วิสัยทัศน์ตอนนั้นก็ออกมาดูดีไปหมดจริงๆ น่าส่งเสริม
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เปิดใจ "สมศักดิ์ เทพสุทิน" อภิมหา "โครงการโค" ไทยรักไทยhttp://www.ftawatch.org/news/view.php?id=488ถึงแม้โครงการโค 1 ล้านตัว ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เสนาบดีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะถูกวิพากษ์วิจารณ์
อย่างกว้างขวาง ในหลายประเด็นเริ่มตั้งแต่ เป็นโครงการหาเสียงมากกว่าเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรพร้อมกับความวิตก
ของคนหลายกลุ่มว่าโคที่จะนำมาให้เกษตรกรเลี้ยงซึ่งเขาคิดจะนำเข้ามาจากประเทศออสเตรเลีย จะเป็น "วัวพลาสติก"
เพราะสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน แต่โครงการดังกล่าวหาได้หยุดยั้งเช่นโครงการอื่นๆ ของรัฐบาลที่ถูกวิพากษ์วิจาร์ณ์
อย่างหนักไม่ แถมถูกนำไปกำหนดเป็นนโยบายของพรรคไทยรักไทย ซึ่งจะเป็นโครงการขนาดใหญ่มากกว่า 1 ล้านตัว
ภายใต้นโยบายของกระทรวงเกษตรฯที่เขากำกับดูแลเสียอีก ทำไมโครงการโค 1 ล้านตัว จึงกลายเป็น อภิมหา
"โครงการโค" สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ "ฐานนิวส์ เรดิโอ"
F.M97 เมกกะเฮิรตซ์
ทำไมโครงการโค 1 ล้านตัว ถูกผลักดันเป็นโยบายพรรคไทยรักไทย:ได้เสนอเป็นแนวทางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่การทำงานในระบบราชการ เมื่อกระทรวงฯเห็นชอบก็ต้อง
ส่งเข้าการทำงานของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ก่อนผ่านคณะรัฐมนตรีก็ต้องผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี
เป็นประธาน เมื่อผ่านแล้วก็เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ในช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่เรารอว่าจะบรรจุเข้าที่ประชุม
คณะรัฐมนตรีเมื่อไร เมื่อบรรจุแล้วก็มีการประชุม เมื่อประชุมผ่านก็เป็นนโยบายของรัฐบาล
แต่ในช่วงของการรอเข้าครม. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)ของพรรคไทยรักไทยทั้ง 4 ภาคได้มีการหารือกัน
เห็นว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดี หลังจากผมเคยพูดออกไปคนต่างจังหวัดชอบมากเขามากดดันที่ส.ส. ส.ส.ก็ถูกใจ
ร่วมกันก็มาเสนอในที่ประชุมของพรรค ผมไม่ได้ไปเสนอพรรคทำ เพราะผมทำของกระทรวงเกษตรอยู่แล้ว ประมาณ
1 ล้านตัวที่จะเสนอครม. แต่ในส่วนของส.ส.เมื่อเห็นดีก็คิดว่าทั้งหมด 1 ล้านตัวคงไม่พอหรอก เพราะว่าประชาชน
ที่เป็นครอบครัวของเกษตรกรมีประมาณ 6 ล้านครอบครัว ส.ส.ก็ร่วมใจกันผลักดันเป็นนโยบายของพรรคแล้วพรรค
ก็พิจารณาอนุมัติ เพื่อใช้เป็นการขับเคลื่อนและสนับสนุน แต่รัฐบาลก็ต้องให้กระทรวงเกษตรมาทำงานตรงนี้ให้หนัก
