เอาบทวิเคราะห์ของไทยโพสต์ มาเพิ่มเติมครับ แต่ก็ยังไม่ค่อยเชียร์พลังประชาชนอยู่ดี
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ไทยโพสต์ : อีโคโฟกัส19 พฤศจิกายน 2550 กองบรรณาธิการ
http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&post_date=19/Nov/2550&news_id=151028&cat_id=600ตรวจแถว เจาะนโยบาย "ทีมเศรษฐกิจ" ว่าที่รัฐบาลใหม่ ประมาณ 1 เดือน จะถึงวันเลือกตั้งทั่วไป วันที่ 23 ธันวาคม 2550 บรรยากาศทางการเมืองกำลังคึกคักจากการ
เปิดตัวหาเสียงของแต่ละพรรคการเมืองเพื่อแนะนำผู้สมัครว่าที่ ส.ส.ให้ชาวบ้านรู้จักหน้าค่าตา
แม้ครั้งนี้จะมีพรรคการเมืองจำนวนมากลงชิงชัย แต่โฟกัสฉายไปยังพรรคใหญ่ๆ อย่างพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย
พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคมัชฌิมาธิปไตย นอกจาก "หัวหน้าพรรค"
ถูกเพ่งเล็งถึงตัวเต็ง "ว่าที่นายกรัฐมนตรี" แล้ว "ทีมเศรษฐกิจ" แต่ละพรรคถูกจับตาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยเฉพาะ
ในภาวะที่เศรษฐกิจขาลงขณะนี้ ใคร? ทีมไหน? จะฝ่าด่านเข้ามากอบกู้เศรษฐกิจไทยให้พ้นปากเหว
ประชาธิปัตย์ดึง "จัตุมงคล"เสริมทัพก้าวใหม่เศรษฐกิจไทย
พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ได้เปิดตัวทีมเศรษฐกิจ ซึ่งยังคงเป็นทีมเดิม
ในการเลือกตั้งคราวก่อน ทั้ง นายกรณ์ จาติกวณิช นายเกียรติ สิทธิอมร นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ นายกนก วงษ์ตระหง่าน
และได้ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล เข้ามาเสริมทัพในคราวนี้ โดยมีนายอภิสิทธิ์นั่งกำกับบทหัวหน้าทีม
ดีกรีหัวกะทิด้านเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณกันมาก เพราะส่วนใหญ่เป็นที่รู้จักมักคุ้นกันดี
อย่างนายกรณ์ อดีตเคยเป็นผู้บริหารเจพี มอร์แกน นายเกียรติ อดีตประธานหอการค้านานาชาติประจำประเทศไทย
หรือ ม.ร.ว.จัตุมงคล อดีตเป็นทั้งปลัดกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยมาก่อน
นายอภิสิทธิกล่าวไว้ว่า สิ่งที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งต้องเร่งทำคือ "ก้าวใหม่เศรษฐกิจไทย" ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์
นโยบายที่จะเร่งทำก็คือ การยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุน 30% ที่ออกประกาศใช้เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.2549 และ การยกเลิก
การแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่พรรคประชาธิปัตย์มองว่า 2 มาตรการดังกล่าว ทำลายบรรกาศการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ
สำหรับโครงการลงทุนที่จะพัฒนาโครงสร้างที่อำนวยต่อภาวะเศรษฐกิจ ประชาธิปัตย์ประกาศว่าจะลงทุนในระบบชลประทาน
300,000 ล้านบาท ลงทุนระบบรถไฟฟ้า 450,000 ล้านบาท แบ่งเป็นระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ และปริมณฑล 250,000
ล้านบาท และรถไฟรางคู่ 200,000 ล้านบาท ขอจัดสรรเงินงบประมาณปีละ 6,000 ล้านบาท สำหรับประกันภัยพืชผล
ตั้งกองทุนเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อสร้างงานสร้างรายได้ให้ชนบทตำบลละ 1-2 ล้านบาท วงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท
ยกเลิกการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และงดเก็บค่าไฟฟ้าสำหรับ 15 หน่วยแรกแก่ทุกครัวเรือน ตรึงราคาก๊าซหุงต้ม
ส่วนความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทย พรรคประชาธิปัตย์บอกว่า "อยากเห็น" เช่น สร้างงานปีละ 400,000 ตำแหน่ง รายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้น 3,000 เหรียญสหรัฐ การศึกษาต้องฟรีจริง มีคลินิกหมอใกล้บ้าน และประชาชนต้องได้รับสวัสดิการอย่างทั่วถึง
พลังประชาชนชู "มิ่งขวัญ"หวังมือพีอาร์ปลุกกระแส
"พลังประชาชน" หรือร่างทรงไทยรักไทย ที่ขนาดวันสมัครรับเลือกตั้งยังมีสมาชิกพรรคใส่หน้ากาก "ทักษิณ ชินวัตร" ยืนยัน
ความเกี่ยวพันระหว่างพลังประชาชนกับไทยรักไทย แต่ในทางกลับกันก็สะท้อนให้เห็นว่า ไปๆ มาๆ พรรคพลังประชาชนไร้จุดขายและไม่มีใครโดดเด่นกว่าประธานสโมสรฟุตบอลแมนฯ ซิตี
ยิ่งเปิดตัวทีมเศรษฐกิจที่มีชื่อ "มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ" อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เป็นตัวชูโรง และ
campain manager แม้เหมือนๆ จะน่าสนใจ แต่เปรียบเทียบกับพรรคอื่นๆ แล้วยังห่างชั้น เพราะปัญหาของประเทศล้วนหนักหนาสาหัส ไม่ใช่แค่งานของนักสร้างภาพลักษณ์
อย่างไรก็ตาม ถ้าย้อนประวัติอันยาวนานในวงการธุรกิจต้องยอมรับว่ามิ่งขวัญถือเป็นนักการตลาด นักโฆษณา นักยุทธศาสตร์ และนักประชาสัมพันธ์ที่สร้างสีสันให้องค์กรธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย กว่า 10 ปี โดยเฉพาะบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ถือเป็นผู้พลิกโฉมการนำเสนอรายการโทรทัศน์แนวใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ "Edutainment TV" ที่มุ่ง
นำเสนอเนื้อหา ข่าวสารและความบันเทิงในเชิงสาระเป็นหลัก ชนิดที่ไม่มีละครน้ำเน่าทีวีก็ขายได้ ส่งผลให้ผังรายการโทรทัศน์
"โมเดิร์นไนท์ทีวี" เต็มไปด้วยรายการข่าวและสาระเกือบ 80%
ยุคนั้นรายการ "ถึงลูกถึงคน" และ "คุยคุ้ยข่าว" กลายเป็นต้นแบบรายการวิเคราะห์ข่าว ขณะเดียวกันรายได้ของ "อสมท" เอง
ก็พุ่งกระฉูด ทั้งการระดมทุนในตลาดหุ้นและผลประกอบการ จนกระทั่งพนักงานทุกคนรักผู้บริหารคนนี้และสามารถกลับมา
ยึดกุมเก้าอี้ตัวเดิมได้ ถ้าไม่เจอวิบากกรรมจับขั้วอำนาจ "ทักษิณ" จนเด้งออกจากเก้าอี้ในยุค คมช.
แต่กระนั้นก็ตาม งานในฐานะทีมเศรษฐกิจถือเป็นกระดูกชิ้นโต ไม่ใช่องค์กรเล็กๆ อย่าง อสมท แม้ยังมีนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
อย่าง "วิรุฬ เตชะไพบูลย์" ซึ่งเคยทำงานการเมืองในฐานะรองหัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
สมัยหมอกระแส ชนะวงศ์ และที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง สมัยนายวราเทพ รัตนากร แต่ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน
ขณะที่นโยบายเศรษฐกิจเร่งด่วนของพลังประชาชน เช่น แผนอัดฉีดเงินทุนในโครงการขนาดใหญ่ (Mega Project) วงเงิน
1.5 ล้านล้านบาท ยกเลิกมาตรการกันเงินทุนสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
เปิดรถไฟฟ้า 9 เส้นทาง 500,000 ล้านบาท เริ่มใช้ภายใน 3 ปี เสร็จสมบูรณ์ 6 ปี โครงการที่พักอาศัยบ้านรถไฟฟ้า บ้านบัณฑิต
บ้านรัฐสวัสดิการ บ้านเอื้ออาทรและบ้านมั่นคง รวมทั้งเดินหน้าโครงการพักหนี้เกษตรกร พัฒนากองทุน หมู่บ้านเป็นธนาคารหมู่บ้าน
เพื่อขยายเงินทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท โครงการกองทุนหมู่บ้าน เอสเอ็มแอล 3-5-7 แสนต่อหมู่บ้าน โอท็อประยะที่ 2 โครงการ
