คนอาจลืมไปแล้วว่านอกจากกรณี TPI ยังมีกรณี รพ.พญาไท ด้วย
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"อาทิตย์" เปิดอกถูก "ชินวัตร" ฮุบ สู้ยิบตาแย่ง "พญาไท" คืนข่าวจาก นสพ. ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 21 ก.ค. 2546
http://www.mthai.com/square/news/news28183.html ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ เปิดอกช้ำ ถูกกลุ่มชินวัตรฮุบพญาไท สุดแค้น สู้ยิบตา พึ่งอำนาจศาลปลดไพร้ซฯ
ลั่นพร้อมเข้าบริหารแผนด้วยตัวเอง กรีดนายกฯร่ำรวยยังไม่พออีกหรือ ? ซื้อกิจการทุกอย่างในประเทศจนหมด
ทั้งโรงพยาบาล ธุรกิจบันเทิง ประกัน วอนเหลือไว้ให้คนอื่นทำมาหากินบ้าง
ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารโรงพยาบาลพญาไท ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ"
ถึงกรณีการฟ้องศาลล้มละลายกลางเพื่อขอให้ปลดบริษัทไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส คอร์ปอเรทรีสตรัคเจอริ่ง จำกัด
ออกจากการเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท ประสิทธิพัฒนา จำกัด (มหาชน) ว่า ตนต้องการจะให้กรณีนี้
เป็นกรณีตัวอย่าง ซึ่งตามหลักแล้วการบริหารแผนฟื้นฟูนั้น เมื่อผู้บริหารแผนดำเนินการเสร็จแล้วก็จะต้องนำกลับ
ส่งต่อให้กับผู้บริหารเดิม แต่การบริหารแผนฟื้นฟูกิจการของไพร้ซฯ มีเจตนาที่แอบแฝงและไม่สุจริต
โดยเฉพาะกรณีการปลดคุณพ่อ (นายประสิทธิ์ อุไรรัตน์) จากตำแหน่งประธานกรรมการ ที่อ้างหนังสือลาออก
เมื่อเดือนมิถุนายน 2544 ซึ่งมีข้อเท็จจริงว่านายประสิทธิ์ได้ทำหนังสือลาออกแจ้งไปยังโรงพยาบาลพญาไททั้ง 3 แห่ง เนื่องจากเสียใจที่โรงพยาบาลที่ก่อตั้งมากับมือมีปัญหาและต้องการจะแสดงความรับผิดชอบ แต่เมื่อกรรมการท่านอื่นๆ
ทราบเรื่องก็ได้ยับยั้ง ซึ่งนายประสิทธิ์ก็ยอมและได้ขอจดหมายลาออกคืนจากโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่ง
พฤติกรรมไพร้ซฯน่าสงสัย ทั้งพญาไท 1 และพญาไท 3 คืนหนังสือฉบับดังกล่าวมา แต่พญาไท 2 อ้างว่าจดหมายหาย แต่ต่อมาไพร้ซฯ
ก็ได้ใช้หนังสือดังกล่าวมาใช้ เป็นเหตุในการปลดนายประสิทธิ์และแต่งตั้งผู้บริหารจากโรงพยาบาลคู่แข่งคือ
เปาโลและศิครินทร์เข้ามาแทน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ ไพร้ซฯยังมีพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากลอีกหลายเรื่อง
ดร.อาทิตย์กล่าวว่า เดิมประสิทธิ์พัฒนามีหนี้เพียง 5,000 ล้านบาท พอเกิดวิกฤตในปี 2540 หนี้ก็เพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท
เมื่อรวมดอกเบี้ยเบ็ดเสร็จประมาณ 13,000 ล้านบาท แทนที่ไพร้ซฯจะแยกแก้ปัญหาของแต่ละโรงพยาบาล คือ
พญาไท 1 พญาไท 2 และพญาไท 3 เพราะผู้ถือหุ้นเป็นคนละกลุ่มกัน แต่ไพร้ซฯกลับจับทั้ง 3 โรงพยาบาลมามัดรวมกัน
ปัจจุบันหนี้ที่มีอยู่ประมาณ 13,000 ล้านบาทได้แฮร์คัตไปแล้ว 4,000 ล้านบาท เหลืออีกประมาณ 9,000 ล้าบาท
แบ่งเป็นหนี้ที่คงไว้ 4,700 ล้านบาท ที่เหลืออีก 4,300 ล้านบาทจะแปลงหนี้เป็นทุน
ส่วนการบริหารแผนนั้น แม้ว่าไพร้ซฯจะยอมคิดเป็นแบบเหมาจ่ายในอัตรา 1.2 ล้านบาท/เดือน จากเดิมที่คิดค่าตัวเป็น
แพงมากชั่วโมงละ 10,000-14,000 บาท รวมเบ็ดเสร็จทั้งหมดที่บริษัทต้องจ่ายประมาณ 140 ล้านบาท