กว่าที่กระทรวงเกษตรคิดอีก
ธุรกิจโคเนื้อโคนมมีช่องว่าเติบโตได้อีก:ขณะนี้มีโคนมที่ให้นมประมาณ 1.9 แสนตัว ให้นมประมาณ 7 แสนตัน ถ้าทำเป็นนมผงก็ 7 หมื่นตัน ขณะเดียวกัน
ประเทศไทยมีนมผงที่นำเข้า 1.8 แสนตัน ถ้าโคนมทั้งหมดของประเทศเราถ้าทำเป็นนมผงแค่ 7 หมื่นตัน ยังไม่พอ
ยังต้องสั่งนำเข้าอีก 1.8 แสนตัน เอา 7 หมื่นไปหาร 1.8 แสนตันก็หมายความว่าเราต้องส่งเสริมอีกประมาณ
2 เท่ากว่า เพราะฉะนั้นโคนมที่มีอยู่ในขณะนี้ 1.9 แสนตัว ถ้าจะเลี้ยงกันจริงๆ และไม่ต้องนำเข้านมผงเลยก็สามารถ
เลี้ยงได้อีกประมาณ 8แสน-1ล้านตัว เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถแก้ปัญหาตรงนี้ แล้วคำนวณตัวเลขให้ถูกมันไม่ใช่
เรื่องใหญ่เลยในการแก้ปัญหา
ในส่วนโคเนื้อ:โคเนื้อมีอยู่ประมาณ 6 ล้านตัว แต่ว่าปีหนึ่งเราบริโภคเนื้อวัว 1.4 ล้านตัว ในส่วนที่เราเลี้ยงอยู่ในขณะนี้ไม่พอบริโภค
ต้องสั่งนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ที่มาตามชายแดนประมาณ 3 แสนตัว ไม่ถูกต้องตามกฎหมายที่ไม่สามารถ
จับกุมได้อีก ผมเข้าใจว่าไม่น้อยกว่า 4 แสนตัวต่อปี และการนำเนื้อโคที่มีคุณภาพดีประมาณ 1,300 ตัน ก็เป็นเนื้อวัว
ที่เลี้ยงดีๆ ที่มีคุณภาพประมาณ 5,000 ตัวต่อปี ตัวเลขต่างๆ เหล่านี้ถ้าเราจะพัฒนาเพิ่มไปอีกสามารถ เลี้ยงเพิ่มได้
และขุนวัวที่ดีมีคุณภาพแข่งกับต่างประเทศได้ ประเทศเราเป็นประเทศร้อนชื้น ไม่มีอากาศหนาวจัดประเทศอื่นเขา
มีอากาศหนาวจัดเขายังเลี้ยงโคได้ดี เราอากาศร้อนเรามองเป็นจุดด้อยซึ่งมันตรงข้าม ถ้าเรามองให้ลึกซึ้งการเลี้ยงวัว
เป็นทางรอดของเกษตรกร เพราะเกษตรกรปลูกข้าว ทำการเกษตรมาพร้อมกับกระทรวงเกษตรซึ่งมีอายุครบ 112 ปี
ไม่เห็นมีใครรวย ถ้าเรามาเปลี่ยนแนวทางเห็นว่าเป็นไปได้
เป็นนโยบายของไทยรักไทยแล้วไม่ได้หมายความว่าเลี้ยงแค่ 1 ล้านตัว:แน่นอน ถ้าเป็นนโยบายของพรรค ที่ผ่านมานโยบายพรรคไทยรักไทย กองทุนหมู่บ้าน ๆละ 1 ล้านบาท ใช้เงินถึง
7 หมื่นกว่าล้านบาท จาก 7 หมื่นกว่าหมู่บ้าน และโครงการ 30 บาททุกโรค นโยบายพรรคทำให้กับคนทุกคน
ถ้าเป็นนโยบายพรรค ก็ไม่ใช่นโนยายที่กระทรวงฯจะเป็นผู้นำ กระทรวงฯจะนำได้ก็แค่ 1 ล้านตัว นโยบายพรรค
เกษตรกร 5-6 ล้านครัวเรือน เกษตรกรเขาสนใจพรรคต้องมีหน้าที่ไปดูแลคนเหล่านั้น ทำอย่างไรให้เขาหายจนได้
นโยบายพรรคมากกว่านโยบายกระทรวงหลายเท่า
เมื่อเป็นนโยบายพรรคทุกคนต้องให้ความร่วมมือ:ส.ส.ทุกคน จะต้องเข้ามาร่วมทำกิจกรรม หากทำไม่ดีก็จะเสียหายถึงพรรค และแนวทางต่างๆ เหล่านี้ กระทรวงฯ
โดยผมได้คิด ถ้าทำลำพังโดยกระทรวงเกษตรต้องขอความเห็นจากครม.จากหลายๆ ฝ่าย ผมสู้อยู่คนเดียวคิดว่า
