าจะจีบป้าแกได้ ใช้เวลา สองปีเต็มๆ  ถึงขนาดลุงแดงพยายามหัดพูดภาษาใต้กะเพื่อนจนคล่อง

ป้าแป๋ว เป็น สุภาพสตรีที่เรียบร้อยเอามากๆ แถมทำกับข้าวเก่ง ทำขนมเค๊ก  ขนมของฝรั่งมังค่าแปลกๆ อร่อยๆ ให้พวกเรากินเสมอ สมัยที่เรายังเด็ก  ซึ่งตอนนั้น ป้าเองก็ยังไม่ได้แต่งงานกะลุงแดง เป็นแค่แฟนกัน

ลุงแดงบอกว่า เพราะป้าแป๋ว ทำให้แกเลิกทำตัวเป็นโก๋เหลิมกรุง  เลิกเที่ยวเตร่หัวราน้ำ และหันมาเรียนจนจบ จนกระทั่งทำงานมีหน้าที่ใหญ่โต ก็เพราะป้าแป๋ว

ผมถามต่อว่า ป้าแป๋ว ห้ามลุงเหรอ   ลุงบอกว่า ป้าไม่เคยห้ามอะไร  คำน้อยก็ไม่เคยพูดห้ามหรือด่าว่าให้ลุงเสียใจ  ไม่มีสักคำที่ออกจากปากป้าแก ตำหนิลุง ตั้งแต่คบกัน จนถึงเดี๋ยวนี้

แต่ที่ลุงเปลี่ยนพฤติกรรมของลุงนั้น ไม่ได้มาจากคำพูดเตือนหรือห้ามปราม แต่มาจาก ความเรียบร้อยและอ่อนหวานของป้าต่างหาก 

ป้าแป๋วมีวิธีพูดที่ทำให้ลุงสะดุ้ง ทั้งที่ไม่ได้ด่าว่า ห้ามปรามในสิ่งที่ลุงสำมะเลเทเมา  ป้าแกจะพูดอ่อนหวาน ทำดีด้วยเสมอ  แต่ยิ่งทำมากเท่าไร ลุงแกก็ละอายใจมากเท่านั้น  จนในที่สุดลุงแกก็เลิกในสิ่ง
ไม่ดีด้วยตนเองเพราะไอ้ความละอายใจต่อความดีที่ป้าแกมีให้นี่แหละ

ป้าแป๋ว เป็นคนที่มีศิลปในการพูดอย่างเอกอุ  ช่างเป็นผู้หญิงที่สร้างความเลิศในรสอาหารแก่ปาก  และ เป็นคนที่มีความเลิศในการใช้คำพูดออกจากปากเอามากๆคนนึงทีเดียว

เล่าไป  ป้าแป๋วที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็อดที่จะเขินไม่ได้ แม้จะมีอายุแล้วก็ตาม
ผมจึงถามป้าแป๋ว ว่า เพราะอะไร ป้าถึงมารักลุงแดงได้ ล่ะ ในเมื่อลุงออกจะเป็นเพลย์บอยปานนั้น ในสมัยก่อน

ป้าแป๋ว บอกว่า ผู้ชายในสายตาแก เหมือนม้าพยศตัวนึง  ใช้แต่กำลังเข้าข่ม  บางทีอาจหายพยศ  แต่มันอาจไม่เชื่องกะเราตลอดไป  พร้อมที่จะสลัดตกหลังได้ 

แต่..........หากเรารู้จักปราบพยศให้ถูกทาง  เอาความเมตตา เอาความดีเข้าปราบพยศ  ม้าตัวนั้นก็จะรักเรา  ต่อให้ไม่มีบังเหียน เพียงเราบอกก็เดินไปตามที่เราต้องการแล้ว

คำพูดของคนนั้นสำคัญ ลูก  .......พูดให้คนเกลียดก็ได้  พูดให้คนรักก็ได้   พูดให้ร้ายผู้อื่นก็ได้  พูดจริงให้เท็จก็ได้  พูดเท็จให้จริงก็ได้

แต่ไม่ว่าจะใช่คำพูดอย่างไร คำพูดที่หวานหูคน ย่อมมีเปรียบต่อคำพูดใดๆ  ไม่มีใครอยากได้ยินคำพูดที่ไม่เข้าหู หรือคำพูดที่นินทาว่าร้าย  แม้จะเป็นเรื่องจริงก็ตาม

สังเกตุไหมว่า ทำไมแต่ละประเทศต้องมีทูต  ต้องมีโฆษก  เป็นเสมือนปากของประเทศนั้นๆ  นั่นก็เพราะ คำพูดมีความสำคัญมากๆนั่นเอง  หากเราใช้คำพูดไม่ถูกต้อง  ทั้งที่เราไม่ได้คิดแบบนั้น  ก็อาจเกิดปัญหาได้

