********Q********
|
 |
« เมื่อ: 26-10-2007, 14:12 » |
|
ทักษิณ เคยพูดว่า ให้การเมืองนิ่ง
มันก็ดีระยะสั้น
เมื่อเขาและพวกเหิมเกริม ผูกขาดทางการเมือง ปัญหาก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผมจึงเสนอว่าต้องต่อต้านการผูกขาดทางการเมือง ทั้งตัวบุคคลและพรรค
ดังนั้นงานจะต่อเนื่องได้ ต่อเมื่อพรรคการเมืองเขียนนโยบายการทำงานชัดเจน
ไม่ขัดกับแผนระยะยาวของประเทศ แผนระยะยาวของประเทศจึงไม่ควรให้นักการเมืองที่ลงเล่นการเมืองแตะต้องเปลี่ยนแปลงได้
ควรเป็นเรื่องขององค์กรอิสระในความดูแลของรัฐและกฎหมายเท่านั้น
เชิญเสนอแนะ ตามประเด็นกระทู้ได้ครับ ไม่ถือว่านอกประเด็นอะไร?
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-10-2007, 14:14 โดย ********Q******** »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #2 เมื่อ: 26-10-2007, 14:28 » |
|
แผนที่กำหนดขึ้นแล้วจะต้องผ่านการลงประชามติ และจะเปลี่ยนแปลงได้จากการจัดทำแผนใหม่
และจะต้องผ่านการลงประชามติที่ได้คะแนนสนับสนุนมากกว่าเดิมเท่านั้น ก่อนการลงประชามติก็ให้จัดให้มีการตอบข้อซักถามประชาชนและสื่อมวลชนในวงกว้าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #3 เมื่อ: 26-10-2007, 14:51 » |
|
แถวนี้มีอีแอบ สมุนนักการเมืองที่มีหน้าที่เชียร์นักการเมืองคนหนึ่งคนใด
พรรคการเมืองพรรคหนึ่งพรรคใด แบบสุดลิ่มทิ่มประตูหรือเปล่า?
หากมีก็ขอให้ไปประจำอยุ่ที่เว็บไซท์ที่เป็นทางการของพรรคหรือนักการเมืองเหล่านั้น
เอาลิงค์มาวาง และจะตามไปอ่าน ถ้าหากสนใจครับ
ไม่ต้องมาใช้สิทธิแปะพร่ำเพรื่อ รบกวนสังคมหรือสมาชิกบอร์ด
เพราะที่นี่เรา มีความเสมอภาคกันในการเสนอความเห็นอยู่แล้ว
ไม่ได้อุ้มกระทู้แบบพันทิป มากมายอะไร?
อย่างไรก็ตามขอต้อนรับสุภาพชนและวิญญูชนทุกท่านครับ..
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-10-2007, 15:11 โดย ********Q******** »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #4 เมื่อ: 26-10-2007, 21:45 » |
|
อืมม นักการเมือง ที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟ กับดารา นี่แสดงบทบาทกันเก่ง
จนบางครั้งก็ปกปิดตัวจริงเกือบมิด
อยากเจอรายที่หลอกทุกคนได้ตลอดเวลาจัง..
น่าจะใกล้เคียงกับซาตาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
PastelSalad
|
 |
« ตอบ #5 เมื่อ: 27-10-2007, 11:12 » |
|
ถ้าทำเช่นนี้ ประเด็นสำคัญคือเรื่องที่มาและหลักการคัดสรรสมาชิกสภาพัฒน์แล้วล่ะครับ
เพราะถ้าทุกกลุ่มคนในประเทศไม่มีส่วนร่วมในการร่างนโยบายระยะยาว ความขัดแย้งจากการไม่ยอมรับนโยบายดังกล่าวก็จะเป็นระยะยาวด้วย
อีกประเด็นหนึ่งที่ควรให้มี คือการเจรจานโยบาย
ทุกๆ นโยบายของรัฐที่มีผลกระทบในวงกว้าง ต้องมีการเลือกผู้แทนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมาทำการเจรจาเพื่อปรับนโยบายให้ได้ฉันทามติก่อน
ด้วยวิธีนี้ จะสามารถคุมนโยบายรัฐบาล ให้เป็นไปตามแผนพัฒน์ได้จริงครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
 ใจเย็นๆ แล้วมานั่งจิบโกโก้อุ่นๆ ด้วยกันก่อนดีกว่าครับ
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #6 เมื่อ: 27-10-2007, 13:53 » |
|
ถ้าทำเช่นนี้ ประเด็นสำคัญคือเรื่องที่มาและหลักการคัดสรรสมาชิกสภาพัฒน์แล้วล่ะครับ
เพราะถ้าทุกกลุ่มคนในประเทศไม่มีส่วนร่วมในการร่างนโยบายระยะยาว ความขัดแย้งจากการไม่ยอมรับนโยบายดังกล่าวก็จะเป็นระยะยาวด้วย
อันนี้ มีสภาที่ปรึกษาเดิม ที่มีความหลากหลายครับ การผนวกกับสภาพัฒน์เดิมก็น่าจะพอเพียง เพราะเป็นหน่วยงานที่ทำแผนระยะยาวอยู่แล้ว
ส่วนความขัดแย้งแบบค้านตะบันอย่างเดียว ตรงนี้ต้องใช้เหตุใช้ผล ใช้ความรู้ ที่สำคัญมีการลงประชามติในที่สุดด้วย..ซึ่งหมายถึงคนส่วนใหญ่ของประเทศอีกประเด็นหนึ่งที่ควรให้มี คือการเจรจานโยบาย
ทุกๆ นโยบายของรัฐที่มีผลกระทบในวงกว้าง ต้องมีการเลือกผู้แทนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมาทำการเจรจาเพื่อปรับนโยบายให้ได้ฉันทามติก่อน
ด้วยวิธีนี้ จะสามารถคุมนโยบายรัฐบาล ให้เป็นไปตามแผนพัฒน์ได้จริงครับ อันนี้ถ้าเป็นระดับประชามติที่มีคะแนนมากกว่าประชามติเดิมในขั้นสุดท้ายเห็นด้วยครับ เป็นทางเดียวที่เปลี่ยนแผนระยะยาวให้สมบูรณ์และเป็นที่พอใจทุกฝ่ายมากยิ่งขึ้นได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #7 เมื่อ: 27-10-2007, 14:26 » |
|
การทำงานลักษณะที่เสนอ ยังคงอยู่ภายในหลักการกระจายอำนาจ
และหลักตัวแทนตามความเชี่ยวชาญในภารกิจต่างๆ
เป็นสมดุลย์ที่พัฒนาไปข้างหน้าได้ ไม่ใช่การหยุดนิ่งหรือพายเรือในอ่างจากการเมืองที่ไม่สร้างสรรค์ ใช้พวกมากลากไปด้วยกระแสทางการเมืองแบบวูบๆวาบๆ
แม้แต่นิติบัญญัติ จะเขียนกฎหมายใหม่ก็ต้องพิจารณาด้วยว่าอยู่ในกรอบประชามติระยะยาวหรือไม่?
ฝ่ายบริหารไม่ต้องพูดถึงหากไม่มีความสามารถจะมั่วเพื่อเบี่ยงเบนแบบเอาแต่ความคิดของตนเองและพวกไม่ได้อีกต่อไป..ยุติธรรมกับทุกฝ่ายครับ.
