เอา แฟ้ม ทีพีไอ มาให้อ่าน ใครที่รู้แล้ว ก็ ถือว่า มาทบทวน ความจำ
ส่วนเรื่อง การปั่นหุ้น จำได้จริง ๆ ว่าเคยอ่านความเห็น ว่า ไม่เข้าข่าย ปั่นหุ้น แต่ หาไม่เจอ เสียดาย อาจไม่ได้ ก็อปไว้
เลยเอาที่มีมา ฟื้นความจำ ตำนาน ทีพีไอ เผื่อใครจะมีข้อมูล ความเห็น
ทีพีไอ ของ ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ มีอะไรดี..?
* จับตาคำสั่งศาลฯ 27มิ.ย.นี้ วงในคาด ประชัยพ่าย ก.คลังชนะซื้อหุ้นแค่ 3.30 บาท
* My Boss want it...! คือคำตอบ
* ในร่างเงายักษ์ใหญ่ข้ามชาติผนึก ทุนใหม่ในประเทศ
* คาดมีกำไรส่วนต่างหุ้นกว่าแสนล้าน!?!?
http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9480000084367คนทั่วไปคงจะงงกับข่าวคราวการแย่งชิง ทีพีไอ หรือแม้แต่คนที่ติดตามอย่างใกล้ชิดเองก็ยังเดาไม่ออกว่า
เหตุใดทีพีไอ ถึงได้ถูกกลุ่มคนแย่งชิงหุ้นและอำนาจบริหารจัดการวุ่นวาย จนมีข่าวคราวตอบโต้ระหว่างประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เจ้าของที่สร้างทีพีไอมากับมือตั้งแต่ปี 2521 กับกลุ่มอำนาจที่จะเข้ามายึด ไม่เว้นแต่ละวัน
ทั้งที่ทีพีไอ ก็เป็นบริษัทอยู่ในกลุ่มฟื้นฟูกิจการ ไม่แตกต่างกับอีกหลายสิบบริษัท ในตลาดหุ้น
แต่ทำไม ทีพีไอ กลับถูกแย่งชิงมากที่สุด ขณะที่บริษัทอื่นๆไม่ใครเหลียวตามอง
Why...!!!
กลุ่มบริษัททีพีไอ ของประชัย เลี่ยวไพรัตน์ มีอะไรดีนักหรือ !?!?
ใคร ? ต้องการยึดกิจการทีพีไอมูลค่ากว่าแสนล้าน ?
ประชัยชนกลุ่มก.คลัง
สถานการณ์ล่าสุดของกลุ่มบริษัททีพีไอ ขณะนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยงหัวต่อ เพราะจะช่วงชี้ชะตาว่า ประชัย จะได้บริษัทของเขาคืนหรือไม่
มันเป็นการช่วงชิงอำนาจบริหารและหุ้นทีพีไอระหว่างกลุ่มลูกหนี้เดิมที่มี ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เป็นหัวหอกกับกระทรวงการคลังที่นำรัฐวิสาหกิจในเครือเข้ามายึดทีพีไอ ซึ่งฝ่ายประชัยในยื่นคัดค้าน โดยศาลจะนัดพิจารณาในวันที่ 27 มิ.ย.นี้
สำหรับฝ่ายประชัยดึงกลุ่มซีติก รัฐวิสาหกิจจากจีนเข้ามาซื้อหุ้นในราคาหุ้นละ 5.50 บาท รวมเป็นเงินจำนวน 900 ล้านเหรียญฯหรือประมาณ 36,000 ล้านบาท ซึ่งแผนของประชัยก็คือ ต้องการนำมาจ่ายให้เจ้าหนี้ ซึ่งรวมแล้วมีอยู่ประมาณ 2,700 ล้านเหรียญฯ
“เมื่อจ่ายไปแล้ว 900 ล้านเหรียญฯที่เหลือเราก็กู้เงินมา อีกทั้งการที่เราขายหุ้นละ 5.50 บาท เราขายได้ราคาดีกว่าที่กระคลังขาย 2 บาท (คลังขาย 3.30 บาทต่อหุ้น)”ประชัย บอกถึงแผนของเขา
ตามแผนของประชัยก็คือ เขาต้องการที่จะคืนเงินให้เจ้าหนี้ได้หมดในจำนวน 2,700 ล้านเหรียญฯ โดยเงินจากซิติกส่วนหนึ่งและจะเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นเดิมอีกส่วนหนึ่ง
ขณะที่ฝ่ายของกระทรวงการคลังก็ใช้อำนาจตามที่แผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอ ระบุให้สิทธิเข้ามาทำการ โดย 1 มิถุนายนที่ผ่านมากระทรวงการคลัง สั่งดำเนินการให้กลุ่มพันธมิตรใหม่ นำโดย บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)เข้าซื้อหุ้นของบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีคัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือทีพีไอ โดย ปตท.จะเข้ามาถือหุ้น 31.5% เป็นหุ้นจำนวน 6,112.5 ล้านหุ้น คิดเป็นเงิน 20,270 ล้านบาท ส่วนธนาคารออมสิน, กบข., และกองทุนวายุภักษ์ 1 จะเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 10% สำหรับผู้ถือหุ้นเดิมมีสัดส่วน 20% และเจ้าหนี้ 8.5% โดยพันธมิตรหลักมีระยะเวลาถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 24 เดือน ราคาหุ้นที่ซื้อหุ้นละ 3.30 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 57,915 ล้านบาท หรือ 1,448 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
“แม้ว่านายประชัยจะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อชะลอการลงนามและมาเงินทุนใหม่มาชำระหนี้ ถ้าหากศาลรับคำร้องของนายประชัย กระทรวงคลังก็พร้อมจะดำเนินการตามการพิจารณาของศาล แต่เชื่อมั่นว่า แนวทางที่ดำเนินการอยู่จะสามารถแก้ไขทีพีไอให้ดีขึ้นได้”