จะแก้ปัญหาความยากจนของพี่น้องเกษตรกรไม่ได้ ผมว่าเกษตรกรโชคดีที่สุดที่หลายฝ่ายยอมรับเหตุผลที่
กระทรวงเกษตรเสนอเข้าไป
เป็นเพราะโครงการถูกค้างอยู่ที่คณะกรรมการกลั่นกรองนานไปหรือไม่ จึงเสนอเป็นนโยบายพรรค:ไม่ใช่หรอกครับ คิดอย่างนี้เรื่องใหญ่คิดเล็ก ใจไม่กว้างพอใจแคบ ผมคิดว่านโยบายที่สาธารณชนมาวิพากษ์วิจารณ์
มานานแล้ว วิพากษ์วิจารณ์จากคนที่ไม่เข้าใจโค ผมเล่าให้ฟังว่าโคกินหญ้าอย่างเดียวอยู่ได้แล้ว โตวันละ 3-8ขีดครึ่ง
แล้วแต่พันธุ์โคที่จะมาเลี้ยง ประเทศไทยสามารถเลี้ยงได้ทำได้ ผมไม่อยากเอาเรื่องนี้เป็นเรื่องของการเมืองเลย
เพราะเป็นทางรอดของประเทศ จึงต้องเสียสละ ตรงนี้ให้เป็นเรื่องของส่วนรวมจริงๆ แล้วเรื่องนี้ค่อยๆ ทำไปก็สามารถ
สร้างชื่อเสียงโดยลำพังตนเอง ซึ่งเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีได้บอกผมตั้งแต่แรกว่าชาวบ้านอยากได้โคให้ผมไปคิด นายกฯ
เป็นห่วงความยากจนของประชาชน คนกรุงเทพไม่รู้หรอกว่าคนต่างจังหวัดเขาจนกันแค่ไหน ความห่างชั้นยิ่งมาก
ยิ่งอันตราย ผมจึงบอกว่าเรื่องนี้ผมต้องต่อสู้ให้ถึงที่สุด
ผลข้างเคียงที่จะเกิดต่อเศรษฐกิจประเทศ:มูลวัวสามารถทำปุ๋ยอินทรีย์ได้ กระทรวงเกษตรไม่ได้ทำเรื่องวัวอย่างเดียว ทำแหล่งน้ำในไร่นา ประมาณ 1,260
ลูกบาศก์เมตร ให้เกษตรกรออกค่าน้ำมัน รัฐบาลออกค่ารถแม็คโคขุดสรtให้ สระบรรจุน้ำได้ 1,260 ลูกบาศก์เมตร
เกษตรกรเสียประมาณคิวละ 2 บาทเศษ สามารถนำน้ำมาเลี้ยงปลา ปลูกหญ้า เพราะหญ้ากินน้ำน้อยกว่าข้าว
คิดว่าเดือนนี้หรือเดือนหน้าเรื่องจะผ่านครม.ได้หรือไม่:ไม่แน่ใจว่าจะเข้าจะออกเมื่อไร แต่เป็นนโยบายของพรรคแล้ว ผมเรียนว่าถึงแม้ผมจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเกษตร
หรือใครมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรได้ทำแน่หากพรรคไทยรักไทยได้เป็นรัฐบาล เรื่องการเข้าครม.ผมไม่สนใจแล้ว
เพราะทำได้น้อย
ทางปฏิบัติจริงใช้งบประมาณเท่าไร:งบประมาณไม่ต้องใช้เลย หรือใช้น้อยมากในการจดทะเบียนบริษัท เอส.วี .เอ จำกัด เพื่อบริหารจัดการตรงนี้
แล้วบริษัทนี้ก็ไปกู้เงินธนาคารเพื่อนำมาซื้อวัวให้เกษตรกรยืมไปเลี้ยง เกษตรกรก็เอาวัวมาใช้บริษัทที่กู้เงิน
ก็มีเงินมาใช้หนี้ธนาคาร รัฐบาลจะใช้เงินแค่ประมาณ 1,000 ล้านเพื่อจดทะเบียน เงินที่กู้จากธนาคารก็มีบริษัท
ค้ำประกัน เมื่อวัวเสียหายบริษัทค้ำประกันต้องชดใช้ เกษตร เกษตรกรยืมโคไปเลี้ยงน้ำหนัก 100ก.ก.เลี้ยง 2 ปี
เป็น 300ก.ก.เกษตรกรอยากคืนก็คืนมา 120 ก.ก.เกษตรกรก็ได้ 180 ก.ก.ในส่วน 180 ก.ก.จะเปลี่ยนเป็นเงินก็ได้
หรือขณะเลี้ยงวัวมีลูก ลูกวัวก็เป็นของเกษตร
โดย : ฐานเศรษฐกิจ วันที่ 25/09/2004