ที่สัมนาทีดีอาร์ไอวันก่อนก็มองประเด็นใหญ่ๆ เหมือนกับ อ.จอน เลยแหละครับ
เรื่องเงินที่จะเอามาใช้
เรื่องการกระจายรายได้
แต่นักเศรษฐศาสตร์เค้ากำลังกลัวอยู่ว่าถ้าใช้ประชานิยมแบบไม่มีเงิน
คือเอาเงินในอนาคตมาใช้โดยไม่ระวังมันจะกลายเป็นผลร้ายมากกว่า
ด้านหนึ่งคือต้องยกระดับสวัสดิการ อีกด้านหนึ่งก็ต้องหาเงินมาจ่ายเข้าระบบสวัสดิการ
นาย อัมมารกล่าวว่า ขณะนี้นโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ยังไม่ค่อยชัดเจนว่าจะเป็นรัฐสวัสดิการเพิ่มขึ้นหรือไม่ โดยต้องดูเป็นเรื่องๆ ซึ่งเท่าที่เห็นมีเพียงนโยบายการให้สวัสดิการแก่ผู้สูงอายุเท่านั้นที่มี มากกว่า 1 พรรคเสนอ อย่างไรก็ดี คิดว่าควรเพิ่มสัดส่วนรัฐสวัสดิการคงต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยรัฐบาลอาจจะต้องเก็บภาษีทรัพย์สิน ภาษีที่ดิน และอาจต้องปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้มากกว่าที่เก็บอยู่แค่ 7% ส่วนภาษีมรดก หากจะทำก็ได้ แต่คิดว่าคงเป็นเรื่องยากสำหรับเมืองไทย
แต่กองทุนหมู่บ้านที่ทักษิณทำ ดูเหมือนจะทำให้ช่องว่างคนรวยคนจนถ่างมากขึ้น
ยิ่งยากที่จะพัฒนาระบบสวัสดิการในระยะยาว
นาย สมชัยกล่าวว่า สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การเปลี่ยนแปลงของการกระจายรายได้ในช่วงเวลาระหว่างและหลังการใช้นโยบาย ประชานิยม พบว่ารัฐบาลพรรคไทยรักไทยใช้จ่ายเงินงบประมาณและนอกงบประมาณจำนวนมากในช่วง ปี 45-47 และผ่อนคลายลงในช่วงปี 48-49 โดยในช่วง 3 ปีแรกนั้นพบว่าการกระจายรายได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน กล่าวคือสัดส่วนรายได้ของคนรวยสุด 20% เทียบกับคนจนสุด 20% ลดลงจาก 13.2 เท่าในปี 45 เหลือ 12.1 เท่าในปี 47 แต่เมื่อถึงปี 49 สัดส่วนนี้กลับพุ่งสูงขึ้น 15.9 เท่า ซึ่งเป็นค่าสูงสุดในรอบ 20 ปีที่ผ่านมาทีเดียว
"ดังนั้นถึงแม้ว่าการทุ่มเงินประชานิยมดูเหมือนจะช่วยสร้างความเท่าเทียม กันของการกระจายรายได้ แต่ผลไม่ยั่งยืน และเมื่อถอนเงินออกหรือหยุดใส่เงินเพิ่มการกระจายรายได้ยังอาจเลวร้ายกว่า ภาวะปกติเสียอีก"