การเมืองส่วนท้องถิ่นก็ยังเดินต่อไปได้ แต่ต้องอยู่ในกรอบประชามติของทั้งประเทศว่าให้ขอบเขตไว้มากเพียงใดในแต่ละประเด็น
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-10-2007, 14:31 โดย ********Q******** »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
PastelSalad
|
 |
« ตอบ #10 เมื่อ: 27-10-2007, 18:21 » |
|
เรื่องประชามตินี่ ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ครับ
เพราะถ้าเราอยู่ในกลุ่มคน 49% ที่ไม่เห็นด้วย (หรือกี่ % ก็ตาม ที่เป็นส่วนน้อย) เราก็ไม่มีสิทธิมีเสียงแล้วครับ
ทางเลือกที่ดีกว่า คือการคัดเลือกตัวแทนจากคนทุกกลุ่มที่คิดว่าจะได้รับผลกระทบกับนโยบาย แล้วมาเจรจาให้ได้ผลนโยบายที่่ทุกคนพอใจดีกว่าครับ
ด้วยวิธีนี้ ถึงแม้นโยบายที่ออกมาจะไม่ตรงกับที่เราต้องการ แต่อย่างน้อยเราก็พอใจได้ว่า เราได้มีส่วนร่วมแล้ว
(แต่บางเรื่องจริงๆ ก็ต้องทำประชามติถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
 ใจเย็นๆ แล้วมานั่งจิบโกโก้อุ่นๆ ด้วยกันก่อนดีกว่าครับ
|
|
|
PastelSalad
|
 |
« ตอบ #11 เมื่อ: 27-10-2007, 18:27 » |
|
สำหรับกรณี อ่านภาษาไทยไม่ออกเขียนไม่ได้ โดยไม่พิการทางสมอง ต้องให้โอกาส อาจจะต่อจากนี้ไปสักไม่เกินห้าปี
จำเป็นต้องจำกัดสิทธิ์การออกเสียงเลือกตั้งเหลือไว้เพียงสิทธิ์ในการรับสวัสดิการสังคมเท่านั้น
นี่จำเป็นต้องเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการคุณภาพประชากรด้วย ตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องระวังครับ เพราะเป็นเรื่องอ่อนไหวมาก ถ้าไปจำกัดมาก จะมีคนออกมาร้องว่า เป็นการกีดกัน เป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคม พาลๆ ไปออกเป็นสังคมนิยมอีก เดี๋ยวจะมีคำว่า ปราชญ์ กับ ควาย ตามมา =_= โจทย์คือ ทำยังไง ให้ทุกคนพอใจได้ ตรงนี้ผมจึงเสนอเรื่อง ตามหน้าที่ มาไงครับ เพราะคิดว่าคนส่วนใหญ่คงพอรับได้ เริ่มออกนอกประเด็นกระทู้แล้วครับ ขอโทษด้วย ถ้ากลับมาเรื่องประเด็นสภาพัฒน์ ให้มีอำนาจตรวจสอบและนำมาใช้กับการเมืองปัจจุบันได้ ผมว่า คุณบอนนี่เสนอไว้ได้ดีมากแล้วครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
 ใจเย็นๆ แล้วมานั่งจิบโกโก้อุ่นๆ ด้วยกันก่อนดีกว่าครับ
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #12 เมื่อ: 27-10-2007, 18:29 » |
|
เรื่องประชามตินี่ ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ครับ
เพราะถ้าเราอยู่ในกลุ่มคน 49% ที่ไม่เห็นด้วย (หรือกี่ % ก็ตาม ที่เป็นส่วนน้อย) เราก็ไม่มีสิทธิมีเสียงแล้วครับ
ทางเลือกที่ดีกว่า คือการคัดเลือกตัวแทนจากคนทุกกลุ่มที่คิดว่าจะได้รับผลกระทบกับนโยบาย แล้วมาเจรจาให้ได้ผลนโยบายที่่ทุกคนพอใจดีกว่าครับ
ด้วยวิธีนี้ ถึงแม้นโยบายที่ออกมาจะไม่ตรงกับที่เราต้องการ แต่อย่างน้อยเราก็พอใจได้ว่า เราได้มีส่วนร่วมแล้ว
(แต่บางเรื่องจริงๆ ก็ต้องทำประชามติถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้)
คงต้องโต้แย้งว่า ทุกคนได้รับผลกระทบเสมอครับ เมื่อเป็นคนถือสัญชาติไทย เพราะหลักเลี่ยงไม่ได้
และเมือไม่ผ่านประมติ สิ่งที่ตามมาก็คือการต่อต้านในที่สุด รวมทั้งระบบที่คิดว่าดีก็ไม่ผ่านการทดสอบในสภาพแวดล้อมจริงในเบื้องต้นด้วยครับ
คงไม่มีใครกล้าใช้ระบบนั้นแน่ หากมีทางเลือกอื่น.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #13 เมื่อ: 27-10-2007, 18:45 » |
|
 สำหรับกรณี อ่านภาษาไทยไม่ออกเขียนไม่ได้ โดยไม่พิการทางสมอง ต้องให้โอกาส อาจจะต่อจากนี้ไปสักไม่เกินห้าปี
จำเป็นต้องจำกัดสิทธิ์การออกเสียงเลือกตั้งเหลือไว้เพียงสิทธิ์ในการรับสวัสดิการสังคมเท่านั้น
นี่จำเป็นต้องเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการคุณภาพประชากรด้วย ตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องระวังครับ เพราะเป็นเรื่องอ่อนไหวมาก
ถ้าไปจำกัดมาก จะมีคนออกมาร้องว่า เป็นการกีดกัน เป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคม
พาลๆ ไปออกเป็นสังคมนิยมอีก เดี๋ยวจะมีคำว่า ปราชญ์ กับ ควาย ตามมา =_= โจทย์คือ ทำยังไง ให้ทุกคนพอใจได้
ตรงนี้ผมจึงเสนอเรื่อง ตามหน้าที่ มาไงครับ เพราะคิดว่าคนส่วนใหญ่คงพอรับได้ ประเด็นหลักๆที่สำคัญต้องอยู่ในรัฐธรรมนูญครับ หากรัฐธรรมนูญผ่านประชามติก็ต้องยอมรับในเบื้องต้นเริ่มออกนอกประเด็นกระทู้แล้วครับ ขอโทษด้วย ไม่เป็นไรครับถ้ากลับมาเรื่องประเด็นสภาพัฒน์ ให้มีอำนาจตรวจสอบและนำมาใช้กับการเมืองปัจจุบันได้ ผมว่าคุณบอนนี่เสนอไว้ได้ดีมากแล้วครับ ผมไม่ได้พูดถึงอำนาจตรวจสอบโดยตรงครับ หมายถึงอำนาจในการจัดทำแผนระยะยาวของประเทศมากกว่า ซึ่งของเดิมไม่ผ่านประชามติ..