นักการเมืองที่เก่งๆ  ผู้นำหลายๆประเทศ เวลาเจรจาความเมืองเขาจะใช้ล่ามแทน  ไม่ใช่เพราะเขาใช้ภาษาไม่ได้  แต่เขาป้องกันความผิดพลาดอันเกิดจากการสื่อสารไว้ต่างหาก   

อีกประการ หากตอบอะไรออกไปไม่ชัดเจน  อาจอ้างล่ามได้  แต่หากพูดโดยตรง บางทีหากขัดกัน ก็จะทะเลาะไปเลย


.............คำว่าแม่ศรีเรือนของป้าคือ เราต้องเป็นผู้รู้จักมธุรสอยู่สองประการคือ  มธุรสโภชน์ และ มธุรสวาจา

มธุรสโภชน์ หมายถึง ต้องเป็นผู้รู้จักปรุงแต่งอาหารให้ถูกปากคนรอบตัว  ก็จักเป็นที่ยินดีของคนรอบตัว

มธุรสวาจา ก็คือ ต้องรู้จักใช้วาจาที่ไพเราะ แก่คนรอบตัว  คนรอบตัวเมื่อได้ฟังก็จะยินดี ไม่ขุ่นเคือง

ยิ่งหากมี มธุรสกิริยาด้วยก็จะยิ่งดี นั่นคือ  การกระทำอันเป็นที่ยินดีต่อคนรอบข้าง  ไม่ว่าจะทำอะไร คิดอะไร  หากทำให้คนรอบข้างยินดีได้  นั่นนับว่าสำคัญมาก สำหรับ แม่ศรีเรือน ในยุคป้า.



ผมฟังจนจบก็อิจฉาลุงแดงขึ้นมาทันที.......................
บันทึกการเข้า

ฤทธี  สีหจักร ลักษณ์ซ่อนเงื่อน
เถื่อนกำบัง  พังภูผา ม้ากินสวน
พวนเรือโยง  โพงน้ำบ่อ ล่อช้างป่า
ฟ้างำดิน  อินทร์พิมาน ผลาญศัตรู
ชูพิษแสลง  แข็งให้อ่อน ยอนภูเขา
เย้าให้ผอม  จอมปราสาท ราชปัญญา
ฟ้าสนั่นเสียง  เรียงหลักยืน ปืนพระราม
ประกายดาว
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,266


" ดาว " ดวงน้อยประกาย นั่นยังพร่างพราย.....


« ตอบ #9 เมื่อ: 15-05-2006, 14:17 »

ตกลง ค่ะ

เพื่อ ครอบครัว ต่อไปในภายภาคหน้า

หนูจะฝึกหัด การเป็นแม่ศรีเรือน Tongue out
บันทึกการเข้า



วันที่ดาว ทวงฟ้า นภากระจ่าง
ดาวล้านดวง ทวงทาง ระหว่างฝัน
ผุดขึ้นมา  คราเดียว พร้อมพร้อมกัน
ประกาศมั่น.... วันนี้... เสรีไทย



http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=twinkling-stars&group=1
นายชด(หนุ่ม)
สมาชิกสามัญขั้นที่ 2
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 88



« ตอบ #10 เมื่อ: 15-05-2006, 14:49 »





ของกินที่ถูกปากหายากสมัยนี้ สำหรับผม  ก็น่าจะเป็น  "ข้าวแช่" ครับ  อาหารอื่นๆ พอหาที่ยังทำให้ชิวหาผมรับรู้รสชาติได้อย่างอร่อยแต่ ข้าวแช่นี่  กินที่ไหนๆ ก็ไม่อร่อยเท่ากับทำกินเองเลย


ข้าวแช่นั้น  เท่าที่พอจะทราบแบบจำๆมา เดิมทีเป็นอาหารของชาวมอญที่สืบทอดมาสู่เมืองไทยตั้งแต่รัชกาลที่ 1

และมาเป็นที่นิยมแพร่หลายกันก็ในรัชกาลที่ 5

ความจริง มันเป็น เมนูอาหารในวังในวังที่มีการจัดเตรียมถวายในช่วงหน้าร้อน ต่อ พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์บางท่าน


แต่ต่อมาก็แพร่มาสู่ชาวบ้านเพื่อทำกิน  จึงเป็นที่มาของข้าวแช่ขนานแท้ตำรับขาววัง

สำหรับผม  จะชาววัง หรือชาวบ้าน ก็ไม่สน  ผมรู้แต่ว่า ข้าวแช่จะอร่อย ข้าวและน้ำข้าวแช่ต้องเลิศ