โคล้านตัว-วัวแสนฟาร์ม
ทั้งหมดล้วนไม่ใช่ทางของมิ่งขวัญ สุดท้ายจะเป็นแค่ตัวแก้ขัดหรือไม่ต้องดูฝีมือ campain manager จะปลุกกระแสพลังประชาชน
ได้ร้อนแรงแค่ไหน
ชาติไทยส่ง "ปรีดิยาธร" คุมทีมเปลี่ยนความคิด...เป็นความจริง
"พรรคชาติไทย" ของนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค เป็นอีกพรรคหนึ่งที่อาจสามารถสอดแทรกขึ้นมาเป็นแกนนำ
ในการจัดตั้งรัฐบาล เพราะเต็มไปด้วยความพร้อมในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นทีมงาน บุคลากร กำลังเงิน และนโยบาย
ที่เตรียมตัวมาอย่างดี
เพิ่งเปิดทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ ซึ่งต่างเคยเป็นนักการเมืองระดับชาติ และมีประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งสำคัญ ที่เคย
กุมบังเหียนหน่วยงานคุมเศรษฐกิจของประเทศมาแล้วทั้งสิ้น เริ่มจาก ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ์ อดีต รมว.คลัง ผลงานโดดเด่น
ในอดีตคือ การผลักดันภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มาใช้ในสมัยดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร ซึ่งทราบกันดีในปัจจุบันว่า
ฐานรายได้สำคัญของรัฐบาลมาจากภาษีมูลค่าเพิ่มนั่นเอง ตรงนี้สามารถพิสูจน์กึ๋นผู้เฒ่าเลย 60 ปีคนนี้ได้ดี ที่สำคัญในรัฐบาลก่อน
ร.อ.สุชาติ ไต่เต้าจากตำแหน่ง รมช.คลัง เป็น รมว.คลัง และขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุด รองนายกฯ ด้านเศรษฐกิจ คราวนี้นายบรรหาร
หวังให้มาช่วยดูแล "ด้านการเงิน-การคลัง"
ต่อมา นายกร ทัพพะรังสี นักการเมืองระดับชาติ ที่คุ้นเคยกับพรรคชาติไทยเป็นอย่างดี เพราะเริ่มเล่นการเมืองกับพรรคชาติไทย
สมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งนายกรมีประสบการณ์ในการเป็นรัฐมนตรีมาหลายกระทรวง หลายสมัย
และที่มีความถนัดเป็นพิเศษ คือ งานด้านอุตสาหกรรม พลังงาน ดังนั้น จึงเลี่ยงไม่ได้ที่หัวหน้าพรรคจะมอบหมายให้นายกร
เป็นขุนพลที่ดูแลทางด้านอุตสาหกรรมและน้ำมัน
อีกคนที่คุ้นชื่อ คุ้นหน้า คุ้นตากันดี ก็คือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และอดีตรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลังในรัฐบาลขิงแก่ คราวนี้ "คุณชายอุ๋ย" ถูกเชื้อเชิญให้มาเป็นที่ปรึกษาและกุนซือทางเศรษฐกิจให้กับ
บิ๊กเติ้งโดยเฉพาะ
แว่วๆ ว่าเร็วๆ นี้นายบรรหารจะเปิดขุนพลเศรษฐกิจด้านอื่นๆ ตามมาอีก นโยบายพรรคก็น่าสนใจไม่ใช่เล่น แบ่งเป็น 3 พันธกิจหลัก
ได้แก่ การพัฒนาคน พัฒนาแหล่งน้ำ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
ซึ่งนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญคือ ปลดหนี้เกษตรกร จัดให้กองทุนฟื้นฟู 20,000 ล้านบาท ซื้อหนี้เกษตรกร โครงการปลูกไม้ใช้หนี้
พักหนี้ 3 ปีแรก เมื่อปลูกไม้ใหญ่ยืนต้นครบ 200 ต้น/ไร่ รักษาไม้ได้ครบ 15 ปี ปลดหนี้ 1 แสนบาท
นอกจากนี้ ลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคมคลอบคลุมทั้งประเทศ ตั้งธนาคารที่ดิน ธนาคารแรงงาน ปฏิรูประบบสหกรณ์
ประกันเสี่ยงภัยผลผลิตทางเกษตร ตั้งกองทุนปัจจัยผลิต ชุมชนละ 5 แสนบาท ประกันราคาข้าว เกวียนละ 8 พันบาท เป็นต้น
เพื่อแผ่นดิน-รวมใจไทย-มัชฌิมาฯนอมินีขั้วเก่า...สานต่อประชานิยม
พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ภายใต้การนำของ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร แม้ว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี แต่เป็นที่รู้กันว่า พรรคนี้มีนายสมคิดเป็นผู้วางยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ
ดีกรีของนายสมคิด อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ อดีต รมว.คลัง สมัยรัฐบาลทักษิณ ถือว่าเป็นขุนพลคนสำคัญ
โดยการเดินหน้านโยบาย "ประชานิยม" กระทั่งรากหญ้ากลายเป็นรากเน่า และจากการใช้ยุทธศาสตร์ "การตลาดนำการเมือง"
ที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว เชื่อว่านายสมคิดจะยังเดินหน้ายุทธศาสตร์นี้เพื่อวางแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศอีกครั้ง
คราวนี้ ยุทธศาสตร์ของนายสมคิดจะได้รับการสานต่อหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าประชาชนยังให้การต้อนรับบุคคลที่ยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ หรือเข็ดขยาดกับระบอบทักษิณกันหมดแล้ว
พรรคเพื่อแผ่นดิน ภายใต้การนำของ นายสุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรค เป็นอีกพรรคการเมืองหนึ่งที่เกิดใหม่แต่คนเก่า
ทีมเศรษฐกิจถือว่าอยู่ในระดับแนวหน้า เช่น นายวิจิตร สุพินิจ อดีตประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายศุภชัย พิศิษฐวานิช อดีตปลัดกระทรวงการคลัง โดยมี นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีต รมว.การต่างประเทศยุคทักษิณ เป็นผู้ร่างยุทธศาสตร์ ทั้งที่นายสุรเกียรติ์ถูกโทษแบนทางการเมือง 5 ปีเช่นกัน
แม้พรรคการเมืองนี้จะยังสงวนท่าทีนโยบายด้านเศรษฐกิจ แต่จะเปิดตัววันจันทร์ที่ 19 พ.ย.นี้ แต่เชื่อขนมกินได้เลยว่าคงไม่พ้น
การสานต่อนโยบายประชานิยมจากรัฐบาลก่อน เพราะนโยบายนี้ถูกฝังลึกในรากแก่นของชนชั้นชาวบ้านในสังคมไทยไปแล้ว
แต่จะประยุกต์ใช้ยังไง ต้องจับตาดูเช่นกัน
พรรคมัชฌิมาธิปไตย ได้ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ หรือ "เสี่ยโรงปูน" มาเป็นหัวหน้าพรรค และถูกวางตัวให้ยกร่างนโยบายด้านเศรษฐกิจอีกด้วย ในฐานะ "นักธุรกิจแสนล้าน" ขณะที่กุนซือที่เปิดตัวออกมาแต่หนุนอยู่ข้างหลัง ก็คือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรัฐมนตรีเจ้าน้ำตายุคทักษิณอีกเช่นกัน
นโยบายที่ผุดออกมาเวลานี้ก็มี โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง 500,000 ล้านบาท ระยะทาง 350 กิโลเมตร ความเร็ว 250 กิโลเมตร
ต่อชั่วโมง จากกรุงเทพฯ ไปภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ โดยไม่ใช้งบประมาณรัฐบาล แต่เปิดให้เอกชนมาดำเนินการจากการลงทุน โครงการรถไฟฟ้า 15 บาทตลอดสาย สำหรับรถไฟฟ้า 10 สายใน กทม. และเชื่อมต่อปริมณฑล เพื่อเพิ่มระยะทางรถไฟฟ้ารวม 333 กิโลเมตร เพื่อลดการสูญเสียทางเศรษฐกิจของประเทศได้ปีละ 129,755 ล้านบาท
แต่หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติว่า อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี จากคดียุบพรรค "ห้ามจุ้น" กับพรรคใหม่ไม่ว่าจะด้วยเรื่องใดก็แล้วแต่ ทำให้พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคมัชฌิมาธิปไตย ต้องปรับแผนใหม่
แต่ละพรรคย่อมชูนโยบายที่อยากให้ประชาชนจับต้องได้ แต่พรรคไหนจะเข้าวิน วันที่ 23 ธันวาคมนี้
เสียงประชาชนเท่านั้นที่จะชี้ชาด.