ไม่เห็นคุณพูดถึงสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมเลยนี่ครับ? ส่วนข้อเขียนคุณบอนนี่ผมขอผ่านนะครับ เพราะไม่ได้มาถกเถียงกันในประเด็นตรงนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
PastelSalad
|
 |
« ตอบ #14 เมื่อ: 27-10-2007, 18:47 » |
|
ทำประชามติแล้วก็ต่อต้านได้ครับ เพราะเสียงส่วนน้อยไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับเสียงส่วนใหญ่ การบอกว่า ต้องยอมตามเสียงส่วนใหญ่ ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เสียงส่วนน้อยยอมรับได้ครับ
จริงๆ แล้วประชามติ ถ้าใช้ในบริบทอย่างบ้านเรา จะกลายเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้กับนักการเมืองมากกว่าครับ อย่างที่เราเห็นทักษิณอ้าง 19 ล้านเสียง เป็นต้นถ้าคาดหวังประชามติอย่างเดียว โครงการประชานิยมผ่านฉลุยแน่
จริงๆ แล้วตอนนี้มีงานวิจัยทางสังคมศาสตร์และรัฐศาสตร์ออกมาแล้วนะครับ ว่าในบริบทของนโยบายสาธารณะนั้น การเจรจานโยบาย (regulatory negotiation) เพื่อหาฉันทามติ มีประสิทธิภาพกว่าประชาธิปไตย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
 ใจเย็นๆ แล้วมานั่งจิบโกโก้อุ่นๆ ด้วยกันก่อนดีกว่าครับ
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #15 เมื่อ: 27-10-2007, 18:52 » |
|
ทำประชามติแล้วก็ต่อต้านได้ครับ เพราะเสียงส่วนน้อยไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับเสียงส่วนใหญ่ การบอกว่า ต้องยอมตามเสียงส่วนใหญ่ ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เสียงส่วนน้อยยอมรับได้ครับ
จริงๆ แล้วประชามติ ถ้าใช้ในบริบทอย่างบ้านเรา จะกลายเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้กับนักการเมืองมากกว่าครับ อย่างที่เราเห็นทักษิณอ้าง 19 ล้านเสียง เป็นต้นถ้าคาดหวังประชามติอย่างเดียว โครงการประชานิยมผ่านฉลุยแน่
จริงๆ แล้วตอนนี้มีงานวิจัยทางสังคมศาสตร์และรัฐศาสตร์ออกมาแล้วนะครับ ว่าในบริบทของนโยบายสาธารณะนั้น การเจรจานโยบาย (regulatory negotiation) เพื่อหาฉันทามติ มีประสิทธิภาพกว่าประชาธิปไตย
เรื่องเจรจาต้องมี และอยุ่ในกระบวนการจัดทำครับ ส่วนต่อต้าน ถึงแม้ไม่ผ่านประชามติก็ต่อต้านกันได้อยู่แล้ว แต่หากผ่านประชามติก็ควรเป็นกติกาที่เสียงส่วนน้อยยอมรับ
แผนจะดีหรือไม่อยู่ที่ความเป็นมืออาชีพของกลุ่มผู้จัดทำแผน ก็คือหน่วยงานควบรวมที่ผมเสนอขึ้นมาในรูปองค์กรอิสระนั่นแหละครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
PastelSalad
|
 |
« ตอบ #16 เมื่อ: 27-10-2007, 18:56 » |
|
ถ้าผมจำความไม่ผิด คุณบอนนี่ได้กล่าวถึงการเข้ามามีส่วนร่วมในการควบคุมอำนาจบริหาร รวมถึงการตรวจสอบ ของสภาคล้ายๆ สภาพัฒน์รวมกับสภาที่ปรึกษาฯ ครับ
ส่วนแผนการพัฒนาประเทศระยะยาวนี่ ผมมองว่าการออกแบบโดยอาศัยการยอมรับจากประชามติจะทำได้ลำบากหรือไม่มีประสิทธิภาพด้วยสาเหตุเหล่านี้ครับ
1. ประชาชนทั่วไป ทำความเข้าใจแผนได้ยาก
2. ประชาชนไทยส่วนใหญ่ เป็นเกษตรกร หรือกลุ่มคนชั้นหาเช้ากินค่ำ ดังนั้นนโยบายส่วนใหญ่ที่จะยอมรับ จะต้องเป็นนโยบายเพื่อปากท้อง ซึ่งอาจส่งผลให้ไม่เกิดการพัฒนาอย่างสมดุล
3. หากประชาชนไม่ยอมรับ ก็ไม่มีหนทางจะเสนอแนวคิดที่ดีกว่า ทำได้เพียงกา "ปฏิเสธ" เท่านั้น
ดังนั้น การเน้นที่การทำประชามติอย่างเดียว อาจจะไม่เพียงพอครับ ต้องเน้นวิธีการการจัดหาผู้แทนประชาชนตามกลุ่มความสนใจเพื่อจัดตั้งสภาร่างแผน จะเป็นการดีกว่า เพราะจะได้ใช้อำนาจและแสดงความเห็นผ่านทางผู้แทนตนได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
 ใจเย็นๆ แล้วมานั่งจิบโกโก้อุ่นๆ ด้วยกันก่อนดีกว่าครับ
|
|
|
PastelSalad
|
 |
« ตอบ #17 เมื่อ: 27-10-2007, 18:58 » |
|
แผนจะดีหรือไม่อยู่ที่ความเป็นมืออาชีพของกลุ่มผู้จัดทำแผน
เห็นตรงกันครับ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
 ใจเย็นๆ แล้วมานั่งจิบโกโก้อุ่นๆ ด้วยกันก่อนดีกว่าครับ
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #18 เมื่อ: 27-10-2007, 18:59 » |
|
ต้องเข้าใจธรรมชาติของประชานิยมให้ถ่องแท้ว่า
หากไม่ยั่งยืน หรือ ไม่มีธรรมมาภิบาล ถือว่าเป็นข้อห้าม จะมาอ้างเสียงส่วนใหญ่ไม่ได้
มาตรฐานทางด้านธรรมมาภิบาลจะต้องนำมาพิจารณาในการจัดทำแผนด้วย
ซึ่งก็ต้องระบุไว้ในรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุด
การบิดเบือนจากแผนระยะยาวโดยนักการเมือง ต้องมีโทษทางอาญาครับ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-10-2007, 19:04 โดย ********Q******** »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #19 เมื่อ: 27-10-2007, 19:12 » |
|
ถ้าผมจำความไม่ผิด คุณบอนนี่ได้กล่าวถึงการเข้ามามีส่วนร่วมในการควบคุมอำนาจบริหาร รวมถึงการตรวจสอบ ของสภาคล้ายๆ สภาพัฒน์รวมกับสภาที่ปรึกษาฯ ครับ
ส่วนแผนการพัฒนาประเทศระยะยาวนี่ ผมมองว่าการออกแบบโดยอาศัยการยอมรับจากประชามติจะทำได้ลำบากหรือไม่มีประสิทธิภาพด้วยสาเหตุเหล่านี้ครับ
1. ประชาชนทั่วไป ทำความเข้าใจแผนได้ยาก
2. ประชาชนไทยส่วนใหญ่ เป็นเกษตรกร หรือกลุ่มคนชั้นหาเช้ากินค่ำ ดังนั้นนโยบายส่วนใหญ่ที่จะยอมรับ จะต้องเป็นนโยบายเพื่อปากท้อง ซึ่งอาจส่งผลให้ไม่เกิดการพัฒนาอย่างสมดุล
3. หากประชาชนไม่ยอมรับ ก็ไม่มีหนทางจะเสนอแนวคิดที่ดีกว่า ทำได้เพียงกา "ปฏิเสธ" เท่านั้น
ดังนั้น การเน้นที่การทำประชามติอย่างเดียว อาจจะไม่เพียงพอครับ ต้องเน้นวิธีการการจัดหาผู้แทนประชาชนตามกลุ่มความสนใจเพื่อจัดตั้งสภาร่างแผน จะเป็นการดีกว่า เพราะจะได้ใช้อำนาจและแสดงความเห็นผ่านทางผู้แทนตนได้
ผมก็เห็นเช่นนั้น แต่มองว่าเป็นกระบวนการเช่นเดียวกับกระบวนการคุณภาพของผู้แทนครับ
จะแบ่งด้วยวิธีการเช่นไรในที่สุดก็ต้องควบคุมคุณภาพให้สอดคล้องกับงานที่รับผิดชอบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #20 เมื่อ: 27-10-2007, 19:22 » |
|
ตอบตามประเด็นนะครับ
1. ประชาชนทั่วไป ทำความเข้าใจแผนได้ยาก อันนี้เป็นข้อเท็จจริง ต้องมีการทำให้เข้าใจภาพรวมได้ง่ายๆ รํฐมีผลงานดีคนจะเชื่อได้ง่ายกว่า
2. ประชาชนไทยส่วนใหญ่ เป็นเกษตรกร หรือกลุ่มคนชั้นหาเช้ากินค่ำ ดังนั้นนโยบายส่วนใหญ่ที่จะยอมรับ จะต้องเป็นนโยบายเพื่อปากท้อง ซึ่งอาจส่งผลให้ไม่เกิดการพัฒนาอย่างสมดุล
ต้องปรับความคิด คนปรับได้ครับ
3. หากประชาชนไม่ยอมรับ ก็ไม่มีหนทางจะเสนอแนวคิดที่ดีกว่า ทำได้เพียงกา "ปฏิเสธ" เท่านั้น เป็นเพียงสมมุติฐานที่โต้แย้งได้ตลอดเวลา ต้องดูของจริงครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #21 เมื่อ: 27-10-2007, 19:45 » |
|
กรอบของแผนใหญ่เป็นเรื่องของประชาชนทั้งประเทศ ในชั้นสุดท้ายก่อนลงมือปฏิบัติ แต่ต้องจัดทำล่วงหน้าระยะยาว
ลองนึกถึงโรงพยายาลกับคนไข้และญาติคนไข้ก็ได้ครับ
ส่วนการทำงานภายในกรอบเป็นหน้าที่ของรัฐบาลครับ จะหานโยบายหรือยุทธศาสตร์อะไรก็ตาม นึกภาพทีมแพทย์หรือโค๊ชกีฬา
หากไม่มีใครยอมมาเป็นรัฐบาล แสดงว่าแผนตามกรอบใหญ่นั้นเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องปรับแผนกันใหม่..เจ้าภาพคือองค์กรอิสระที่ว่ามา
ความน่าเชื่อถือขององค์กรอิสระต้องมีมากพอที่จะดูแลจัดทำแผนนั้นให้ผ่านคณะกรรมการภายในและผ่านประชามติในที่สุด
ซึงเป็นการตรวจสอบที่กว้างที่สุดในทุกด้าน อย่างน้อยก็ต้องเสียงเกินครึ่งสังคมจึงจะเดินต่อไปตามแผนได้
การตรวจสอบกระจายไปตามหน้าที่ที่ว่าจะตรวจสอบรํฐบาลในแง่มุมใด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #22 เมื่อ: 27-10-2007, 20:34 » |
|
รัฐบาล และฝ่ายนิติบัญญัติ จะทำงานได้สะดวกมาก
ถ้าหากแต่ละฝ่ายไม่ออกนอกลู่นอกทางที่ไม่ใช่หน้าที่ของตนตามรัฐธรรมนูญ
ดังนั้นรัฐบาลหรือฝ่ายบริหาร แลฝ่ายนิติบัญญัติ ควรสมัครและรับเลือกตั้งกันคนละส่วนครับ ถึงแม้จะเลือกตั้งพร้อมกันก็ตาม
การถ่วงดุลย์จะดีกว่าการปล่อยให้ผู้สมัครสส. เปลี่ยนมามาเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลได้..