ขณะเดียวกันก็เริ่มเห็นสัญญาณที่ทำให้บริษัทเสียหาย อย่างกรณีของบริษัท คลาส วี จำกัด ที่กำลังดำเนินการก่อสร้าง
อาคารบนถนนศรีอยุธยา ตั้งอยู่เยื้องกับ ร.พ.พญาไท 1 และ ร.พ.พญาไท 4 ที่มีโครงการจะก่อสร้างที่บริเวณสี่แยกมักกะสัน
ทั้ง 2 แห่งนี้เป็นบริษัทในเครือของประสิทธิ์พัฒนา มีมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท และ 850-900 ล้านบาท ตามลำดับ
แต่ปรากฏว่าไพร้ซฯนำไปขายในราคาที่ถูกมาก คลาสวีขายไปประมาณ 100 ล้านบาท และพญาไท 4 ขายไป 200 ล้านบาท
แต่เงินทั้งหมดขณะนี้ไม่รู้ไปอยู่ที่ใคร เพราะไม่มีการเอามาตัดหนี้ทั้งๆ ที่เป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงมาก
ดร.อาทิตย์ระบุอีกว่า ยังมีอีกหลายเรื่อง เช่น ค�าบริหารแผนที่บอกว่า 1.2 ล้านบาท/เดือน แต่เบิกเกินไปมาก
เป็น 1.4-1.7 ล้านบาท/เดือน นอกจากนี้ยังมีการเบิกเงินค่าใช้จ่ายต่างๆ เพิ่ม เช่น ค่าที่ปรึกษาทางกฎหมาย
ค่าที่ปรึกษาการเงิน ฯลฯ ซึ่งในช่วงปีเศษๆ เบิกไปถึง 200 ล้านบาท มีการจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์
ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์กว่า 200 ล้านบาท แต่เครื่องก็ใช้การไม่ได้
การเข้าไปบริหารและจัดการโรงพยาบาลของกลุ่มไพร้ซฯมุ่งแต่จะลดค่าใช้จ่ายจนทำให้คุณภาพด้านการรักษา
การให้บริการลดลง และมีหลายเคสมากที่ทำให้เกิดความเสียหายกับคนไข้
ทนายคู่ใจนายกฯเล็งฮุบกิจการ ที่สำคัญคือ ไพร้ซฯไม่ได้คำนึงถึงหลักการในการบริหารให้เป็นไปตามแผนเพื่อที่จะได้นำกลับส่งต่อคืนให้กับ
ผู้บริหารเดิม แต่กลับเปิดโอกาสให้คนอื่นเข้ามาฮุบกิจการไป ซึ่งเป็นไปได้อย่างไรที่ปล่อยหมอบุญ (วนาสิน)
วิชัย (ทองแตง ทนายความคดีซุกหุ้น) ชนินทร์ เย็นสุดใจ (กรรมการผู้จัดการ บริษัท เปาโล เมดิค จำกัด
ผู้บริหารโรงพยาบาลเปาโล) ให้เข้ามาทำอะไรในโรงพยาบาล แต่ไพร้ซฯโดยที่ไม่เคยแจ้งหรือบอกอะไรกับตนเลย
"คุณวิชัยเขาบอกว่าเขาซื้อหนี้ 20% ซื้อจากเจ้าหนี้ต่างประเทศในราคาที่ถูกมากเพียง 10% ของราคาเท่านั้น
ถ้าหุ้นทั้งหมด 4,000 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นเดิมถืออยู่ 20% หนี้ที่ต้องแปลงเป็นทุนในส่วนของแบงก์กรุงศรีฯ
กรุงไทย กรุงเทพ คุณวิชัยบอกว่าจะเจรจาซื้อหมด เขาก็ไปกู้เงิน 4,700 ล้านบาท ล้างหนี้นั้นหมดไป
แล้วซื้อส่วนที่แปลงเป็นทุนด้วยเขาก็จะเป็นเจ้าของคนเดียวทั้งหมด ซึ่งเจ้าหนี้ก็เห็นดีเห็นงามด้วย"
"เราบอกว่าเขาทำไม่ถูกต้อง ฟ้องฐานปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ประชุมไม่ได้ประชุมผู้ถือหุ้นจริง
ฉะนั้น สิ่งที่เขาทำไปมันน่าจะโมฆะทั้งหมด เราชี้ให้เห็นมูลเหตุของการบริหารแผน เป็นการบริหารแผนโดยไม่สุจริต
โดยไม่เป็นกลาง ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของลูกหนี้และเจ้าหนี้ตามเจตนารมณ์ของกระบวนการและกฎหมาย"
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้มองว่าเป็นเรื่องการเมืองด้วยหรือไม่ ดร.อาทิตย์ตอบว่า คงไม่ถึงกับเป็นเรื่องการเมือง
แต่เป็นเรื่องของการเทกโอเวอร์ผลประ โยชน์ คุณวิชัยเขาก็เป็นมือของคุณทักษิณ (ชินวัตร) แต่เขาก็ออกมา
