ยุทธศาสตร์การรบในขณะนี้ ต้องกำหนด "เป้าหมาย" ให้ถูกต้องชัดเจน
ในแง่ที่ทักษิณและพวกพ้องเป็นเป้าหมายแม้พวกเค้าจะมีปัญหา
แต่นั่นก็เป็นปัญหาทางการเมืองที่จะต้องใช้ระบอบเข้าแก้ไข
และต้องพยายามแก้กันไปตามระบอบประชาธิปไตยที่ควรจะเป็นตามครรลอง รัฐธรรมนูญปี 40
ไม่ใช่ทหารมาล้มโต๊ะ ล้มกระดานโดยการรัฐประหาร ซึ่งมีผลทำให้ 1 ปีที่ผ่านมา
ประเทศไทยย่ำเท้าอยู่กับที่และดูถอยหลังยิ่งกว่า "ฟิลิปปินส์" เสียอีก
และเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่เขาไม่มีปัญหาทางการเมือง
แล้วตอนนี้ก็กลัวว่าพรรคเดิมจะได้กลับมาอีกก็ต้องพยายามกีดกันทุกวิถีทาง
ซึ่งไม่ใช่วิธีการของระบอบประชาธิปไตย
แต่ถ้าเป้าหมายเป็น "ศัตรูของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง"
ต้องสนับสนุนทักษิณและพวกพ้องในการเข้ากำจัดพวก
"ศัตรูของระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง" เสียก่อน
และขณะนี้ จึงไม่มียุทธวิธีอื่น นอกจากการสนับสนุนทักษิณและพวกพ้อง
เพื่อโค่นล้ม "ศัตรูที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย" ลงให้จงได้
แล้วจึงผลักดันให้เกิดการปฏิรูปการเมืองเพื่อเป็นประโยชน์แก่ประชาชนอีกครั้งหนึ่ง
หากย้อนกลับไปเมื่อสองปีที่ผ่านมา บรรดานักวิชาการที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม
ได้ตั้งชื่อ "ระบอบทักษิณ" ขึ้นมา เนื่องจากพวกเขามีความคิดคล้าย ๆ กับ
การทดลองความรู้ที่ได้เล่าเรียนมา มีลักษณะเลอะเทอะออกนอกลู่นอกทาง
โดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศไทย หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่า
มีความประสงค์ร้ายต่อประเทศไทยก็ได้ เพราะว่า หนึ่งปีหลังการทำรัฐประหาร
หลายสิ่งหลายอย่างได้แสดงให้เห็นและกำลังจะให้เห็น
เป็นหลักฐานในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำลงไป
แม้นกระทั้งความพยายามที่จะให้ออก กฎหมายที่อ้างความมั่นคงของชาติ
เพื่อเอามาใช้กดขี่ประชาชน ก็เป็นหลักฐานยืนยันในความต้องการให้ประเทศนี้
ปกครองในระบบประชาธิปไตยจอมปลอม
ทั้งๆที่พวกเขาก็มิได้เคยเชื่อมั่นในระบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
สังเกตุได้จากการใช้ตรรกะของพวกเขา เริ่มตั้งแต่ อะไรก็ซื้อเสียง
การ ดูถูก ประชาชนไม่รู้จักประชาธิปไตยบ้าง !
ประเทศนี้่ยังไม่พร้อมที่จะมีประชาธิปไตยบ้าง !
ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นการส่อให้เห็นสันดานของผู้พูดมากกว่าความเป็นจริงที่เป็นรูปธรรม
และมาจนบัดนี้พวกเขาต้องตะลึงที่งนึกไม่ถึงในความเข้าใจของประชาชนไทย
ที่เข้าใจและต้องการให้มีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
หากแต่พวกเขา"กลัว"กำลังมวลชนลุกขึ้นมาทวงหาสิทธิเสรีภาพคืน ให้กับประเทศนี้
ทุกสิ่งที่พวกเขาได้กระทำลงไปก็เพราะ "ความกลัว" นั่นเอง
อ่านในเนื้อความแล้วของดเว้นจะวิจารณ์ เพียงแต่ประทับใจในประโยคที่ว่าถึง
ความกลัวโดยเฉพาะถ้าอ่านทั้งประโยคที่ว่า
ทุกสิ่งที่พวกเขาได้กระทำลงไปก็เพราะ "ความกลัว"ความกลัวนั้นก่อให้เกิดอะไรได้หลายอย่าง มีกระทั่งคนที่ฆ่าผู้อื่นเพราะความกลัว กลัวที่ตนเองจะถูกฆ่า
บ้างก็ชิงลงมือทำร้ายผู้อื่นเพราะความกลัว กลัวว่าเขาจะทำร้ายตนเอง จึงต้องชิงทำร้ายเขาเสียก่อน
คนบางคนถึงกับมุ่งหมายทำลายประเทศของตนเอง เพราะกลัวตนและลูกเมียจะติดคุกด้วยกรรมชั่วที่ก่อไว้
คนคนเดียวกันนั้นยังมุ่งหมายถึงทำลายสถาบันอันเป็นที่เคารพ เพราะความกลัว กลัวที่จะมีอำนาจอื่นเหนือตนเอง
มีภาษิตโบราณสอนไว้ว่า คนกล้าตายครั้งเดียว แต่คนขลาดตายหลายครั้ง
คนขลาดนั้นคือคนที่มีแต่ความกลัว กลัวแม้กระทั่งจะกลับมาสู้คดีที่ตนทำชั่วไว้ กลัวแม้กระทั่งความจริง
อยูกินฟิชแอนด์ชิบ(หาย) แถวลอนดอนนั้นน่ะดีแล้ว