ประชาชนมีความยืดหยุ่นในการเลือกตั้งมากกว่าด้วยในการเปลี่ยนฝ่ายออกกฎหมาย หรือฝ่ายรัฐบาลเท่านั้นก็ได้
ตามลักษณะเปรียบเทียบของผู้สมัครเพื่อเข้าทำงานแยกตามความถนัดและผลงานในหน้าที่ที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น
รัฐบาลอาจจคว่ำกฎหมายที่ออกโดยสภานิติบัญญัติโดยการวีโต้คัดค้านก็ได้ ไม่จำเป็นต้องยุบสภา
ส่วนสภาฯอาจยับบั้งการตัดสินใจของรํฐบาลเฉพาะเรื่องก็ได้ผ่านกลไกการออกกฏหมายและทางศาล ตลอดจนการขอทำประชามติถอดถอน ซึ่งงต้องใช้เสียงประชามติมากพอสมควร
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-10-2007, 21:28 โดย ********Q******** »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Can ไทเมือง
|
 |
« ตอบ #23 เมื่อ: 27-10-2007, 21:25 » |
|
เค้าสังเคราะห์ปัญหาไปถึงเรื่อง "ชุมชนเข้มแข็ง" แล้วครับ
หากไปเริ่มเดินจากตรงนั้น จะเป็นหนทางแก้ปัญหาของประเทศชาติ
ธรรมชาติของการเมืองจะไม่มีวันนิ่งครับ "การเมือง" มันเป็นเรื่องของกระแส
หากการเมืองนิ่ง ก็เหมือนกับสังคมตายแล้ว การเมืองต้องมีการขยับ
แต่ขยับไปในทิศทางที่สังคมรับได้และไม่ขยับไปสู่แนวทางรุนแรง
การเมืองขยับได้ แต่ต้องออกไปในแนวทางสันติวิธี ไม่แสวงหาความรุนแรงเด็ดขาด
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-10-2007, 21:28 โดย CanCan »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #24 เมื่อ: 27-10-2007, 21:33 » |
|
เค้าสังเคราะห์ปัญหาไปถึงเรื่อง "ชุมชนเข้มแข็ง" แล้วครับ
หากไปเริ่มเดินจากตรงนั้น จะเป็นหนทางแก้ปัญหาของประเทศชาติ
ธรรมชาติของการเมืองจะไม่มีวันนิ่งครับ "การเมือง" มันเป็นเรื่องของกระแส
หากการเมืองนิ่ง ก็เหมือนกับสังคมตายแล้ว การเมืองต้องมีการขยับ
แต่ขยับไปในทิศทางที่สังคมรับได้และไม่ขยับไปสู่แนวทางรุนแรง
การเมืองขยับได้ แต่ต้องออกไปในแนวทางสันติวิธี ไม่แสวงหาความรุนแรงเด็ดขาด
ก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่ครับ ชุมชนเข้มแข็งการกระจายอำนาจและงบประมาณอย่างเป็นระบบสู่ท้องถิ่นก็ทำได้ง่ายขึ้น..
ไม่ต้องมาพึ่งพารัฐบาลกลางทุกเรื่อง สามารถนำส่งภาษีได้มากด้วย อย่างไรก็ตาม ท้องถิ่นก็ต้องใช้กฎหมายและมีรัฐบาลกลางร่วมกัน
และต้องอยู่ในกรอบตามแผนระยะยาวว ตลอดจนเดินตามนโยบายการพัฒนาประเทศของรัฐบาล
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-10-2007, 21:37 โดย ********Q******** »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
อธิฏฐาน
|
 |
« ตอบ #25 เมื่อ: 27-10-2007, 21:42 » |
|
และสิ่งที่สำคัญที่สุด คืออย่าให้มีการแทรกแซงองค์กรกลางได้ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #26 เมื่อ: 27-10-2007, 21:45 » |
|
จะผลักดันให้การเมืองไทยดีขึ้น คุณภาพของทั้งสังคมต้องดีขึ้นตามไปด้วย จะผลักภาระให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทั้งหมดไม่ได้
และจะต้องมีแผนและโครงสร้างทางสังคมที่ชัดเจน ในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ และความรับผิดชอบในฐานะพลเมืองตามรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญก็ต้องศักดิ์สิทธิ์ ประชาชนทุกคน และองค์กรกลไกต่างๆต้องปฏิบัติตามครับ ขณะที่มีแรงจูงใจและความเชื่อในการพัฒนาประเทศมากพอ
ไม่เพียงปากท้องความเป็นอยู่ของตนเอง เช่นเดียวกับที่คาดหวังจากนักการเมือง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Can ไทเมือง
|
 |
« ตอบ #27 เมื่อ: 27-10-2007, 21:52 » |
|
ต้องติดตาม "พรบ. องค์กรสภาชุมชน" ด้วยครับ อำนาจหน้าที่ คล้าย ๆ สภาที่ปรึกษาฯระดับชาติ
ตอนนี้ผมไม่ทราบทำไปถึงใหน...ข่าวว่าร่างนั้น แก้กันหลายครั้ง เพราะถูกคัดค้านจากมหาดไทย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #28 เมื่อ: 27-10-2007, 21:54 » |
|
และสิ่งที่สำคัญที่สุด คืออย่าให้มีการแทรกแซงองค์กรกลางได้ค่ะ
ที่ผ่านมาฝ่ายบริหารแทรกแซงได้อย่างไร ก็เพราะคุมอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติได้หมด คุมอำนาจธุรกิจเอกชน
ผ่านการมีเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาผู้แทน การคดโกงทางนโยบาย และนำเงินนั้น มาซื่อเสียงผ่านนโยบายประชานิยมสามานย์
เช่นหวยบนดิน ขายสัมปทาน เก็งกำไรหุ้น กู้เงินและใช้เงินกู้นอกงบประมาณ เอื้อประโยชน์ทางธุรกิจแก่พวกพ้อง
ใช้เงินจ้างวานให้เจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ เช่นการพยายามวิ่งเต้นติดสินบนในวงการศาล เป็นต้น
ทำให้รัฐบาลมีอำนาจแทรกแซงองค์กรอิสระ และตัวบุคคลในองค์กรอิสระไปโดยปริยาย เช่นเดียวกับการซื้อเสียงเพื่อให้ผ่านการเลือกตั้งกลับเข้ามาได้ใหม่
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-10-2007, 22:07 โดย ********Q******** »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #29 เมื่อ: 27-10-2007, 22:03 » |
|
ต้องติดตาม "พรบ. องค์กรสภาชุมชน" ด้วยครับ อำนาจหน้าที่ คล้าย ๆ สภาที่ปรึกษาฯระดับชาติ
ตอนนี้ผมไม่ทราบทำไปถึงใหน...ข่าวว่าร่างนั้น แก้กันหลายครั้ง เพราะถูกคัดค้านจากมหาดไทย
อารีย์กระเด็นไปแล้ว แต่ปัญญาของมหาดไทยและสตช. ยังคงอยู่ครับ
การเมืองระดับชาติเองก็ยังคงไว้ใจไม่ได้ เพราะกรรมาธิการยกร่าง เขียนได้แต่รัฐธรรมนูญเฉพาะหน้า ซึ่งวัฒนธรรมทางการเมือง
ตลอดจนรูปแบบการหาผลประโยชน์จากการเมืองของนักการเมืองเลวๆทั้งหลายยังไม่เปลี่ยน พูดง่ายๆ ยังไม่มีคนใหม่ๆมากนัก
และนักการเมืองก็ยังไม่ได้เปลี่ยนนิสัยสันดานได้ในเวลาอันใกล้ จากสภาพแวดล้อมและระบบปัจจุบัน ต้องดูว่าผลการเลือกตั้งและการทำงานของผู้แทนและรัฐบาลชุดใหม่เป็นที่พอใจ
ในระดับประเทศโดยภาพรวมหรือไม่?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #30 เมื่อ: 27-10-2007, 22:19 » |
|
ถ้าพูดถึงโครงสร้างต่างๆทางอำนาจหน้าที่ และสิทธิต่างๆ คงต้องว่ากันที่รัฐธรรมนูญ
ส่วนการพัฒนาตามกรอบกฎหมายเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร การออกกฎหมายปรับปรุงกฎหมายเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ
ไม่ควรปะปนและก้าวก่ายกันโดยไม่จำเป็น รัฐสภามีหน้าที่ยับยั้งและซักฟอกการทำงานของฝ่ายบริหารโดยตรง ก่อนที่จะส่งเรื่องให้องค์กรอิสระต่างๆ
ส่วนการเมืองทางตรงของประชาชน ก็คือการเข้าชื่อต่างๆตามกลไก หากเป็นเรื่องท้องถิ่นก็เข้าชื่อตามกฎหมายส่วนท้องถิ่นครับ
การประท้วงหรือขับไล่จากจำนวนคนมากๆก็จะไม่มี หากกลไกต่างๆทำงานตามปกติ มีความยุติธรรมและเจริญก้าวหน้า สวัสดิภาพและมาตรฐานชีวิตที่ดีทัดเทียมประเทศต่างๆ และมีความสุข
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-10-2007, 22:43 โดย ********Q******** »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Gamobank
|
 |
« ตอบ #31 เมื่อ: 27-10-2007, 22:48 » |
|
ทฤษฏีกับภาคปฏิบัติทางการเมืองของไทยมักสวนทางกับตรรกกะที่ควรจะเป็น
เพราะระบบอุปถัมภ์ที่ฝังลึกมานาน
กอรปกับการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมยังน้อยมาก
รัฐบาลที่ผ่านมายังไม่เคยพยายามยกระดับจิตสำนึกของคนไทย
เพื่อส่วนรวมอย่างจริงจังต่อเนื่องเป็นระบบ
ผลที่ได้ก็คืออย่างที่เห็นรัฐบาลที่อ่อนแอกับวงจรอุบาทว์ที่ไม่สิ้นสุด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #32 เมื่อ: 27-10-2007, 22:54 » |
|
หากการวางแผนการพัฒนาของภาครัฐได้ผล การควบคุมการเงินดี
ก็จะสามารถมีการบริการที่ดีแก่ประชาชน มีรัฐสวัสดิการที่ดีแก่ประชาชน
ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสะท้อนกลับมาที คุณภาพครอบครัว คุณภาพคนคุณภาพการศึกษา การคิดและสติปัญญา ลักษณะนิสัยต่างๆ
คุณภาพเทคโนโลยีที่สูงขึ้น คุณภาพกิจการเอกชนและรัฐวิสาหกิจที่ดีขึ้น
เมื่อมีความพอเพียง พึ่งตนเองได้ทุกภาคส่วน มีภูมิคุ้มกันสูงทางสังคมและเศรษฐกิจ และการเมือง
ก็จะเข้าสูวงจรวิวัฒน์ซึ่งเป็นวงจรขาขึ้นสม่ำเสมอได้ในที่สุด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #33 เมื่อ: 27-10-2007, 23:03 » |
|
ทฤษฏีกับภาคปฏิบัติทางการเมืองของไทยมักสวนทางกับตรรกกะที่ควรจะเป็น
เพราะระบบอุปถัมภ์ที่ฝังลึกมานาน
กอรปกับการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมยังน้อยมาก
รัฐบาลที่ผ่านมายังไม่เคยพยายามยกระดับจิตสำนึกของคนไทย
เพื่อส่วนรวมอย่างจริงจังต่อเนื่องเป็นระบบ
ผลที่ได้ก็คืออย่างที่เห็นรัฐบาลที่อ่อนแอกับวงจรอุบาทว์ที่ไม่สิ้นสุด
แก้ไขด้วยการจัดระบบและหมั่นกระตุ้น
ตลอดจนการบังคับตามกฎหมาย อาจมีการจูงใจและลงโทษตามความเหมาะสม
ระบบบันทึกข้อมูลทั่วไปต้องสม่ำเสมอ ไม่จำเป็นต้องละเอียดมากจนเกินไปในเบื่องต้น
อุตสาหกรรมซอฟแวร์ต้องพัฒนาต่อไป ควบคู่กับการพัฒนานานักคิดสังเคราห์ระบบที่ฉลาละเอียดอ่อนมากขึ้น
รัฐบาลหรือผู้บริหารต้องมีคุณภาพมีทักษณะในการพัฒนาระบบและคนสูงๆครับ ไม่ใช่โกงตบตาชาวบ้านแบบนักมายากล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
Scorpio6
|
 |
« ตอบ #35 เมื่อ: 28-10-2007, 15:08 » |
|
ผมคิดว่า ๑ ในฐานะผมเป็นประชาชน ผมจะเลือกคนดีเพื่อส่งเสริม"คนดี"ในท้องถิ่นตนให้เข้าไปเป็นตัวแทนทุกระดับ ๒.นักวิชาการต้องรวมตัวกันสร้างองค์ความรู้ทางการเมืองที่ชัดเจน...ไม่แบ่งฝ่าย สถาบัน เป็นหนึ่งเดียว ๓.ชาวบ้านต้องเลือกอ่าน ฟัง วิเคราะห์จากสื่อมวลชนมาปรับใช้ บอกกล่าว ชุมชน สังคมเรื่องการเมืองได้ เริ่มต้นที่ตัวเราครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
คิดจะล้มระบอบทักษิณ ต้องอ่านใจเนวินและเพื่อนบล็อกเสี่ยวไทบ้าน*แวะเยี่ยมRepublican Collage ของคุณสุธา ชันแสง* http://www.oknation.net/blog/thaibaan/2008/03/26/entry-1"ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนและในฐานะอย่างไร จงตรองหาว่า จะมีทางใช้ชีวิต ให้เป็นประโยชน์ในทางใดบ้าง เมื่อตั้งใจคิดถึงมันแล้วก็จะพบเสมอ ไม่ว่าอยู่ที่ใด เมื่อพบทางแล้วจงลงมือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์"
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #36 เมื่อ: 28-10-2007, 22:47 » |
|
ผมคิดว่า ๑ ในฐานะผมเป็นประชาชน ผมจะเลือกคนดีเพื่อส่งเสริม"คนดี"ในท้องถิ่นตนให้เข้าไปเป็นตัวแทนทุกระดับ ๒.นักวิชาการต้องรวมตัวกันสร้างองค์ความรู้ทางการเมืองที่ชัดเจน...ไม่แบ่งฝ่าย สถาบัน เป็นหนึ่งเดียว ๓.ชาวบ้านต้องเลือกอ่าน ฟัง วิเคราะห์จากสื่อมวลชนมาปรับใช้ บอกกล่าว ชุมชน สังคมเรื่องการเมืองได้ เริ่มต้นที่ตัวเราครับ
คุณเป็นคนมองโลกในแง่ดี สังคมไทยต้องการคนแบบนี้
อย่างไรก็ตามการเมืองในอีกด้านหนึ่งนั้นสกปรก และเห็นแก่ตัว