ปฏิเสธข่าวเราออกไป เพียง 2 วันก็มีชื่อของคุณวิชัยไปบริหารทีพีไอ เขารีบออกมาปฏิเสธว่าไม่เอาแล้วก็ไม่ได้จริงๆ
แต่เขาไปเป็นที่ปรึกษาอยู่ เพราะเขาไม่กล้าออกหน้า ถ้าเขาออกมาก็ชัดเลย เขาจะเอาอะไรนักหนา ยังรวยไม่พออีกหรือ
ทั้งประเทศแล้วนะ กิจการทุกกิจการฮุบหมดแล้ว แกรมมี่ก็ฮุบแล้ว จะเอาทุกอย่าง โรงหนัง บริษัทประกันภัย โรงพยาบาล
"ผมไม่มีเงินจะไปแข่งแย่งซื้อกับเขา แต่ผมต้องอาศัยคำสั่งศาลตัดสินว่าอย่างนี้มันไม่ถูกต้อง เขาจะขอออกจากศาล
ต้องไม่ให้ออก มันไม่ถูกต้องเลย เขาทำไม่ถูกต้องเลย ยังไม่ได้ใช้เงินต้นสักบาทเลย จะเรียกว่าปฏิบัติตามแผนแล้วอย่างไร
ส่วนเงินรายได้ที่ได้มาแล้วไม่จ่ายเขาไปก็ถลุงกันเต็มที่ อย่างไรก็ตาม มั่นใจในความยุติธรรมของศาล ของระบบของประเทศไทย"
ไม่อยากเสียสมบัติของตระกูล ดร.อาทิตย์กล่าวในช่วงท้ายว่า ร.พ.พญาไทไม่ได้เริ่มต้นแบบธุรกิจ คุณพ่อผมเริ่มต้นกิจการโรงพยาบาลเพื่อที่จะได้
ไว้พึ่งพาอาศัย ด้วยความเชื่อศรัทธาในความบริสุทธิ์ ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย แต่ตอนนี้พยายามมากล่าวหาว่า
บริหารไม่ดีถึงได้เจ๊ง มันไม่ใช่ เราเจอเหตุการณ์ปี 2540 เลยแก้ไม่ตก
"ร.พ.พญาไทตั้งมาตั้งแต่ปี 2519 ปัจจุบันรวมแล้วประมาณ 27 ปี ถือได้ว่าเป็นสมบัติของครอบครัว
ถ้าเผื่อจำเป็นที่จะต้องหลุดมือไปเราก็ต้องยอมรับ แต่ก็ด้วยความขมขื่น"
ก่อนหน้านี้ตนได้ขอร้องไปแล้วว่าอันนี้เป็นกิจการครอบครัว ถ้าเขาไม่ได้อันนี้ไป คงไม่ทำให้เขาจนลง
หรือทำให้เขาถึงทางตันอะไรหรอก สแปรเอาไว้ให้เราสักที่หนึ่ง เอาไว้ให้หากินไม่ได้หรือ ?
เพราะว่าอย่างน้อยชื่อบริษัทก็เป็นชื่อพ่อกับแม่ ชื่อพญาไทก็เป็นชื่อที่เราคิดขึ้นมาเอง
หากศาลตัดสินปลดไพร้ซฯออก ตนจะเสนอตัวเข้าบริหารหนี้สินจำนวนนี้ด้วยตนเอง
ปัจจุบันหากไม่นับธุรกิจโรงพยาบาล ตระกูลอุไรรัตน์จะเหลือเพียงธุรกิจด้านการศึกษาเท่านั้น
คือมหาวิทยาลัยรังสิต โรงเรียนนานาชาติที่ภูเก็ต และโรงเรียนสาธิตรังสิตที่กำลังจะเปิดเร็วๆ นี้
ศาลนัดสืบพยานกันยายน ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลล้มละลายกลางว่า เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายกงจักร โพธิ์พร้อม
ผู้พิพากษาศาลล้มละลาย ได้พิจารณาคำร้องของฝ่ายลูกหนี้ที่ยื่นขอปลดบริษัทไพร้ซฯ จากการเป็น
ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท ประสิทธิพัฒนา จำกัด (มหาชน) เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการใหม่
โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามที่ได้ยื่นเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยศาลให้ผู้บริหารแผนยื่นคำคัดค้าน
มาภายในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ และนัดสืบพยานฝ่ายผู้ร้อง (ลูกหนี้ คือ นายอาทิตย์ อุไรรัตน์) ในวันที่
15, 22 และ 29 กันยายน ส่วนนัดสืบพยานฝ่ายผู้บริหารแผน (ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์ฯ) ในวันที่ 20, 27 ตุลาคม
และ 3 พฤศจิกายน
ที่มา :
http://www.matichon.co.th/prachachat ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สุดท้ายก็อย่างที่ทราบกันนะครับ ..
ในที่สุด ดร.อาทิตย์ ก็ต้องสูญเสียกิจการของตระกูลไปอย่างเจ็บปวด