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง บอก
เขายังยอมรับว่า “ฐานะของทีพีไอเริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและได้กำชับ ให้ทุกฝ่ายเร่งดำเนินการให้ทีพีไอออกจากแผนฟื้นฟูภายใน 2 เดือนนี้ และให้นำทีพีไอออกจากกลุ่มฟื้นฟูกิจการ (รีแฮปโก้) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพื่อเข้ามาซื้อขายในหมวดพลังงานตามปกติ จากนั้นพันธมิตรใหม่จะเร่งนำเงินเข้ามาชำระในการซื้อหุ้น”
ทำให้วันที่ 27 มิถุนายนนี้จะเป็นวันชี้ชะตาว่า ประชัยหรือกระทรวงคลัง ใครจะได้ครองทีพีไอ ซึ่งประชัยบอกว่า
“ลองคิดดูสิ ราคาที่ปตท.จะเข้ามาซื้อหุ้นทีพีไอนั้น ประมาณ 2 หมื่นกว่าล้าน แต่เงินสดหมุนเวียนของทีพีไอทุกวันนี้มีถึง 53,000 ล้านบาท ยังมีมากกว่าเสียอีก”
แฉไอ้โม่งรวมหัวยึด
สาเหตุที่ทำให้มีคนสนใจที่จะเข้ามายึด ทีพีไอ ในมุมของ ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เขาไม่ได้มองแค่จิ๊กซอเล็กๆในส่วนของกระทรวงคลังเท่านั้น แต่เขามองว่า เรื่องนี้เป็นสงครามทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับกลุ่มทุนสิงคโปร์ เลยทีเดียว
“ผมมาลองนั่งคิดดูและปะติดปะต่อภาพ ก็พบว่า ตั้งแต่แรกตั้งทีพีไอเมื่อปี 2521 ผมก็มีปัญหาไม่สามารถขอใบอนุญาตก่อสร้างโรงงานได้ ช่วงนั้นก็ไม่ได้คิดอะไร คิดว่าคุณชัยวัฒน์ (สินสุวงศ์)รมว.อุตสาหกรรม สมัยนั้นทำตามหน้า แต่พอไปดูลึกๆ พบว่ามีคนที่อยู่เบื้องหลังอีกคน ขณะนั้นเป็นรองนายกฯ”ประชัย ฉายภาพอดีต
สำหรับสาเหตุนั้นประชัยมองลึกไปถึง กลุ่มทุนข้ามชาติที่ต้องการสกัดไม่ให้ไทยมีโรงงานอุตสาหกรรมปิโครเคมีและน้ำมัน เพราะมองว่าเป็นอุตสาหกรรมที่เป็น Trend ของโลก และก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ วันนี้อุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมี คือหัวใจหลักของอุตสาหกรรมโลก และเป็นปัจจัยที่ 5 ไปแล้ว
“ผมบอกได้เลยว่า ลี กวน ยู สิงคโปร์ไม่ต้องการให้ไทยก่อตั้ง เพราะจะเป็นคู่แข่งสำคัญของเขา ผมกับเขารู้จักกันดี เขายังมาร่วมทุนกับน้องชายผม ทำนิคมอุตสาหกรรมเลย ผมเคยถามว่าจะมาร่วมทุนกันไหม เขาบอกว่าไม่เอา”ผู้ก่อตั้ง ทีพีไอ เล่า
ประชัย ปักใจเชื่อว่า เกมที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับทางการไทย หรือรัฐบาลไทย มีเงื่อนงำซับซ้อนอยากที่คนไทยจะเชื่อว่า นี่เป็นสงครามเศรษฐกิจระหว่างชาติ
“คุณลองไปดูสิ แบงก์พาณิชย์เกือบทุกแห่งมีทุนสิงคโปร์เข้ามาถือทั้งนั้น เพียงแต่ผ่านทางนอมินี่ ไม่ได้แสดงตัวจริงๆ แต่เขาจะมีอำนาจ หากใครไม่อยู่ภายใต้เขา เขาจะกดดันผ่านเครดิตไลน์ แค่ไม่ให้เงินกู้คุณก็แย่แล้ว”
สิ่งที่ประชัย กังขาและพยายามเชื่อมโยงก็คือ กลุ่มอำนาจจากสิงคโปร์ จะเป็นผู้อยู่เบื้อหลังที่ต้องการจะเข้ามายึดครองอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของเขา ผ่ายรัฐบาลไทย
“คุณคิดดู เขาซื้อเราหุ้นละ 3.30 บาท แต่ราคาของเรามูลค่า 13-14 บาท ส่วนต่างนี้ใครได้ ผมเชื่อว่ากระทรวงคลังก็อึดอัด ปตท. กบข.ออมสินและคนอื่นๆก็อึดอัด แต่ไม่รู้ทำยังไง เพราะมีคนสั่งให้ทำ ไม่ทำก็ไม่ได้ ผมเข้าใจคนเหล่านี้”
ปริศนาคำ My Boss want it
ความที่ประชัย อยู่ในสถานการณ์หลังชนฝา ทำให้เขาเป็นคนโผงผางมากขึ้น ชอบพูดแบบตรงไปตรงมา ทำให้เขาเคยพูดในเว็ปไซด์ Thaiinsider ของเอกยุทธ์ อัญชันบุตร ผู้ประกาศตัวเป็นปกปักษ์กับรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งล่าสุดได้ถูกกระทรวงไอซีทีสั่งปิดไปแล้ว ในข้อหาให้ข้อมูลทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐบาล โดยเฉพาะการตีแผ่เครือข่ายการถือครองหุ้นของรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ที่มีการโยงใยสร้างราคาหุ้น
ว่ากันว่า สาเหตุที่ทำให้เว็ปไซต์ดังกล่าวถูกปิด ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ทีมข่าวของ Thaiinsider ได้ให้ข้อมูลเรื่องใครจะเข้ามาฮุบกิจการทีพีไอของประชัยเช่นกัน