คนที่เติบโตมาในหมู่สังคมที่สภาพแวดล้อมเลว ส่วนใหญ่จึงไปไม่ได้ไกลจากสิ่งที่เคยเป็นกันมา
เหมือนอยู่ในบ่อโคลน ทีเปรอะเปื้อนจนมองไม่เห็นสีเนื้อเดิม การทำงานโดยกระโดดลงไปคลุกโคลนยิ่งต้องใช้ความระมัดระวัง
อย่าให้โคลนสกปรกกัดกินผิวหนัง จนลุกลามกลายเป็นเนื้อร้าย
ทุกคน ต้องมีเวลาอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายและจิตใจบ้าง..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
cafein
|
 |
« ตอบ #38 เมื่อ: 29-10-2007, 00:32 » |
|
ระบบอุปถัมภ์ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับสังคมไทยหรอกครับ ออกจะเป็นสิ่งที่ดีและควรรักษาไว้ด้วยซ้ำไป ที่น่ารังเกียจคือผู้ที่อยุ่ในระบบอุปถัมภ์ที่แยกแยะไม่ออกว่า หน้าที่ต่อประเทศชาติต่อสังคมส่วนรวม ต้องมาก่อนระบบอุปถัมภ์ในวงแคบๆของเขามากกว่า ผมรังเกียจพวกนักวิชาการที่ชอบโยนว่าระบบอุปถัมป์เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเสียจริงๆ ทั้งๆที่ความเป็นจริงมันคือความรับผิดชอบของบุคคลที่มีต่อสังคมและประเทศชาติมากกว่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #39 เมื่อ: 29-10-2007, 00:59 » |
|
ระบบอุปถัมภ์ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจสำหรับสังคมไทยหรอกครับ ออกจะเป็นสิ่งที่ดีและควรรักษาไว้ด้วยซ้ำไป ที่น่ารังเกียจคือผู้ที่อยุ่ในระบบอุปถัมภ์ที่แยกแยะไม่ออกว่า หน้าที่ต่อประเทศชาติต่อสังคมส่วนรวม ต้องมาก่อนระบบอุปถัมภ์ในวงแคบๆของเขามากกว่า ผมรังเกียจพวกนักวิชาการที่ชอบโยนว่าระบบอุปถัมป์เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเสียจริงๆ ทั้งๆที่ความเป็นจริงมันคือความรับผิดชอบของบุคคลที่มีต่อสังคมและประเทศชาติมากกว่า
คุณคงต้องขยายความมากหน่อย
อย่างพ่อแม่รังแกฉัน ไปจนถึงการก้าวก่ายหน้าที่ทางสังคมนั้น มันเป็นการโยงใย และแพร่เชื้อปัญหา ต้องแยกแยะตามปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสังคม
สังคมที่หนาแน่น ในเมือง การติดต่อสื่อสารดี เสถียรภาพคือสิ่งที่ควบคุมได้ยาก รวมทั้งการวางตัว การตัดสินใจทำอะไรในฐานะของความสัมพันธ์ต่างๆ ความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ ฯลฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
cafein
|
 |
« ตอบ #40 เมื่อ: 29-10-2007, 02:04 » |
|
คุณคงต้องขยายความมากหน่อย
อย่างพ่อแม่รังแกฉัน ไปจนถึงการก้าวก่ายหน้าที่ทางสังคมนั้น มันเป็นการโยงใย และแพร่เชื้อปัญหา ต้องแยกแยะตามปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสังคม
สังคมที่หนาแน่น ในเมือง การติดต่อสื่อสารดี เสถียรภาพคือสิ่งที่ควบคุมได้ยาก รวมทั้งการวางตัว การตัดสินใจทำอะไรในฐานะของความสัมพันธ์ต่างๆ ความขัดแย้งเชิงผลประโยชน์ ฯลฯ
กรณีหนูเอมคงจะยกมาอันนี้ได้เช่นเดียวกัน และคำตอบก็คือในทำนองเดียวกัน คือความรับผิดชอบและหน้าที่ต่อส่วนรวมเป็นสิ่งที่สมควรต้องมาก่อน ไม่ใช่การมาอ้างหน้าที่เสมือนลูกกตัญญูให้สังคมเห็นใจ ในประเทศประชาธิปไตยจ๊ะจ๋าอย่างอเมริกา สิ่งที่เขาขาดอย่างมากมายก็คือระบบอุปถัมภ์นี่แหละครับ ปัญหาของผู้สูงอายุของเขาจึงมีมาก ยังไม่รวมถึงความผูกพันของพนักงานที่มีต่อที่ทำนที่ตนเองได้ทำมาระยะเวลายาวนาน แล้วมีเหตุต้องออกจากงานด้วยเหตุผลบางประการอาทิเช่นการลดค่าใช้จ่าย หรือจะเป็นความผิดพลาดอะไรก็ตามทีเถอะ รวมไปถึงปัญหาครอบครัวต่างๆความอบอุ่นบรรยากาศของการมีชีวิตที่มิใช่เสมือนเพียงแค่เครื่องจักรกลทางเศรษฐกิจ ถ้าจะว่าโดยรวมๆผมว่าระบบอุปถัมภ์ของไทยเป็นระบบที่มีเสน่ห์ เพียงแต่ว่าต้องใช้อย่างมีเหตุผลที่ดีต่อสังคมและส่วนรวม ซึ่งนี่แหละผมถึงว่าแท้จริงแล้ว มันเป็นความรับผิดชอบของบุคคลหนึ่งที่มีต่อสังคมในแต่ละมิติ โดยยึดตามระด้บต่อส่วนรวมมาเป็นอันดับต้นๆ ที่เป็นปัญหาก็คือบุคคลมักจะยึดคความรับผิดชอบโดยนับจากตัวเองและญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงคนรู้จัก แล้วค่อยถึงส่วนรวมและประเทศชาติมาเป็นอันดับท้ายๆ ผมจึงสรุปว่าปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่ระบบอุปถัมภ์ตามที่เรามักจะได้ยิน แต่เป็นที่ความรับผิดชอบของบุคคลมากกว่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #41 เมื่อ: 29-10-2007, 02:26 » |
|
กรณีหนูเอมคงจะยกมาอันนี้ได้เช่นเดียวกัน และคำตอบก็คือในทำนองเดียวกัน คือความรับผิดชอบและหน้าที่ต่อส่วนรวมเป็นสิ่งที่สมควรต้องมาก่อน ไม่ใช่การมาอ้างหน้าที่เสมือนลูกกตัญญูให้สังคมเห็นใจ ในประเทศประชาธิปไตยจ๊ะจ๋าอย่างอเมริกา สิ่งที่เขาขาดอย่างมากมายก็คือระบบอุปถัมภ์นี่แหละครับ ปัญหาของผู้สูงอายุของเขาจึงมีมาก ยังไม่รวมถึงความผูกพันของพนักงานที่มีต่อที่ทำนที่ตนเองได้ทำมาระยะเวลายาวนาน แล้วมีเหตุต้องออกจากงานด้วยเหตุผลบางประการอาทิเช่นการลดค่าใช้จ่าย หรือจะเป็นความผิดพลาดอะไรก็ตามทีเถอะ รวมไปถึงปัญหาครอบครัวต่างๆความอบอุ่นบรรยากาศของการมีชีวิตที่มิใช่เสมือนเพียงแค่เครื่องจักรกลทางเศรษฐกิจ
ถ้าจะว่าโดยรวมๆผมว่าระบบอุปถัมภ์ของไทยเป็นระบบที่มีเสน่ห์ เพียงแต่ว่าต้องใช้อย่างมีเหตุผลที่ดีต่อสังคมและส่วนรวม ซึ่งนี่แหละผมถึงว่าแท้จริงแล้ว มันเป็นความรับผิดชอบของบุคคลหนึ่งที่มีต่อสังคมในแต่ละมิติ โดยยึดตามระด้บต่อส่วนรวมมาเป็นอันดับต้นๆ ที่เป็นปัญหาก็คือบุคคลมักจะยึดคความรับผิดชอบโดยนับจากตัวเองและญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงคนรู้จัก แล้วค่อยถึงส่วนรวมและประเทศชาติมาเป็นอันดับท้ายๆ