น้ำต้องหอมมะลิแบบเข้าเนื้อ ไม่ใช่หอมจากดอกมะลิที่ลอยแก้วอยู่   เดี๋ยวนี้จะหาน้ำฝนใสๆ  สะอาดๆไม่มีแล้ว

ถามว่าทำไมต้องใช้น้ำฝน เพราะมันจะออกหวานเล็กๆตามธรรมชาติไงครับ  และเย็นชื่นใจดีแท้ ไม่ต้องมาใส่น้ำแข็ง

กับที่จะกินด้วยก็จะมี

ลูกกะปิทอด

พริกหยวกสอดใส้

หอมแดงสอดไส้ทอด

ปลาเค็มชุบไข่

เนื้อฝอย

ไชโป๊วผัดหวาน

และผักสดต่างๆ


กระชายสด ก็จำเป็นครับ  ส่วนใหญ่ผู้ใหญ่สมัยก่อนจะแกะเป็นดอกจำปา กินแนมกับลูกกะปิทอด  เข้ากันที่สุดแถมทำให้ปากหอมอีกด้วย


สมัยที่ท่านผู้สูงอายุทั้งหลายในบ้าน ยังพอจะมีแรงทำกับข้าวกัน เวลาหน้าร้อน  ก็จะมีเทศกาลประชันขันแข่งการทำข้าวแช่กันในบ้านครับ ไม่ต้องไปหาซื้อกินที่ไหน เพราะเราก็มีสูตรกันอยู่

กะปิที่จะเอามาทำเป็นลูกกะปิทอดนั้น  แม่แกต้องดักรถส่งกะปิ ที่มาจากระยองเลยทีเดียว แล้วก็เอามาตากแดดอีกสองแดด  แถม มีการเอาไปย่างไปกะถ่าน ที่ต้องคอยพรมน้ำลงถ่านบ่อยๆด้วย ไม่รู้ว่าทำไปเพราะอะไร

อีกอย่างก็คือ เนื้อปลาย่าง   เราจะใช้ปลาดุกที่จับมานั่นแหละ  เอาตัวเขื่องหน่อย ไม่เล็กไป ใหญ่ไป มาย่างไฟอ่อนๆจนสุก  แล้วก็แกะเนื้อ ผสมกะกระชาย กระเทียม กะปิที่เตรียมไว้  ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของเด็กๆวัยรุ่นแรงดีในบ้านหลายคนต้องมาช่วยกันโขลกให้ละเอียด 

จากนั้นก็จะเอา ลงกะทะ ไปผัดกะหัวกะทิ ที่เราก็คั้นมาจากมะพร้าวในสวนนั่นแหละ ผัดไปเรื่อยๆ จนให้กระชายออกกลิ่น  หากกระชายน้อยไปก็ต้องตำเติม  ให้กลิ่นกระชายมันออกนำแบบนั้น จะทำให้น่ากิน  เสร็จแล้วก็ยกลงรอ

เอาไปปั้นให้มันแป้นๆเข้าไว้ เพื่อไปชุบไข่ที่ผสมแป้งไว้ แล้วทอดต่อไป

การที่เราทำให้มันแป้นๆไว้น่ะ เพราะเวลาที่ชุบไข่แล้วทอด มันจะไม่กลิ้งจนไข่แยกออกเป็นเส้นๆ เหมือนที่บางร้านทำขาย  บางร้านกลัวไขแยก ก็ผสมแป้งมากไปเพื่อให้เกาะ  ทำให้เสียรสชาติ

จริงๆ  แต่ปั้นให้แป้นๆไว้ มันก็ซับไข่ดีออกแถมเวลาทอดจะกลมไปเอง


ทอดเสร็จ ต้องนำมาไว้บนตะแกรงไม้ตอก ให้สะเด็ดน้ำมัน แล้ว เอาใส่จานปิดฝา อย่าให้ตากลม เดี๋ยวผิวจะกระด้างไป ไม่อร่อย



นี่แต่ลูกกะปิทอด ผมพิมพ์ไปก็น้ำลายไหลไปแล้ว
บันทึกการเข้า

ฤทธี  สีหจักร ลักษณ์ซ่อนเงื่อน
เถื่อนกำบัง  พังภูผา ม้ากินสวน
พวนเรือโยง  โพงน้ำบ่อ ล่อช้างป่า
ฟ้างำดิน  อินทร์พิมาน ผลาญศัตรู
ชูพิษแสลง  แข็งให้อ่อน ยอนภูเขา
เย้าให้ผอม  จอมปราสาท ราชปัญญา
ฟ้าสนั่นเสียง  เรียงหลักยืน ปืนพระราม
หน้า: [1]
    กระโดดไป: