ตลาดการเมืองป่วน เทพ-มาร-ปีศาจ ร่วมโปรโมชั่น ลด-แลก-แจก-พ่วงอดีต ส.ส. อดีต ส.ว. อดีตข้าราชการวัยเกษียณ นักธุรกิจ ทั้งใต้ดินบนดิน หันหัวเรือไม่ถูกทิศ เมื่อเจ้าตลาดการเมืองเร่ซื้อตัว ผู้สมัคร ส.ส.อย่างอลหม่าน
ทั้งพรรคใหญ่เก่าแก่อนุรักษนิยมอย่าง พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังต้องทำการตลาด สร้างแบรนด์ เลือกซื้อแต่เฉพาะว่าที่ผู้สมัครคุณภาพคับแก้ว ขณะที่สินค้าในโกดังถูก พรรคอื่นมาไล่ซื้อในราคาสูง
ทั้งอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สุเทพ เทือกสุบรรณ และสุทัศน์ เงินหมื่น จึงต้องเรียงหน้าออกมา การันตีที่วางจัดจำหน่าย แบบเอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์
ไม่นับรวมการเคาะซ ื้อในเขต จ.อุบลราชธานี ที่ประชาธิปัตย์ตกลงจ่ายด้วยวาจาไว้แล้ว ถูกเสี่ยใหญ่เจ้าของพรรคใหม่กลางใจเมืองชิงจ่ายเพิ่มตัดหน้าซื้อไปในราคาสูง ลิ่ว
ไม่ต่างไปจากตัวแทนจัดจำหน่ายของ พรรคชาติไทย ที่ต้องเหลียวหลังแลหน้า มองซ้ายมองขวาอยู่ตลอดเวลา เพราะหากกะพริบตาเมื่อไร ผู้สมัครคุณภาพดีอาจหนีขึ้น รถเก๋งราคาแพงหายวับ
จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ และชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จึงต้องรีบเร่งเข้าประจำการในที่ทำการ พรรคส่วนตัวของหัวหน้า บรรหาร ศิลปอาชา ทันที ที่มีการเคาะราคาครั้งสุดท้าย
นักการเมืองระดับ deal maker จากพรรคการเมืองใหญ่ ที่กุมสภาพการ ซื้อ การขายในคราวนี้ ชี้ตัวสินค้าทั้งของจริง ของปลอม แล้วระบุว่าเลือกตั้งคราวนี้ มี 3 พรรคที่เงินหนาที่สุด เรียงตามลำดับ พลังประชาชน ประชาธิปัตย์ และ "ประชัย"
ส่วนพรรคเกิดใหม่ใจถึง กระสุนเพียบ กระแสเงียบ อย่าง "พรรคเพื่อแผ่นดิน" นั้น ฝ่ายจัดซื้อบอกคร่าวๆ ว่า "เราจ่ายเฉลี่ยแล้วเท่าๆ กับพรรคชาติไทย"
ถ้าเป็นอดีต ส.ส.จะได้ราคาดีเลิศ อยู่ในระดับ 20 ล้านบาทขาดตัว
มองทะลุเข้าไปในพรรคนี้ แม้ไม่มีการขึ้นป้ายแสดง "เครดิต" ชัดเจน แต่มีคำยืนยัน จากฝ่ายจัดซื้อว่า มีผู้ให้การสนับสนุนหลัก อย่างเป็นทางการหลายราย ทั้งทางตรงทางอ้อม อาทิ
พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก จะเข้าประจำการดูแลผู้สมัครในภาคอีสานเป็นหลักชัย
ส่วน วัชระ พรรณเชษฐ์ ในฐานะเลขาธิการพรรค และอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรี พินิจ จารุสมบัติ สมัยเป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรม รับเหมาตามความเหมาะสม
แน่นอ นที่สุดว่า วัฒนา อัศวเหม ต้องควักเต็มที่ในเขตปากน้ำ และจังหวัดภาคกลาง ในระดับตามแต่พรรคจะกำหนดราคากลาง ในฐานะกรรมการสภานโยบายและยุทธศาสตร์
ส่วนประธานที่ปรึกษาหัวเรือใหญ่ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย นั้น ทั้งฝ่ายจัดซื้อและ deal maker พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เรื่องการจัดซื้อตัว นักเลือกตั้งนั้น "ท่านช่วยหาบ้าง" ตามกำลังและฐานะทางสังคม
นอกนั้นเป็นผู้สนับสนุนย่อยๆ ทั้งที่ปกปิดและเปิดเผย อย่างน้อยก็จากบริษัทโทรคมนาคมรายเล็กรายน้อย
ออกจากตลาดย่านสุขุมวิท ไปที่ย่านตลาดสะพานขาว
พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา แหล่งรวมขุนพลระดับ "เบอร์ 2" ตลอดกาล ทั้งสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ และพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์
