ไปอ่านเจอมาครับ มีมุมมองอะไรให้คิดหลายอย่างดีเลยเอามาฝาก คิดว่า คุณ คำนูญ คงไม่หวง
------------------------------------------------------------------------------------------------------
= ราคาที่ต้องจ่าย บทความโดย คำนูณ สิทธิสมาน 1 พฤษภาคม 2549 =
ในห้องนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ 3 กลุ่ม
กลุ่มหนึ่งเป็นระดับสัญญาบัตรแต่งกายนอกเครื่องแบบใส่เสื้อเชิ้ตสวมแจ็กเกตทับเข้ามาทำหน้าที่สอบสวนตามกฎเกณฑ์ กลุ่มหนึ่งเป็นชั้นประทวนสังกัดหน่วยปราบจลาจล แต่งชุดสนามสีเขียว ยืนเสมือนเฝ้าประตูอยู่จำนวนหนึ่ง อีก 2 คนที่สะดุดตาผมเป็นชั้นประทวนระดับนายดาบอายุค่อนข้างมาก หน้าตาธรรมดาๆ กระเดียดออกไปทางชืดชา แต่งตัวชุดสีกากีเหมือนตำรวจทั่วไปแต่ดูเนื้อผ้าและความสดใสแล้วดูราศีด้อยกว่าชุดของนายพลผู้เป็นผู้บังคับการหน่วยงานมากกว่ามากนัก
นายดาบคนหนึ่งไว้หนวดเรียวโง้ง สวมแว่นอ่านหนังสือ คัดลอกคำให้การของผู้ต้องหาที่เตรียมไว้ก่อนลงสมุดบันทึกเล่มหนาโดยมีนายตำรวจสัญญาบัตรนอกเครื่องแบบคอยกำกับอยู่ใกล้ๆ
ไม่ต้องสงสัย - นี่คือกระบวนการลง บันทึกประจำวัน!
เป็น บันทึกการจับกุม!!
นายดาบอีกคนหนึ่งยังคงนั่งนิ่ง ไม่ได้ทำอะไร ทำให้ผมยังสงสัยอยู่ว่าพี่ท่านคนนี้มีหน้าที่อะไรอยู่ในห้องรับรองของผู้บังคับการหน่วยงาน จะว่าคอยประสานงานทั่วไป ก็เห็นนั่งเฉย จะว่าคอยรับใช้ทั่วไป ก็ไม่เห็นลุกไปช่วยนายตำรวจหญิงสองสามคนและแม่บ้านที่ผลัดกันเข้ามารินน้ำใส่แก้วให้ผู้ต้องหาและคณะเลย จะว่าเป็นประเภทที่ปรึกษาใกล้ชิดนายหรือฝ่ายเสนาธิการ ดูสีหน้าและแววตาแล้วก็ไม่น่าใช่
พอสายตาผมเหลือบไปเจอ กระเป๋าใบนั้น ข้างๆ เก้าอี้โซฟาที่นายดาบหน้าตาราบเรียบคนนั้นนั่งอยู่ ก็เริ่มจะพอสันนิษฐานได้ระดับหนึ่งแต่ยังไม่แน่ใจนัก
กระเป๋าใบนั้นมีรูปแบบเหมือนที่เขาแจกตอนงานสัมมนาของหน่วยราชการ ประเภทที่จะต้องบ่งบอกว่าเป็นที่ระลึกในงานสัมมนาของหน่วยงานใดเมื่อไร ขนาดไม่เกิน 12 x 14 นิ้ว สีเขียวขี้ม้า เก่า และมีสีดำเปื้อนอยู่ด้านบนบริเวณหูหิ้ว
มารอทำงานหรือ เอาไว้ก่อนนะ ขอให้ผมกลับมาก่อน แต่ต้องอยู่รอนะ
เสียงทักจากนายพลผู้บังคับบัญชาหน่วยงานขณะกำลังจะออกไปพบผู้บังคับบัญชาระดับสูงกว่าเพื่อให้เซ็นอนุมัติการประกันตัวผู้ต้องหาคนสำคัญ ทำให้ผมหายสงสัยว่านายดาบท่านนั้นมีหน้าที่อะไร
และรู้ไปพร้อมๆ กันว่ากระเป๋าใบนั้นบรรจุอะไรอยู่
วินาทีถัดมาผมก็ได้เห็นการทำงานตามหน้าที่อย่างคล่องแคล่วของนายดาบ เมื่อผู้ต้องหาคนสำคัญที่ปฏิเสธจะปฏิบัติตามขั้นตอนการจับกุมทั่วไปตัดสินใจยอมปฏิบัติเพื่อจะได้ให้เรื่องจบลงเร็วที่สุด
กระเป๋าเก่าใบนั้นถูกเปิดออกมา
อุปกรณ์โลหะปนอะลูมิเนียมถูกดึงออกมา มันประกอบด้วยแท่นโลหะเรียบเปื้อนหมึกสีดำ ลูกกลิ้งที่ใช้เกลี่ยหมึกสีดำลงบนแท่นโลหะ หลอดหมึกพิมพ์สีดำรูปลักษณ์คล้ายหลอดยาสีฟันดาร์ลี่ (ดากี้) หนังสือพิมพ์เก่าๆ ที่ใช้ห่อลูกกลิ้งและหลอดหมึกพิมพ์
ผมเคยเจออุปกรณ์ลักษณะนี้มาครั้งหนึ่งเมื่อปลายปี 2535 แต่โดยความรู้สึกดูเหมือนจะเป็นชุดที่ดูเหมือนจะใหญ่กว่านี้นิดหนึ่ง จริงๆ แล้วอาจจะเท่ากัน เพียงแต่ชุดที่ผมเจอตั้งไว้ประจำที่ ไม่ใช่พกพาใส่กระเป๋าไปตามที่ต่างๆ ความตื่นเต้นและหดหู่เมื่อ 14 ปีก่อนของผมอาจทำให้ความจำในส่วนรายละเอียดของอุปกรณ์ผิดพลาดไปได้บ้าง
แต่ในด้านกระบวนการที่ถูกปฏิบัติและความรู้สึกลึกภายในแล้ว - ไม่ต่างกัน
ต่อมน้ำตาเริ่มทำตามหน้าที่ - ดีที่ผมกลั้นสะกดไว้ ณ วินาทีนั้นก็เลยเป็นแค่เพียงการร้องไห้อยู่ภายในหัวใจไม่แสดงออกมาภายนอก
กระบวนการพิมพ์ลายนิ้วมือเป็นศิลปะทั้งของผู้พิมพ์และผู้ถูกพิมพ์ที่จะต้องให้ความร่วมมือกัน มิเช่นนั้นการพิมพ์ลายนิ้วมือลงบน แบบพิมพ์ลายนิ้วมือผู้ต้องหา ฯลฯ จำนวน 5 ชุดคงไม่สมบูรณ์ลงง่ายๆ
หมึกพิมพ์ต้องพอดีและสม่ำเสมอ ไม่มากเกินไป ไม่น้อยก่อนไป
ใส่หมึกเกลี่ยหมึกครั้งหนึ่งต้องสำหรับการพิมพ์ในแต่ละชุด ดังนั้นการพิมพ์มือในกระบวนการหนึ่งก็ต้องใส่หมึกเกลี่ยหมึกกัน 5 ครั้ง
การจับนิ้วมือผู้ต้องหาแต่ละนิ้วกดลงบนแท่นโลหะเพื่อให้รับหมึกพิมพ์สีดำ แล้วนำลงไปกดกลิ้งลงบนแบบพิมพ์กระดาษแข็งตามกรอบที่ทำไว้สำหรับแต่ละนิ้วทั้ง 10 นิ้ว 2 มือ
ผู้ต้องหาต้องปล่อยมือปล่อยนิ้วไปตามสบายไม่เกร็ง เพื่อให้งานเสร็จโดยเร็ว
การพิมพ์ลายนิ้วมือผู้ต้องหาที่ยังมีชีวิตอยู่น่าจะง่ายกว่าผู้ต้องหาที่เสียชีวิตแล้ว!
ชุดพิมพ์มือเคลื่อนที่ในกระเป๋าใบกะทัดรัดมีไว้เพื่อนำไปพิมพ์มือผู้ต้องหาที่เสียชีวิตแล้ว นอกสถานที่ทำการของตำรวจ จะเพราะถูกวิสามัญฆาตกรรมหรืออะไรก็สุดแท้แต่
นานทีปีหนจึงจะนำมาพิมพ์มือผู้ต้องหาคนสำคัญในห้องผู้บังคับการ
ที่จริง การพิมพ์ลายนิ้วมือผู้ต้องหายังมีข้อถกเถียงในเชิงกฎหมายว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่
การที่ตำรวจยึดมั่นว่าผู้ต้องหาคดีอาญาในทุกคดีและทุกกรณีที่ต้องถูกพิมพ์ลายนิ้วมือไม่น่าจะถูกต้อง
เพราะการพิมพ์ลายนิ้วมือเป็นไปเพื่อระบุความเป็นตัวตนที่ชัดเจน
ก็ถ้าผู้ต้องหามีตัวตนชัดเจน เป็นที่รู้จักทั่วไป มีเอกสารประจำตัวครบถ้วน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ได้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดทางอาญาประเภทที่ต้องใช้มือจับต้องอุปกรณ์ใดๆ ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการปฏิบัติต่อเสมือนเป็นมือปืน มือมีด ตีนแมว โจรลักเล็กขโมยน้อย โจรปล้นฆ่า ฯลฯ
เฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ผู้ต้องหาเข้ามอบตัวเองไม่ใช่หนีแล้วถูกจับกุม
แต่ตำรวจก็ยืนยันมาตลอดว่าต้องพิมพ์ลายนิ้วมือ
ในบางกรณี (เช่นตัวผมเมื่อ 14 ปีก่อน) จะถูกขอร้องให้ถือหมายเลขทะเบียนผู้ต้องหา ถ่ายรูปหน้าตรง และหน้าด้านข้าง แถมเข้าไปด้วย
ครั้งนี้ตำรวจโต้แย้งทนายความของผู้ต้องหาว่าสำนักงานอัยการสูงสุดยืนยันให้ทำอย่างนี้
ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกกับการลุกขึ้นสู้เพื่ออะไรสักอย่างนั้นบางครั้งมันช่างแพงนัก
ผู้ต้องหาคนสำคัญที่กำลังพิมพ์ลายนิ้วมือต่อหน้าผมเมื่อวันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2549 จ่ายแพงมากเพื่อแลกกับการลุกขึ้นสู้ครั้งนี้ที่ยืดเยื้อมากว่า 7 เดือน ต้องเสียความเป็นส่วนตัว ต้องเสียเงิน ต้องทนถูกหยามเหยียด ต้องทนถูกเข้าใจผิด ไม่ต้องพูดถึงว่าต้องอยู่อย่างเสี่ยงต่อการถูกปองร้าย ไม่ใช่เฉพาะวันนี้พรุ่งนี้ แต่ยังจะเสี่ยงไปอีกหลายเดือนหลายปี
ผู้ต้องหาคนนี้ออกมาเสี่ยง สู้เพื่อในหลวง เพราะเห็นว่าความรักภักดีที่แท้จริงนั้นไม่เพียงการทำด้วยอามิสบูชา หากแต่ต้องปฏิบัติบูชาด้วย
สุดท้าย ผู้ต้องหาคนนี้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญามาตรา 112
ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ฯ
จริงอยู่ แม้ในที่สุดแล้วศาลสถิตยุติธรรมจะเป็นผู้พิสูจน์ความจริงทุกอย่างทุกประการ แต่ในสังคมที่การรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนไม่เท่าเทียมกัน วัฒนธรรมในระบบอุปถัมภ์และระบบอำนาจนิยมยังคงดำรงอยู่กว้างขวาง แค่ถูกออกหมายจับ แค่ต้องขึ้นศาล ก็ย่อมถูกนำไปโฆษณาว่าทำความผิดไปแล้ว
มันน่าเจ็บปวดเพียงใด?
ถ้าไม่มีขนาดของหัวใจใหญ่พอ คนธรรมดาๆ ทั่วไปย่อมยากที่จะทานทนความกดดันเช่นนี้ได้
ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกกับการลุกขึ้นสู้เพื่ออะไรสักอย่างนั้นบางครั้งมันช่างแพงจริงๆ !!
ที่มา :
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9490000057362