ความตอนหนึ่ง ประชัย พูดในเว็ปดังกล่าวว่า
...รัฐบาลมีความต้องการที่จะเข้ามาครอบครองกิจการทีพีไอ เป็นเพราะมีผลประกอบการที่ดีมาโดยตลอด เฉพาะในช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ากิจการของทีพีไอเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง สามารถทำกำไรได้เป็นแสนล้านบาท ปัจจุบันเฉพาะเงินสด ทีพีไอมีประมาณ 53,000 ล้านบาท คิดดูสิว่า จะมีธุรกิจอะไรบ้างที่สามารถมีผลประกอบการได้ดีเท่านี้ เพราะปัจจุบันธุรกิจปิโตรเคมีนั้น เป็นกิจการที่มีการเติบโตสูง แถมยังเป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมายอีกด้วย รัฐบาลจึงพยายามเข้ามายึดทีพีไอ โดยเข้ามาซื้อหุ้นทีพีไอ เพื่อหวังทำให้เป็นรัฐวิสาหกิจ หลังจากนั้นก็จะมีการนำไปแปรรูป เหมือนกับที่ทำกับปตท. โดยเมื่อนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯแล้วก็จะมีกลุ่มพรรคพวกตัวเองเข้ามาถือหุ้น...
...กิจการของทีพีไอ ที่วางโครงการของการทำธุรกิจด้านปิโตรเคมีครบวงจรนั้นเป็นโครงการที่ใหญ่ และมีคนที่เสียผลประโยชน์พยายามขัดขวาง หนึ่งในนั้นก็เริ่มจากนายลี กวน ยู อดีตนายกรัฐมนตรีสิงค์โปร์ที่พยายามสกัดกั้นไม่ให้ทีพีไอ ดำเนินธุรกิจนี้ได้ เพราะเท่ากับว่าจะไปเป็นคู่แข่งกับสิงค์โปร์โดยตรง จึงมีความพยายามอย่างมาก ผ่านมายังคนไทยบางคนเพื่อทำการสกัดกั้น จะเห็นได้ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่มีปัญหา ก็มีบริษัท เอฟเฟคทีฟ แพลนเนอร์ จำกัด เข้ามาดูแล แต่ก็มีปัญหาด้านการบริหารจัดการ จนต้องล่าถอยไป ก็เหมือนกับหนีเสือปะจระเข้ เพราะต่อมา กระทรวงการคลังก็เข้ามาควบคุมโดยตรง ผ่านทางกลุ่มผู้บริหารแผนที่มีกันอยู่ 5 คน หรือที่เรียกกันว่า 5 อรหันต์...
“ในตอนแรกที่กระทรวงการคลัง สมัยนั้นมีคุณสุชาติ เชาว์วิศิษฐ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รับผิดชอบอยู่ ผมก็คิดว่าน่าจะพูดคุยกันเพื่อหาทางออกของปัญหาได้ เพราะอย่างน้อยก็เป็นศิษย์เก่าอัสสัมชัญด้วยกันมา จึงหวังว่า ท่านสุชาติ น่าจะมาเป็นคนกลางในการเจรจาที่ดีได้ ปรากฏว่าวันหนึ่งท่านสุชาติก็บอกกับผมว่า คงช่วยอะไรมากไม่ได้ เพราะ My boss want it คิดดูสิว่า เกิดอะไรขึ้น เพราะคน ๆ นี้ถึงกับส่งคุณบุญคลี ปลั่งศิริ เข้ามาช่วยควบคุมดูแล ผ่านทางผู้บริหารแผนด้วย” ประชัยกล่าวในเว็ปไซต์ Thaiinsider ซึ่งขณะนี้ถูกปิดไปแล้ว รวมถึงเว็ปไซต์ของFM92.25 MH ซึ่งมีประชัยเป็นทุนใหญ่ก็ถูกสั่งปิดเช่นกัน
รสก.ก็ขยาดไม่อยากเข้าทีพีไอ
แม้ดูเหมือนว่ากระทรวงคลังจะพยายามจัดการเข้าไปแก้ไขปัญหาด้วยการนำ 5 รัฐวิสาหกิจเข้าไปซื้อหุ้นทีพีไอ แต่ว่ากันว่า ทั้งหมดต่างก็ไม่ต้องการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ เพราะมองว่าเป็นการใช้อำนาจรัฐเข้าไปจัดการอาจจะทำให้เกิดปัญหาภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อองค์กร บางส่วนก็มองว่า ทีพีไอเองก็มีหลายกลุ่มที่เข้าในไปบริหารจัดการ ทั้งกลุ่มอำนาจเก่า กลุ่มผู้บริหารแผน
“หากเข้าไปคงจะเกิดปัญหาแน่ ทำให้หลายคนคิดว่าจะผ่องถ่ายหุ้นออกไป โดยติดต่อกับกลุ่มทุนใหม่ จากสหรัฐฯซึ่งเป็นกลุ่มน้ำมันยักษ์ใหญ่ที่ประชัยรู้จักดี”คนในวงการ ปิโตรฯเล่า
ขณะที่ฝ่ายประชัยเองก็ยอมรับว่า เขาเคยนำทีพีไอ ไปเสนอให้กับกลุ่มทุนใหญ่ที่เป็นคู่ค้าเช่นกัน แต่ก็ไม่มีใครเอา จนกระทั่งกลุ่มทุนจากจีน ซึ่งต้องการเข้ามาลงทุน ไม่ต้องการเข้ามาบริหาร
“ผมไม่คิดว่าจะมีกลุ่มทุนอื่น ผมยังกลัวว่า รัฐบาลจะเอาจีนเข้ามาด้วย เพราะกำลังมีการเดินทางไปจีน”ประชัย ตั้งข้อสังเกต
ขณะที่แหล่งข่าวในรัฐบาล ยืนยันว่า รัฐบาลไม่ต้องการที่จะเข้ายึดครองทีพีไอ เพราะเกรงว่าจะถูกครหา ว่ารัฐเข้าแทรกแซงธุรกิจเอกชน ซึ่งจีนได้คอมเม้นท์เรื่องนี้มาด้วย ทำให้เป็นไปได้ว่า รัฐบาลจะให้กลุ่มซิติก เข้ามาเช่นเดิม แต่การมาของซิติก จะผ่านทางกระทรวงคลัง ไม่ใช่มาทางฝ่ายของประชัย เลี่ยวไพรัตน์
จับตา27มิ.ย.นี้ประชัยพ่าย?
