ประมูลมาราคาใบละไม่ถึง 100 มาขายประชาชนใบละตั้ง 500 ไม่เอากำไรไปหน่อยเหรอ
===============
ปลัดกระทรวงไอซีที ยันประมูลสมาร์ทการ์ด 13 ล้านใบ เกือบพันล้านบาทโปร่งใส อ้างรู้อยู่แล้วว่าต้องมีแบบนี้ เพราะการประมูลมีคนแพ้ มีคนชนะ ท้าไปร้องศาลปกครองได้เลย ขณะที่ไออาร์ซีพี ผู้ชนะประมูลแจงทุกอย่างบริสุทธิ์ ถูกต้อง และมีคุณภาพ เป็นธรรมดาของผู้แพ้ที่ต้องกล่าวหา แต่ยืนยันพร้อมกับชื่นชมคณะกรรมการประมูล
จากกรณีมีความไม่โปร่งใสในการประมูลบัตรประชาชนอเนกประสงค์ หรือสมาร์ทการ์ด รอบ 2 จำนวน 13 ล้านใบ วงเงิน 962 ล้านบาท ที่มียื่นประมูล 6 ราย แต่ผ่านเข้าไปประมูลอี-อ๊อกชั่น เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา 4 ราย ผลปรากฏว่า กิจการค้าร่วม HST (บริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล รีเสิร์ช คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ IRCP ซึ่งใช้ชิพของบริษัทซัมซุง และผลิตบัตรจากโรงงานในประเทศจีน ชนะประมูลด้วยราคาต่ำสุด 486 ล้านบาท หรือตกใบละ 37 บาท ต่ำกว่าราคากลาง 49.39% แต่ถูกร้องเรียนว่าสาเหตุที่ชนะประมูล เพราะมีผู้ใหญ่ในกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทคและการสื่อสาร หรือไอซีที ช่วยเหลือเรื่องสเปคของบัตร ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 21 ส.ค. นายไกรสร พรสุธี ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที เปิดเผยว่า คาดไว้อยู่แล้วว่า จะต้องมีเรื่องลักษณะนี้เกิดขึ้น ภายหลังประมูลบัตรสมาร์ทการ์ด เพราะมีกลุ่มคนที่ไม่สมหวัง จึงพร้อมชี้แจงทุกข้อสงสัย โดยปัญหาด้านเทคนิคที่ถูกโจมตีว่าเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มที่ชนะประมูลนั้น ขอปฏิเสธว่าไม่จริง เนื่องจากเอกชนทุกรายที่ผ่านเข้าสู่ขั้นตอนเสนอราคาได้นั้น จะต้องผ่านคุณสมบัติด้านเทคนิคอยู่แล้ว จึงมั่นใจว่าการชนะประมูลของกิจการค้าร่วม HST ครั้งนี้ จะไม่มีปัญหาด้านเทคนิคของบัตร ยืนยันว่า จะยังดำเนินการตามขั้นตอนหลังการประมูล คือ เมื่อคณะกรรมการประกวดราคาส่งเรื่องมาถึงปลัดกระทรวง ก็จะนำเสนอรมว.ไอซีทีตามขั้นตอนทันที ส่วนผู้ที่เห็นว่าไม่โปร่งใส สามารถร้องเรียนได้ที่ศาลปกครอง
ด้านนายจำรัส สว่างสมุทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทอินเตอร์เนชั่น รีเสิร์ช คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือไออาร์ซีพี หรือกลุ่มกิจการร่วมค้า HST ชี้แจงว่า การประมูลครั้งนี้เป็นไปอย่างถูกต้องและโปร่งใสทุกอย่าง แต่ในแง่ร่างเงื่อนไขประกวดราคา(ทีโออาร์) อาจจะมีความเข้าใจและตีความกันหลายแบบ คนที่แพ้ก็อาจจะไม่พอใจ เลยให้ข่าวอย่างนั้น การแข่งขันมีคนแพ้ มีคนชนะ คนแพ้อาจจะไม่ยอมเลิก ยังไม่ยอมจบ เป็นธรรมชาติของการประมูลทุกครั้ง คนที่ไม่สมหวังก็มักมาให้ข่าวอย่างนี้ เราคาดไว้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่กระทรวงติดใจบริษัทของเรา