และข่าวการเตรียมเข้ามาสมทบของ กลุ่ม พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ พรรคมหาชน คงทำให้พรรคมี "มูลค่า" เพิ่มขึ้นอีกโข ประกอบกับต้นทุนเก่าที่มี "สมคิด" ไว้ขาย พ่วงทุกรายการ ก็ยังเป็นที่ต้องการของตลาด
สินค้าหน้าร้านที่ดึงดูด ล่อใจให้ซื้อง่าย ขายคล่อง มีชื่อ ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ เป็นแม่เหล็ก
ประกอบกับชื่อ "สุวัจน์" ที่เข้าประจำการ บนเก้าอี้ตัวใหญ่พอๆ กับเก้าอี้หัวหน้าพรรค ที่ถูกเรียกชื่อใหม่ว่า "ประธานสภาที่ปรึกษายุทธศาสตร์" แม้จะ "ลอย" แต่มีหลักหนักแน่นสมฐานะอยู่ที่ จ.นครราชสีมาไม่ต่ำกว่า 10 ที่นั่ง
ยิ่งทำให้ "รวมใจไทยชาติพัฒนา" ราคาขึ้นติดตลาด
อีกทั้งยังมีแบรนด์ตัวแทน "สิงห์" และ "ช้าง" เดินชนกันขวักไขว่ ในนามของ "จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี" รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด
และเกษมสันต์ วีระกุล ที่เพิ่งทิ้งเก้าอี้ใหญ่ในอาณาจักรบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เข้ามาทำตลาดแบบ "บีโลว์เดอะไลน์" รวมถึง นลินี ไพบูลย์ เจ้าแม่กิฟฟารีน
ส่วนพรรคประชาราชของ นายเสนาะ เทียนทอง นั้นอยู่ในระหว่างการเจรจา วิ่งเข้าหาพรรคที่ขายได้ในตลาด "แมสมาร์เก็ตติ้ง" มากยิ่งขึ้น
โดยช่วงตลาดเปิดนั้นมีทีท่าว่าจะขายออก ไปอยู่กับพรรคเพื่อแผ่นดิน ขณะเดียวกัน ก็มีการเจรจากับเจ้าตลาด ส.ส.ภาคใต้ อย่างพรรคประชาธิปัตย์ก็ยังไม่สิ้นสุด ไม่แน่ว่าช่วงตลาดปิดก่อนลงรับสมัคร "ประชาราชและเสนาะ" จะไปวางขายอยู่กับตัวแทนจัดจำหน่ายยี่ห้อใด
ที่พรรคมัชฌิมาธิปไตย เมื่อครั้งหมด ที่พึ่งใหญ่ เจ้าของถังข้าวสารระดับ "อดีตเลขาธิการพรรค" เจ้ากระทรวงใหญ่ย่าน ถนนราชดำเนินใน ไม่ยอมปล่อยน้ำเข้าสู่ท่อเพราะกลัวข้อครหา "เนรคุณ" อดีตหัวหน้าพรรคเศรษฐี ที่สังเกตการณ์ไกลอยู่อีกขั้วโลก
ทำให้มัชฌิมาธิปไตยต้องย้ายฐานการผลิตมาแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง จากตลาดย่านชานเมืองในหมู่บ้านทองธานี ไปอยู่บนตึกใหญ่กลางใจเมือง
การเข้าสู่ร่มใหญ่ชายคาตึกทีพีไอซับซ้อนกว่าพรรคไหนๆ เพราะนอกจากต้องฝ่าด่านสัญญากู้ยืมเงินคนละ 1 ล้านบาทแล้ว ยังต้องคอยลุ้นและเชื่อฟังเจ้าหนี้ "ประชัย เลี่ยวไพรัตน์" อย่างเคร่งครัด
แม้สมศักดิ์ เทพสุทินจะไม่ยอมรับว่า เป็นการ "หนีเสือปะจระเข้" แต่คราวนี้สินค้าราคาดีมีคุณภาพนับวันจะเหลือน้อย จึงต้องตัดใจเลหลังไปตามสภาพ
นักเลงการเมืองโบราณที่ไม่ยึดติดกับ แบรนด์ดัง ยังคงเร่ขายสินค้าเก่า ราคาใหม่
ว่ากันว่าช่วงรณรงค์ "รับ" "ไม่รับ" ร่างรัฐธรรมนูญ มีพรรคการเมืองใหญ่ลงทุน แค่ผิวๆ เพียง 300 ล้านบาทเท่านั้น
ทั้งกระแสและกระสุนยังคงทำงานอย่างซื่อสัตย์ เพราะคาดว่าการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้มีการทุ่มตลาดอย่างไม่อั้น ขั้นต่ำก็ต้องมีไว้ในโกดังไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท ขั้นสูง 4,000 ล้านบาท และราคานี้ถือว่า "ปกติ"
ทุกพรรคล้วนสัญญากับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายว่าจะทำยอดขายบนทำเลที่สังกัดท่วมท้น ดังนั้นทุกลมหายใจการตลาดอาจสำลักพิษต้นทุนได้ เพราะอาจผงะหงายเมื่อรู้ตัวเลขที่จ่ายจริง
http://www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02pol03291050&day=2007-10-29§ionid=0202---
ปล.และด้วยเหตุนี้
ในช่วงนี้..ผมคงจะต้องงดดูงดบริโภคข่าวการเมืองซักระยะ..
เพราะยิ่งดูยิ่งเสียดายอาหารในท้องที่มันอาจจะกระย่อนออกมาโดยมิรู้เนื้อรู้ตัว..
จากพฤติกรรมของนักการเมืองประเทศนี้..
