ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
20-04-2025, 12:55
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ได้รับหนังสือฟรีมา 2 เล่ม มาถอด"รหัสลับ" กันเถอะ: ทักษิณ Where are you ? 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ได้รับหนังสือฟรีมา 2 เล่ม มาถอด"รหัสลับ" กันเถอะ: ทักษิณ Where are you ?  (อ่าน 1745 ครั้ง)
\(^_^)/
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 617



« เมื่อ: 06-12-2007, 03:55 »

ได้รับหนังสือฟรีๆ มา 2 เล่ม มาถอด"รหัสลับ" กันเถอะ:

เพื่อนๆหากมีเวลาว่างมาถอด "รหัสลับเหลี่ยม" กันเถอะ


http://www.hi-thaksin.org/subcontent/thaksin_where_r_u.html                          ทักษิณ Where are you ?


http://www.hi-thaksin.org/subcontent/thaksin_24_hr.html                                              ทักษิณ 24 ชั่วโมง หลังรัฐประหาร


เล่มหลังแปลหลายภาษา ภาษาจีนกลาง ออกเสียงว่า

"ทา สิ้ง เตอ เอ๋อ สือ ซื่อ เสี่ยว สือ"


   

       
                                           
บันทึกการเข้า

 
\(^_^)/
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 617



« ตอบ #1 เมื่อ: 06-12-2007, 12:33 »

                     ทักษิณ 24 ชั่วโมง หลังรัฐประหาร
บทที่ 1: เสียงโทรศัพท์ยามอรุณรุ่ง   

ตอนที่ 1   

 วันที่ 19 กันยายน2549 เวลาตีห้า ท้องฟ้าในมหานครนิวยอร์กกำลังจะสว่าง ดวงดาวค่อยๆ ลับขอบฟ้าท้องฟ้า เป็นสีครามและเงียบสงัด

           มีพยากรณ์อากาศว่า วันนี้มีอุณหภูมิโดยเฉลี่ย 23 องศาเซลเซียสระดับความชื้น 78%

           นับเป็นวันที่มีอากาศแจ่มใสวันหนึ่งลมในฤดูในไม้ร่วงพัดปะทะเบาๆ กับใบหน้าช่วงรุ่งสางเป็นช่วงที่มหานคร นิวยอร์กเงียบสงัดที่สุดลมในช่วงรุ่งสางพัดผ่านใบไม้ไป ทำให้ได้ยินเสียงนกร้องในสวนสาธารณะ

           หากเป็นเมื่อ 5 ปีก่อนนี้ ยังสามารถขึ้นไปยืนอยู่ตึกที่สูงที่สุดของมหานครนิวยอร์กได้ นั่นคือตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์

           ที่ซึ่ง สามารถชมทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ร่วงในสวนสาธารณะได้ปัจจุบันนี้ สถานที่ที่นั้นเหลือเพียงแต่หลุมใหญ่ๆ 2 หลุมและป้ายรำลึกที่สลักชื่อผู้เสียชีวิต พร้อมทั้งมีรั้วเหล็กกั้นไว้

           เมื่อ 2-3 วันก่อนที่นี่เพิ่งจัดงานรำลึกครบรอบ 5 ปีของเหตุการณ์ 9/11 ประธานาธิบดีบุชและภรรยาได้มาวางช่อดอกไม้ด้วยตนเองคนจำนวนไม่น้อยจุดเทียน เพื่อรำลึกถึงวิญญาณผู้เสียชีวิตปัจจุบันนี้บนรั้วเหล็กที่กั้นสิ่งปรักหักพังของตึกเวิลด์เทรดนั้นเต็มไปด้วยดอกไม้ และธงชาติสหรัฐฯจำนวนมาก

           ตามแผนงานของมหานครนิวยอร์ก หลังจาก 3 เดือน อเมริกาจะก่อสร้าง“ตึก แห่งเสรีภาพ” บนพื้นที่ของตึกเวิลด์เทรดเดิม

           แต่ทว่าหากไม่เปลี่ยนแปลงความเคยชินที่ใช้ความรุนแรงและอาวุธ แก้ไขปัญหามนุษยชาติก็ไม่อาจมีเสรีภาพตลอดไป ความเจ็บปวดของมนุษย์ก็ไม่มีทางสิ้นสุด

           ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ซึ่งมีอายุ 57 ปี ณขณะนั้นกำลังนอนในห้องเพรส ซิเดนท์เชี่ยลสวีทของ โรงแรมแกรนด์ไฮแอทนิวยอ์รกม่านสีทึบกั้นหน้าต่างในห้อง ทำให้แสงสว่างของอรุณรุ่งไม่สามารถเล็ดลอดเข้ามาในห้องนอนได้ ในห้องเงียบสงัด จนได้ยินเสียงหายใจเบาๆ ของคนที่กำลังหลับ

           เขานอนไม่หลับพลิกตัว กลับไปกลับมาหัวคิ้วที่ขมวดอยู่เผยให้เห็นร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามานาน ศีรษะกว้างและใหญ่ รอยย่นปรากฏเป็นริ้วๆ ขอบใต้ตาดำคล้ำ มีถุงใต้ตาอย่างชัดเจนรูปหน้าทรงกลม/เหลี่ยม อาจเป็นเพราะความขาว หมดจดของใบหน้าจึงทำให้ดูเหมือนอายุยังไม่มากนัก

           แต่เมื่อดูโดยรวมแล้วนี่เป็นใบหน้าที่บ่งบอกถึงความ เหน็ดเหนื่อยตรากตรำ หลังจากเกิดเรื่อง “รถวางระเบิด” เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดกันสับสนไปหมด

           ตั้งแต่นั้นมาเขาก็นอนอย่างไม่สบายใจ ทั้งกลางวันและกลางคืน เขาถูกล้อมรอบไปด้วยภัยคุกคามที่อาจรู้ได้ว่าจะ มาจากไหนศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดฉับพลันก็ออกมา สร้างความตกใจให้กับเขาหลังจากเกิดเหตุการณ์ ดังกล่าว

           เขาได้กล่าวว่า วันนั้นเป็นวันที่เขารู้สึกเครียดมากที่สุดตั้งแต่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาและมันยังน่า กลัวกว่าเมื่อเทียบกับเรื่องที่เกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงต่อจากนี้

           ตอนเช้าของวันที่ 24 สิงหาคม 2549 ฝ่ายตำรวจของไทยประกาศว่าพบรถยนต์บรรทุกวัตถุระเบิดน้ำหนัก 67 กิโลกรัม บริเวณใต้ทางด่วนแห่งหนึ่งซึ่งมีระยะ1 กิโลเมตร

           ใกล้กับที่พักของนายกรัฐมนตรีบริเวณเขตปริมณฑล เป็นระเบิดทีเอ็นทีที่มีน้ำหนัก 5 กิโลกรัมและยังพบน้ำมันเบนซินผสมกับปุ๋ยซึ่งบรรจุในถุงจำนวนกว่า 10 ถุง นอกจากนี้ยังมีระเบิดซีโฟร์ 3 ลูกรวมทั้งดินระเบิดที่มีลักษณะเป็นพลาสติกจำนวนหนึ่ง และสายชนวนและท่อ นำ

           ฝ่ายตำรวจกล่าวว่าวัตถุระเบิดเหล่านี้ซุกซ่อนอยู่ในส่วนต่างๆ ของรถและติดตั้งติดกับรถมาอย่างดี นอกจากนี้ ตัวรถยังติดตั้ง remote sensing ด้วยซึ่งเพียงแค่กลุ่มผู้ก่อการร้ายกดปุ่มควบคุมในระยะไกลพลังของระเบิดก็ จะสามารถทำลายสิ่งปลูกสร้างในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรให้กลายเป็นผุยผงได้ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่นิดว่า

           ระเบิดนี้ มุ่งทำร้ายทักษิณตำแหน่งที่รถจอดอยู่ก็เป็นถนนสายที่ขบวนรถของนายกรัฐมนตรีจะต้องผ่านทุกวันเวลาก็ ประจวบเหมาะพอดี 9 โมงซึ่งเป็นเวลาที่นายกรัฐมนตรีมาทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล

           นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษก รัฐบาลออกมากล่าวในงานแถลงข่าวว่า “ในตอนนั้นลูกระเบิดได้เตรียมการไว้อย่างด ีและพร้อมที่จะระเบิดสาย นำไฟฟ้าถูกเชื่อมต่อกับท่อลำเลียง และยังใช้ถุงทราย 7 ถุงเพื่อบังคับทิศทางระเบิด และรับประกันว่าระเบิด จะต้องมุ่งทิศทางไปยังขบวนรถของนายกรัฐมนตรีแน่นอน”

           ตำรวจได้ควบคุมตัวร้อยโทธวัชชัยกลิ่นชนะซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์คนดังกล่าวได้ที่เกิดเหตุ และได้ขับรถไปใต้ทาง ด่วนนั้นแต่ว่า ผู้ต้องสงสัยปฏิเสธความผิด นายธวัชชัยยืนยันว่าตนไม่ทราบแผนการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี เลยและไม่รู้ด้วยว่ามีระเบิดติดตั้งในรถคันดังกล่าว

           สำหรับชื่อของระเบิดซีโฟร์และทีเอ็นที ตนก็แทบจะไม่เคย รู้จักแค่มีเพื่อนหนึ่งฝากให้เขาขับรถคนนี้ไปที่ที่ใกล้กับบ้านพักของนายกรัฐมนตรี เขาจึง“ทำตามอย่างงงๆ”

           ข้อแก้ตัวนี้เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถเชื่อถือได้เนื่องจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เมื่อ 2-3 เดือนก่อนเห็นรถยนต์สีเทาเงินคันหนึ่งตามขบวนรถนายกรัฐมนตรีอย่างลับๆ ล่อๆ

           และสามวันก่อนเกิด เรื่องรถยนต์คันนี้ก็ขับกลับไปกลับมาและมีท่าทางน่าสงสัยบนถนนใกล้กับบ้านพักของนายกรัฐมนตรี

           และเช้าตรู่ ของวันนั้นเมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพบเห็นรถคันดังกล่าว กำลังกลับรถไปมาจึงรีบแจ้งตำรวจทันที

           หลังจากที่ทักษิณรอดตายจากภัยนี้แล้วทักษิณก็ได้กล่าวที่ทำเนียบรัฐบาลซึ่งรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดว่า ในวันนั้นตนเคราะห์ดีที่สามารถรอดจากประตูนรกนั้นได้

           สาเหตุสำคัญก็คือได้รับแจ้งจากสำนักข่าวกรองได้ ทันเวลา จึงได้ออกจากที่พักก่อนหน้านั้น 1 ชั่วโมง

           ทักษิณยังบอกอีกว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้รู้ถึง แผนการชั่วร้ายที่จะสังหารนายกรัฐมนตรีหลายครั้งในระยะ2-3 เดือนนี้

           สำหรับการบงการเบื้องหลังเหตุการณ์ ลอบสังหารนี้ทักษิณเชื่อว่าอย่างน้อยมีผู้ที่เกี่ยวข้อง 4 คนโดยเป็นนายทหารระดับสูงทั้งยังอยู่ในตำแหน่งและ เกษียณแล้ว แต่ความจริงจะเป็นใครนั้นยังไม่สะดวกที่จะเปิดเผย

           เพื่อความปลอดภัย ทักษิณได้ยกเลิกกำหนดการต่างๆในช่วงบ่ายวันนั้น เช่น การพบปะกับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ชายแดนไทย-กัมพูชากำหนดการเดินทางไปตรวจเยี่ยมภัยน้ำท่วมในภาคเหนือก็ถูกเลื่อน ออกไป

           เมื่อสมาชิกพรรคไทยรักไทยมาให้กำลังใจทักษิณนั้นเขาได้บอกกับสมาชิกพรรคว่าตอนนี้เขาเองยังเอา ตัวไม่รอด เกรงว่าจะไม่สามารถออกสู่เวทีสาธารณะเพื่อรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งที่จะมาถึงได้เขาเร่งเพิ่มกำลัง หน่วยรักษาความปลอดภัยถึง 30 คนและจัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจำนวนกว่า 10 คนดูแลภรรยาและลูก ของตน

           นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทักษิณเอาชีวิตรอดมาได้ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 มีนาคม2544 เมื่อเขาได้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี

           เพียง 25 วันเขาก็ได้รับรู้รสชาติของการถูกลอบสังหาร ในวันนั้น เครื่องบินโบอิ้ง 747 ลำหนึ่ง ของการบินไทยซึ่งบรรทุกผู้โดยสารจำนวน 129 คน เดินทางจากกรุงเทพฯไปยังจังหวัดเชียงใหม่

           ผู้โดยสารบน เครื่องซึ่งรวมทั้งทักษิณที่เพิ่งได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยลูกชายรวมทั้งข้าราชการจำนวน 20 คน เตรียมพร้อมขึ้นเครื่องวินาทีที่เครื่องบินเตรียมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้านั้น

           ที่นั่งชั้นหนึ่งหมายเลข 11A ที่เขาได้จอง ไว้เกิดระเบิดขึ้นกะทันหัน ผู้โดยสารที่อยู่บริเวณรอบๆที่นั่งนั้นได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

           แต่ที่โชคดีก็คือที่นั่งนี้ ไม่มีใครนั่งอยู่ในตอนนั้นทักษิณผู้ซึ่งตรงต่อเวลามาโดยตลอดตัดสินใจที่จะรอลูกชายซึ่งก็คือ นายพานทองแท้ที่ มาถึงช้า

           วันนั้นลูกชายก็ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงมาช้า 25 นาทีแต่ในที่สุดก็ได้ช่วยชีวิตพ่อของตนไว้ได้

           ฝ่ายทหารและตำรวจได้พบระเบิดฟอสฟอรัสขาวชนิดหนึ่ง ในบริเวณที่เกิดเหตุโดยระเบิดได้ถูกติดตั้งไว้ใต้ที่นั่ง ของนายกรัฐมนตรีและลูกชาย ทั้งเวลาและสถานที่ชัดเจนเช่นนี้

           จึงทำให้เกิดความคลางแคลงสงสัยว่ามันเป็นการ กระทำของ “หนอนบ่อนไส้”

           อย่างไรก็ตาม ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ถึง 1 เดือนสำนักข่าวกรองแห่งชาติยัง ไม่ได้รับแจ้งมาก่อนว่ากลุ่มอำนาจใดต้องการทำร้ายทักษิณตำรวจสันนิษฐานว่าผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหาร อาจจะเป็นผู้ค้ายาเสพติดในประเทศพม่าและบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ

           เนื่องจากทักษิณมาเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ นานก็ได้ประกาศว่า งานสำคัญของรัฐบาลใหม่ในอีก4 ปีข้างนี้คือ “ปราบปรามการค้ายาเสพติดให้หมดสิ้น”

           ด้วยเหตุนี้ทักษิณจึงพบปะกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานต่างๆเพื่อเสนอวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการ กวาดล้างยาเสพติด

           ท่าทีเช่นนี้ของทักษิณทำให้พวกค้ายาเสพติดเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ

           2 ปีต่อมาก็มีข่าวอันน่าสะพรึงกลัวออกมา จากนอกประเทศว่าพวกค้ายาเสพติดได้ตั้งเงินรางวัลจำนวน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐแก่มือปืนที่สามารถฆ่าตัดหัว ทักษิณได้

           และยังมีรายงานข่าวอย่างเป็นตุเป็นตะว่าข่าวกรองที่สำคัญนี้ได้ถูกส่ง มาถึงกองอำนวยการรักษาความ มั่นคงภายใน (กอ.รมน.) และสำนักข่าวกรอง โดยเจ้าหน้าที่จากสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยผู้ที่ได้ ช่วยชีวิตทักษิณคือชาวอเมริกันจริงหรือ

           รัฐบาลไทยปิดปากเงียบไม่พูดสักคำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พูดแต่เพียงว่า“มือมีดชาวต่างชาติที่วางแผนมุ่งร้ายลอบสังหารทักษิณยังไม่ได้เข้าประเทศไทย”

           ภาพอันน่าสยดสยองของการเสียเสียชีวิตของพวกค้ายาเสพติดที่มีมาอย่างต่อเนื่องทักษิณได้แสดงว่าตนไม่สะทก สะท้าน

           เขากล่าวว่าตนจะไม่ประนีประนอม เพราะ“เรามีการเตรียมพร้อมป้องกันไว้แต่แรกแล้ว ดังนั้น ผมเองไม่ ห่วงเลยแม้แต่นิด”

           หนึ่งในมาตรการเตรียมพร้อมป้องกันก็คือ เวลาออกเดินทางจะไม่ใช้รถยนต์ที่หรูหราแต่จะ เปลี่ยนมาใช้รถยนต์ กันกระสุน

           ทำเนียบรัฐบาลได้จัดซื้อรถยนต์ซึ่งภายนอกเหมือนกันทุกอย่างจำนวนหลายคัน เลขทะเบียนรถของรถทุกคันก็เป็นเลขเดียวกัน คนภายนอกก็ไม่สามารถมองเห็นภายในของรถได้

           อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่กล้าวางใจ จึงส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนกว่า1,000 นาย คอยอารักขาทักษิณเมื่อต้อง ออกไปประชุมหรือเปิดตัวสู่สาธารณะข้างนอก

           แต่ทว่า ภัยคุกคามเหล่านี้ยังไม่สามารถเทียบได้กับภัยอันตรายที่ได้รับครั้งนี้

           สถานการณ์ประเทศไทยในปัจจุบัน เหมือนกับหม้อต้มน้ำที่กำลังเดือดปุดๆ บนเตาไฟภายในหม้อเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นและความโกรธคนที่ ต้องการกำจัดเขา

           ไม่เพียงแต่พวกค้ายาเสพติดนอกประเทศแต่ยังมีกลุ่มพลังอำนาจไม่ว่าจะพลังมืดหรือสว่างที่ คัดค้านการบริหารประเทศของเขา

           ในช่วงระยะกว่า5 ปีที่ผ่านมา หากจะบอกว่าทักษิณกำลังนั่งอยู่บนระเบิดที่ จวนจะระเบิดก็คงไม่เกินความเป็นจริงแม้แต่นิด
 
 
 
 
   
 
บันทึกการเข้า

 
GN-001 Exia
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 809


Celestial Being...


« ตอบ #2 เมื่อ: 06-12-2007, 19:26 »

ใจฉันมอบให้เจี้ยบไปหมดแว้วววววววว
บันทึกการเข้า


พวกที่เอาคำว่า "เสรีภาพ" มาบังหน้าเพื่อเบียดเบียนคนอื่นนี่มันเลวที่สุด
\(^_^)/
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 617



« ตอบ #3 เมื่อ: 07-12-2007, 00:43 »

บทที่ 1 เสียงโทรศัพท์ยามรุ่งอรุณ
ตอนที่ 2


  “คดีขายหุ้น” เป็นมูลเหตุที่จุดชนวนให้เกิดวิกฤตการบริหารประเทศของทักษิณเมื่อตอนต้นปี วันที่ 23 มกราคม 2549 ลูกชายและลูกสาวของทักษิณ คือ นายพานทองแท้และนางสาวพิณทองธาได้นำหุ้นร้อยละ 49.6 ซึ่งคิด เป็นมูลค่า 1,870 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ของบริษัทชินคอร์ป(Shin Corp)

           ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่ อันดับหนึ่งของไทยขายให้กับวิสาหกิจของสิงคโปร์ที่ชื่อเทมาเส็ก (Temasek)

           ตามกฎหมายของไทยที่ออกมา ใหม่ว่าด้วยสัดส่วนการถือครองหุ้นในธุรกิจโทรคมนาคมของเงินทุนต่างชาตินั้น

           รายได้ซึ่งมาจากการซื้อขายหุ้นที่ ดำเนินการในนามของบุคคลธรรมดาจะสามารถเลี่ยงชำระภาษีได้

           ดังนั้นการที่ลูกชายและลูกสาวของทักษิณซื้อ ขายหุ้นของตนในทางกฎหมายก็ไม่ต้องจ่ายภาษี แต่หากว่าการซื้อขายหุ้นกระทำในนามของบริษัท ก็จำเป็นที่ต้องจ่ายภาษีเป็นจำนวนเงินประมาณ 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

           หลังจากที่เรื่องนี้ถูกสื่อมวลชนประโคมข่าวออกมาเรื่องก็บานปลายขึ้นผู้คนต่างกล่าวหาครอบครัวทักษิณว่าสร้าง แบบอย่างการไม่ชำระภาษีให้กับประชาชนและหลีกเลี่ยงภาษี

           “เขาควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับประชาชน แต่เขา กลับไม่เป็น”

           ยังมีคนที่สงสัยทักษิณว่าการที่เขาขายธุรกิจโทรคมนาคมซึ่งเป็นเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญด้านยุทธ ศาสตร์ของชาติให้กับบริษัทต่างชาติ

           ทำให้สิงคโปร์มีอิทธิพลเหนือธุรกิจโทรคมนาคมของไทยซึ่งถือเป็นการ คุกคามต่อความมั่นคงของชาติ

           “เขาเลวยิ่งกว่าซัดดัมจริง ๆ”

           “เผด็จการอย่างซัดดัม แม้ว่าจะโหดร้ายทารุณแต่ยัง รู้จักใช้อำนาจบาตรใหญ่นั้น ทำสงคราม เพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยของประเทศตน” แต่ทักษิณกลับ “ขายผลประโยชน์ของชาติ เพื่อผลประโยชน์ของครอบครัว”

           ชาวกรุงเทพฯเริ่มเดินขบวนบนประท้วงบนท้องถนนเพื่อ “โค่นล้มทักษิณ”

           คนเดินขบวนค่อยๆเพิ่มขึ้นจากสอง พันคน เป็นสองหมื่น และกลายเป็นแสนกว่าคน ในตอนแรกทักษิณไม่ได้ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหานี้

           จากเศรษฐีที่ร่ำรวยได้พลิกผันตัวเองเข้าสู่เวทีการเมืองเป็นต้นมาเนื่องจากเขาร่ำรวยมหาศาลและมีผลประโยชน์ ทางธุรกิจซึ่งโยงใยสลับซับซ้อนจึงทำให้คนอิจฉาริษยาและฟ้องร้องเขาต่อศาลในหลายคดี

           ทักษิณได้อธิบายการ ซื้อขายครั้งนี้ว่า“การกระทำทางธุรกิจทั้งหมดนี้ ล้วนแล้วแต่โปร่งใสชอบด้วยกฎหมาย และไม่ใช่ปัญหาการขายผลประโยชน์ของประเทศ...