ผมจึงสรุปว่าปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่ระบบอุปถัมภ์ตามที่เรามักจะได้ยิน แต่เป็นที่ความรับผิดชอบของบุคคลมากกว่า
ผมเข้าใจว่าคุณคิดถึงความผูกพันธ์ มีความกตัญญู ความใส่ใจ ความอบอุ่นของครอบครัว ความเอื้ออาทร มีน้ำใจต่อกันของสังคม
ส่วนการอุปถัมป์ที่เขาพูดถึงกันของเรา จะเป็นเรื่องขึ้นชื่อว่าพวกกันก็ไม่สนใจว่าอะไรถูกอะไรผิด ซึ่งไม่ดี
ของเราซับซ้อนเพราะมีอีกหลายอย่างที่ไม่ดี และเรามีพัฒนาการไปจนถึงขั้นสังคมสับสนในสีขาวและสีดำ คือมองทุกอย่างเป็นสีเทา ไม่เชื่อว่ามีสีขาวและดำ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-10-2007, 02:51 โดย ********Q******** »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #42 เมื่อ: 01-11-2007, 14:17 » |
|
สิ่งซึ่งจะเสนอแนะต่อไปก็คือ
การตรวจสอบเหตุการณ์และเหตุผลทางการเมือง อย่างเป็นระบบเชิงรุก และอย่างเป็นธรรม
สิ่งนี้ไม่ใช่นามธรรม หากเราสามารถจัดระบบข้อมูลข่าวสาร ความรู้ต่างๆ ให้ทันต่อการปั่นข่าวสร้างกระแสการเมืองไม่สร้างสรรค์ของผู้ใด คณะบุคคลใดๆก็ตาม
การกระทำผิดจะถูกจำกัดลงให้กระทำการด้วยความยากลำบาก และเสี่ยงต่อการถูกเปิดโปงถึงทีสุดและถูกจับกุมได้ง่ายเป็นอย่างมาก
สิ่งเหล่านี้ประชาชนต้องเรียกร้องให้มีการเปิดกว้างและจัดระเบียบของข้อมูลข่าวสารและองค์ความรู้ต่างๆ โดยราชการและรัฐบาลจะต้องนำร่องสร้างตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-11-2007, 14:28 โดย ********Q******** »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #43 เมื่อ: 01-11-2007, 16:47 » |
|
แหม ถ้าผมจะก้าวหน้าสักหน่อย จะเสนอให้
นายกฯและครม.ทุกท่านต่อจากนี้ไป ก่อนเข้ารับตำแหน่งแต่ละสมัย
ให้เขียนใบลาออกไว้ล่วงหน้า โดยระบุเงือนไขและเวลาที่ตนเองจะลาออกไว้ชัดเจน
มอบให้ไว้กับศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญทุกองค์กร...
แบบนี้ฝ่ายบริหารก็โปร่งใส นายกฯและคณะจะเข้มแข็งทำงานงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ก็ไม่มีใครเอาผิดได้..
ความนิยมก็จะมาจากแผนงานและผลงานอย่างแท้จริง
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-11-2007, 18:01 โดย ********Q******** »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #44 เมื่อ: 01-11-2007, 18:09 » |
|
แต่ถ้าหากโกง หรือไม่ทำงาน บางทีก็แกว่งปากไปวันๆ
ก็คงเอาตัวไม่รอด ถึงแม้ใช้ประชานิยม มันก็ได้ผลช่วงสั้นแค่ครั้งเดียว
เพราะคนไม่ได้เชื่อแบบแยกส่วน เขาช่างน้ำหนักจากภาพรวม
ที่สับสนกัน เพราะมีผู้พยายามปั่นกระแสเบี่ยงประเด็น เพื่อให้สาธารณชนโฟกัสและใช้ดุลยพินิจ
วินิจฉันนโยบายและผลของนโยบายผิดพลาดจากความเป็นจริง..ทำให้ได้รับความรู้ที่ผิดๆไปจากสังคมกันเอง
ตรงนี้สาวกเว็บบอร์ดการเมืองเก่าแก่จะต้องถามตัวเอง และบางท่านอาจจะตอบได้ดี จึงได้ถอนตัวออกมา..
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-11-2007, 02:03 โดย ********Q******** »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #45 เมื่อ: 02-11-2007, 02:13 » |
|
สังคมการเมืองไทยประนีประนอมไม่ถูกเรื่อง เอาจริงเอาจังไม่ถูกเรื่อง
ทำไม? ก็เพราะขาดความรู้ลึกที่ผ่านการใคร่ครวญด้วยสติปัญญาตนเอง
มักใช้ความรู้สำเร็จรูปในการยกขึ้นอ้างโดยขาดความเข้าใจลึกซึ่งในแต่ละเรื่องที่ต่อสู้ทางความคิด
ที่สำคัญขาดการรับฟังอย่างแท้จริง มีลักษณะเหมือนผีเจาะปากให้พูด ถือเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างหนึ่ง
การสื่อสารทางการเมืองที่ดีต้องสลับการใช้ภาษาให้ตรงกันระหว่างผู้ส่งและผู้รับ และตัวสารก็สำคัญ
มิฉะนั้น ผู้ส่งและผู้รับจะไม่ได้รับประโยชน์เลย เสียเวลาและทรัพยากรทั้งสองฝ่าย
ส่วนเทคนิคของสือสารมวลชนที่ดีนั้น ต้องใช้เทคนิคที่ซับซ้อนมากขึ้น ในการส่งสารที่ดีให้ถึงมือผู้รับอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
แต่หลักการนั้นก็ไม่ต่างกันจากกรณีทั่วไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #46 เมื่อ: 07-11-2007, 13:04 » |
|
ย้อนกลับมาดู สังคมไทยส่วนใหญ่ เราจะเห็นปัญหาหลัก
คือระเบียบวินัย ที่ขาดไปแบบเป็นธรรมชาติ
ไม่มีทางเลือกสังคมเราขาดพลังงานของตนเอง
เราจำเป็นต้องเปิดรับโลกาภิวัฒน์
การรวมศูนย์ด้วยวิธีง่ายๆ ดั้งเดิมกำลังแตกกระจายและใช้ไม่ได้ผล
ว่าไปแล้ว ก็คงต้องกลับมาฝากความหวังกับนักพัฒนาเท่านั้น
การพัฒนา ต้องพัฒนาในระดับลึก ซึ่งก็คือ ความเชื่อพื้นฐานของคนไทย..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #48 เมื่อ: 20-11-2007, 19:00 » |
|
กลุ่มทุนต้องเข้าใจว่า การผูกขาดทางการเมืองเป็นการเพิ่มต้นทุนตนเอง
ทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับทุนข้ามชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
เป็นการทำลายประเทศระยะยาวทางอ้อม
ทางที่ดี กลุ่มทุนต้องช่วยกันเปิดโปงกลุ่มทุนที่สนับสนุนนักการเมืองให้เข้าสู่สภาอย่างผิดกฎหมายเลือกตั้ง
คำถามของผมคือ แต่ละพรรคการเมือง มีองค์กรใดเป็นกลุ่มทุนเพื่อการเลือกตั้งบ้าง..
ตรงนี้กกต. สมควรตรวจสอบการเงินและการหาเสียงของแต่ละพรรคด้วยว่าได้จ่ายเงินหรือเอื้อประโยชน์อะไรให้กับผู้สมัครสส.แต่ละรายในการแข่งขันหรือไม่?
กฎหมายหรือนโยบายใดบ้างที่ออกมารับใช้กลุ่มทุนที่สนับสนุน? ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง โดยเฉพาะในระยะสั้นและระยะกลาง..
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-11-2007, 19:11 โดย ********Q******** »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
********Q********
|
 |
« ตอบ #49 เมื่อ: 21-11-2007, 03:59 » |
|
สยอง! เสือโคร่งไซบีเรียหิวโซรุมกินโต๊ะพวกเดียวกัน โดย ผู้จัดการออนไลน์ 20 พฤศจิกายน 2550 17:19 น.
เหยื่อเสือโหย เอเจนซี เกิดเหตุสลดเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อเจ้าหน้าที่สวนสัตว์เอกชน ปิงชวนปาร์ค ในเมืองเสิ่นหยาง มณฑลเหลียวหนิง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน พบภาพเสือโคร่งไซบีเรีย 4 ตัว กำลังรุมกินโต๊ะจีนเพื่อนเสือวัย 12 ปี ที่อยู่ร่วมกรงกันมานานถึง 5 ปี อย่างเอร็ดอร่อย หลี่เหวินซุ่ย รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารจัดการสวนสัตว์แห่งนี้ เปิดเผยว่า เมื่อตอนที่เจ้าหน้าที่สวนสัตว์ไปถึงก็พบเสือทั้ง 4 ตัว กำลังกินซากของเสือเคราะห์ร้ายอยู่เลย ผมรู้สึกตกใจมาก เสือทั้ง 5 ตัวอายุเท่ากัน และอยู่ร่วมกันมานานถึง 5 ปี เหตุการณ์เสือกินเสือแบบนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นที่นี่มาก่อน ขณะที่ หลิงเซี่ยตัน หญิงสาวผู้เข้าชมสวนสัตว์และเห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ฉันเห็นเสือนอนตายจมกองเลือดอยู่ ขาและหูซ้ายของมันถูกกระชากออกไปแล้ว แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นถ้าไม่เห็นด้วยตาตัวเอง ส่วนสาเหตุของเรื่องสลดครั้งนี้นั้น หลี่ เชื่อว่า มาจากปัญหาเรื่องวิกฤตการเงินของสวนสัตว์ เขาเล่าว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาทางสวนสัตว์ประสบปัญหาด้านการเงิน จึงไม่สามารถจัดหาอาหารให้เพียงพอกับความต้องการของเสือได้ เสือที่โตเต็มวัยแล้วจะกินเนื้อประมาณวันละ 20 ปอนด์ (9 กิโลกรัม) แต่เสือที่นี่ต้องแย่งกินไก่เพียงตัวเดียวเพื่อประทังความหิวต่อวันหรือบางทีก็วันเว้นวัน ด้าน ฟั่นจื้อหยง ผู้อำนวยการโครงการพันธุ์สัตว์จากกองทุนสัตว์ป่าโลก (WWF) กล่าวตำหนิการบริหารจัดการของสวนสัตว์ ว่า โศกนาฏกรรมเสือกินเสือกันด้วยกันเองแบบนี้ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน เรื่องนี้แทบไม่เคยเกิดขึ้นในป่า เห็นได้ชัดว่าเป็นปัญหาของการบริหารจัดการสวนสัตว์ ปัจจุบันสวนสัตว์ปิงชวนปาร์ค มีสัตว์อยู่ในครอบครองทั้งสิ้น 2,000 ตัว ในจำนวนนี้รวมไปถึงสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ 300 ตัว มีทั้งเสือขาว เสือดาว และช้างเอเชีย ซึ่งรายได้เพียงทางเดียวของสวนสัตว์ได้มาจากค่าเข้าชม และในช่วงอากาศหนาวเย็นเช่นนี้เป็นเหตุให้ผู้มาเยี่ยมชมบางตาลงไปมาก หลี่ กล่าว ในช่วงหน้าหนาวของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนนั้นหนาวเหน็บมาก ไม่มีใครต้องการออกจากบ้าน หรือแม้แต่มาเที่ยวสวนสัตว์ ดังนั้นแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีผู้เข้าชมเลยในช่วงนี้ หลี่ ให้สัมภาษณ์ เหตุการณ์ครั้งนี้นับเป็นข่าวท้าทายความพยายามของจีนในการรักษาจำนวนประชากรเสือที่หายากนี้ โดยปัจจุบันเชื่อกันว่า มีเสือโคร่งไซบีเรีย ซึ่งเป็นเสือโคร่งพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เหลืออยู่ในป่าจีนไม่ถึง 50 ตัว อีกประมาณ 5,000 ตัว ถูกเลี้ยงไว้ในฟาร์มและสวนสัตว์ป่า ซึ่งมักจะประสบปัญหาเรื่องการจัดที่อยู่อาศัยและอาหาร ผู้จัดการของสวนเสือหูหลิงหยวน ในเมืองตงเป่ย มณฑลเฮยหลงเจียง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเสือทั้งสิ้น 800 ตัว กล่าวว่า ปัญหาเรื่องเงินทองของสวนสัตว์ต่างๆ เป็นสาเหตุที่ทำให้เสือตายทั้งที่เกิดจากธรรมชาติ และไม่ธรรมชาติ ผู้จัดการเผลอแย้มพลายข้อมูลมาว่า ทางสวนเสือได้มีการแช่แข็งซากเสือกว่า 200 ซาก แต่ปฏิเสธจะให้รายละเอียดสาเหตุการตายและเหตุผลที่เก็บรักษาร่างของพวกมันไว้ อีกทั้งยังไม่ยอมเปิดเผยชื่อ โดยให้เหตุผลว่าเขาไม่ได้รับอนุญาตให้คุยกับนักข่าว ด้าน เจฟ เหอ ผู้จัดการด้านการสื่อสารขององค์กรคุ้มครองสัตว์นานาชาติประจำประเทศจีน กล่าวว่า สวนเสือกำลังใช้เหตุการณ์นี้กดดันรัฐบาลให้ยกเลิกการห้ามการค้าอวัยวะเสือ ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการทำยาจีนโบราณ ที่กำหนดเมื่อปี 1993 อย่างไรก็ตาม เหอ เสนอว่า ผมเชื่อว่า หากบรรดาสวนสัตว์ป่าเหล่านี้ไม่สามารถเลี้ยงเสือจำนวนมากได้ ทางที่ดีคือการหาวิธีควบคุมสวนสัตว์เหล่านี้อย่างจริงๆ จังๆ จะได้ไม่เกิดเรื่องเศร้าแบบนี้อีก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|