สำหรับอนาคตของทีพีไอจะไปทางไหน ว่ากันว่า ขึ้นอยู่กับ วันที่ 27 มิถุนายนนี้ ซึ่งศาลล้มละลายกลางจะพิจารณากรณีการเข้ามาของพันธมิตรใหม่ ว่าจะให้ฝ่ายไหนกันแน่ระหว่างกระทรวงคลังกับฝ่ายของประชัย เลี่ยวไพรัตน์
จากการตรวจสอบเอกสารในแผนฟื้นฟูพบว่า มีบทกำหนดเรื่องการเข้ามาของกลุ่มทุนใหม่ โดยการระบุชัดเจนว่า กระทรวงคลัง มีอำนาจที่จะจัดการหากลุ่มทุนใหม่รวมไปถึงการจัดสรรหุ้นอีกด้วย ซึ่งประเด็นนี้ทำให้หลายคนมองว่า ศาลฯคงจะต้องยึดหลักเกณฑ์ในแผนฟื้นฟูฯและไฟเขียวให้กระทรวงคลังดึงกลุ่มทุนเข้ามา เท่ากับว่าประชัยมีโอกาสที่จะดึงกลุ่มทุนซิติกเข้ามาก็ยากที่จะเป้นไปได้
หากเป็นเช่นนั้น อนาคตของประชัย เลี่ยวไพรัตน์ จะเป็นอย่างไร ? เขาจะอยู่หรือไปจากทีพีไอ ?
ประชัย พูดถึงเรื่องนี้ตรงๆว่า เค้าไม่ให้ผมอยู่หรอก ผมต้องไปแน่ๆ แต่ผมมั่นใจว่า ผมชนะ
“ผมสร้างทีพีไอมากับมือ ผมลงทุนไปกว่าแสนล้าน ช่วงที่เกิดวิกฤต ตอนนั้นผมทิ้งไปก็ได้ แต่ผมไม่ทำ ผมยังเอาเงินมาลงทุนต่อก่อสร้างโรงงานให้เสร็จ พอเสร็จแล้วก็ทำเงินได้มหาศาลในวันนี้ทีพีไอมีรายได้ 165,000 ล้านบาท หากเราไม่ถูกฟรีซ เราจะมีรายได้ 2-3 แสนล้าน แต่เราเจอปัญหาตลอด เพราะเขาไม่ต้องการให้เราเกิด”ประชัย บอก
“ผมมันใจว่าผมชนะ ธรรมะย่อมชนะอธรรม”เขาทิ้งท้าย...
รุมทึ้งขุมทรัพย์ TPI แสนล้าน
8ปีที่ บริษัททีพีไอ เข้าสู่แผนฟื้นฟู ขณะที่กิจการนี้เป็นอุตสาหกรรมดาวรุ่งที่มีศักยภาพกว่าแสนล้าน ทำให้“ประชัย เลี่ยวไพรัตน์” ผู้ก่อตั้งบริษัททีพีไอ ต้องต่อสู้สุดชีวิตเพื่อรักษาธุรกิจของตระกูล.....จากหลายฝ่ายที่หมายปอง!
ตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ ก่อตั้งบริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทีพีไอ เมื่อวันที่ 3 ส.ค.2521 ด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 1 แสนล้านบาท โดยมีศักยภาพผลิตน้ำมันได้ 215,000 บาร์เรลต่อวัน ก่อนนำไปแยกประเภท โดยมีเป้าหมายที่จะดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีแบบครบวงจร
หลังจากนั้นในปี 2523 ตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ได้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจปูนซีเมนต์ โดยก่อตั้งบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) มีการสร้างโรงงานที่ อ.แก่งคอย สระบุรี พร้อมทั้งมีการก่อตั้งบริษัท TPI KMAN ISLAND เพื่อออกหุ้นกู้ ระดมเงินจากต่างประเทศเพื่อมาขยายกิจการของบริษัททีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน)
ทำให้บริษัททีพีไอโพลีนฯ สามารถขยายกำลังการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง ในปี 2533 มีกำลังการผลิต 78,000 ตัน/ปี 2535 มีกำลังการผลิต 2,900,000 ตัน/ปี 2538 มีกำลังการผลิต 5,800,000 บาท/ปี 2540 มีกำลังการผลิต 9,000,000 บาท/ปี ซึ่งส่งผลดีกับศักยภาพธุรกิจของกลุ่มบริษัททีพีไออย่างมาก
อย่างไรก็ดี เมื่อปี 2535 เพื่อขยายกิจการสู่เป้าหมายการทำธุรกิจปิโตรเคมีครบวงจร ทีพีไอจึงได้ขอกุ้เงินลงทุนจากสถาบันการเงินกว่า 140 แห่ง ทั้งในและต่างประเทศมาขยายกิจการ
หลังจากรัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 รวมทั้งสั่งระงับการดำเนินกิจการสถาบันการเงินรวม 58 แห่ง จากสถาบันการเงิน 84 แห่ง อุตสาหกรรมใหญ่ ๆ ของประเทศจำนวนมากต้องเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ โดย ทีพีไอ เป็นหนึ่งในนั้น โดยทีพีไอขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนทันทีกว่า 69,261 ล้านบาท มีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นกว่า 130,000ล้านบาท หรือ 3,500 เหรียญสหรัฐทันที
เมื่อเดือนธันวาคม 2541 ทีพีไอได้เสนอขอประนอมหนี้กับเจ้าหนี้ โดยธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ที่เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของทีพีไอได้เป็นโต้โผหลักในการรวมตัวกับเจ้าหนี้ทีพีไอรายอื่น ๆ ในนามคณะกรรมการเจ้าหนี้เพื่อทำหน้าที่ในการเจรจาการปรับโครงสร้างหนี้ให้กับทีพีไอ
คณะกรรมการเจ้าหนี้ได้มีการแต่งตั้งบริษัท เฟอร์เรียร์ ฮอดจ์สัน จำกัด ที่ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางด้านการเงินของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอ
EP ทึ้งก้อนแรก 1.7 พันล.
15 มีนาคม 2543 และ 15 ธันวาคม 2543 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของทีพีไอ และแต่งตั้งให้บริษัท เอ็ฟเฟคทีฟ แพลนเนอร์ส จำกัด (อีพี) เข้ามาเป็นผู้บริหารแผนของทีพีไอ ตามคณะกรรมการเจ้าหนี้เสนอ ซึ่งผู้บริหารทีพีไอคัดค้านเนื่องจาก อีพี เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการเงินของคณะกรรมการเจ้าหนี้ ทำให้กระบวนการฟื้นฟูกิจการเกิดความไม่เป็นธรรมกับลูกหนี้ แต่การคัดค้านไม่ประสบผล เพราะกฎหมายฟื้นฟูกิจการ ระบุให้อำนาจเจ้าหนี้มีสิทธิเลือกผู้บริหารแผนของลูกหนี้
ทั้งนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการที่กำหนดไว้ จะมีค่าใช้จ่ายในแผนฯ จำนวน 1,364 ล้านบาท ในระยะเวลาบริหาร 5 ปี (1 ม.ค.43-31 ธ.ค.47)
21 เมษายน 2546 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ อีพี พ้นจากผู้บริหารแผนฟื้นฟู หลังจากบริหารไปได้ 2 ปี 3 เดือน
โดยผู้บริหารทีพีไอ ระบุว่าอีพีไม่สามารถหารายได้เพียงพอที่จะนำมาชำระหนี้เงินต้นของทีพีไอให้กับเจ้าหนี้ได้เลย แต่กลับมีการใช้เงินทีพีไอไปกว่า 1,779 ล้านบาท เป็นค่าตอบแทนจำนวน 15,760,000 บาทต่อเดือน ค่าบริหารแผน 6,737,400 ล้านบาทต่อเดือน และค่าดูแลบริหารจัดการ 6,540,400 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกินกว่าค่าใช้จ่ายในแผนฟื้นฟูฯที่วางไว้ ทั้งนี้ที่สำคัญแผนฟื้นฟูฉบับเจ้าหนี้บริหารโดยอีพี เป็นฉบับแรกในโลกที่ไม่มีการลดหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย
นอกจากนี้ อีพี ยังมีการพยายามตัดขายสินทรัพย์ของทีพีไอ โดยเฉพาะการเร่งขายสินทรัพย์ที่ไม่ใช่สินทรัพย์หลัก ทั้งกิจการท่าเรือน้ำลึก โรงไฟฟ้า รวมถึงที่ดินในเขตนิคมอุตสาหกรรมทีพีไอในพื้นที่ต่าง ๆ และยังมีการลดกำลังการผลิตน้ำมันจากกำลังการผลิต 125,000 บาร์เรลต่อวัน ให้เหลือเพียงวันละ 65,000 บาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้ทีพีไอไม่มีรายได้เพียงพอในการชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ได้ รวมทั้งยังมีการแปลงหนี้ดอกเบี้ยค้างชำระของทีพีไอที่มีต่อเจ้าหนี้ให้เป็นหุ้นใหม่แก่เจ้าหนี้ ทำให้เจ้าหนี้มีหุ้นในจำนวนร้อยละ 75 ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด
ก้อน 2-ผู้บริหารแผนฯ ใช้กว่า 1,185 ล.