           พวกลูกๆ ได้ช่วยผมตัดสินใจเพียงเพราะหวังว่าผมจะสามารถมุ่งทำงานด้านการเมือง ได้”

           สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ได้ตัดสินการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ว่า “ไม่ผิดกฎหมาย”

           “แม้ว่าในรายงานการซื้อขายหุ้นของนายพานทองแท้ที่นำส่งคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์จะเกิดข้อผิดพลาดอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแรง”

           หลังจากนั้นศาลรัฐธรรมนูญได้ตี กลับคำขอของสมาชิกวุฒิสภา 28 คนที่ขอให้ดำเนินการตรวจสอบการซื้อขายทางธุรกิจของทักษิณตามกฎหมาย โดยให้เหตุผลว่า“คำยื่นอุทธรณ์คลุมเครือไม่ชัดเจน”

           คำบอกเล่าของทักษิณ หุ้นเป็นของลูกๆผมตามกฎหมาย พวกเขาอายุ 20 ปีเต็มแล้ว ซึ่งสามารถเป็นผู้ถือหุ้นได้แต่ว่าไม่ว่าลูกผมจะขาย บริษัทให้ใคร เพียงแค่เงินเข้ากระเป๋าครอบครัวเรา

           พวกพรรคการเมืองฝ่ายค้านก็ต้องไม่วางใจและยังมีคนที่ไม่ อยากเห็นผมอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไปที่คอยหาโอกาสหาเรื่องผม พวกลูกผม ช้าเร็วจะต้องขายบริษัทนี้ เนื่องจากอนาคตของธุรกิจโทรคมนาคมขึ้นอยู่กับรัฐบาล สองคือต้องใช้เงินลงทุนไปกับเทคโนโลยีใหม่ๆมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ค่าใช่จ่ายยังมหาศาลอีกด้วย

           พวกเราไม่คิดจะทำต่อแล้ว แค่คิดจะขายเท่านั้นส่วนหุ้นที่เราขายไปนั้น เป็นเพียงหุ้นธรรมดาๆผู้ที่ถือหุ้นธรรมดามีวิธีได้เงินเพียง 2 วิธี คือ หนึ่ง รอเงินปันผล สอง คือขายหุ้นให้คนอื่น

           การซื้อขายหุ้นครั้งนี้ใสสะอาดอย่างยิ่งการกระทำของเราทั้งหมดล้วนชอบด้วยกฎหมาย มีการเจรจากับหลาย บริษัทไม่เฉพาะแต่เพียงบริษัทของสิงคโปร์เพียงบริษัทเดียว

           เราขายหุ้นให้กับสิงคโปร์แต่ว่าพนักงานและ ผู้บริหารของบริษัทปัจจุบันก็ยังเป็นคนไทย

           ด้านสิงคโปร์ได้แต่ส่งฝ่ายการเงินเข้ามาบริหารเท่านั้นและมิใช่การ ปัญหาการขายผลประโยชน์ของประเทศ

           ทักษิณโล่งอกไปเปราะหนึ่งแต่ว่าเขาก็พบว่า ประเด็นร้อนที่ผู้คนพากันถกเถียงกลับไม่ใช่เรื่องการขายหุ้นว่า“ผิด กฎหมายหรือไม่”

           แต่เป็นเรื่อง “มีคุณธรรมหรือไม่” พลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้นำ“พันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย” ซึ่งเป็นแนวร่วมต่อต้านรัฐบาล

           ได้กล่าวว่า“แม้ว่าโดยส่วนตัวของทักษิณจะไม่มีที่ที่จะให้ถูก ประณามในทางกฎหมายได้แต่ในด้านคุณธรรมแล้วไม่สามารถรับได้ เราควรปฏิบัติตามคุณธรรมเพราะ คุณธรรมสำคัญกว่ากฎหมายและบรรทัดฐาน โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีสมมุติว่าเขาเป็นคนธรรมดาก็แล้วไป แต่ เพราะเขาเป็นนายกรัฐมนตรีจึงจำเป็นต้องลาออก”

           ทักษิณปฏิเสธที่จะลาออก เขามีท่าทีแข็งกร้าว“ยังไงก็จะไม่ลาออกเพียงเพราะเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของ นักการเมืองส่วนหนึ่งและเป้าหมายทางการเมืองและก็จะไม่ยอมแพ้คนส่วนเดียวที่ไม่ต้องการผม”

