อยู่ดีๆ พลิกนโยบายกลับหลังหันขนาดนี้ อยากเห็นจริงๆ ว่า 1 สัปดาห์ต่อจากนี้
บรรดากองเชียร์ต่างๆ จะเปลียนบทบาทรับลูกกันท่าไหน
จะมีคนทนไม่ได้หรือเปล่า หลังจากด่าเพลินมาเป็นหลายเดือน ...
อีกอย่าง.. การกลับนโยบายก่อนเลือกตั้งแค่สัปดาห์เดียวแบบนี้
มันเป็นลางนะผมว่า.."ลางแพ้" ้ -------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“เลี้ยบ” ชักจ๋อย! หวั่นบินเดี่ยวจัดตั้งรัฐบาล ริบหรี่โดย ผู้จัดการออนไลน์ 16 ธันวาคม 2550 15:49 น.
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9500000148966น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาฯพปช.
“พลังแม้ว” ผุดแคมเปญใหม่ “เลือกเกินครึ่ง- เศรษฐกิจจะฟื้น” ยังฝันกวาดที่นั่ง ส.ส.เกินครึ่ง
สยองข่าวพรรคคู่แข่งรวมหัวตั้งรัฐบาล เสียงอ่อยความหวังจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวริบหรี่ เปิดทางดิ้นหาพันธมิตรสู้
วันนี้ (16 ธ.ค.) นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน แถลงที่พรคพลังประชาชน อาคารไอเอฟซีที
ถนนเพชรบุรี ถึงแคมเปญหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง ว่า พรรคพลังประชาชนจะนำเสนอการให้ข้อมูล
เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจในช่วงโค้งสุดท้ายหลายรูปแบบ โดยในวันที่ 17 ธันวาคม จะมีการทำเป็นโฆษณาลง
หนังสือพิมพ์ต่างๆ จนตลออดสัปดาห์โดยเป็นข้อความ “หมดเวลาทะเลาะกัน เลือกเกินครึ่ง เศรษฐกิจจะฟื้นแน่”
โดยเนื้อหานั้นจะแสดงให้เห็นถึง 3 ส่วน คือ 1.หมดเวลาทะเลาะกัน 2.เลือกพรรคพลังประชาชนเกินครึ่ง และ
3.เศรษฐกิจจะฟื้นแน่ ซึ่งจะทำเป็นกระดาษไปปิดทับป้ายหาเสียงเดิมให้เหมือนกันทั่วประเทศ เพื่อที่จะบอก
กับประชาชนว่าหมดเวลาแล้วที่เราจะมาทะเลาะกันเอง ขอให้เลือกพรรคเรามาเกินครึ่ง เพื่อจะบอกว่าวันนี้
ประเทศชาติบอบช้ำแล้ว นักการเมือง พรรคการเมืองและทุกๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหันมาเน้นความสามัคคี
และไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกันอีก เพราะเป็นหน้าที่ของนักการเมืองทุกคน และทุกพรรคที่จะมาร่วมใจกัน
แล้วแต่ละคนทำหน้าที่ บทบาทของตัวเองให้ดีที่สุด ทั้งหน้าที่ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน
โดยไม่มีการมุ่งทำลายล้างให้ประเทศชาติบอบช้ำและเสียหายหนักกว่านี้ “ที่เราเน้นว่าให้เลือกเกินครึ่ง เพราะวันนี้เริ่มมีการพูดในลักษณะที่ว่า ถึงแม้จะไม่ได้รับเสียงความไว้วางใจ
จากประชาชนเป็นอันดับหนึ่ง ก็จะพยายามจับมือรวมๆกันหลายๆพรรค เพื่อแย่งกันจัดตั้งรัฐบาล ที่จะทำให้เห็น
บรรยากาศเก่า โดยเฉพาะในคืนวันเลือกตั้ง ตอนห้าทุ่ม หรือเที่ยงคืน จะมีการแย่งชิงกัน จับกลุ่มคุยเพื่อจัดตั้ง
รัฐบาลที่เราไม่ได้เห็นมากว่า 10 ปีแล้ว เพราะในภาวะที่มีระบอบประชาธิปไตยที่เอื้ออำนวยให้มีพรรคการเมือง