11 กรกฎาคม 2546 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้กระทรวงการคลังเข้ามาเป็นผู้บริหารแผนชุดใหม่ของทีพีไอ โดยกระทรวงการคลังเสนอชื่อ พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฎฐ์ (ประธาน) ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา,พละ สุขเวช,ดร.ทนง พิทยะ และ อารีย์ วงศ์อารยะ เป็นตัวแทนกระทรวงการคลังเข้าบริหารแผนฟื้นฟูฯ แทนอีพี
เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซ้อน เมื่อผู้บริหารเดิมทีพีไอ ทำเรื่องร้องเรียนกับวุฒิสภา ว่านับตั้งแต่ผู้บริหารแผนชุดใหม่เข้ามา (ก.ค.46 – ธ.ค. 47) ผู้บริหารแผนมีการใช้เงินของทีพีไอไปแล้วกว่า 1,185 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการซ้ำรอยเดิมกับอีพี
โดยผู้บริหารแผนได้อนุมัติค่าตอบแทนของตัวเองและค่าที่ปรึกษา ตั้งแต่ ก.ค.46- มิ.ย.47 พบว่าได้มีการใช้จ่ายเงินทีพีไอไปกว่า 422 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.ค่าตอบแทนผู้บริหารแผนกว่า 42 ล้านบาท (พล.อ.มงคล ได้เงินเดือน 1 ล้านบาทต่อเดือน ปกรณ์,พละ,อารีย์ ดร.ทนง ได้เงินเดือนรายละ 750,000 บาทต่อเดือน) 2.ค่าตอบแทนที่ปรึกษาส่วนบุคคลของผู้บริหารแผนและคณะบุคคลตัวแทนกระทรวงการคลัง 10,857,784.94 ล้านบาท (นิพัทธ พุกกะณะสุต,วิจิตร สุพินิจ,วิเชียร วิริยะประสิทธิ์ และดร.วีรพงษ์ รามางกูร ได้รายละ 200,000 บาทต่อเดือน) 3.ค่าที่ปรึกษาด้านต่าง ๆ ของผู้บริหารแผนกว่า 368 ล้านบาท
26 สิงหาคม 2546 อารีย์ วงศ์อารยะ, ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ในนามผู้บริหารแผนทีพีไออนุมัติให้ทีพีไอว่าจ้างบริษัท ซินเนอจี โซลูชั่น จำกัด เป็นผู้ให้บริการดำเนินภารกิจและบริหารกิจการและทรัพย์สินของทีพีไอ รวมทั้งจัดทำการปรับปรุงแผนและประสานงานกับเจ้าหนี้ ด้วยค่าจ้างเดือนละ 20 ล้านบาท
มีข้อสังเกตว่าบริษัท ซินเนอจี โซลูชั่นจำกัด เพิ่งก่อตั้งเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2546 ก่อนหน้าได้รับคัดเลือกให้บริหารงานทีพีไอเพียง 1 วัน และมีทุนจดทะเบียนเพียง 1 ล้านบาท ทั้งนี้ผู้บริหารแผนฯ ยังอนุมัติให้มีการจ่ายเงินเดือนย้อนหลังให้บริษัทซินเนอจีฯ ตั้งแต่วันที่ 11 ก.ค. 46 ซึ่ง ณ เวลานั้น บริษัทซินเนอจี ยังไม่ได้ก่อตั้ง นอกจากนี้เงินเดือนพนักงานของบริษัทยังมากเกินความจำเป็น โดยอยู่ในระดับหลักหมื่นจนถึง 350,00 บาทต่อเดือน
10 พฤศจิกายน 2547 ศาลล้มละลายกลาง ไม่ได้ห้ามไม่ให้ผู้ถือหุ้นเดิมเข้ามาลงทุนในการซื้อหุ้นเพิ่มทุนใหม่
8 เมษายน 2548 ศาลล้มละลายกลาง ยกคำร้องของลูกหนี้กรณีร้องขอให้ศาลล้มละลายกลาง ยกคำร้องของลูกหนี้กรณีร้องขอให้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งถอดถอนตัวแทนกระทรวงการคลังในนาม “คณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอ” ที่มี พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฎร์ เป็นประธาน พ้นจากการเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูทีพีไอ
19 เมษายน 2548 กิตติรัตน์ ณ ระนอง กรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แถลงข่าวกรณีทีพีไอ ว่าเป็นหุ้นที่สามารถออกจากหุ้นหมวดฟื้นฟูกิจการได้แล้ว เนื่องจากมีคุณสมบัติตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์ทุกประการ โดยพิจารณาจากผลประกอบการปี 2547 ที่มีกำไรต่อเนื่อง 3 ไตรมาส และสามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้เกิน 75% แต่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง แถลงข่าวว่า จะไม่รีบนำ ทีพีไอออกจากหุ้นกลุ่มรีแฮปโก้
ส่ง ป.ป.ช.สอบ-จ่ายเงินเดือนย้อนหลังซินเนอจี
25 กุมภาพันธ์ 2548 ส.ว.กลุ่มหนึ่งนำโดย คำนวณ เหมาะประสิทธิ์ ส.ว.อุตรดิตถ์ ในฐานะผู้ถือหุ้นทีพีไอ เข้าพบผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ อดีต รมช.คลัง ร่วมกับ อารีย์ วงศ์อารยะ อดีต รมช.ศึกษาธิการ ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ผู้ปฏิบัติงานแทนกระทรวงการคลัง จุมพล ศานติวงศ์ และศิริ จิระพงษ์พันธ์ กรรมการบริษัทซินเนอจีฯ ในความผิดฐานเบียดบังเอาทรัพย์สินของทีพีไอเป็นของตนเองหรือของผู้อื่นโดยทุจริต หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