           ทักษิณตอบ โต้ผู้ชุมนุมประท้วงว่า“รัฐบาลตามกฎหมายจะถูกทำลายโดยผู้นำกลุ่มผู้ประท้วงจนทำให้ไม่สามารถที่จะอยู่ ต่อไปได้ผมจะไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อว่าผู้ที่ยินดีเป็นนายกรัฐมนตรีจะกระทำความผิด คนไทยจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะเคารพกฎหมาย”

           แต่ว่าข่าวลือและถ้อยคำใส่ร้ายที่ว่านายกรัฐมนตรีเกี่ยวข้องกับการ คอร์รัปชั่น เป็นเผด็จการและใช้อำนาจเอื้อผลประโยชน์ส่วนตัว

           รวมไปถึงข่าวลือต่างๆ ที่โจมตีตัวบุคคลก็แพร่ สะพัดไปตามถนนตรอกซอกซอยของกรุงเทพฯกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงมาสมทบอย่างไม่ขาดสายก่อให้เกิดความไร้ ระเบียบสร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจ หุ้นเริ่มตก ค่าเงินบาทเริ่มตก

           แม้กระทั่งผู้นำธุรกิจที่อยู่วงนอกก็เริ่ม บ่นว่า“การชุมนุมบนท้องถนนจะทำให้นักลงทุนหนีกันไปหมด”

           เมื่อรัฐมนตรีกระทรวงเทคโนโลยีและ สารสนเทศและรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมประกาศลาออกอย่างเปิดเผยเพื่อแสดงรับผิดชอบต่อ “คุณธรรมทาง การเมือง”

           คำพูดที่ว่า“ผู้ชุมนุมประท้วงไม่น่ากลัว” จึงเป็นคำพูดที่ทักษิณต้องเก็บกลับมาคิดใหม่เพื่อเริ่มหาทาง แก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

           วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ทักษิณก็ประกาศยุบสภาอย่างฉับพลันและจะให้มีการเลือกตั้งก่อนเดือนเมษายน

           โฆษก รัฐบาลแถลงว่า“หลังจากที่ประชาชนต่างได้ยินที่ได้เห็นการเดินขบวนประท้วงตามท้องถนนก็ให้ประชาชน ตัดสินใจด้วยตนเองอีกครั้งเพื่อให้เราเห็นว่า ประชาชนเชื่อใครกันแน่ หากประชาชนไม่เลือกพรรคไทยรักไทย ทักษิณบอกว่า เขาจะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี”

           ข้อเสนอนี้ถูกพรรคฝ่ายค้านคัดค้านอย่างรุนแรง โดย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพรรคมหาชน สามพรรคร่วมมือกันคัดค้านการเลือกตั้ง พวกเขามองว่า นี่เป็น “กลเล่ห์เพทุบาย” ของทักษิณ

           เนื่องจากโอกาสที่พรรคไทยรักไทยจะได้รับเลือกมีมากพรรคไทยรักไทยเป็น พรรคที่ทักษิณก่อตั้งด้วยมือของเขาเองในการเลือกตั้งปีที่แล้วพรรคไทยรักไทยได้ที่นั่งในสภามากที่สุดใน ประวัติศาสตร์ คือร้อยละ 76

           กลายเป็นพรรคการเมืองพรรคแรกที่เข้ามาบริหารประเทศเพียงพรรคเดียวใน ประวัติศาสตร์ 73 ปีของการปกครองอันมีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

           ดังนั้นเมื่อเข้าสู่สนาม การเลือกตั้งครั้งนี้ ก็เท่ากับตนยอมแพ้ หลังการเลือกตั้งทักษิณก็จะนั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

           การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายนปรากฏว่า 278 เขตจากทั้งหมด 500 เขตมีเฉพาะผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรค ไทยรักไทยเท่านั้น ไม่มีผู้สมัครจากพรรคอื่นสภาวการณ์ที่พรรคไทยรักไทยลงเล่นอยู่พรรคเดียว จึงชนะการ เลือกตั้งฝ่ายค้านก็ออกมาพูดว่า“ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร เราจะคัดค้านอย่างนี้ต่อไปจนกว่าทักษิณจะ ลาออก”

           วันที่ 4 เมษายน ทักษิณออกมาประกาศลาออก ซึ่งก่อนหน้านี้ 1 วัน ทักษิณได้ออกมาพูดให้ประชาชน ยอมรับการเลือกตั้งแต่แล้วกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงดั่งนิยาย

           ภายนอกประเทศคาดเดากันว่าคงจะมีส่วนเกี่ยวข้อง กับพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯผู้ทรงมีคุณธรรมและพระบารมีอันสูงส่ง

           ทักษิณพูดออก โทรทัศน์ว่า “ การที่ผมตัดสินใจลาออกครั้งนี้เพราะว่าปีนี้เป็นปีที่มีความสำคัญยิ่งของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 60 กว่าวันที่จะถึงงานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปี... เราไม่มี เวลาทะเลาะกันแล้ว หากทุกคนยังทะเลาะกันอยู่ ผู้ที่แพ้ก็คือประเทศ...”