นายจำรัส กล่าวอีกว่า เมื่อเปิดประมูลและพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้นและด้านเทคนิค เราไม่ผ่าน ซึ่งอาจมีเรื่องที่คณะกรรมการประกวดราคาเข้าใจบางอย่างที่อาจคลาดเคลื่อน บางทีเขียนแล้วสามารถตีความได้หลายแบบ คณะกรรมการอาจจะอ่านแล้วตีความแบบหนึ่ง ซึ่งตามระเบียบของการจัดซื้อจัดจ้าง เปิดโอกาสว่า ถ้าผู้ยื่นประมูลไม่เห็นด้วยกับผลการตัดสินก็ต้องใช้สิทธิอุทธรณ์ภายใน 3 วัน กรรมการหรือผู้รับผิดชอบในหน่วยงานต้องตอบคำถามใน 7 วัน ดังนั้นเมื่อเราไม่ผ่านการพิจารณาครั้งแรก จึงอุทธรณ์ตามระเบียบ พร้อมนำเอกสาร และผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ไปอธิบายแต่ละประเด็น ต่อคณะกรรมการประกวดราคา จนได้ข้อสรุปว่าไม่ได้เป็นความผิดของใคร เป็นเรื่องทีโออาร์ที่ต่างคนต่างตีความ
"เราสามารถเอาเอกสารยืนยันให้ทุกฝ่ายทราบและเป็นที่ยอมรับได้ ซึ่งตามระเบียบอี-อ๊อกชั่น พูดชัดเจนว่าหน่วยราชการจะต้องตอบใน 7 วัน ถ้าไม่ตอบถือว่าคำอุทธรณ์นั้นฟังขึ้น ดังนั้นการที่คณะกรรมการไม่มีจดหมายใดๆ ตอบกลับมายังบริษัทภายใน 7 วัน ก็ถือว่าคำอุทธรณ์ของเราฟังขึ้น หลังเราชี้แจงต่อคณะกรรมการประกวดราคาของกระทรวงไอซีทีแล้ว เมื่อคณะกรรมการยอมรับการชี้แจงถือว่าคณะกรรมการมีความโปร่งใส ยุติธรรม และการที่เดิมมี 2 บริษัท มีสิทธิ์เข้าร่วมประมูล แล้วเพิ่มเป็น 4 บริษัท ถือว่าประเทศได้ประโยชน์ เพราะทำให้เกิดการแข่งขันเรื่องราคาค่อนข้างมาก ยืนยันไม่มีการฮั้ว ถ้าฮั้วคงไม่ถูกขนาดนี้ และยืนยันว่าที่ผ่านมาเราทำทุกอย่างโปร่งใส คิดว่าเรื่องน่าจะจบลงเพียงเท่านี้" นายจำรัส กล่าว
นายจำรัส กล่าวต่อว่า ประเด็นที่เราจะนำเสนอให้สาธารณะทราบคือ 1.การแข่งขันครั้งนี้โปร่งใสหรือไม่ และราคาที่เราประมูลลดไปถึง 49% แสดงว่าไม่มีฮั้วแน่นอน ถ้าฮั้วก็ไม่มีเหตุที่เราจะลดเกือบ 50% 2.การแข่งขันนี้แข่งขันเทียบเท่ากับระดับอินเตอร์เนชั่นแนล เพราะให้ซัพพลายเออร์ทั่วโลกมาแข่งขัน ฉะนั้นประเทศไทยถือเป็นที่สนใจของนานาชาติในเรื่องนี้ ถ้าเราสามารถทำได้ราคาถูก คุณภาพดี ก็จะทำให้ไทยเป็นที่ยอมรับในสายตานานาชาติมากขึ้น