ที่เข้มแข็ง มีรัฐบาลเข้มแข็ง เราจะได้เห็นฉันทานุมัติของประชาชนที่ได้มอบให้พรรคการเมืองที่มีเสียงอันดับหนึ่ง
ก็สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างชัดเจน เปิดเผยไม่ต้องแย่งชิงกัน เพื่อจัดตั้งรัฐบาล แต่วันนี้ท่าทีที่ออกมาว่า
จะมีการรวมกลุ่มแย่งชิง เป็นท่าทีที่น่าห่วงใย เพราะสุดท้ายการจัดตั้งรัฐบาล จะขึ้นอยู่กับการต่อรองผลประโยชน์
ที่เป็นเก้าอี้ใน ครม.” เลขาธิการพรรคพลังประชาชน กล่าว
นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า พรรคพลังประชาชนเห็นว่าเพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยก้าวหน้าต่อไปอย่างเข้มแข็ง
การที่จะให้มีรัฐบาลที่เข้มแข็งในระยะเปลี่ยนผ่าน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีพรรคการเมืองที่ได้รับเสียงจาก
ประชาชนจำนวนมากพอ เพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลได้อย่างเปิดเผย ไม่มีการต่อรองผลประโยชน์ หากประชาชน
เห็นว่าพรรคพลังประชาชนมีความสามารถที่จะกู้วิกฤติเศรษฐกิจขอให้พิจารณาเลือกพรรคพลังประชาชนแบบยกทีม
ให้เกินครึ่งเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ได้อย่างสมเจตนารมณ์ของประชาชน และถ้าประชาชนต้องการให้พรรคพลังประชาชน
จะไปกู้วิกฤตเศรษฐกิจหนทางเดียวที่จะทำให้พรรคพลังประชาชน ทำได้อย่างนั้นก็ต้องเลือกให้เกินครึ่งหรือเกิน 240
เสียงเพื่อจะได้ไม่ต้องไปแย่งชิงในการจัดตั้งรัฐบาล แต่เราไม่ได้คิดว่าจะเป็นรัฐบาลเพียงพรรคเดียว เพราะเสถียรภาพ
ของรัฐบาลเป็นเรื่องสำคัญ แต่หากรัฐบาลเข้มแข็งมีเสถียรภาพ โดยมี ส.ส.สนับสนุนมากเพียงพอ การแก้ปัญหา
ก็เป็นไปได้ง่ายมากนั้น หากเราได้แค่ 241 หรือ 242 แน่นอนว่าจะมีการร่วมมือกับพรรคการเมืองอื่นร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล
ซึ่งพรรคพลังประชาชนไม่อยากเห็นการเตรียมการจัดตั้งรัฐบาลย้อนกลับไปเหมือน 10 ปีที่แล้วที่รัฐบาลเกิดขึ้นมา
จากการต่อรองผลประโยชน์
นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า เราเชื่อว่า การเลือกตั้งครั้งนี้คงจะมีพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงอยู่พอสมควร ทำให้
โอกาสในการเป็นรัฐบาลพรรคเดียวมีได้ แต่ไม่มากนัก ซึ่งหากพรรคพลังประชาชนได้เสียงเกินครึ่ง อาจจะมีพรรคร่วมรัฐบาล
ที่มาจากพรรคการเมืองที่ไม่ใหญ่นักบางพรรค แต่วันนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับพรรคการเมืองอื่นๆ อย่างเป็นทางการนัก
เพราะในช่วงหาเสียงเลือกตั้งผู้ใหญ่ในพรรค กรรมการบริหารพรรคยังลงพื้นที่หาเสียง โอกาสที่จะพูดเรื่องแนวทางจัดตั้ง
รัฐบาลยังไม่เกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเราได้พูดตลอดว่าเราสามารถร่วมทำงานได้ทุกพรรคที่มีแนวนโยบายที่ทำงานร่วมกันได้ แม้จะเป็นการทำงานต่างบทบาทก็ต้องการที่จะทำงานร่วมกัน ในส่วนของพรรคฝ่ายค้านเดิมในอดีตที่มีอยู่หลายพรรค
แม้บางพรรคจะไม่เคยทำงานร่วมกันมาก่อนจะทำงานร่วมกันไม่ได้