สำหรับกรณีจ่ายเงินเดือนย้อนหลังให้บริษัทซินเนอจี ขณะนี้มีความคืบหน้าจากพนักงานสอบสวนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งสอบสวนแล้วเห็นว่าคดีมีมูลความผิด จึงได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณาเอาผิดต่อคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการทีพีไอ
27 มิ.ย.วันตัดสินเจ้าของ TPI
1 มิถุนายน 2548 กระทรวงการคลังแถลงการลงนามสัญญาซื้อขายหุ้นบริษัททีพีไอ ในราคาหุ้นละ 3.30 บาท จำนวน 17,550 ล้านหุ้น แยกเป็นหุ้นเพิ่มทุนใหม่จำนวน 11,651 ล้านหุ้น และหุ้นเดิมของเจ้าหนี้จำนวน 5,899 ล้านหุ้น เป็นเงินทั้งสิ้น 57,915 ล้านบาท โดยบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ร้อยละ 31.5 ธนาคารออมสิน ร้อยละ 10 กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ร้อยละ 10 กองทุนวายุภักษ์ 1 ร้อยละ 10 ผู้ถือหุ้นเดิม ร้อยละ 20 และเจ้าหนี้ตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ทางการเงิน ร้อยละ 8.5
25 พฤษภาคม 2548 ประชัย ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางในฐานะผู้ค้ำประกัน เพื่อขอชำระหนี้ทีพีไอจำนวน 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยดึงซิติก กรุ๊ป จากจีนเข้ามาร่วมทุน โดยระบุว่าเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมด 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ เจ้าหนี้ไม่ต้องตั้งสำรองหนี้สูญอีกต่อไป โดยทีพีไอไม่จำเป็นต้องออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่ แต่จะใช้หุ้นที่เจ้าหนี้ถืออยู่ 5899 ล้านหุ้น มาจัดสรร โดยผู้ถือหุ้นเดิมจะได้หุ้นเพิ่ม 5% หรือประมาณ 392 ล้านหุ้น เสนอขายหุ้นละ 6.54 บาท เพื่อรักษาสัดส่วนผู้ถือหุ้นเดิมไว้ที่ 30% แต่ใส่เงินน้อยกว่าเพียง 392 ล้านบาท ทำให้ราคาตามบัญชีอยู่ที่ 12 บาท/หุ้น
27 มิถุนายน 2548 ศาลล้มละลายกลางนัดพิจารณาคำร้องดังกล่าว......และผลการตัดสินครั้งนี้จะชี้ชะตา ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และผู้ถือหุ้น TPI และ TPIPL !
โบรกชี้เลี่ยง TPI รอความชัดเจน แนะเก็บ TPIPL
ความหวังของประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ผู้ก่อตั้งบริษัท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย จำกัด(มหาชน) หรือ TPI ที่พาพันธมิตรสัญชาติจีนอย่างซิติก กรุ๊ป (Chaina International Trust & Investment Corp.) เป็นทางเลือกในการแข่งกับผู้บริหารแผนอย่างกระทรวงการคลัง ที่ดึงเอาพันธมิตรที่ประกอบด้วย ปตท. ธนาคารออมสิน กบข. กองทุนวายุภักษ์1 เข้าถือหุ้น 61.5% เมื่อ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา ด้วยเงื่อนไขที่เจ้าหนี้ได้รับเงินคืนทันที 1.44 พันล้านเหรียญสหรัฐ ที่เหลือเป็นการทยอยชำระ
ขณะที่กลุ่มของประชัยและพันธมิตรเสนอชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ทันที 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ และใส่เงินใหม่เข้าไปอีก 392 ล้านบาท น้อยกว่าแผนของกระทรวงการคลังทึ่ต้องใส่เงินใหม่อีก 1.28 หมื่นล้านบาท และไม่ต้องขายหุ้นบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด(มหาชน) จำนวน 249 ล้านหุ้นออกมา โดยที่ผ่านมาเกิดความขัดแย้งกันระหว่างผู้บริหารแผน(กระทรวงการคลัง)กับกลุ่มของประชัย
ทั้งนี้เมื่อ 25 พฤษภาคมที่ผ่านมาศาลล้มละลายได้มีคำสั่งให้ประชัยและพันธมิตรสามารถนำเงินมาวางเพื่อชำระหนี้ 2.7 ล้านเหรียญได้ ขณะที่กระทรวงการคลังรีบเร่งหาพันธมิตรที่เป็นเครือข่ายของรัฐเข้าซื้อหุ้น TPI อย่างเร่งด่วนเมื่อ 1 มิถุนายน ขณะนี้ต่างฝ่ายต่างรอผลการพิจารณาของศาลล้มละลายกลางในวันที่ 27 มิถุนายนว่าใครจะได้สิทธิในการฟื้นฟูกิจการทีพีไอ
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้ประมาณการณ์ยากว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ถ้าพิจารณาจาก 2 แนวทางที่จะออกมา คือเป็นไปตามแผนฟื้นฟูกิจการของกระทรวงการคลัง หรือ เป็นไปตามแผนที่กลุ่มประชัยและซีติกเสนอมา
เมื่อพิจารณาจากแผนของกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นผู้บริหารแผนปัจจุบัน เงื่อนไขที่เสนอปรับโครงสร้างหนี้ราว 1.8 พันล้านเหรียญชำระด้วยเงินสด อีก 250 ล้านเหรียญใช้วิธีการขายหุ้นที่ทีพีไอถือในทีพีไอ โพลีนออกมา 250 ล้านเหรียญ หนี้อีก 650 ล้านเหรียญใช้วิธีขายส่วนทุนหรือแปลงหนี้เป็นทุน ส่วนดอกเบี้ยค้างชำระ 250 ล้านเหรียญจะทำเมื่อแก้หนี้ก้อน 650 ล้านเหรียญได้สำเร็จ และจะเพิ่มทุนอีก 1.16 หมื่นล้านบาท
แผนฟื้นฟูของกระทรวงการคลังที่เสนอมาถือว่าเป็นรูปธรรม อีกทั้งชื่อของกระทรวงการคลังช่วยสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนได้ดี
อย่างไรก็ตามแผนการฟื้นฟูของกลุ่มประชัยและซีติกนั้น การนำเงิน 2.7 พันล้านเหรียญสหรัฐมาวางทั้งจำนวน ไม่ต้องขาย TPIPL ออกไป และใช้เงินเพิ่มทุนน้อยกว่าแผนของกระทรวงการคลังมาก ก็อาจโน้มน้าวใจบรรดาเจ้าหนี้ได้ไม่น้อย โดยหลักการถือข้อเสนอที่ดีกว่าของกระทรวงการคลัง แต่ติดตรงที่หลายคนอาจไม่เชื่อใจคุณประชัยเท่านั้น
“หากผลออกมาว่าทีมบริหารแผนของกระทรวงการคลังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ คาดว่าผลตอบรับน่าจะออกมาในทางบวก ตรงกันข้ามหากกลุ่มคุณประชัยเข้ามาบริหารแผนแทน จะเกิดผลกระทบทางลบต่อจิตวิทยาการลงทุน แต่เชื่อว่าคงเป็นแค่ระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากการฟื้นฟูในขั้นต่อไปต้องใช้ระยะเวลาอีกนาน” นักวิเคราะห์หลักทรัพย์กล่าว
หันกลับมาที่ราคาหุ้นของ TPI มีการกระตุกราคาจากระดับ 8 บาทเศษในช่วงกลางเดือนเมษายน และไล่ราคาเกินกว่า 14.40 บาทในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม(ก่อนกระทรวงการคลังเซ็นสัญญากับพันธมิตเพียงแค่วันเดียว) เป็นที่น่าสังเกตุว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้บริหารแผนแต่ละครั้งจะมีผลต่อราคาหุ้น TPI ในทางบวกเสมอ รวมทั้งหุ้นของ TPIPL ด้วย
สำหรับราคาหุ้น TPI ที่ระดับ 13 บาทถือว่าค่อนข้างสูง เราแนะนำให้นักลงทุนรอความชัดเจนที่จะเกิดขึ้น เพราะการเข้ามาของพันธมิตรของกระทรวงการคลังโดยมี ปตท.เป็นหัวหอกถือ 3.15% นั้น เป็นเพียงแค่ขั้นตอนแรก เนื่องจากจะต้องมีการเข้าตรวจสอบสถานะที่แท้จริงของ TPI ก่อนตัดสินใจซื้อ อีกทั้งราคาที่ 3.30 บาทนั้นถือว่าค่อนข้างต่ำจากราคาที่ซื้อขายในตลาดมาก หากทุกอย่างเดินไปตามแผนทั้งหมด หุ้น TPI ก็จะถูกกระทบจากหุ้นเพิ่มทุน 1.16 หมื่นล้านหุ้น ซึ่งราคาหุ้นมีสิทธิลดลงมาได้ราว 50%
นักลงทุนต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าจะเข้ามาลงทุนใน TPI เพราะเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจด้านปิโตรเคมีหรือไม่ ถ้าใช่เราคิดว่ามีหุ้นปิโตรเคมีอีกหลายบริษัทที่น่าสนใจ และไม่มีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนเรื่องการบริหารงาน แต่ถ้าต้องการเข้ามาเก็งกำไรก็ต้องพร้อมรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นด้วย สำหรับเราแล้วไม่แนะนำในระยะนี้
ความเชื่อมโยงของหุ้น TPI ยังส่งต่อไปยังหุ้น TPIPL เนื่องจากตัว TPI ถือหุ้นอยู่ใน TPIPL ราว 30% ซึ่งผู้บริหารแผน TPI เตรียมเสนอขายหุ้นในส่วนนี้ให้กับผู้สนใจ ดังนั้นคงต้องขึ้นกับผู้ซื้อด้วยว่าจะเป็นใคร แต่คนที่เข้ามาซื้อก็คงต้องคิดหนักเหมือนกันเนื่องจากผู้บริหารแผน TPIPL เป็นคุณประชัย หากผู้ถือหุ้นรายใหม่ใน TPIPL เข้ามาเพียงแค่ถือหุ้นก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าจะเข้ามาปรับเปลี่ยนนโยบายก็อาจจะประสบปัญหา เพราะผู้บริหารแผนคือเจ้าของกิจการเดิม
ด้านราคาหุ้น TPIPL ที่เคลื่อนไหวบริเวณ 30 บาทขณะนี้ถือว่ายังลงทุนได้ เนื่องจากราคาที่ซื้อขายยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ที่ผ่านมาราคาหุ้น TPIPL ถูกนำไปผูกโยงกับปัญหาที่เกิดขึ้นในตัว TPI และคุณประชัย ทำให้ราคาไปได้ไม่ไกล
TPIPL ยังถือว่าลงทุนได้ เรายังให้ราคาเป้าหมายในเชิงอนุรักษ์นิยมที่ 35 บาท หากทุกอย่างชัดเจนเชื่อว่าราคาน่าจะเข้าใกล้มูลค่าทางบัญชีมากขึ้น
----------------------
ข่าวว่า คุณประชัย ไม่ลาออก แล้ว ขอให้สู้ต่อไป ให้กำลังใจ
ขอโทษ จขกท หากไม่ตรงกับกระทู้...
เคยเห็นข่าว นายพายัพ กับพวกวงศ์สวัสดิ์ ปั่นหุ้น ในตลาดทรัพย์ บ่อยมาก