"สิ่งที่เรากล้าพูดว่าเป็นของดี เพราะใช้ชิพของซัมซุง ซึ่งติดอันดับท็อปไฟว์ของโลก ถือว่าเราเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดของโลกมาใช้ ขณะเดียวกันยังสามารถประหยัดงบประมาณของประเทศได้เกือบครึ่งหนึ่ง และยังทดสอบประสิทธิภาพตัวบัตรอย่างละเอียด เช่น ชิพ สามารถบันทึกข้อมูล ลบข้อมูลได้หรือไม่ ทดสอบเรื่องหักงอของตัวบัตร การพิมพ์บัตรได้คุณภาพที่ดีหรือไม่ ทดสอบชั้นระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งเป็นการทดสอบที่เข้มข้น การที่เราผ่านโดยไม่มีปัญหา แสดงว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยอมรับได้ และขอชมเชยคณะกรรมการที่ให้ความสำคัญกับการทดสอบอย่างเข้มงวดครั้งนี้" นายจำรัส กล่าว
นายจำรัสกล่าวด้วยว่า บริษัทเราได้รับธรรมาภิบาลดีเด่นของประเทศไทย ประจำปี 2547 เราทำธุรกิจกับราชการมานาน ไม่เคยมีปัญหา เช่น ทำเรื่องของระบบสารสนเทศให้กรมที่ดิน มูลค่า 160 ล้านบาท ทำระบบบัญชีให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) มูลค่า 170 ล้านบาท ทำระบบบัญชีร่วมกับซีเมนส์ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มูลค่า 900 ล้านบาท โดยประสบการณ์ เรามีความตั้งใจทำงานกับราชการให้กับประเทศชาติจริงๆ ก่อนที่จะยื่นงานประมูลๆ ใด เราเลือกเทคโนโลยีอย่างดี เพราะเป็นคู่สัญญากับราชการ ต้องทำให้ได้ตามข้อกำกนดการจัดซื้อ ให้เป็นผลงานที่ดี เพื่อให้ทุกคนยอมรับผลงาน
วันเดียวกัน คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ประธานคณะทำงานด้านคมนาคมของพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า บัตรสมาร์ทการ์ดล็อตใหม่ ประมูลได้ราคาใบละ 37 บาท ถูกกว่าเดิมที่ประมูลใบละ 74 บาท ว่า เรื่องนี้มีเงื่อนงำ เชื่อว่าการกำหนดคุณสมบัติของบัตรต้องต่ำลงกว่าเดิม บัตรสมาร์ทการ์ดเป็นบัตรที่จำเป็นกับประชาชน และต้องใช้ได้ยาวนาน ไม่เหมือนบัตรเติมเงินของมือถือ ที่จะนำวัสดุอย่างไรมาจัดทำก็ได้ ที่สามารถประมูลได้ราคาต่ำกว่าเดิมเท่าตัว แสดงว่าการประมูลต้องมีปัญหา เพราะหากเป็นของที่มีคุณภาพอย่างเดียวกันเหตุใดก่อนหน้านี้ประมูลได้ในราคาแพง
คุณหญิงกัลยากล่าวอีกว่า สำหรับการเปิดประมูลแบบอี-อ๊อกชั่น บัตรสมาร์ทการ์ดล็อตใหม่ มีจุดที่น่าสงสัยหลายประการ เพราะขณะนี้กระทรวงไอซีทีประกาศผู้ผ่านประมูล 2 บริษัท แต่มีข้อมูลว่ามี 1 ในนั้น เคยมีความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสาร ไม่เข้าใจว่าคณะกรรมการควบคุมตรวจสอบการประมูลตรวจสอบเรื่องนี้หรือไม่ หากตรวจสอบแล้วเหตุใดปล่อยปละละเลยมาถึงขนาดนี้ อยากให้คณะกรรมการ ซึ่งเป็นข้าราชการประจำระลึกว่าการกระทำเช่นนี้ ถือว่ามีความผิดและอาจมีโทษถึงติดคุก โดยหลังการเลือกตั้งเมื่อมีคณะกรรมาธิการในสภาแล้วจะลงไปตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้ง