           ทักษิณประกาศว่า เขาจะมอบอำนาจ ให้กับ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรีส่วนตัวเองจะขอพัก มีการกล่าวกันว่าคณะรัฐมนตรีหลาย คนและผู้บริหารระดับสูงของพรรคที่ติดตามสถานการณ์นี้ ก็ปล่อยโฮออกมาเมื่อตอนที่ทักษิณประกาศลาออก ทักษิณพร้อมด้วยภรรยาและลูกต่างก็กอดคอกันร้องไห้

           สองวันต่อมารถกระบะคันหนึ่งมาเก็บของใช้ส่วนตัวของทักษิณที่ตึกทำเนียบรัฐบาลหลังจากนั้นก็มีคนเห็น ทักษิณกำลังจูงมือลูกสาวเดินช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้าเกสรพลาซ่าเขาให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า “ผมตกงานแล้ว อย่ามาตามผมอีกเลยไปขุดคุ้ยข่าวใหม่จากนักการเมืองจะคุ้มค่ากว่า”

           และยังมีคนเห็นเขานั่งดื่มกาแฟที่โรงแรม แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีเด็กสองคนจำเขาได้จึงหยิบสมุดให้เขาเซ็นชื่อ

           เขาเขียนว่า“หวังว่าเมื่อพวกหนูโตขึ้นจะ กลายเป็นผู้มีความรู้ความสามารถที่สร้างคุณประโยชน์”

           นอกจากนี้ เขายังนัดกับบุคคลในคณะรัฐมนตรีเพื่อตี กอล์ฟ เมื่อเขาตีกอล์ฟออกไปได้สวยเขาก็บอกว่า “วินาทีนี้เป็นวินาทีที่รู้สึกปลอดโปร่งที่สุดใน 5 ปีที่ผ่านมา”

           ดูไปแล้ว ทักษิณคิดที่จะออกจากเวทีการเมือง แต่หลังจากนั้น 48 วันเขาก็ขึ้นรถเมอซิเดสเบนซ์ S600 กลับมาที่ ทำเนียบรัฐบาล

           เหตุผลก็คือในช่วงที่เขาพักร้อนศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้ผลการเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน เป็นโมฆะ

           เหตุผลก็คือการเลือกตั้งครั้งนี้เกิดการทุจริต เช่น กล่องใส่บัตรเลือกตั้งวางหันทิศทางที่ผิดกฎดังนั้น คำ สัญญาของทักษิณที่ว่า เขาจะ “ไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี” ก็มีอันต้องหมดความหมายไป

           ประกอบกับ ภาคเหนือเกิดน้ำท่วมใหญ่งานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ60 ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ กำลังเข้ามาถึง

           เขาจึงไม่สามารถปล่อยให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่างอยู่เขาจึงจำเป็นต้องกลับมาทำงานต่อไปเพื่อ ประโยชน์ของประเทศชาติจนถึงช่วงที่จะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่หลังการเลือกตั้งในเดือนตุลาคมแต่ทว่า

           สาม วันต่อมา เขาได้รับการเตือนจากนายไพโรจน์วงศ์วิภานนท์ซึ่งเป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียงของไทย ว่า “ ให้ระวัง ถูกลอบสังหารอย่าคิดว่าการลอบสังหารจะไม่เกิดในประเทศไทย”
       
           คำเตือนนี้ในที่สุดแล้วไม่ใช่แค่พูดการพูดลอยๆ
       
บันทึกการเข้า

 
\(^_^)/
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 617



« ตอบ #4 เมื่อ: 07-12-2007, 01:09 »

จ่ายักษ์แฉ! ถ้าทุกแผนล่ม เตรียมใช้ "ระเบิดปรมาณู""จ่ายักษ์" แฉหมดไส้สิบแปดขด ถ้าคาร์บอมบ์ ไม่สำเร็จจะใช้ระเบิด RPG!!!!!!!

   
 

 
บันทึกการเข้า

 
หน้า: [1]
    กระโดดไป: