ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
20-04-2024, 11:24
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  'กกต.'ออกกฏเข้ม ห้าม'ผู้สมัคร- พรรคการเมือง'จัดเวทีปราศรัย 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
'กกต.'ออกกฏเข้ม ห้าม'ผู้สมัคร- พรรคการเมือง'จัดเวทีปราศรัย  (อ่าน 3144 ครั้ง)
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« เมื่อ: 24-10-2007, 21:34 »

'กกต.'ออกกฏเข้ม ห้าม'ผู้สมัคร- พรรคการเมือง'จัดเวทีปราศรัย
 
24 ตุลาคม พ.ศ. 2550 21:07:00
 
"คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)"คลอดกฏเข้ม ห้ามผู้สมัครเลือกตั้ง และพรรคการเมือง จัดเวทีปราศรัยด้วยตัวเอง ระบุกกต.จังหวัด จะเป็นผู้ที่จัดสถานที่ หรือเวทีให้อย่างน้อยอำเภอละ 2 แห่ง ส่วน"กทม." เป็นดุลพินิจ กกต.และกทม.

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เปิดเผยว่าที่ประชุม กกต. วันนี้ (24) มีการพิจารณาร่างระเบียบ และประกาศ กกต. จำนวน 4 ฉบับ ประกอบด้วย ร่างประกาศ กกต. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การดำเนินการของรัฐ ในการสนับสนุนการเลือกตั้ง ส.ส.. , ร่างระเบียบ กกต. ว่าด้วยการหาเสียงข้อควรปฏิบัติ และข้อห้ามมิให้ปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ส. , ร่างประกาศ กกต. เรื่องหลักเกณฑ์ และวิธีการกำหนดวงเงินค่าใช้จ่าย ส.ส. และประกาศ กกต.เรื่องกำหนดวงเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งส.ส.

นายอภิชาต กล่าวว่าในส่วนของ ร่างประกาศ กกต. เรื่องหลักเกณฑ์ และวิธีการกำหนดวงเงินค่าใช้จ่าย ส.ส. และประกาศ กกต.เรื่องกำหนดวงเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ส.ส. กกต.กำหนดให้ผู้สมัคร ใช้เงินในการหาเสียงได้ไม่เกินคนละ 1.5. ล้านบาท หากต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ให้ใช้ได้ไม่เกินคนละ 500,000 บาท ขณะที่ผู้สมัครแบบสัดส่วน พรรคสามารถใช้เขตละไม่เกิน 15 ล้านบาท

ในส่วนของร่างประกาศกกต. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การดำเนินการของรัฐ ในการสนับสนุนการเลือกตั้งส.ส. ก็ได้มีการกำหนดขนาดของป้ายโปสเตอร์ ไว้ที่ 30 x 42  ซ.ม. และพิมพ์ได้ไม่เกิน 10 เท่าของจำนวนหน่วยเลือกตั้ง

ขณะที่แผ่นป้ายคัทเอาท์ ขนาดไม่เกิน 130 x 245 ซม. ทำได้ไม่เกิน 5 เท่าของหน่วยเลือกตั้งในเขตนั้นๆ และต้องปิดในสถานที่ที่รัฐเป็นผู้จัดให้เท่านั้น ไม่สามารถปิดในที่ของเอกชนได้
 

ทั้งนี้ ในประกาศฉบับดังกล่าว ยังระบุว่าในการจัดเวทีปราศรัยหาเสียงนั้น กกต.จังหวัดจะเป็นผู้ที่จัดสถานที่ หรือเวทีให้ อย่างน้อยอำเภอละสองแห่ง ส่วนกทม. ก็ให้เป็นดุลพินิจ กกต.,กทม. ในการกำหนดสถานที่ และจำนวน ขณะที่ผู้สมัครและพรรคการเมือง ไม่สามารถจัดเวทีปราศรัยด้วยตนเองได้

สำหรับการออกโทรทัศน์และวิทยุนั้น แบบสปอต 30 วินาที รัฐจะจัดให้ออกอากาศทางโทรทัศน์ พรรคละสามครั้งต่อหนึ่งวัน ขณะที่การแถลงนโยบายความยาวไม่เกินสิบนาทีนั้น จะให้พรรคออกอากาศสามครั้ง นอกจากนี้ในส่วนจังหวัด ก็จะมีการพิจารณาให้ออกอากาศในเคเบิลทีวี และวิทยุชุชนด้วย แต่ต้องจัดโดยเท่าเทียมกัน


นายอภิชาติ ยังกล่าวถึงระเบียบ กกต. ว่าด้วยการหาเสียง ข้อควรปฏิบัติ และข้อห้ามมิให้ปฏิบัติ ในส่วนที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส.ส. ว่า มีเนื้อหาอาทิ ผู้สมัครสามารถแจกใบปลิวได้ และใช้รถหาเสียงได้เช่นเดียวกัน แต่รถต้องไม่ดัดแปลงเป็นเวทีปราศรัย และแผ่นป้ายหาเสียงที่ติดบนรถ ก็ต้องเป็นขนาดที่ กกต.กำหนด

สำหรับเสื้อผ้า อาหาร ค่าใช้จ่ายของผู้ช่วยหาเสียงนั้น สามารถทำได้ แต่ต้องแจ้งรายชื่อผู้ที่จะมาช่วยหาเสียงให้ กกต. จังหวัดทราบก่อน และคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง

นายอภิชาตกล่าวว่า การเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต เวบไซต์ หรือสื่ออิเล็กโทรนิกส์นั้น สามารถกระทำได้ รวมไปถึงการทำเครื่องหมายกากบาทหน้าหมายเลขบนป้ายหาเสียงก็ทำได้ แต่ต้องไม่มีขนาด ลักษณะ หรือสีใกล้เคียงกับบัตรเลือกตั้ง

“ การแห่กลองยาว การจัดขบวนแห่ในวันสมัครรับเลือกตั้ง ทำไม่ได้ การวางโปรยเอกสารในที่สาธารณธทำไม่ได้ หรือการแทรกใบปลิวไปทางหนังสือพิมพ์ หรือนิตยาสารก็ทำไม่ได้ การออกรายการโทรทัศน์ หรือวิทยุเป็นการส่วนตัวไม่ได้ แต่หากเป็นการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน ตามวิชาชีพสามารถทำได้ และหากจะเชิญใครมาออกรายการ ก็ต้องเชิญอย่างเท่าเทียม ในขณะที่ดารา นักร้อง สื่อมวลชน ที่จะลงสมัคร ก็ไม่สามารถใช้วิชาชีพเพื่อประโยชน์ในการหาสียงได้”นายอภิชาตกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ดาราจะไปเดินตามนักการเมือง เพื่อช่วยหาเสียงได้หรือไม่ นายอภิชาตกล่าวว่า การที่ดารานักร้องจะไปเดินพบปะชาวบ้านเราไม่ห้าม แต่ต้องนับรวมเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง เพราะดารานักร้องก็มีค่าตัวเช่นกัน ขณะที่ในส่วนของงานบุญนั้น ขอให้งดเว้นในการใส่ซองในช่วงนี้ ทั้งนี้ร่างระเบียบฉบับนี้ หาก กกต. เห็นว่ามีอะไรที่สมควร หรือไม่เหมาะสม ก็สามารถแก้ไขเพิ่มเติมในภายหลังได้

ต่อข้อถามว่า การที่รายการโทรทัศน์บางรายการ นำเสนอความเห็นผ่านเอสเอ็มเอส ที่อาจจะเชียร์ผู้สมัคร หรือบางพรรค ทำได้หรือไม่ นายอภิชาตกล่าวว่า หากเป็นการหาเสียง ก็ไม่สามารถทำได้ ทั้งนี้สถานีโทรทัศน์ต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบ

ผู้สื่อข่าวถามว่า การกำหนดเช่นนี้เป็นการรัดตัวผู้สมัครเกินไป หรือจำกัดดุลพินิจของ กกต. หรือไม่ นายอภิชาตกล่าวว่า เรื่องรัดตัวนี้เราก็คิดเหมือนกัน แต่เราก็ได้เปิดโอกาสเพื่อผ่อนผันให้ในบางเรื่อ ทั้งนี้เราก็ป้องกันการเอารัดเอาเปรียบ และยืนยันว่า กกต. ยังสามารถใช้ดุลพินิจได้ และต้องพิจารณาเพื่อป้องกันนักการเมือง หาทางลอดช่องกฎหมายที่อาจจะไม่ได้เขียนเอาไว้

นายอภิชาตกล่าวว่า สำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบที่กกต.กำหนดนั้น ในบางเรื่องเป็นข้อห้ามของกฎหมายอยู่แล้ว เช่น การให้ทรัยพ์สิน หรือสัญญาว่าจะให้ แต่ในกรณีนี้เป็นประกาศ และระเบียบที่ออกตามมาตรา 60 ของพ.ร.บ.เลือกตั้ง ซึ่งกำหนดโทษไว้ในมาตรา 147 ของพ.ร.บ.เดียวกัน ว่ามีโทษจำคุก 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนที่เป็นข้อควรปฏิบัติ แม้ไม่มีการบทลงโทษทางอาญา แต่ก็ถือว่าหากไม่ปฏิบัติก็อาจจะถูกใบเหลือใบแดงได้

นายอภิชาตยังกล่าวเตือนว่า ในวันพรุ่งนี้ (25) เป็นวันที่พระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งบังคับใช้ ดังนั้นป้ายหาเสียงที่ติดอยู่ ต้องปลดลงให้หมด

ผู้สื่อข่าวถามว่า มี สนช. บางคนที่ใช้ตำแหน่งใน สนช. ขึ้นป้ายที่มีข้อความในลักษณะพร้อมจะช่วยเหลือประชาชน ขณะที่ สนช.คนดังกล่าว จะลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย อย่างนี้ต้องปลดป้ายด้วยหรือไม่ นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. กล่าวว่า หากเป็นอย่างนี้ก็ต้องปลด เพราะเมื่อเป็นผู้สมัคร ก็ต้องมีป้ายตามที่ระเบียบ กกต.กำหนดไว้
 

http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/24/WW10_WW10_news.php?newsid=195632
 
  
  
คณะกรรมการ กกต. ผู้เชี่ยวชาญการเลือกตั้ง
ได้กำหนดรายละเอียดให้'เด็กอนุบาล'ที่อยากจะลงเลือกตั้ง......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


ผมจะรู้สึกสบายใจที่จะเลือกพรรคการเมืองที่ประกาศจะแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วย สว. และ สส.
รวมทั้งกติกาของ กกต. ชุดนี้.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #1 เมื่อ: 25-10-2007, 00:22 »


 

ให้กำลังใจกกต.ชุดนี้

ฝ่าด่านสีกากี ด่านไดโนเสาร์ทางการเมืองและม่านสีต่างๆไปให้ได้ดีกว่าครับ..

แข่งขันกันอย่างยุติธรรม ใช้ความสามารถในการทำงานแท้ๆ ก็พอเพียง ไม่ต้องใช้เงินมาก หรือมีเครื่องล่อใจ

เป็นการแสดงบนเวที เพราะว่าที่สส.,สว.ทุกคนคงขึ้นเวทีพร้อมกันไม่ได้..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-10-2007, 01:36 โดย ********Q******** » บันทึกการเข้า

Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #2 เมื่อ: 25-10-2007, 01:32 »

คุมเข้มออกทีวีครับ ทางผู้จัดจะเชิญสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้แล้วครับ ตัดปัญหาเป็นกลางไม่เป็นกลาง

พวกยกหูตรวจสอบข่าวตามตัวนักการเมืองมาให้ความเห็นหรือตรวจสอบข่าวต้องคิดหนัก

แต่สื่อหนังสือพิมพ์ ยังปล่อยผ่าน
บันทึกการเข้า

Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 25-10-2007, 01:38 »

กกต.เผยพ.ร.ฎ.เลือกตั้งทั่วไปประกาศลงราชกิจจาฯ แล้ว มีผลพรุ่งนี้ เตือนพรรคการเมืองให้ยุติการออกสปอร์ตโฆษณาหาเสียงทั้งทีวี-วิทยุได้แล้ว เข้มปราศรัยได้เฉพาะจุดที่กกต.กำหนด เตือนสื่อให้เสนอข่าวเป็นกลาง แต่สามารถซื้อพื้นที่สื่อสิ่งพิมพ์ได้เต็มที่ ส่วนกรณี 'แม้


นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง ให้สัมภาษณ์ระหว่างการประชุมกกต.เพื่อพิจารณาระเบียบการหาเสียง เกี่ยวกับสิ่งที่พรรคการเมืองและผู้สมัครส.ส.สามารถทำได้และไม่ได้ ว่า วันนี้ (24 ต.ค.) พ.ร.ฎ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ซึ่งจะมีผลใช้บังคับวันที่ 25 ต.ค.นี้ ดังนั้น ตั้งแต่พรุ่งนี้ (25 ต.ค.) เป็นต้นไป พรรคการเมืองและผู้สมัครส.ส. ที่ติดคัทเอาท์หรือแผ่นป้ายหาเสียงล่วงหน้าตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่สาธารณะหรือที่ของเอกชน ต้องปลดป้ายดังกล่าวออก ส่วนพรรคการเมืองที่ได้ออกอากาศโฆษณาหาเสียงทางโทรทัศน์และวิทยุ ต้องยุติการออกอากาศทั้งหมดเช่นกัน เพราะการโฆษณาหาเสียงทางโทรทัศน์และวิทยุผิดนั้น เป็นความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว. มาตรา 60

นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า การประชุมตอนนี้ กกต.กำลังออกหลักเกณฑ์ที่รัฐจะให้การสนับสนุน ข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติ และจำนวนเงินที่จะใช้ในการหาเสียง ซึ่งหลักการสำคัญที่กกต.นำมาพิจารณาคือ การหาเสียงและการจัดเวทีปราศรัยของพรรคการเมืองนั้น ต้องปราศรัยบนเวทีที่ทางรัฐจัดให้เท่านั้น และไม่สามารถปราศรัยในสถานที่อื่นได้ ส่วนการหาเสียงด้วยวิธีอื่นๆ  เช่น การเดินพบปะประชาชน และแจกการ์ดแนะนำตัวหมายเลขผู้สมัครส.ส.นั้น ยังสามารถทำได้อยู่ แต่ต้องคิดเป็นค่าใช้จ่ายในการหาเสียงของพรรคนั้นๆ ด้วย

'การปราศรัยย่อยเป็นจุดๆ คงทำไม่ได้ เพราะพรรคต้องปราศรัย ณ สถานที่ที่กกต.กำหนดเท่านั้น ซึ่งกกต.ได้มอบหมายให้หัวหน้าหน่วยงานจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นคนกำหนดสถานที่ปราศรัย' นายประพันธ์ กล่าว

ส่วนการนำเสนอข่าวทางสื่อโทรทัศน์และวิทยุนั้น นายประพันธ์ กล่าวว่า วันที่ 25 ต.ค.เป็นต้นไป สถานีโทรทัศน์และวิทยุจะไม่สามารถเชิญผู้สมัครส.ส.และพรรคการเมืองมาสัมภาษณ์ทางสื่อต่างๆ เป็นรายบุคคลและเป็นการเฉพาะเกี่ยวกับการเลือกตั้ง เพราะถือว่าเป็นการหาเสียง ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ทำได้เฉพาะตามที่กกต.กำหนดจัดสรรเวลาให้เท่า เช่น การโฆษณาแบบสั้นระยะเวลา 30 วินาที หรือการที่พรรคสามารถหาเสียงได้วันละ 10 นาที เป็นต้น

นายประพันธ์ กล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนจะจัดการโต้วาทีเพื่อแสดงวิสัยทัศน์ทางการเมือง ว่า ต้องปราศรัยบนเวทีที่กกต.กำหนดเท่านั้น และต้องถือหลักความเท่าเทียมกัน ส่วนการวิจารณ์ข่าวทางสื่อโทรทัศน์และวิทยุนั้น ยังสามารถทำได้ตามปกติ เพียงแต่ต้องเป็นกลางและอย่าเน้นคุณสมบัติของผู้สมัครคนใดหรือพรรคการเมืองใดเป็นการเฉพาะ ส่วนการวิจารณ์ข่าวบนสื่อสิ่งพิมพ์นั้น สามารถทำได้ เนื่องจาก พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว. มาตรา 60 ไม่ได้ห้ามการหาเสียงทางสื่อสิ่งพิมพ์แต่อย่างใด นอกจากนี้ พรรคการเมืองยังสามารถซื้อพื้นที่สื่อสิ่งพิมพ์เพื่อลงโฆษณาได้ตามปกติ

ส่วนกรณีที่หากสื่อมวลชนสัมภาษณ์ผู้สมัครส.ส. เพื่อทำข่าวหรือรายงานพิเศษจะทำได้หรือไม่นั้น นายประพันธ์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด แต่โดยหลักการแล้ว หากเป็นการเสนอข่าวที่เป็นกลางและไม่ได้จงใจเน้นสิ่งใดโดยเฉพาะนั้นคงสามารถทำได้ เช่นวิจารณ์การเสนอนโยบายของพรรคการเมือง

ส่วนกรณีที่หากพรรคการเมืองตั้งโต๊ะแถลงข่าว สื่อจะสามารถไปทำข่าวได้หรือไม่นั้น นายประพันธ์ กล่าวว่า หากสื่อไปทำข่าวดังกล่าว อาจจะมีปัญหา เพราะเข้าจะลักษณะการหาเสียงทางวิทยุและโทรทัศน์ ดังนั้น หากพรรคการเมืองเปิดตัวผู้สมัครส.ส. และเชิญสื่อไปทำข่าว กกต.คงต้องพิจารณาดูว่าจะเข้าลักษณะการโฆษณาหาเสียงทางวิทยุและโทรทัศน์ ทั้งทางตรงทางอ้อมหรือไม่

นายประพันธ์ กล่าวถึงกรณีที่กระแสข่าวที่ระบุพรรคพลังประชาชน จะเชิญทักษิณมาเป็นประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ว่า ต้องดูตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 97 ซึ่งได้ห้ามผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ในกรณีที่จะจดทะเบียนพรรคการเมือง เป็นกรรมการบริหารพรรคการเมือง หรือมีส่วนร่วมในการจดแจ้งตั้งพรรคการเมือง

 --------------------------------------------

กกต.กำหนดหลักเกณฑ์ 'ป้ายโฆษณา-การหาเสียงทางทีวี'

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์การดำเนินการของรัฐในการสนับสนุนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2550 มีสาระสำคัญ คือ

การจัดสถานที่ปิดประกาศในการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง ให้ดำเนินการดังนี้
1.ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด จัดสถานที่ปิดประกาศให้แก่ผู้สมัครทุกคนและพรรคการเมืองทุกพรรค ที่ส่งผู้สมัครในเขตจังหวัดนั้น ณ ศาลากลางจังหวัด รวมถึงให้นายอำเภอ จัดสถานที่ปิดประกาศในเขตเลือกตั้งนั้น ณ ที่ว่าการอำเภอ
2.ให้ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดสถานที่ปิดประกาศ ณ ที่ทำการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงานเขต แขวง หมู่บ้าน หรือชุมชนทุกแห่ง
3.ให้หัวหน้าหน่วยงานจัดสถานที่ปิดประกาศ ณ ที่ตั้งของหน่วยงานตามความเหมาะสม ทั้งนี้ การจัดสถานที่ปิดประกาศต้องจัดให้เพียงพอและเท่าเทียมกันในการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง

ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองที่ประสงค์จะปิดประกาศ แจ้งกับหัวหน้าหน่วยงาน โดยมีเงื่อนไข ดังนี้
1.มีขนาดความกว้างไม่เกิน 30 เซนติเมตร ความยาวไม่เกิน 42 เซนติเมตร
2.พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครแบบสัดส่วนให้ปิดประกาศได้สถานที่ละ 1 แผ่น ซึ่งประกาศดังกล่าว ต้องจัดทำและมีจำนวนไม่เกิน 10 เท่า ของจำนวนหน่วยเลือกตั้งในกลุ่มจังหวัดนั้น
3.ผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่สังกัดพรรคการเมืองเดียวกัน ให้ปิดประกาศสถานที่ละ 1 แผ่น และไม่เกิน 10 เท่าของจำนวนหน่วยเลือกตั้งในเขตนั้น

หัวหน้าหน่วยงานต้องประกาศกำหนดสถานที่อันเป็นสาธารณะ เพื่อติดแผ่นป้ายโฆษณาหาเสียง โดยคำนึงถึงความเหมาะสม เป็นระเบียบเรียบร้อย มีความสะอาดและความปลอดภัย แล้วแจ้งให้กกต.ประจำจังหวัดทราบ

ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองที่ประสงค์จะปิดประกาศ ตามข้อ 6 แจ้งขอติดป้ายกับหัวหน้าหน่วยงานนั้น โดยมีเงื่อนไข ดังนี้
1.มีขนาดความกว้างไม่เกิน 130 เซนติเมตร ความยาวไม่เกิน 245 เซนติเมตร

2.จำนวนแผ่นป้ายที่สามารถติดได้ของผู้สมัครแบบสัดส่วน ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหัวหน้าหน่วยงาน แต่ต้องมีจำนวนรวมกันไม่เกิน 5 เท่าของจำนวนหน่วยเลือกตั้งในกลุ่มจังหวัดนั้น
3.จำนวนแผ่นป้ายที่สามารถติดได้ของผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่สังกัดพรรคการเมืองเดียวกัน ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหัวหน้าหน่วยงาน แต่ต้องมีจำนวนรวมกันไม่เกิน 5 เท่าของจำนวนหน่วยเลือกตั้งในกลุ่มจังหวัดนั้น

การจัดทำประกาศหรือแผ่นป้าย ให้ระบุชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่ของผู้ว่าจ้าง ผู้ผลิต จำนวน และวันเดือนปีที่ผลิต ไว้บริเวณด้านล่างซ้ายถ้าปิดประกาศหรือติดแผ่นป้าย ไม่ถูกต้องหรือเกินขอบเขตที่จัดไว้ให้ ให้หัวหน้าหน่วยงาน มีอำนาจสั่งพรรคการเมืองหรือผู้สมัครแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนด หากไม่ปฏิบัติตามให้ดำเนินการรื้อถอน หรือปลดออกได้

กกต.ประจำจังหวัด ต้องจัดให้มีสถานที่โฆษณาหาเสียงหรือเวทีกลาง อย่างน้อยอำเภอละ 2 แห่ง ยกเว้นในเขตกรุงเทพมหานคร ที่ให้กกต.ประจำกรุงเทพฯ พิจารณาจัดตามสมควร

การโฆษณาหาเสียงของพรรคการเมืองที่สนับสนุนโดยรัฐให้กระทำโดยเท่าเทียมกัน ดังนี้
1.ออกอากาศโฆษณาข้อความสั้นๆ เกี่ยวกับนโยบายของพรรคการเมือง ให้สถานีจัดสรรเวลาทุกพรรคการเมือง อย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 30 วินาที
2.ออกอากาศเพื่อแถลงนโยบายของพรรคการเมือง อย่างน้อยพรรคการเมืองละ 3 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 10 นาที โดยให้สถานีจัดสรรเวลาให้พรรคการเมืองโฆษณาหาเสียงหมุนเวียนไปจนครบทุกพรรค ส่วนพรรคใดจะได้ออกอากาศเวลาใดนั้น ให้กกต.ประชุมร่วมกับหัวหน้าพรรคการเมือง โดยเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ต้องใช้ข้อความสุภาพ รูปแบบที่เหมาะสม ไม่ใส่ร้าย หรือเสียดสีบุคคลใด ไม่ขัดต่อกฎหมาย ความสงบเรียบร้อย ศีลธรรมอันดีของประชาชน ซึ่งพรรคการเมืองต้องรับผิดชอบต่อเทปที่จัดทำขึ้น

พรรคการเมืองต้องส่งให้ กกต.ภายในกำหนดเวลา เพื่อส่งต่อให้สถานีต่อไป หากไม่ทำตามกำหนดเวลาจะถือว่าพรรคการเมืองนั้น สละสิทธิในการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง

ทั้งนี้ หากพบว่าเทปของพรรคการเมืองใดมีลักษณะต้องห้าม ให้กกต.รายงานต่อประธานกกต. เพื่อสั่งให้แก้ไขหรือระงับการออกอากาศ
นอกจากนี้ เพื่อประโยชน์ในการให้ความรู้แก่ประชาชน รวมถึงกระตุ้นการออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากยิ่งขึ้น สถานีอาจเชิญพรรคการเมืองไปออกรายการเพื่อแสดงวิสัยทัศน์หรืออภิปรายเชิงนโยบาย โดยต้องจัดให้ทุกพรรคการเมืองมีความเท่าเทียมกัน



http://www.matichon.co.th/news_detail.php?id=8435&catid=1
บันทึกการเข้า

Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #4 เมื่อ: 25-10-2007, 04:21 »

น่าจะดีนะครับ ลงเลือกตั้งจะได้ไม่ต้องใช้เงินมาก
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
เล่าปี๋
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,417


ทำดีได้ดีมีไฉน ทำชั่วได้ดีมีถมไป


« ตอบ #5 เมื่อ: 25-10-2007, 08:05 »



    กกต.ชุดนี้ทำดู  จะเข้าท่าดีนะครับ
บันทึกการเข้า

ขงเบ้งดูดาว เฮอะเอ่อเอ้ย เมื่อดาวตก เสียวในหัวอกเมือเห็นดาว
ไม่พราวไสว  หรือว่าตัวเราจะหมดบุญ จึงเป็นไป
ดาวที่สดใสเมื่อก่อนนั้น  พลันมืดมัว....
พรรณชมพู
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,073


« ตอบ #6 เมื่อ: 25-10-2007, 13:17 »

ใช้เงินหาเสียงได้เท่าๆกัน มีโอกาศเท่าๆกัน ก็ยุติธรรมดีแล้วค่ะ

หากพรรคใดใช้เงิน หรือใช้โอกาศมากกว่าคนอื่น ก็สมควรโดนลงโทษ

 
บันทึกการเข้า
Cherub Rock
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,183


น้องๆ ช่วยไปบอกผู้หญิงคนนั้นที ว่าเลิกมองผมได้แล้ว


« ตอบ #7 เมื่อ: 25-10-2007, 15:34 »


หัวหน้าหน่วยงานต้องประกาศกำหนดสถานที่อันเป็นสาธารณะ เพื่อติดแผ่นป้ายโฆษณาหาเสียง โดยคำนึงถึงความเหมาะสม เป็นระเบียบเรียบร้อย มีความสะอาดและความปลอดภัย แล้วแจ้งให้กกต.ประจำจังหวัดทราบ

ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองที่ประสงค์จะปิดประกาศ ตามข้อ 6 แจ้งขอติดป้ายกับหัวหน้าหน่วยงานนั้น โดยมีเงื่อนไข ดังนี้
1.มีขนาดความกว้างไม่เกิน 130 เซนติเมตร ความยาวไม่เกิน 245 เซนติเมตร
2.จำนวนแผ่นป้ายที่สามารถติดได้ของผู้สมัครแบบสัดส่วน ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหัวหน้าหน่วยงาน แต่ต้องมีจำนวนรวมกันไม่เกิน 5 เท่าของจำนวนหน่วยเลือกตั้งในกลุ่มจังหวัดนั้น
3.จำนวนแผ่นป้ายที่สามารถติดได้ของผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่สังกัดพรรคการเมืองเดียวกัน ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของหัวหน้าหน่วยงาน แต่ต้องมีจำนวนรวมกันไม่เกิน 5 เท่าของจำนวนหน่วยเลือกตั้งในกลุ่มจังหวัดนั้น

อันนี้ผมชอบจริงๆ ไม่เลอะเทอะ อุบาวท์ลูกตาเต็มท้องถนน
บันทึกการเข้า

"นายกรัฐมนตรีกำลังใช้รัฐสภาประกอบพิธีกรรมสถาปนาอำนาจของตนเองโดยเห็นรัฐสภาเป็นเพียงแค่ตรายาง และปล่อยให้มีการทำร้ายประชาชนถือว่าหมดความชอบธรรมแล้ว" รสนา โตสิตระกูล
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #8 เมื่อ: 25-10-2007, 18:38 »

เมื่อกี้ "เจ๊สด" ไปออกรายการของสุรยุทธ์ อธิบายชัดเจนแล้วครับ

แม้พรรคการเมือง จะออกมาโวยวายหลากหลายประเด็น

แต่ กกต. ก็บอกว่า ได้ประชุมร่วมกับพรรคการเมืองก่อนออกระเบียบนี้แล้ว

คงค้าน กกต. ลำบาก เพราะทุกพรรคก็เข้าร่วมประชุมทุกครั้ง

ลองทำไปซักครั้ง สองครั้ง บ้านเมืองคงดีขึ้น

อย่างน้อย ๆ คุณต้องเดินเข้าหาประชาชนมากขึ้น

ไม่ใช่กระดิกเท้า ปั่นหัวประชาชนผ่านสื่อ

นี่คือการบังคับให้พวกคุณ เดินหน้าเข้าหาประชาชนอย่างแท้จริง

ไม่ใช่มาปั่นหัวชาวบ้านเล่น ๆ ในช่วงเลือกตั้ง

ใครจะเข้าการเมืองต้องเข้าหาประชาชนสม่ำเสมอ

พรรคการเมือง ต้องมีกิจกรรมตลอดปี ไม่ใช่เลือกตั้งที ก็มาออกทีวีหลอกกันเล่น
บันทึกการเข้า

ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #9 เมื่อ: 25-10-2007, 23:05 »

ผมเห็น'กฎ' ของ คณะกรรมการ กกต. หยุมหยิม
และท้าทายให้'ละเมิด'.........ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า


บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
eAT
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,066



« ตอบ #10 เมื่อ: 25-10-2007, 23:24 »

ฟังรายการของ ดร.เจิมศักดิ์ เห็นมีคนส่วนมากฟันธงว่า พรรคปล้นชาติ ได้เปรียบ
เพราะว่า ยิ่งคุม ความสำคัญในการหาเสียง มันจะไปตกอยู่กับหัวคะแนน
อ้ายโนน ก็ทำไม่ได้ อ้ายนี่ ก็ไม่ให้ทำ

สุดท้าย ใครจัดตั้งฐานเสียงไว้เก่าก่อน ชนะแบบนอนมา
ผมก็เห็นด้วยนะครับ คิดเหมือนกันเลยว่า ครั้งนี้ พรรคขายชาติ มันจะกลับ
คืนมา ชัวร์


เตะหมูเข้าปาก***อีกแล้ว
บันทึกการเข้า
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #11 เมื่อ: 25-10-2007, 23:54 »

กกต.เสียงอ่อย ผ่อนปรนเงื่อนไข คลายบรรยากาศเลือกตั้ง
 
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 25 ตุลาคม 2550 18:57 น.
 
 
       นักวิชาการ โต้ กกต.กำหนดกติกามารยาทหาเสียง ขัดธรรมชาติเลือกตั้ง ส่งผลร้ายให้พรรคการเมือง-ผู้สมัคร ใช้วิธีใต้ดินแทน ด้านองค์กรสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุโทรทัศน์ยื่นหนังสือคัดค้านวันนี้ ขณะ ปธ.กกต.ย้ำยึดหลักความเป็นธรรมมากที่สุด แต่เสียงอ่อย พร้อมพิจารณาปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม
       
       วันนี้ (25 ต.ค.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้จัดอบรมให้ความรู้กฎหมายรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ให้แก่ผู้บริหารและพนักงาน กกต.กลาง โดยมี นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.กล่าวเน้นย้ำให้ทุกคนวางตัวเป็นกลาง เพราะหากคนไม่เชื่อถือการเลือกตั้งก็จะเกิดความเสียหายขึ้นเหมือนในอดีต และอยากฝากเรื่องการซื้อสิทธิขายเสียง ที่กกต.ถือว่าเป็นเรื่องน่าหนักใจที่สุด เนื่องจากขณะนี้ไม่ใช่จ่ายกันคนละร้อยสองร้อย แต่จ่ายกันเป็นพันสองพันเป็นการซื้อทั้งบ้าน ซึ่งท้องถิ่นมีคนไม่เท่าไหร่ ถ้าซื้อได้ก็มีผลแล้ว
       
        ภายหลัง นายอภิชาต ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการออกระเบียบข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติในการหาเสียง รวมถึงประกาศหลักเกณฑ์การสนับสนุนโดยรัฐ ที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นการรัดตัวนักการเมือง ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับการการเลือกตั้ง แต่ กกต.ก็ทำตามที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด แต่หลายอย่างเราก็ไม่พยายามที่จะไม่ให้ตึงเกินไป อาทิ เรื่องการใช้รถขยายเสียงหาเสียง การติดป้ายหาเสียง แต่ก็ต้องติดตามพื้นที่ที่กำหนดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม อย่างไรก็ตาม หากมีข้อสงสัยหรือข้อเสนอแนะจากพรรคการเมืองใดก็สามารถเสนอเข้ามาได้ กกต.เองก็พร้อมจะพิจารณาและปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม
       
       ขณะที่ นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต.กล่าวว่า กกต.จะส่งร่างระเบียบและประกาศฯทั้ง 2 ฉบับให้กับทุกพรรคการเมือง และจะตั้งคณะอนุกรรมการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ รวมถึงหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการดำเนินการเป็นไปตามระเบียบและประกาศเกี่ยวกับการหาเสียง โดยเฉพาะกับสื่อมวลชนที่อาจจะไม่คุ้นเคยกับธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้
       
       “เบื้องต้นอยากขอให้สื่อ เฉพาะอย่างยิ่งวิทยุโทรทัศน์ระมัดระวังในการนำเสนอข่าวของผู้สมัครที่ต้องยึดหลักความเป็นธรรม อาทิ ขอให้ยึดหลักของความเป็นธรรม อาทิ พรรค ก.และพรรค ข.มีกิจกรรม นำเสนอแต่กิจกรรมของพรรค ก.อย่างเดียว อย่างนี้ก็ถือว่าไม่เป็นกลาง แต่ทั้งนี้การวิเคราะห์ข่าว หรือการดำเนินการตามวิชาชีพยังสามารถดำเนินการได้”
       
       สำหรับการจัดเวทีปราศรัยกลางนั้น เชื่อว่า กกต.จังหวัด และ กกต.กทม.จะสามารถหาพื้นที่ให้ผู้สมัครและพรรคการเมืองได้ โดยจะไม่มีปัญหาเรื่องงบประมาณ เพราะพื้นที่ที่กำหนดจะเป็นพื้นที่สาธารณะ ส่วนค่าใช้จ่ายในการจัดหาเครื่องเสียงจะเป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองนั้นๆ ที่จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอาเอง อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการหารือกับพรรคการเมืองอีกครั้งถึงความเหมาะสมของสถานที่และระยะเวลาที่จะจัดให้ปราศรัย
       
       ด้าน นายวุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการ สถาบันพระปกเกล้า ส.ส.ร.ซึ่งมาบรรยายในหัวข้อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.ก็กล่าวในเรื่องนี้ว่า กฎหมายใหม่และระเบียบต่างๆ ที่ออกมาล่าสุดนี้ เกรงว่า กกต.จะเหนื่อยเพราะเมื่อออกกติกามาเยอะ กกต.ก็จะทำไม่ได้ จับไม่ได้ และมันยังขัดธรรมชาติของการเลือกตั้ง
       
       “เมื่อกำหนดอย่างนี้ก็จะมีเรื่องร้องเรียนเข้ามามาก แล้ว กกต.จะมีปัญหาเสียเอง การที่บอกว่าทุกพรรคเท่าเทียมกัน หากต้องการให้เท่าเทียมต้องกำหนดตั้งแต่แรก คือ ต้องให้ส่ง 480 คนเท่ากันทุกพรรค ซึ่งก็ไม่ได้มีการทำ แต่เรากลับบังคับให้หาเสียงเท่ากัน แบบนี้เป็นการสกัดกั้นยุทธศาสตร์ของพรรค เมื่อเป็นแบบนี้ทุกคนก็จะเดินลงข้างล่าง ขัดกับหลักแข่งขันเชิงนโยบาย ผมไม่เห็นด้วย แต่ตอนนี้คงจะไปบอกอะไรไม่ได้ ก้หวังว่าครั้งหน้าคงจะมีการแก้ไขเรื่องนี้”
       
       ขณะที่ นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านกิจการบริหารการเลือกตั้ง กล่าวว่า ถือเป็นวันแรกที่พระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งมีผลใช้บังคับ ดังนั้น ถือเป็นภาระหนักมากสำหรับเจ้าหน้าที่ กกต.อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญได้กำหนดว่า หากภายหลังมีพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งแล้วการบริหารราชการแผ่นดินต่างๆ จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กกต.ซึ่งรวมถึงครม.ด้วย ทั้งนี้ แม้รัฐธรรมนูญมาตรา 181 จะกำหนดว่า กรณีที่จะห้ามแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการและห้ามรัฐบาลเบิกจ่ายงบประมาณ หรืออนุมัติโครงการใดๆ ไม่ได้นั้นจะต้องเป็นการยุบสภาหรือสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง ถ้าตีความตามตัวอักษร รัฐบาลชุดนี้ไม่มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่มีการยุบสภา แต่ถ้าดูตามเจตนารมณ์แล้วผู้ร่างต้องการให้รัฐบาลมีความเป็นกลาง ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่มีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการได้
       
       นายประพันธ์ ยังกล่าวว่า ในอดีตศาลยุติธรรมไม่เคยเอาผิดคนทุจริตได้ เพราะมีการทำให้การพิจารณาคดีช้าลงไป เลยไม่มีสภาพบังคับ ซึ่งต่อมาก็มีการตั้ง กกต.ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม คราวนี้ก็ให้ศาลมาถ่วงดุล กกต.ซึ่งอยากให้ฝ่ายสืบสวนทำงานเชิงรุก ซึ่งหากสามารถพิจารณาให้ใบเหลืองใบแดงก่อนประกาศผลก็จะดี แต่ถ้าท่าทำช้ากว่าประกาศผลก็ต้องไปศาล ซึ่งจะใช้เวลามาก และการวินิจฉัยของศาลแม้วันนี้ไม่มีคดีตัวเอย่าง แต่ตนก็ยังหนักใจเรื่องการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน แม้กฎหมายจะบอกว่าให้ศาลใช้เพียงหลักฐานอันควรเชื่อ แต่ตนก็ห่วงว่าในทางปฏิบัติว่าศาลจะใช้ดุลพินิจแบบ กกต.หรือไม่ ดังนั้น การทำงานขอให้เจ้าหน้าที่รอบคอบขึ้น
       
       นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า กกต.ชุดนี้มีความโปร่งใส เมื่อลงมติก็จะเซ็นรับรองทันทีโดยที่ยังไม่รู้เลยว่ามติรวมเป็นอย่างไร และ กกต.ชุดนี้ประชุมจริงทุกครั้ง ไม่มีการหารือ หรือการประชุมทางโทรศัพท์ ทุกคนเป็นผู้พิพากษาอัยการระดับสูงทั้งนั้น ไม่มีการหยวนๆ แม้จะเป็นเรื่องภายในแต่ก็ไม่มีการทำลับๆ
       
       นายประพันธ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ และสมาคมวิทยุโทรทัศน์ จะยื่นหนังสือคัดค้านระเบียบและประกาศการหาเสียงในวันนี้ (26 ต.ค.) เพราะเป็นอุปสรรคในการเสนอข้อมูลข่าวสารของสื่อ ว่า เรื่องการออกระเบียบต่างๆ ของ กกต.เป็นการออกระเบียบตามที่กฎหมายบัญญัติ เช่น การจัดเวทีการปราศรัย ในมาตรา 59 มีหน้าที่ในการจัดสถานที่โฆษณาหาเสียง ในขณะที่มาตรา 60 ระบุว่า ในกรณีที่รัฐจัดสนับสนุนให้แล้ว ก็ไม่ให้ผู้สมัคร หรือผู้ใดจัดอีก และที่ผ่านมา ก็ได้อนุมัติงบประมาณในการจัดเวทีให้อำเภอละประมาณหนึ่งหมื่นบาท และในปัจจุบันก็ยังคงเป็นเช่นนี้ เมื่อถามว่าหากผู้สมัครเห็นว่า กกต. จัดครื่องเสียงไม่เพียงพอ จะนำเครื่องเสียงมาช่วยจัดได้หรือไม่ นายประพันธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ได้นำมาหารือกันแต่อย่างใด

 http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9500000126917


ฟังรายการของ ดร.เจิมศักดิ์ เห็นมีคนส่วนมากฟันธงว่า พรรคปล้นชาติ ได้เปรียบ
เพราะว่า ยิ่งคุม ความสำคัญในการหาเสียง มันจะไปตกอยู่กับหัวคะแนน
อ้ายโนน ก็ทำไม่ได้ อ้ายนี่ ก็ไม่ให้ทำ

สุดท้าย ใครจัดตั้งฐานเสียงไว้เก่าก่อน ชนะแบบนอนมา
ผมก็เห็นด้วยนะครับ คิดเหมือนกันเลยว่า ครั้งนี้ พรรคขายชาติ มันจะกลับ
คืนมา ชัวร์


เตะหมูเข้าปาก***อีกแล้ว
ขอเตือน.....
กฎ ระเบียบต่าง ๆ จะเป็น'ช่องโหว่' ให้พรรคการเมืองใหญ่ คนที่มีโอกาส มีชื่อเสียง คนดัง เข้าถึงสื่อฯ ทางตรง ทางอ้อม....
ที่ผ่านมา อดีตนายกฯทักษิณ จำเลยคดีทุจริตต่าง ๆ  'ทนายหน้าหอ' 'ออหมัก' 'หมอเลียบ-มิงค์' ฯลฯ
มีโอกาส และ ไม่ต้องเสียเงิน เพื่อได้ออกโทรทัศน์ เพราะพวกเขาพูดอะไร ก็เป็น 'ข่าว'....

 
กติกา เงื่อนไข บางข้อ บางกรณี'ลอกเลียน' จากต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น หรือ ยุโรป
โดยไม่ยอมรับ ความเข้าใจ วัฒนธรรม วิถีชีวิต การเมืองไทย และ สื่อฯไทย.....

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-10-2007, 00:00 โดย ปุถุชน » บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #12 เมื่อ: 26-10-2007, 00:03 »


 

นักการเมืองไทยสูญพันธุ์ไป ประเทศนี้ก็ไม่ล่มจม

เพราะมันไม่ได้อยู่ได้เพราะนักการเมืองมานานแล้ว...
บันทึกการเข้า

ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #13 เมื่อ: 26-10-2007, 00:25 »



นักการเมืองไทยสูญพันธุ์ไป ประเทศนี้ก็ไม่ล่มจม

เพราะมันไม่ได้อยู่ได้เพราะนักการเมืองมานานแล้ว...



ถ้าประเทศไทยยังมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
มีรัฐสภา และ มีรัฐธรรมนูญ......
ประเทศไทย ก็ต้องมีนักการเมือง มีผู้แทนราษฎร มีนายกรัฐมนตรีจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นหัวหน้ารัฐบาล
เป็นรัฐมนตรี ฯลฯ ไม่ใช่มีข้าราชการประจำ ข้าราชการทหารเท่านั้น.... Exclamation




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-10-2007, 00:27 โดย ปุถุชน » บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #14 เมื่อ: 26-10-2007, 00:28 »


ถ้าประเทศไทยยังมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
มีรัฐสภา และ มีรัฐธรรมนูญ......
ประเทศไทย ก็ต้องมีนักการเมือง มีผู้แทนราษฎร มีนายกรัฐมนตรีจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นหัวหน้ารัฐบาล
เป็นรัฐมนตรี ฯลฯ ไม่ใช่มีข้าราชการประจำ ข้าราชการทหารเท่านั้น.... Exclamation





มีแน่นอนเพราะคนดีๆจะเข้ามาทำงานกันมากขึ้น..ครับ
บันทึกการเข้า

Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #15 เมื่อ: 26-10-2007, 01:52 »

การจะเป็นสส. คุณต้องไปสร้างคุณงามความดีให้ประชาชนเห็นมานาน นานพอที่ประชาชนจะไว้ใจ

ไม่ใช่แค่อาศัยชายคาพรรค แล้วเกาะบุญการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในช่วงสั้น ๆ

นี่คือการพัฒนาประชาธิปไตย เพื่อให้ ผู้คิดสมัคร สส. ต้องไปสร้างชื่อเสียงมาก่อน

ไม่ใช่อาศัยเงิน อาศัยทีมงานโฆษณาประชาสัมพันธ์ ใช้เงินอัดโฆษณา

เรื่องนี้ ผลสะเทือนในช่วงสั้นอาจมีบ้าง แต่ในระยะยาวหรือการพัฒนาการเลือกผู้แทน ดีแน่นอนครับ

การที่พรรคจะเลือกคนเข้าพรรคหรือส่งลงสมัคร จะได้คำนึงถึงโอกาสที่ผู้สมัครจะได้รับเลือกตั้งด้วย

ไม่ใช่ ใช้เงิน ใช้เส้นสายในพรรค เป็นลูก สส. แล้วได้สิทธิ์ใช้เส้นมาลงสมัคร แล้วก็ได้ลงสมัครแล้ว..

ทีนี้ ทายาททางการเมืองชนิด พ่อเป็นสส. หรือ รัฐมนตรี จะมีโอกาสใช้เส้นพ่อ-แม่ตัวเอง คงยากแล้วครับ
บันทึกการเข้า

eAT
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,066



« ตอบ #16 เมื่อ: 26-10-2007, 07:33 »

ลุงแคนคงฝันไปแน่ๆๆ
ไม่มีทาง ท่าใช้วิธีบล็อคไม่ให้หาเสียง คนที่จะได้รับเลือกตั้งมีอยู่ 3 แบบ
1. คนดัง ไม่จำเป็นเป็นต้องเป็นคนดี อย่างหมักจมูกบาน
2. ผู้ทรงอิทธิพล เหมือนเลือก สว. นั่นแหละ ไม่ให้หาเสียง สุดท้ายได้อะไร
โดยเฉพาะพวก สส.เก่า หรือเครือญาติ เพราะประชาชนรู้จักอยู่แล้ว
3. พวกนี่เล่นใต้ดิน ซื้อเสียง 2 ใน 3 ยินดีรับเงินอยู่แล้ว


ถามหน่อย คนดี ทำยังไงให้คนรู้จักครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุคนี้ตอกย้ำ
ข่าวดี ขายไม่ได้ ข่าวคาว ขายดี ยิ่งคาว ยิ่งขายดี หากไม่รู้จักประชาสัมพันธ์
ตัวเองตั้งแต่แรกๆ จะมีสักกี่คนที่รู้จักกัน

ถ้าเป็นอย่างนี้ ยิ่งถอยหลังลงคลอง แถมสื่อเล่นอะไรไม่ได้ เพราะใครจะจัดให้
พรรคทั้ง 40 พรรค มาออกอากาศได้เท่าเทียมกัน บรรยากาศ ก็เศร้าซึมกระทือ
คนก็ไมรู้สึกว่า มันเป็นบรรยากาศการหาเสียง ปราศัยไม่ได้ คนก็ยิ่งไม่รู้ ใครจะ
ไปฟังที่เวทีกลางกัน สว. คราวที่แล้ว ก็มีแต่พวกเดียวฟังกัน เป็นโทรทัศน์ที่
จัดหาให้ ใครมันจะดู 40 พรรค กันครับ บ้าไปแล้ว แม้แต่ลุงแคน ก็ไม่ดูครบหรอก
เลือกดูแค่ 9-10 ก็เต็มกลืนแล้วล่ะ

ถ้าไม่แก้ไข ฟันธง พลังประชาชน มาเกิน 300 แน่นอน
เงินไม่มา กาไม่เป็น ยืนยันความเป็นประชาธิปไตยเมืองไทย
บันทึกการเข้า
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #17 เมื่อ: 26-10-2007, 08:02 »

นั่นไง พวกบ้าการเมืองอยากตั้งพรรคการเมืองจะได้ใช้สมองอีกนิด

ทำอะไรให้บ้านเมืองมาบ้าง จู่ ๆ อยากตั้งพรรคการเมืองก็ตั้งกันง่าย ๆ แล้วจะมาโวยวายกันทำไม

ทำพรรคการเมืองเป็นรถขายก๋วยเตี๋ยวไปได้ อยากขายเมื่อไหร่ ก็เข็นรถมาขาย

ไม่ใช่งานวัด หรือประกาศหนังขายยานะครับ

บันทึกการเข้า

eAT
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,066



« ตอบ #18 เมื่อ: 26-10-2007, 10:10 »

ใช่ พรรคการเมือง จะใช้สมอง ซึ่งวิธีการหนึ่งในนั้นคือการสร้างข่าวลือ
เอาง่ายๆ เหมือนที่ ทรท เคยใช้ กฏหมายขายชาติ 40 ฉบับ ถล่มพรรค
ฝ่ายตรงกันข้าม ข้อเท็จคืออะไร ข้อจริงคืออะไรกัน? แล้วยังข่าวลือตอน
รับ/ไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญอีกล่ะ

ข่าวโจมตีใต้ดินจะเพียบ อีกฝ่ายจะปราศัยแก้ข้อโจมตีก็ไม่ได้ ใครปั่น
ข่าวลือเก่งกว่า ชนะขาดลอย
บันทึกการเข้า
แอบอ่าน ซุ่มเงียบ
ขาประจำ
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 249


stand, fight, live or die for what?


« ตอบ #19 เมื่อ: 26-10-2007, 10:33 »

ถ้ายังทำเหมือนเดิม ก็คงไม่แคล้วได้ ผู้แทนหน้าเดิมๆ

ลองดูของใหม่ก็ดีเหมือนกัน เผื่อผลลัพธ์ออกมาจะดีขึ้นกว่าเดิม
บันทึกการเข้า

IF YOU DON'T STAND FOR SOMETHING, YOU MIGHT FALL FOR ANYTHING.
eAT
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,066



« ตอบ #20 เมื่อ: 26-10-2007, 11:00 »

http://matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01p0103261050&day=2007-10-26&sectionid=0101

โวยกฎคุมเลือกตั้ง"โหด" มัด"พรรค-สื่อ" "ปธ.กกต."บอกพร้อมปรับ

หน้าใหม่-กลุ่มเล็กโอดไม่ได้เกิด กมธ.กม.ลูกชี้ต้องเข้มสกัดเงิน นายกฯตั้งเป้าสิทธิเลือกตั้ง70%




ปธ.กกต.เสียงอ่อน ยอมคลายกฎเหล็กหาเสียงเลือกตั้ง พรรครุมซัดไม่ให้ใช้โทรโข่ง-จำกัดที่ปราศรัย สื่อร่วมวงค้าน นัดถกให้"ทีวี-วิทยุ"ทำข่าวได้ "ชาติไทย" ร่างหนังสือจี้ให้แก้ "ประชาราช-เพื่อแผ่นดิน"โอดโดนบอนไซ หน้าใหม่โดนตอนไม่ได้เกิด อดีต ส.ส.ร.ยอมรับ"กกต."เหนื่อย บางเรื่องปฏิบัติได้ยาก ปธ.ยกร่าง กม.ลูก แจงคุมเข้ม หวังให้ใช้เงินหาเสียงเท่าเทียม

เกิดปฏิกิริยาทั้งต่อต้านและสนับสนุนการออกประกาศและร่างระเบียบข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติในการหาเสียง ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จากบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ รวมทั้งสื่อมวลชน

@ ชท.ร่างหนังสือจี้กกต.แก้กฎเหล็ก

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รองหัวหน้าพรรคชาติไทย ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมการกฎหมายและกิจการรัฐสภาพรรคชาติไทย กล่าวว่า ระเบียบที่ออกมาเป็นเรื่องจุกจิกเกินไป และจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ต่อการดำเนินการจัดการของพรรคการเมืองในอนาคต และส่งผลต่อเป้าหมาย กกต.ที่จะมีผู้มาใข้สิทธิลงคะแนนร้อยละ 70 จะเป็นไปไม่ได้

"พรรคชาติไทยจะประชุมคณะกรรมการกฎหมายและกิจการรัฐสภาของพรรคเพื่อทำหนังสือ ข้อสังเกตระเบียบ กกต. เพื่อขอผ่อนผันข้อบังคับบางเรื่องที่เข้มงวดอันจะส่งผลกระทบต่อการหาเสียง ให้แก่ กกต. โดยระเบียบที่พรรคจะยื่นเรื่องมีหลายข้อ เช่น ร่างประกาศ กกต. ว่าด้วยหลักเกณฑ์ การดำเนินการของรัฐ ในการสนับสนุนการเลือกตั้ง ส.ส. ข้อที่ระบุว่า จัดให้มีเวทีกลางในการหาเสียง 2 แห่งตามที่ กกต.จังหวัดพิจารณา ซึ่งในเชิงธรรมชาติหาเสียงไม่ควรชี้ชัดสถานที่ เพราะพื้นที่ปราศรัยตามที่ กกต.จังหวัดกำหนด อาจจะไม่มีประชาชนเข้าสนใจฟังการปราศรัยมากพอ" นายสมศักดิ์กล่าว

@ พปช.งัดวีซีดีแจกหาเสียงแทน

นายนพดล ปัทมะ รองเลขาธิการพรรคพลังประชาชน กล่าวว่า อยากเรียกร้องให้ กกต.ทบทวนเพราะการเปิดโอกาสให้นักการเมืองได้แสดงวิสัยทัศน์จะเป็นประโยชน์กับประชาชน ซึ่งโทรทัศน์ถือเป็นการสื่อสารที่ดีที่สุด เพราะเข้าถึงประชาชนได้ครอบคลุม แตกต่างจากสื่อหนังสือพิมพ์ ที่ประชาชนในต่างจังหวัดเข้าไม่ถึง จึงขอความกรุณาให้ กกต.ทบทวนให้พรรคการเมืองพูดผ่านโทรทัศน์และวิทยุได้ แต่ควรให้เท่าเทียมกันทุกพรรค ส่วนขนาดของป้ายหาเสียง พรรคพลังประชาชนยอมรับได้ เพราะกำหนดเท่ากันทุกพรรค

"อย่างไรก็ตาม เมื่อ กกต.มีระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น พรรคคงต้องมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ อาจจะทำเป็น วีซีดี และทีมปราศรัยจะลงพื้นที่พบประชาชนให้มากขึ้น ขณะนี้นโยบายของพรรคพลังประชาชนแล้วเสร็จและเตรียมพิมพ์เผยแพร่ พร้อมแจกจ่ายให้กับ ส.ส.ในการประชุมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. วันที่ 29 ตุลาคมนี้" นายนพดลกล่าว

@ "ปชร."ชี้บอนไซพรรค-ให้ทบทวน

นายสุชาติ บรรดาศักดิ์ รองเลขาธิการพรรคประชาราช กล่าวว่า ยอมรับว่าหนักใจกับระเบียบของ กกต.มาก เพราะเราเป็นพรรคใหม่ ยังไม่ทันได้ทำการประชา สัมพันธ์อะไรเลย ก่อนหน้านี้ก็รอให้ กกต.แบ่งเขตให้ชัดเจน เพื่อจะได้วางตัวผู้สมัครถูก เมื่อ กกต.มาออกระเบียบเช่นนี้ ทำให้พรรคทำอะไรไม่ได้เลย มองแล้วเป็นการไม่ให้โอกาสพรรคขนาดล็ก หรือพรรคที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่เลย ใช้โทรโข่งเดินหาเสียง มีขบวนแห่ก็ทำไม่ได้ ขณะที่พรรคเก่าได้เปรียบที่โฆษณาเผยแพร่นโยบายแล้ว ที่เป็นห่วงคือ ห้ามมากๆ แล้วจะมีการซื้อเสียงก็ทำได้เฉพาะพรรคที่มีเงินมาก อยากเรียกร้องให้ กกต.ทบทวนในเรื่องนี้ใหม่

นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รองหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวว่า ตอบไม่ได้ว่ากติกาที่ออกมาดีหรือไม่ดี แต่ที่แน่ๆ ทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างนักการเมืองหน้าเก่ากับผู้สมัครหน้าใหม่ ซึ่งประเด็นที่ติดใจมากสุดคือ การจำกัดเวทีปราศรัย ทั้งที่จะเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับทราบแนวทางนโยบายของพรรคการ เมืองต่างๆ เพื่อนำไปตัดสินใจเลือกคนและพรรคได้

@ "มาร์ค"เลิกเสวนากลัวผิดกม.

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคประชาธิปัตย์แจ้งว่า หลังพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งถูกประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม ทำให้พรรคการเมืองต่างๆ ต้องดำเนินกิจกรรมด้วยความระมัดระวังและรอบคอบเป็นพิเศษ โดยเช้าวันเดียวกันนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ได้ยกเลิกกำหนดการเสวนา "อนาคตไทยหลังการเลือกตั้ง" ที่โรงแรมเอราวัณ แกรนด์ แบบกะทันหัน เพราะหวั่นว่าจะผิดกฎหมาย ก่อนที่จะเดินทางมายังที่ทำการพรรค และเรียกประชุมคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย ที่มีนายถาวร เสนเนียม รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธาน

@ ซัดกกต.ตีความกม.แคบ

นายถาวรกล่าวว่า ตามปกติการเมืองทั่วโลกทุกประเทศจะรณรงค์ให้ประชาชนได้รับทราบตัวผู้สมัคร และนโยบายของแต่ละพรรค โดยการโฆษณาปราศรัยหาเสียง แต่ปรากฏว่า กกต.น่าจะตีความกฎหมายในมาตรา 59 และ 60 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ ส.ว.ผิดพลาด โดยตีวงแคบเกินไป เช่น ในมาตรา 59 หรือ 60 ซึ่งระบุว่า กกต.สามารถที่จะระบุหลักเกณฑ์ กติกาให้รัฐสนับสนุน การติดแผ่นป้ายหรือกำหนดสถานที่ปราศรัยหาเสียง ให้โฆษณาเอง ซึ่ง กกต.สามารถที่จะให้รัฐสนับสนุนได้มากกว่านี้ เพราะไม่ได้เป็นข้อห้าม

"ขณะนี้ กกต.ห้ามพรรคการเมืองไปตั้งเวทีปราศรัย นอกจากสถานที่ที่ กกต.กำหนดให้ ทั้งที่ปกติถ้ารถแห่ของผมไปที่ตลาดนัด ก็แวะรถใช้โทรโข่งปราศรัยหาเสียงกับประชาชนที่กำลังซื้อกับข้าวได้ จึงอยากขอความกรุณาของ กกต.ซึ่งเป็นนักกฎหมายทุกคน อย่าตีความกฎหมายแคบจนเกินไป" นายถาวรกล่าว

@ สื่อ"ทีวี-วิทยุ"ถกคัดค้าน26ต.ค.

วันเดียวกัน สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้เชิญบรรณาธิการข่าว ของกองบรรณาธิการสถานีวิทยุและโทรทัศน์ทุกสถานีมาร่วมประชุม ในวันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม 2550 เวลา 12.00 น. ณ ห้องประชุมอิศรา อมันตกุล ชั้น 3 อาคารสมาคมนักข่าวฯ กรณีที่ กกต.ออกระเบียบข้อห้ามปฏิบัติในการหาเสียงของผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งครอบคลุมถึงการห้ามผู้สมัครรับเชิญไปออกอากาศในรายการต่างๆ ทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์ ตั้งแต่มีประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ไปจนถึงวันเลือกตั้ง เนื่องจากเห็นว่าระเบียบดังกล่าว ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการทำงานของสื่อมวลชน โดยเฉพาะสื่อวิทยุและโทรทัศน์ ที่มีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่จะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของประชาชนในการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยทั้งสองสมาคมจะนำข้อเสนอของที่ประชุมบรรณาธิการเสนอ กกต.ต่อไป

@ กกต.เสียงอ่อนพร้อมคลายกฎเหล็ก

นายอภิชาต สุขัคคานนท์ กล่าวถึงกระแสการต่อต้านการออกระเบียบของ กกต. ว่า ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น ยืนยันว่า กกต.ออกระเบียบตามที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด แต่ไม่ได้ทำให้ทุกเรื่อง เช่น การใช้รถขยายเสียงในการหาเสียง การติดป้าย ได้กำหนดให้ติดป้ายและแผ่นป้ายตามพื้นที่กำหนดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม หากมีข้อสงสัยหรือข้อเสนอแนะจากพรรคการเมืองใดก็สามารถเสนอมาได้ กกต.พร้อมจะพิจารณาและปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม

ขณะที่นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารการเลือกตั้ง กล่าวถึงกรณีที่สมาคมนักข่าวฯ และสมาคมวิทยุโทรทัศน์ จะยื่นหนังสือคัดค้านระเบียบ กกต.ว่า การออกระเบียบต่างๆ ของ กกต. เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ทั้งการจัดสถานที่โฆษณาหาเสียงและการปราศรัยหาเสียงที่กฎหมายระบุว่าให้รัฐจัดสนับสนุน ผู้สมัครจึงจะจัดอีกไม่ได้ ที่ผ่านมาได้อนุมัติงบฯในการจัดเวทีให้อำเภอละประมาณ 1 หมื่นบาท ปัจจุบันก็คงยังเป็นเช่นนี้

@ กกต.นัดถกสื่อสัปดาห์หน้า

นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ระหว่างการเดินสายพบสื่อมวลชนและเข้าพบบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ มติชน เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบของ กกต. ข้อควรปฏิบัติหรือข้อห้ามในการเลือกตั้ง ว่าต้องการมารับฟังเสียงสะท้อนจากสื่อมวลชนจากทุกสาขาที่มีต่อระเบียบและประกาศของ กกต. ที่ดำเนินการตามกรอบของรัฐธรรมนูญและพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.ทุกประการ อย่างไรก็ตาม จะรวบรวมข้อมูลและเสียงสะท้อนที่ได้รับฟังไว้ เพราะประธาน กกต.ได้ระบุว่า หากมีข้อปัญหาก็พร้อมที่จะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม กกต.เพื่อหารือกันใหม่ โดย กกต.จะพบกับตัวแทนของสื่อมวลชนทุกสาขาในสัปดาห์หน้าเพื่อทำความเข้าใจเรื่องนี้อีกครั้ง

"กกต.ยึดหลักการความเท่าเทียมกันในการออกสื่อทีวีและวิทยุ ดังนั้น การเชิญพรรคการเมืองหรือนักการเมืองไปออกรายการจะต้องยึดหลักนี้ แม้จะไม่สามารถเชิญพรรคการเมืองทุกพรรคมาพร้อมวันเดียวกัน แต่เหลือเวลาก่อนจะถึงวันเลือกตั้งอีกประมาณ 58 วัน จึงเชื่อว่าจะดำเนินการได้ ส่วนสื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอ นิกส์ไม่มีปัญหา สามารถถามความเห็นหรือรายงานข่าวได้ตามปกติ ยกเว้นการพิมพ์แผ่นแทรกของพรรคการ เมืองแทรกไปกับหนังสือพิมพ์ที่ไม่สามารถทำได้" นายสุทธิพลกล่าว

@ อดีตส.ส.ร.เตือนกกต.เหนื่อย

ขณะที่นายวุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า และอดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) กล่าวบรรยายในหัวข้อ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว.ตอนหนึ่งว่า กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับ และระเบียบของ กกต.นั้น เกรงว่า กกต.จะเหนื่อย เพราะขัดธรรมชาติของการเลือกตั้ง เมื่อออกกติกามากมายแล้วอาจทำไม่ได้ จับไม่ได้ และเมื่อเรื่องมีการร้องเรียนเข้ามามาก กกต.ก็จะมีปัญหาเสียเอง

"การที่บอกว่าทุกพรรคเท่าเทียมกัน หากต้องการให้เท่าเทียมต้องกำหนดตั้งแต่แรก คือต้องให้ส่ง 480 คนเท่ากันทุกพรรค แต่เรากลับบังคับให้หาเสียงเท่ากัน แบบนี้เป็นการสกัดกั้นยุทธศาสตร์ของพรรค เมื่อเป็นแบบนี้ทุกคนก็จะเดินลงข้างล่าง ขัดกับหลักแข่งขันเชิงนโยบาย ซึ่งผมไม่เห็นด้วย แต่ตอนนี้คงจะไปบอกอะไรไม่ได้ หวังว่าครั้งหน้าคงจะมีการแก้ไขเรื่องนี้" นายวุฒิสารกล่าว

@ กมธ.ร่างกม.ลูกแจงเหตุคุมเข้ม

นายสุจิต บุญบงการ อดีตรองประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ ที่จำเป็นต่อการเลือกตั้ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่า เจตนาที่ กมธ.ร่างกฎหมายออกมาให้เข้มงวด เพราะต้องการควบคุมการหาเสียงให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ใช้เงินทองมากเกินไป ทั้งนี้ผู้ร่างเชื่อว่า ในการหาเสียงทุกครั้ง มีการใช้เงินเกินวงเงินที่ กกต.กำหนด ซึ่งไม่ใช่แค่ซื้อเสียง แต่รวมถึงพวกป้ายหาเสียง ซึ่งคุมด้วยการกำหนดวงเงินอย่างเดียวไม่ได้ ผู้ร่างจึงร่างหลักเกณฑ์ให้ควบคุมขนาดป้ายและสถานที่ปิดป้าย และเป็นวิธีการสากลของทั่วโลก แม้จะทำให้พรรคการเมืองไม่สะดวก และเกณฑ์แบบนี้ มีข้อดี คือทำให้ทุกพรรคเท่ากันหมด เพราะอดีตพรรคไหนมีเงินมากก็ขึ้นป้ายขนาดใหญ่โต แต่คราวนี้ กฎหมายทำให้ทุกพรรคเสมอภาค

@ ยอมรับบางเรื่องปฏิบัติยาก

นายสุจิตกล่าวต่อว่า ยอมรับว่ามีหลายประเด็นที่ปฏิบัติยาก เช่น การไปช่วยเงินในกิจการที่เป็นปกติตามประเพณี ความจริงน่าจะทำได้ ส่วนอะไรที่เห็นชัดๆ ว่าไปช่วยเงินเพื่อหวังผลคะแนน ก็ย่อมทำไม่ได้ ส่วนการปรากฏตัวตามงานเป็นพิเศษเพื่อหาเสียง ก็ห้ามทำ แต่กฎหมายก็ค่อนข้างเข้ม โดยห้ามไปเสียหมด ส่วนกรณีการออกสื่อ ผู้ร่างมีเจตนาไม่ต้องการให้ปรากฏตัวตามสื่อโดยไม่มีการควบคุม เพราะพรรคที่มีเงินเยอะ หรืออยู่ในอำนาจรัฐ ก็จะได้เปรียบพรรคการเมืองอื่น ผู้ร่างจึงคำนึงถึงความเป็นธรรมต่อทุกพรรค

"ที่บ่นกันว่ากฎหมายเข้มนั้น ผมมองว่าจริงๆ ปฏิบัติไม่ยาก แต่ที่พรรคการเมืองไม่ชอบกันเพราะเคยชินกับแบบเดิม แต่ผมมองว่า ประชาชนและผู้สมัครต้องปรับตัวได้แล้ว ถ้ายังปล่อยกลับให้เป็นแบบเดิมเดี๋ยวก็จะมาบ่นกันอีกว่า ใช้เงินกันมากมหาศาลในการเลือกตั้ง" นายสุจิตกล่าว

@ อดีตกกต.แนะผ่อนผันกฎเหล็ก

นายสวัสดิ์ โชติพานิช อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า โดยหลักการถือว่าดี แต่ระเบียบที่ออกมาถือเป็นภาระหนักที่ กกต.ชุดนี้จะต้องรับฟังผู้ใช้กฎหมายเพื่อให้สอดรับกับการปฏิบัติด้วย ซึ่งระเบียบที่ออกมายังถือเป็นร่างหลักการอยู่ ไม่อยากให้นักการเมืองตื่นตกใจเกินไป เพราะหากมีข้อบังคับส่วนใดที่ต้องการให้ผ่อนผัน ก็สามารถพูดคุยและชี้แจงกับ กกต.ได้

"ทุกอย่างจะแก้ไขได้โดย กกต. หากผู้สมัครไม่เข้าใจชัดเจนในส่วนใด เช่น เรื่องติดป้ายได้ 2 แผ่นป้ายต่อรถ 1 คัน หากผู้สมัครเห็นว่าน้อยเกินไป ก็สามารถบอกให้ กกต.เข้าใจถึงความจำเป็นที่จะติดเพิ่มได้" นายสวัสดิ์กล่าว

@ กกต.หนักใจซื้อเสียงยกบ้าน2พัน

วันเดียวกัน นายอภิชาตได้กล่าวเปิดการอบรมให้ความรู้กฎหมายรัฐธรรมนูญและ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ให้แก่ผู้บริหารและพนักงาน กกต.กลางตอนหนึ่ง ว่า การจัดการเลือกตั้งครั้งนี้อยากให้ทุกคนวางตัวเป็นกลาง หากคนไม่เชื่อถือการเลือกตั้งก็จะเกิดความเสียหายขึ้นเหมือนในอดีต ซึ่ง กกต.มีความหนักใจในการซื้อเสียงเป็นอย่างมาก เพราะไม่ได้ให้กันเพียงแค่ร้อยสองร้อย แต่ให้กันเป็นหลัก 1-2 พัน เป็นการซื้อทั้งบ้าน

@ นายกฯหวังคนใช้สิทธิเลือกตั้ง70%

ที่ห้องประชุมโรงแรมโฆษะ จ.ขอนแก่น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวระหว่างเป็นประธานการประชุมสัมมนาการเตรียมการสนับสนุนการเลือกตั้งประจำปี 2550 โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จาก 11 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน รวมกว่า 1,200 คน เข้าร่วมประชุม ว่าสิ่งที่อยากจะฝากให้ข้าราชการทุกภาคส่วน เข้ามาสนับสนุนการเลือกตั้ง 2 ประการ คือการเป็นหูเป็นตาแจ้งเบาะแสพฤติกรรมของผู้ที่กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และช่วยกันรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิกันให้มากที่สุด เพราะหากประชาชนใช้สิทธิกันมาก การซื้อสิทธิขายเสียงจะทำได้ยาก

"เป้าหมายการออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม คิดว่าน่าจะทำได้ร้อยละ 70 หากยอดผู้ใช้สิทธิถึงร้อยละ 70 จะเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยม การใช้สิทธิครั้งนี้ไม่เหมือนกับการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ ที่เกินครึ่งหนึ่งถือว่าดีแล้ว แต่การเลือกตั้งนั้น จำนวนผู้ใช้สิทธิต้องทำให้ได้มากกว่านั้น" นายกฯกล่าว และว่า นอกจากนี้ให้ช่วยจับตาดูคือความเคลื่อนไหว การย้ายเข้าย้ายออกในทะเบียนราษฎร ในพื้นที่ต่างๆ
บันทึกการเข้า
soco
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,842



« ตอบ #21 เมื่อ: 26-10-2007, 11:07 »

กกต. น่าจะจัด เข้าค่ายไปเลย ดีกว่ามั๊ยครับ

จะปราศัยที่ไหน ก็พาออกจากค่าย มาเป็น พื้นที่ ๆ ไป

ยึดอุปกรณ์สื่อสารให้หมด

ป้าย กกต. ก็ให้พรรคการเมืองเอาเงิน ล้านห้า มาลง แล้วจัดพิมพ์โดย ประมูลงานจาก กกต.

 
บันทึกการเข้า
eAT
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,066



« ตอบ #22 เมื่อ: 26-10-2007, 11:46 »

ผมไม่รู้เขาคิดอะไรกันอยู่ เพราะเหตุสำคัญ คือการซื้อเสียง
ถ้ากำจัดได้ ความโปร่งใส 60-70% แล้วล่ะ อ้ายห้าม
ปราศัย มันจะทำให้โปร่งใส ได้มากอย่างนั้นหรือ
บันทึกการเข้า
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #23 เมื่อ: 26-10-2007, 13:03 »

การแบ่งเขต แบ่งกลุ่มนี้
จะทำให้พวก'ปราชญ์ชาวบ้าน' หนึ่งอำเภอ หนึงจังหวัด ไม่ได้เป็น สว. สส.บัญชีรายชื่อ... Exclamation
แต่ ผัว เมีย ลูก น้อง ของอดีต สส. จะได้เป็น 'ผู้แทนราษฎร' หรือ 'ผู้แทนปวงชน' ประเภทต่าง ๆ....




บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #24 เมื่อ: 26-10-2007, 13:15 »

กกต. น่าจะจัด เข้าค่ายไปเลย ดีกว่ามั๊ยครับ

จะปราศัยที่ไหน ก็พาออกจากค่าย มาเป็น พื้นที่ ๆ ไป

ยึดอุปกรณ์สื่อสารให้หมด

ป้าย กกต. ก็ให้พรรคการเมืองเอาเงิน ล้านห้า มาลง แล้วจัดพิมพ์โดย ประมูลงานจาก กกต.

 



คิดอย่างประชด ๆ...
ให้ผู้สมัครอยู่เฉย ๆ...
กกต. น่าจะหาเสียงให้แทน จะได้ยุติธรรมทั้งหมด
ไม่มี 'ผู้สมัครฯ' คนใดได้เปรียบ เสียเปรียบ.......ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า

บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #25 เมื่อ: 26-10-2007, 21:42 »

'พล.อ.สนธิ' หนุนกฎเหล็กกกต. อ้างเหมาะกับเมืองไทย
 
26 ตุลาคม พ.ศ. 2550 14:47:00
 
ประธาน ครส. โยนคมช.ชี้ขาดยกเลิกมาตรการสกัดกั้น "พปช." พร้อมหนุนกฎเหล็ก กกต.คุมเข้มหาเสียง ยันคงกฎอัยการศึกระหว่างเลือกตั้ง ไม่สนสายตาต่างชาติ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการแก้ไขคำสั่งของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) ในการสกัดกั้นพรรคการเมืองเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม

โดยกล่าวว่า ตนพูดในฐานะประธานกรรมการดำเนินการตามวาระแห่งชาติ ว่าด้วยการรณรงค์และการแก้ไขปัญหาการซื้อสิทธิ์ขายเสียง (ครส.) ว่าเรามีภาระที่จะต้องทำให้การเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ดังนั้นเรื่องการที่จะไปลำเอียงมันไม่ถูกต้อง ซึ่งในมติคณะรัฐมนตรีก็พูดไว้อย่างชัดเจนว่า คณะกรรมการฯชุดนี้จะต้องดำเนินการไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมและเป็นกลาง 

เมื่อถามว่าจะขอให้ทาง คมช.แก้ไขคำสั่งดังกล่าวหรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เรื่องนั้นคงต้องเป็นเรื่องของทาง คมช. แต่ตนพูดในฐานะประธานคณะกรรมการ ครส. เมื่อถามย้ำว่าในฐานะที่เป็นระดับนโยบายจะประสานทำความเข้าใจกับทาง คมช.อย่างไรหรือไม่ว่าขณะนี้มี พ.ร.ฎ.เลือกตั้งออกมาแล้ว จำเป็นต้องมีการทบทวนหรือยกเลิกมาตรการที่ใช้กับฝ่ายที่เป็นปัญหาต่อความมั่นคงและความไม่สงบเรียบร้อยหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็อยู่ที่ฝ่ายของ คมช. และ สลก.ทบ.จะเป็นผู้พิจารณา 

ผู้สื่อข่าวถามถึงหลักเกณฑ์การควบคุมการหาเสียงของ กกต.ที่ตึงเกินไป จะทำให้นักการเมืองหาเสียงยากและระบบหัวคะแนนกลับมามีบทบาทยิ่งทำให้เกิดการทุจริตมากขึ้น พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ในกรอบของกฎหมายลูก และระเบียบของ กกต.น่าจะเป็นมาตรการที่จะแก้ปัญหานั้นอยู่แล้ว

เมื่อถามว่าจะมีการสั่งการดูแลอะไรเป็นพิเศษหรือไม่เพราะแม้จะยังไม่เริ่มเลือกตั้งก็มีการลอบสังหารหัวคะแนนกันแล้ว พล.อ.สนธิ กล่าวว่า มันคงจะไม่ใช่สาเหตุนั้น แต่อาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวก็ได้ อย่าเพิ่งไปมองในประเด็นนั้น 

เมื่อถามว่าส่วนตัวมองว่าระเบียบหลักเกณฑ์ของ กกต.เคร่งครัดเกินไปหรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ถือว่าเหมาะสมกับบ้านเราแล้ว กกต.ก็ได้ดำเนินการมาตามครรลองครองธรรมอยู่แล้ว ส่วนการที่ห้ามนักการเมืองหาเสียงผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์ แต่ขณะเดียวกันก็อนุญาตให้นักการเมืองสามารถถ่ายรูปคู่ขึ้นคัตเอาต์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีได้ จะดูเป็นเรื่องแปลกหรือไม่นั้น ก็ต้องถามทาง กกต.ดู เพราะเป็นเรื่องของ กกต....
 
 
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/26/WW10_WW10_news.php?newsid=196186
บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #26 เมื่อ: 26-10-2007, 21:45 »

กกต.ถอยเตรียมถกผ่อนกฏเหล็กเลือกตั้ง 29 ต.ค.
 
26 ตุลาคม พ.ศ. 2550 13:42:00
 
  "ประพันธ์"เผยกกต.รับฟังกระแสวิพากษ์กฎระเบียบเลือกตั้ง ระบุเตรียมประชุมทำความเข้าใจสื่อ ผ่อนกฎระเบียบ จันทร์ 29 ต.ค.นี้

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง กล่าวว่า กกต.พร้อมรับฟังความคิดเห็น เพื่อปรับปรุงประกาศและระเบียบที่ กกต.ออกมาก่อนหน้านี้ที่หลายฝ่ายเห็นว่าเข้มงวดเกินไป


โดย กกต.จะยืดหยุ่นให้การหาเสียงของพรรคการเมืองสะดวกที่สุด และไม่ขัดต่อกฎหมาย ซึ่งโดยทั่วไปยังหาเสียงได้ไม่ต่างไปจากเดิม เช่น การใช้รถยนต์จัดขบวนแห่งหาเสียง พร้อมเปิดเพลงหรือนโยบายพรรค การเดินแจกเอกสาร หรือปราศรัยย่อย เพียงแต่ห้ามนำรถขนาดใหญ่มาจัดเป็นเวทีแล้วปราศรัยนอกจุดที่กำหนดเท่านั้น

ส่วนเรื่องการปิดประกาศในจุดที่กำหนดและและการโฆษณาทางวิทยุ-โทรทัศน์คงต้องยึดตามกฎหมายเป็นหลัก  อย่างไรก็ตามในวันจันทร์ที่ 29 ตุลาคมนี้ กกต.จะเชิญตัวแทนสื่อมวลชนมาหารือทำความเข้าใจเกี่ยวกับประกาศและระเบียบของ กกต. เพื่อจะได้รวบรวมความคิดเห็นให้ที่ประชุม กกต.พิจารณาในวันอังคารและวันพุธ 

ก่อนหน้านี้ นายประพันธ์ ได้กล่าวในระหว่างการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ให้กับพนักงาน กกต. โดยเน้นย้ำเรื่องความเป็นกลาง เพื่อให้การเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ ได้รับจากนานาประเทศ พร้อมตั้งเป้ารณณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 และลดจำนวนบัตรเสีย
 

http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/26/WW10_WW10_news.php?newsid=196152
 
   
 
บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #27 เมื่อ: 27-10-2007, 13:25 »

 
  27 ตุลาคม พ.ศ. 2550 12:30:00
 

  อลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แถลงข่าวกรณีท่าที่ของคณะ กรรมเลือกตั้งเสนอให้ กกต.คำนึงถึงสิทธิทางการเมือง 3 ประการ 1.รับรู้ข้อมูลข่าว สารของประชาชน 2.การปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน 3.การนำเสนอนโยบายของ พรรคการเมืองและผู้สมัคร ส.ส. ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ 

 http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/27/WW10_WW10_news.php?newsid=196532

 
 
   
   
   
     
บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #28 เมื่อ: 27-10-2007, 13:36 »

อย่าออกกติกาภายใต้สมมติฐานคนไทยยังโง่
 
27 ตุลาคม พ.ศ. 2550 00:00:00
 
การออกกติกามารยาทว่าด้วยระเบียบและการประกาศเกี่ยวกับการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำลังกลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเผ็ดร้อนในขณะนี้ ว่า กกต.ออกกฎข้อบังคับที่เข้มงวดเกินไปจนอาจสร้างปัญหาให้กับการพัฒนาประชาธิปไตยของไทยได้

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :    เนื่องจากข้อห้ามต่างๆ ของ กกต.นั้น แทนที่ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมกับการเมืองมากๆ แต่กฎกติกาดังกล่าวกับไม่เอื้อให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชนเท่าที่ควร เพราะมีข้อห้ามออกมาควบคุมความประพฤติของพรรคการเมืองทุกด้าน จนกระดิกไปไหนไม่ได้ และบางคนก็คาดว่าหากระเบียบเช่นนี้มีผลบังคับใช้จริง ซึ่งนอกจากไม่แก้ปัญหาการเมืองที่มีอยู่แล้ว อาจสร้างปัญหาให้การเมืองถึงทางตันได้โดยง่าย เพราะอาจจะเกิดความวุ่นวายตามมาภายหลังการเลือกตั้งอีกมาก

 อันที่จริง กกต.ออกระเบียบตามที่กฎหมายเอื้ออำนวยให้สามารถกระทำได้ และก็น่าเห็นใจที่ต้องทำภายใต้กรอบกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ต้องการเข้ามาแก้ปัญหาการเมืองในอดีต ซึ่งเราต้องยอมรับความจริงว่าการเมืองไทยที่ผ่านมาเป็นระบบการเลือกผู้แทนที่มีปัญหาและต้องช่วยกันแก้ไขต่อไป


แต่คำถามก็คือหากเห็นว่าการเมืองและการเลือกตั้งมีปัญหา เราจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องออกกฎหมายห้ามประพฤติปฏิบัติเสียเลย เพราะอย่าลืมว่าการเมืองที่เราบอกว่ามีปัญหานั้นมาจากมุมมองของคนจากส่วนกลาง และเป็นผู้ที่อยู่ศูนย์กลางอำนาจมองกัน แต่เราไม่อาจจะสรุปได้ว่าการเมืองเช่นนี้เป็นปัญหาจริงหรือไม่ และอาจเป็นการเมืองที่แท้จริงของประชาชนคนไทยในการเรียกร้องสิทธิของตัวเองเท่าที่โอกาสเปิดให้ผ่านนักการเมือง

ความพยายามควบคุมการเมืองของ กกต.หรือแม้แต่การออกกฎหมายของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยังคงมีคติแบบเดิมที่มองว่าประชาชนยังไม่มีความรู้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยเพียงพอ ดังนั้นจึงถูกนักการเมืองบางพวกบางกลุ่มหลอกล่อด้วยการใช้เงินซื้อสิทธิขายเสียง และสิ่งนี้เองส่งผลให้ประเทศมีนักการเมืองคุณภาพต่ำมาปกครองประเทศ

ซึ่งส่งผลให้ระบอบประชาธิปไตยยังมีสภาพด้อยพัฒนาและล้าหลัง โดยจะเห็นว่าวิธีคิดเช่นนี้มีอยู่ค่อนข้างมากในระบอบราชการไทยและคนระดับนำบางกลุ่ม ดังนั้นวิธีการแก้ปัญหาของคนกลุ่มนี้คือต้องพัฒนาในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ไม่ไว้ใจการตัดสินใจการใช้สิทธิของประชาชนในการเลือกตั้ง จึงต้องมีมาตรการที่เข้มงวดออกมาควบคุม ซึ่งจะทำให้บ้านเมืองเดินหน้าอย่างราบรื่น

อย่างไรก็ตาม หากคิดกลับอีกด้านหนึ่ง ปัญหาการปกครองของไทยอาจเกิดมาจากวิธีคิดเช่นนี้เอง และเป็นวิธีคิดของระบอบเผด็จการทหารในอดีต ซึ่งในสมัยก่อนได้มีการผ่อนคลายสิทธิและเสรีภาพของประชาชนผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นระยะ

ดังนั้นในอดีตเราจึงมีรัฐธรรมนูญที่ได้รับฉายามากมาย ตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับเผด็จการ ฉบับประชาธิปไตยครึ่งใบ ซึ่งมีการผ่อนคลายการแสดงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในการเลือกตัวแทนของตัวเองมาเป็นระยะ จนเข้าสู่ระบบประชาธิปไตยเต็มใบ เราจึงไม่แปลกใจนักที่หลายๆ มุมมองที่มาจากคนที่มีอำนาจในปัจจุบันจะประเมินว่าระบอบประชาธิปไตยมีแต่ความวุ่นวายและมีสมมติฐานว่าประชาชนของประเทศยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอในการเลือกตัวแทนของตนเอง นั่นคือยังไม่เข้าใจระบอบประชาธิปไตย

วิธีคิดเช่นนี้ อาจเป็นหนทางหนึ่งที่คนที่มีอำนาจดูแลการเลือกตั้งในขณะนี้ มองว่าเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการแก้ปัญหา แต่วิธีการเช่นนี้ส่งผลดีต่อประชาธิปไตยไทยหรือไม่ในระยะยาว ซึ่งปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงที่ กกต.และรัฐบาลพยายามป้องกันอย่างเต็มที่ในขณะนี้ อาจเป็นปัญหาปลายเหตุ

อันเนื่องมาจากภาวะง่อนแง่นของระบอบประชาธิปไตยในอดีต และประชาธิปไตยไทยก็ไม่เคยถูกนำมาใช้อย่างราบรื่นเป็นเวลายาวนานเพียงพอ แต่กลับถูกขัดจังหวะด้วยการปฏิวัติรัฐประหารเป็นระยะ ซึ่งการซื้อเสียงอาจเป็นเพียงสัญญาณเริ่มต้นที่คนระดับล่างหรือที่เรียกกันว่ารากหญ้ากำลังเรียกร้องสิทธิของตัวเองในการเข้ามามีส่วนแบ่งความมั่งคั่งในสังคม คนระดับรากหญ้าหาใช่คนที่ไม่รู้เรื่องราว แต่เขากำลังเรียกร้องสิทธิที่ควรจะได้รับในระบอบประชาธิปไตย
 

 http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/27/WW12_1237_news.php?newsid=196440
 

ความพยายามควบคุมการเมืองของ กกต.หรือแม้แต่การออกกฎหมายของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ยังคงมีคติแบบเดิมที่มองว่าประชาชนยังไม่มีความรู้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยเพียงพอ ดังนั้นจึงถูกนักการเมืองบางพวกบางกลุ่มหลอกล่อด้วยการใช้เงินซื้อสิทธิขายเสียง และสิ่งนี้เองส่งผลให้ประเทศมีนักการเมืองคุณภาพต่ำมาปกครองประเทศ
คนฉลาดเฉลียวจำนวนหนึ่งยอมซื้อสิทธิขายเสียงเพื่อผลประโยชน์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่เงินตราก็มี......
กฎ กติกาใหม่ จะทำให้คนที่ไม่ซื้อสิทธิ-ขายเสียง ไม่สามารถปฎิบัติตาม และ พลาดโอกาสจะบอกเล่าความสามารถ ความตั้งใจของเขาด้วย...


บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #29 เมื่อ: 27-10-2007, 20:09 »

วันศุกร์ ที่ 26 ตุลาคม 2550
กฎเหล็ก กกต. พวก สส. และสื่ออย่าเพิ่งโวย...ลองแล้วอาจติดใจ
Posted by Canไทเมือง ,  03:41:20 น.   


กฎเหล็ก กกต. คือการพัฒนา สส. และ พรรคการเมืองไทย

ได้อ่านกฎเหล็กของ กกต. อันเป็นผลผลิตของรัฐธรรมนูญ 2550 แล้วชอบใจมากครับ

ไม่ว่า ขนาดของป้ายหาเสียง ให้ใช้ ประมาณขนาดของแผ่นไม้อัดมาตรฐาน
ไม่ว่า โปสเตอร์ ขนาด A3 ก็นับว่าไม่เลว
ยิ่งกำหนดให้ทำผลิตโปสเตอร์แค่ 10 เท่าของ หน่วยเลือกตั้ง นี่ยิ่งถูกใจใหญ่

บ้านเมืองจะได้ไม่รกหูรกตาด้วยป้ายโฆษณาเลอะเทอะเต็มบ้านเต็มเมือง

พอมาถึงเรื่องการโฆษณาหาเสียงทางวิทยุ โทรทัศน์ ก็นับว่าทำดีครับ
พวกนักการเมือง พรรคการเมืองต้องรู้ว่า การทำนโยบาย หรือการหาเสียงนั้น
มิใช่จะมาทำกันแค่เวลา 2 เดือน ก่อนเลือกตั้ง
ใช้เงินจ้างพวกมืออาชีพ มาทำวิจัย มาใช้วิชามาร หลอกลวงชาวบ้าน "สร้างภาพ" ในช่วงสั้น ๆ

คนที่จะเข้าสู่แวดวงการเมืองนั้น ต้องไปผ่านการทำงานให้เป็นที่รู้จักของประชาชนในเขตเลือกตั้ง
หรือสร้างชื่อเสียง ให้สังคมรับรู้ในเรื่องวิธีคิด  เป้าหมาย อุดมการณ์ทางการเมืองกันมาก่อน
ไม่ใช่คุณสมบัติว่าเป็นลูกหลานนักการเมืองเก่า เป็นลูกหลานหรือตัวแทนนายทุนพรรคการเมือง
หรือเป็นแค่ ดารานักแสดงที่เป็นที่รู้จัก - มีชื่อเสียทางการแสดง
ไม่ใช่แค่คุณเป็นดาราหน้าหล่อ หน้าหวาน แล้วก็มีพรรคการเมืองมาเชิญไปเป็น สส.ประดับพรรค
นักการเมือง ย่อมมิใช่แค่เป็นนักแสดงเก่งเท่านั้น
ความสามารถแบบนั้นควรนำไปใช้ในทางอื่นที่มิใช่ "นักการเมือง"

นักการเมืองไม่ควรมีทายาททางการเมือง
นักการเมืองไม่ควรถ่ายทอดกันผ่านการซื้อเสียงให้ลูก
นักการเมืองไม่ควรเอาความดีของพ่อแม่ มายกให้ลูก

เพราะพ่อดี ลูกเลวก็เยอะแยะ

การเลือกผู้สมัครลงรับเลือกตั้งของพรรคการเมือง
จะได้พิจารณาถึงคุณสมบัติของตัวแทนก่อนว่า
ใครดีกว่าใคร-ใครเหมาะสมกว่าใคร ด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัว

หากคำพูดที่ว่า พรรคเลือกคน ประชาชนเลือกพรรค เป็นเรื่องดี เรื่องน่าสนับสนุน
พรรคการเมืองเอง ก็ต้องคำนึงว่า พรรคเลือกอะไรมาให้ประชาชนเลือก
หากไปเลือกคนที่สังคมไม่รู้จัก หรือคนที่มีข้อครหาจากสังคม ก็ย่อมไม่ได้รับการลงคะแนน

พรรคการเมืองใหม่ ก็จะต้องทำงานการเมืองมาก่อน
ไม่ใช่มาจดทะเบียนพรรคการเมืองก่อนเลือกตั้ง 2 เดือน
เพราะมองดูแล้วไม่น่าจะเป็นพรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์อะไร
อย่างมากก็แค่จดทะเบียนพรรคการเมืองเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย
หากเป็นไปได้ การตั้งพรรคการเมือง ควรไปจัดตั้งกันมาก่อนเป็นปี ๆ
สร้างผลงานหรือทำโฆษณาแนวคิดกันมาก่อน
ไม่ใช่เลือกตั้งที ย้ายพรรคกันที ยุบสภาทีตั้งพรรคกันที เล่นปาหี่การเมืองเป็นครั้ง ๆ ไป
ไม่รู้จักอับอายกันบ้างหรือครับว่า อุดมการณ์ทางการเมืองคืออะไร
คิดอะไร เชื่ออะไร มีแนวคิดพัฒนาประเทศแบบใหน
จะมาอาศัยช่วงเวลาสั้น ๆ มาหลอกกันง่าย ๆ ไม่ดูถูกกันเกินไปหน่อยรึ

เชื่อว่าหากทำกันอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง
ในอนาคตเราจะได้ "ผู้แทน" ที่เป็นคนชื่อเสียงดี
มากกว่าพวกลูก สส. ลูกนายทุนพรรค หรือ ดาราหน้าหวาน ๆ ที่ไม่เคยเอ่ยปากเรื่องการเมือง

ปฏิรูปการเมือง มันต้องทำไปพร้อม ๆ กันทุกฝ่าย
ไม่ว่าตัวนักการเมือง พรรคการเมือง ประชาชน สื่อ ข้าราชการ
และแม้แต่คนกลางผู้ควบคุมการเลือกตั้งคือ กกต. นั่นเอง

ผ่าตัดทุกครั้งก็ต้องมีคนบาดเจ็บกันบ้าง...

เรื่องการออกทีวี-วิทยุ ก็น่าจะเป็นเรื่องดีหากมองในมุม "ความเป็นกลางทางการเมือง" ของสื่อมวลชน
ที่ไม่อาจจิกนักการเมืองคนใดคนหนึ่ง หรือเชิญหัวหน้าพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งมาออกรายการกันง่ายๆ อีกต่อไป

เพราะไม่มีหลักประกันว่านักการเมืองที่สื่อทีวี-วืทยุเชิญมานั้น
ผู้จัดรายการใช้มาตรฐานอะไรในการคัดคนมานำเสนอแนวคิด
การชงคำถาม ชงอ่อน ชงแก่ขนาดใหน
การซักถาม มี "วาระซ่อนเร้น" อะไรหรือไม่

เมื่อนักการเมือง - สื่อ ทำตัวไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ
ยิ่งพวกนักการเมืองอีแอบที่ไปทำตัวเป็นสื่อยิ่งน่ารังเกียจ
เมื่อมันเน่ากันขนาดนั้น ก็จำเป็นอยู่ดีที่จะต้องเจอ "กฎเหล็ก" กันซะบ้าง

จะได้ไม่มีข้ออ้าง "ปฏิรูปการเมือง" กันพร่ำเพรื่อ

ทบทวนวิธีทำงานช่วงเลือกตั้งกันซักครั้ง
ดีหรือไม่ดี ค่อยมาดูที่ผลของ "กฎเหล็ก" ที่มีทั้งโทษจำและโทษปรับกันครับ

ไหนๆก็จะปฏิรูปการเมืองกันแล้ว ปฏิรูประบบการหาเสียงก็เป็นเรื่องที่ต้องทำ
มิฉนั้น พวกคนมีเงินก็หอบเงินมาโฆษณาตัวเอง โดยที่ไม่เคยทำคุณงามความดีอะไรให้บ้านเมืองมาก่อน
ขอให้มีเงิน มีอิทธิพล มีเครือข่ายธุรกิจ ก็สามารถเสนอตัวเป็นผู้นำประเทศได้อย่างนั้นหรือ


เมื่อไหร่จะทำลายเส้นทางการเข้าสู่อำนาจของพวกนักธุรกิจการเมืองพวกนี้ซักทีละครับ

 
บันทึกการเข้า

Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #30 เมื่อ: 27-10-2007, 20:28 »

คำว่า ทำให้การเลือกตั้งให้ "บริสุทธิ์เที่ยงธรรม"

มันมี 2 ความหมายนั่นคือ

1. ดูแลไม่ให้มีการเอาเปรียบด้วยการใช้อิทธิพลและเงิน นั่นคือทำให้บริสุทธิ์
2. ดูแลให้เกิดความเที่ยงธรรม นั่นคือการให้โอกาสพรรคการเมืองอย่างเสมอภาค

ในกรณีที่ กกต. ออกกฎเหล็กในการหาเสียง คือมุ่งเน้นที่ความเสมอภาคหรือ เที่ยงธรรมนั่นเอง
ส่วนเรื่อง ซื้อสิทธิ์ขายเสียง เป็นเรื่องของการป้องปราบป้องปรามอีกประเด็นหนึ่ง

ไม่เกี่ยวข้องกันครับ

หากว่ากันไปในรายละเอียด ก็คงต้องแยกส่วน

- การให้ข้อมูลของพรรคการเมือง
- กับ การชักจูงใจให้เลือก

การให้ข้อมูลนั้นจะให้แค่ใหน อย่างไร ให้ทั่วถึง...น่าจะบอกได้ว่าประชาชนได้รับข้อมูลอย่างเพียงพอหรือไม่
( หากมีการศึกษาอย่างเป็นระบบ ไม่ใช้ความรู้สึกของแต่ละฝ่าย )
ถ้าหากพรรคการเมือง ทำนโยบายล่วงหน้า ส่งให้ กกต. ทำแจก โดยมีนโยบายของทุกพรรคการเมือง ย่อมเป็นสิ่งที่ควรทำได้ และต้องทำ

ส่วนที่น่ากังวลคือ "การจูงใจ" ให้เลือกพรรคตนเอง ตรงนี้เป็นเทคนิคที่มีการใช้ในการหาเสียงมาก
การโฆษณาในสื่อ นอกจากจะเป็นการให้ข้อมูลตามปกติแล้ว แต่ยังมีเทคนิคที่สูงขึ้นไปคือ เทคนิคการนำเสนอในรูปแบบโฆษณา

การโฆษณานั้นเป็นอีกสาขาวิชาหนึ่งที่สามารถทำให้เกิดความไม่เที่ยงธรรม ไม่เสมอภาค อันเนื่องมาจากการใช้งบประมาณในการโฆษณานั่นเอง

ใครมีเงินมาก ก็สามารถใช้คน - ใช้เงินซื้อสื่อได้มาก พรรคการเมืองที่มีเงินทุนไม่มากไม่สามารถสู้ได้ในแง่นี้อย่างแน่นอน

ใครมีเงินมากย่อมได้เปรียบเสมอไป คนที่มีเครือข่ายสื่อมวลชนในมือมาก ย่มได้เปรียบเสมอไป

ที่สำคัญ คนทำสื่อเอง กล้าสาบานมั๊ยว่า สื่อเองทำตัวอย่างเป็นกลางและเที่ยงธรรมแล้ว

ในเมื่อการเสนอตัวเข้าสู่สนามเลือกตั้ง เป็นการแข่งขันกันที่นโยบาย ก็เขียนนโยบายให้ชัดเจน แล้วให้ กกต. เป็นคนรวบรวมส่งให้แก่ประชาชน
รวมทั้งกำหนดให้พรรคการเมือง ทำตามกติกาที่เที่ยงธรรม หรือ ให้สู้กันอย่างเป็นธรรม ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

ปฏิรูปการหาเสียงเถิดครับ อย่าตามใจพวกนักการเมือง พวกสื่อมวลชนที่อยากเอียงข้างอยู่เลยครับ...
บันทึกการเข้า

ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #31 เมื่อ: 29-10-2007, 00:40 »

กฎเหล็ก กกต.24 ตุลาคม /เลือกตั้งเทียบชั้นพม่า ปากีสถาน
 
28 ตุลาคม พ.ศ. 2550 00:09:00
 
"กฎเหล็ก" ระเบียบและประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ฉบับวันที่ 24 ตุลาคม ว่าด้วยการหาเสียงที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ประสานเสียงอย่างอึงคะนึงจากสื่อมวลชน พรรคการเมือง (ทั้งฝ่ายค้านเดิมกับพรรคพลังประชาชน) ภาควิชาการ และภาคประชาชน ฯลฯ กำลังทำลายบรรยากาศการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ในระบอบประชาธิปไตยลงโดยสิ้นเชิง

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :

เพราะรัฐโดย กกต. ได้กระทำการในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับการส่งเสริมการเลือกตั้งให้มีลักษณะเปิดกว้าง  เพื่อให้เกิดบรรยากาศความเป็นประชาธิปไตยให้มากที่สุด  เปิดโอกาสให้ "ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง" ได้ใช้สติปัญญาและวิจารณญาณตัดสินใจเลือกอนาคตของประเทศ

 

แต่ กกต. กลับออก "กฎเหล็ก" สารพัดข้อห้ามออกมาจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของผู้ลงสมัคร,พรรคการเมือง และผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยการอ้างคำเดียว "ความเท่าเทียม" ตามกฎหมายเลือกตั้ง

 

เมื่อการเลือกตั้งไม่อยู่ในบรรยากาศตามระบอบประชาธิปไตยในแบบสากลประเทศแล้ว  อย่าไปตั้งความหวังว่าจะเห็นความสุจริตและเที่ยงธรรมเกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งนี้เลย

 

ประชาคมโลกคงกำลังงุนงงกับบรรยากาศการเลือกตั้งของไทยที่เต็มไปด้วย "ข้อจำกัด"

 

บรรยากาศการเลือกตั้งของไทยในครั้งนี้ กำลังจะแทบไม่แตกต่างจากการเลือกตั้งในรัฐเผด็จการทหารขนานแท้และดั้งเดิมอย่างปากีสถาน และพม่า  แม้กระทั่งการเลือกตั้งในประเทศกัมพูชา ที่มีระดับการพัฒนาประเทศต่ำกว่าไทย

 

เพราะ กกต. 5 คนกำลังท่องคาถา "ความเท่าเทียม" ด้วยเจตนาดีแบบใสซื่อบริสุทธิ์ แต่วนอยู่ใน "หัวสี่เหลี่ยม" ของตัวเอง โดยไม่ได้คำนึงหรือไม่รับรู้ถึงโลกความเป็นจริงในวัฒนธรรมทางการเมืองของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทยที่มีพัฒนาการมาถึง 75 ปีแล้ว

 

แม้แต่ รัฐธรรมนูญปี 2550 ที่เกิดในยุคหลังรัฐประหาร  ยังกำหนดในมาตรา 45 ที่มีเจตนารมณ์ส่งเสริมการแสดงออกความคิดเห็นอย่างเสรีในการพูด การเขียน การพิมพ์  การโฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น โดยรัฐไม่สามารถกระทำการใดในการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของพลเมืองที่กระทำไปโดยสุจริต  ยกเว้นกรณีความมั่นคง สิทธิส่วนบุคคลและศีลธรรมอันดี

 

รูปแบบการ "หาเสียง" เลือกตั้งที่เคยใช้กันมาจนกลายเป็นวัฒนธรรมการหาเสียง เช่น การปราศรัยย่อย การติดป้ายหาเสียง  การรับเชิญไปออกรายการโทรทัศน์ ฯลฯ ได้กลายเป็นสิ่งชั่วร้ายและทำลายความมั่นคงของชาติในสายตาของ กกต. ไปแล้ว

 

จึงต้องออก "กฎเหล็ก" มาเช่นนี้ ซึ่งพยากรณ์ได้เลยว่าจะเกิดผลตรงกันข้ามกับเป้าหมายการจัดการเลือกตั้งโดยสุจริตและเที่ยงธรรม

 

เพราะจะยิ่งทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบขนานใหญ่  ระหว่างพรรคการเมืองเก่ากับพรรคการเมืองใหม่ที่ได้รับการจัดสรรพื้นที่ "เท่ากัน" อย่างจำกัดมากๆ ในการแสดงนโยบาย และให้ข้อมูลที่มากเพียงพอแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนกว่า 40 ล้านคน 

 

พรรคการเมืองเก่าอย่างน้อย 3 พรรค คือ พรรคประชาธิปัตย์  พรรคชาติไทย และพรรคพลังประชาชน (ถือว่าเป็นพรรคเก่าเพราะแค่ใช้ชื่อใหม่จากพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบ) จะได้เปรียบในการใช้ระบบ "หัวคะแนน" จัดตั้งมายาวนานเคลื่อนไหวแบบใต้ดินได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

 

พรรคพลังประชาชนที่มีเครือข่ายหัวคะแนนแน่นหนา มั่นคงจากพรรคไทยรักไทยเดิม จะกวาดคะแนนเสียงไปเกินกึ่งหนึ่ง หรือไม่น้อยกว่า 240 คนอย่างแน่นอน แม้พรรคประชาธิปัตย์จะได้ ส.ส.เพิ่มสูงขึ้นไปถึง 180 คนก็จะต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน

 

เพราะการหาเสียงในรูปแบบปกติทุกอย่าง เช่น เปิดเวทีปราศรัยย่อยๆ ในชุมชน  การใช้รถยนต์ปราศรัยเคลื่อนที่  การติดโปสเตอร์ในพื้นที่ชุมชน  การออกรายการในสื่อโทรทัศน์และวิทยุ ฯลฯ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการหาเสียงของพรรคการเมืองใหม่ๆ ที่ยังไม่มีเครือข่ายหัวคะแนนจัดตั้งในพื้นที่แน่นหนา จะเสียเปรียบอย่างมากเมื่อเกิด "ข้อห้าม" มากมายจากกฎเหล็ก

 

ในขณะที่พรรคใหญ่และเก่าแก่จะใช้ระบบหัวคะแนนลงใต้ดินที่ไม่สามารถจับทางได้ว่าแต่ละพรรคใช้กลอุบายและใช้เงินหาเสียงกันอย่างไร

 

แล้วความสุจริตและเที่ยงธรรมในการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้อย่างไร?

 

ตราบใดที่ประชาชนถูกลดทอนโอกาสการรับรู้ข่าวสารใหม่ๆ จากพรรคการเมืองใหม่ผ่านสื่อกลางเก่ากลางใหม่อย่างโทรทัศน์และวิทยุ  ที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพในการสื่อสารมากที่สุดในการเข้าถึงครัวเรือนคนไทยที่มีอยู่ประมาณ 20 ล้านครัวเรือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อโทรทัศน์ฟรีทีวี 6 ช่อง ที่สามารถเข้าถึงเกินกว่า 95% ของครัวเรือนไทย

 

แม้ว่า กกต.จะแย้งว่า กกต.ได้จัดให้ "อย่างเท่าเทียม" คือกำหนดเวลาออกอากาศในสื่อโทรทัศน์และวิทยุเท่ากันวันละ 3 สปอตโทรทัศน์ และแถลงนโยบาย 10 นาทีต่อวัน 

 

แต่เวลาเหล่านี้น่าจะเป็นเพียง "จำนวนเวลาขั้นต่ำ" ที่รัฐหรือ กกต.จัดให้ หาใช่ "เพดานจำนวนเวลาสูงสุด" ที่ควรจะเป็นในการเลือกตั้ง ซึ่งจะต้องระดมการใช้สื่อทุกแขนงทั้งรัฐและเอกชนสร้างบรรยากาศการแสดงวิสัยทัศน์และการซักถามจากกลุ่มอาชีพต่างๆ ให้คึกคักมากที่สุด เพื่อกระตุ้นให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกมาใช้สิทธิในวันเลือกตั้งในสัดส่วนสูงสุดที่จะเป็นความชอบธรรมในการเลือกตั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งผู้บริหารประเทศ

 

ที่สำคัญเมื่อนักการเมืองไม่กล้า "รับเชิญ" มาออกรายการโทรทัศน์หรือวิทยุ ด้วยความกลัวกฎเหล็กข้อห้ามในหมวด 3 ห้ามมิให้ปฏิบัติในการเลือกตั้ง ข้อ 7 (3) แม้ กกต.จะอ้างประกาศข้อ 20 ให้เชิญทุกพรรคการเมืองอย่างเท่าเทียมที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของสื่อโทรทัศน์และวิทยุที่มีเวลาแต่ละรายการจำกัด

 

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะหมดสิทธิในการ "ตั้งคำถาม" โดยตรงกับตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ ผ่านรายการโทรทัศน์และวิทยุว่านโยบายที่นำเสนอมาจะปฏิบัติได้จริงหรือไม่


 

สปอตโฆษณากับเทปแถลงนโยบายพรรคละ 10 นาที ที่ กกต. ช่วยจัดเวลาให้ออกอากาศทางโทรทัศน์และวิทยุเป็น "การสื่อสารทางเดียว" (One Way Communication) ที่โบราณคร่ำครึมากๆ

 

"กฎเหล็ก 24 ตุลา" น่าจะเป็นการสะท้อน "ปูมหลัง" วิธีคิดของ กกต. 5 คน ที่มาจากผู้พิพากษา 4 คน และอัยการ 1 คน ที่วนเวียนแต่ในห้องพิจารณาคดี อาจจะไม่เคยเรียนรู้หรือสัมผัสโลกความเป็นจริงของวัฒนธรรมการหาเสียงเลือกตั้งของไทย และในโลกใบนี้ของประเทศชั้นนำในระบอบประชาธิปไตย

 

"รัฐประชาธิปไตย" พึงมีหน้าที่ในการส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันกันในการเลือกตั้งด้วย "ความเท่าเทียม" ซึ่งไม่ได้หมายถึงทุกอย่างจะต้อง "เท่ากัน" สถานเดียว แต่ควรจะหมายถึง "การกำหนดกติกาเพื่อให้เกิดการแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม" โดย กกต. ทำหน้าที่ในการกำกับ และดูแลไม่ให้เกิดการลำเอียง หรืออคติจากการหาเสียงหรือการใช้สื่อสารมวลชนในแขนงต่างๆ

 

กกต.ควรจะไปใช้เวลาหรือหากลไกมากำกับดูแลผู้สมัครและพรรคการเมืองให้ใช้จ่ายเงินไม่เกินข้อกำหนดของกฎหมาย เพื่อไม่ให้เกิดการได้เปรียบ-เสียเปรียบ และทุ่มกำลังหาทางป้องกันไม่ให้เกิดการซื้อสิทธิ-ขายเสียง-ขายวิญญาณ หรือกลั่นแกล้งทางการเมืองเพื่อทำลายคู่แข่งขัน

 

กกต.ไม่ควรจะใช้อำนาจเกินขอบเขตเกินหน้าที่ ด้วยการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและการแสดงความเห็นของประชาชนภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 45   ด้วยทัศนคติคับแคบอย่างมากมองเห็นแต่ตัวเองว่าเป็นผู้มีสติปัญญาสูงส่ง และสามารถธำรงความยุติธรรมได้มากกว่าพลเมืองไทยทุกคน

โดยเฉพาะผู้คนในวิชาชีพสื่อมวลชนแขนงโทรทัศน์และวิทยุได้กลายเป็น "คนเลว-คนหน้าเงิน" จ้องแต่จะ "ขายตัว-ขายวิญญาณ" ให้พรรคการเมืองเศรษฐีมาซื้อเวลาออกรายการ เอาเปรียบพรรคเล็กๆ จึงจำเป็นต้องออกกฎเหล็กจำกัดทุกอย่างให้ "เท่าเทียม" คือ "เท่ากัน" ไว้ก่อน 

 

โดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อสารมวลชนในแขนงนี้ได้ใช้ความรู้ความสามารถ และวิจารณญาณด้วยตัวเองในการทำงานอย่างสุจริตตามวิชาชีพ


 

ผมยอมรับได้ถ้าหากเป็นสิ่งที่ "รัฐหรือ กกต. จัดหาให้" พอจะอนุโลมนำหลัก "เท่าเทียม" คือ "เท่ากัน" มาใช้ได้ แต่ไม่ควรออก "ข้อห้าม" ในระเบียบปฏิบัติที่ห้ามสารพัด มองโลกในแง่ร้ายสุดๆ มาใช้กับส่วนอื่นๆ 

 

พรรคการเมือง ผู้สมัคร ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 40 ล้านคน ได้กลายเป็นพวกคนเลวชั่วช้าสามานย์ วันๆ จ้องแต่จะซื้อเสียง-ขายเสียง-ขายวิญญาณ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องออกกฎเหล็กมาคุมพวกชั่วๆ เหล่านี้เพื่อให้เกิดความ "เท่าเทียม" คือ "เท่ากัน" ทุกเรื่อง

 

การกำหนดข้อห้ามที่ฝืนวิถีชีวิตในสังคมไทย  จนนักการเมืองไม่กล้าไปร่วมงานที่เป็นการแสดงออกตามธรรมเนียมไทยโบราณ เช่น วันเกิด วันบวช งานโกนจุก งานบุญ แม้กระทั่งงานศพ (ระเบียบ กกต. ในหมวด 3 ข้อ 6 วงเล็บ 1)

 

แม้กระทั่งการติดป้ายโฆษณาใน "ที่เอกชน" (กฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 60)  การจัดประชุมหรือเสวนาของสมาคมวิชาชีพต่างๆ เพื่อขอให้ตัวแทนพรรคการเมืองมาแสดงวิสัยทัศน์ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจเลือก (ระเบียบ กกต. ในหมวด 3 ข้อ 6 วงเล็บ 3) ฯลฯ ก็ไม่สามารถกระทำได้

 

กกต. พร่ำบอกแต่ว่าการออกประกาศ และระเบียบการหาเสียงฉบับวันที่ 24 ตุลาคม ได้ยึดตามกฎหมายเลือกตั้งที่เป็นกฎหมายลูกของรัฐธรรมนูญ 2550 ว่าด้วยการเลือกตั้งในมาตรา 59 และ 60 แต่ กกต. รู้หรือไม่ว่าได้ใช้อำนาจ กกต. ออกระเบียบ 24 ตุลาคม อยู่เหนือกว่ารัฐธรรมนูญ 2550 ไปแล้ว   

     
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/28/WW12_1239_news.php?newsid=196610
 

       
ขอให้คณะกรรมการ กกต. ได้ทบทวนมติ กติกา และเงื่อนไขในการกำกับการเลือกตั้ง คราวนี้....

 
 
บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
********Q********
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,520


I'm Looking At You.


เว็บไซต์
« ตอบ #32 เมื่อ: 29-10-2007, 01:11 »



 


ผู้สมัครพรรคการเมืองต่างๆ ควรรวบรวมเวลา

ไปประชุมเขียนนโยบายในการทำงาน หากได้รับเลือก

บันทึกการเข้า

soco
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,842



« ตอบ #33 เมื่อ: 30-10-2007, 11:51 »




ให้มีการเทคะแนนระหว่างผู้หาเสียงได้ เช่น ผู้สมัครเบอร์ 3 และเบอร์ 4

ทำเอกสารให้กากบาท เบอร์ 2 ได้     

ในกรณี เบอร์ 2,3,4 รุม เบอร์ 1
บันทึกการเข้า
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #34 เมื่อ: 30-10-2007, 13:05 »

ประเด็นสื่อนำเสนอ กกต. ขอให้ใช้วิจารณญาณเอง

เคยทำแบบใหนก็ทำไป หากคิดว่าทำตามหลักวิชาชีพและมั่นใจว่าเป็นงานวิชาการ

ใครจะเสี่ยงทำแบบใหนเค้าไม่ว่า แต่ถ้าหมิ่นเหม่เข้าข่ายหาเสียงก็ต้องไปสู้ในศาล

ขนาดพรรคเพื่อแผ่นดิน ยังต้องงดงานจัดกาลาดินเนอร์ไปโดยปริยาย
บันทึกการเข้า

soco
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,842



« ตอบ #35 เมื่อ: 30-10-2007, 16:48 »

กกต.ถกปรับผ่อนกฎเหล็ก
 เมื่อเวลา 10.00 น. นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านการบริหารงานเลือกตั้ง  กล่าวก่อนเข้าประชุมกกต.ในวันนี้ (30 ต.ค.) ว่า จะมีการนำเรื่องการปรับปรุงประกาศและระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องหลักเกณฑ์การดำเนินการของรัฐในการสนับสนุนการเลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2550 ที่หลายฝ่ายระบุว่าเป็นประกาศที่ขัดกับธรรมชาติของการหาเสียงและเป็นการริดรอนสิทธิสื่อมวลชนเข้าสู่การประชุมกกต.ด้วย โดยจะนำความคิดเห็นจากที่ประชุมสื่อมวลชนและพรรคการเมืองต่างๆ เมื่อวานนี้ (29 ต.ค.) มาประกอบการพิจารณา โดยประกาศและระเบียบต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์  ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ
 
นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า บางประเด็นในประกาศฯ สื่อมวลชนอาจยังไม่เข้าใจตรงกับกกต. ทั้งนี้ สื่อมวลชนส่วนมากต้องการให้กกต.ปรับปรุงให้สื่อสามารถนำเสนอพรรคการเมืองและผู้สมัครได้ตามดุลยพินิจในการประกอบวิชาชีพสื่อได้ ซึ่งกกต.จะนำประเด็นนี้เข้าหารือด้วย

“เราอยากให้เรื่องนี้จบเร็วๆ เพื่อจะได้เดินหน้าสู่การเลือกตั้งต่อไปได้” นายประพันธ์ กล่าว
 
ส่วนกรณีที่นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง ระบุว่ากกต.ไม่สามารถแก้ไขระเบียบฯได้นั้น นายประพันธ์ กล่าวว่า หากมีเหตุผลสมควร กกต.สามารถแก้ไขระเบียบกกต.ได้ และที่ผ่านมากกต.ก็เคยปฎิบัตมาแล้ว จึงคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด
 
จากนั้น เวลา 12.20 น. นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. กล่าวภายหลังการประชุมในช่วงเช้า ว่า ที่ประชุมได้มีการหารือในหลายประเด็นที่ได้รับฟังความคิดเห็น ซึ่งบางประเด็นที่เคยปฏิบัติมาได้ก็น่าจะทำได้ ไม่อยากให้หยุมหยิมหรือฝืนประเพณีนิยมที่เคยปฏิบัติกันมา อย่างเรื่องการใช้กลองยาวแห่ในวันรับสมัครเลือกตั้งที่ประชุมก็หารือว่าสามารถทำได้ หรือการจัดเวทีปราศรัยก็อนุญาตให้พรรคการเมืองจัดเวทีเองอย่างอิสระ ซึ่งต้องรวมในค่าใช้จ่ายของการหาเสียงด้วย  แต่ กกต.ก็ยังจะจัดเวทีปราศรัยกลาง เพื่อช่วยในการสนับสนุนในส่วนของรัฐด้วย รวมทั้งเรื่องรถปราศรัยก็อนุโลมตัดแปลงได้  ส่วนเรื่องที่สื่อขอให้ตัดถ้อยคำว่าต้องเชิญพรรคการเมืองทุกพรรค ในระเบียบฯข้อ 20  นั้น  กกต.ก็ให้ตัดคำว่าทุกพรรคออกไป โดยให้เป็นดุลยพินิจของผู้บริหารสถานีในการเชิญตัวแทนพรรคการเมืองมาออกรายการ  อย่างไรก็ตามในวันนี้จะสามารถออกระเบียบแก้ไขประกาศและคาดว่าจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ภายในสัปดาห์นี้
 
ทั้งนี้ นายอภิชาต ยอมรับว่าในการประชุม กกต.วันนี้ มีองค์ประชุมเพียง 4 คนเท่านั้น ขาดเพียงนางสดศรี สัตยธรรม กกต. เพียงคนเดียว แต่ก็ถือว่าครบองค์ประชุม ซึ่งตนไม่ได้สอบถามนางสดศรี ว่าเหตุใดไม่เข้าร่วมประชุม แต่เห็นว่าเมื่อทำได้ก็ทำไป

“ผมไม่คิดว่าการแก้ไขประกาศจะเป็นเรื่องที่ทำให้ กกต.เสียหน้า  แต่คิดว่าจะทำอย่างไรให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งกกต. ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง  ผู้รับสมัครเลือกตั้ง พอใจด้วยกันก็พอแล้ว”นายอภิชาต กล่าว
 

http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=144653&NewsType=1&Template=1
****************

จะทำอะไรก็รีบทำน่ะครับ ป่านนี้แล้ว ชาวบ้านเกือบครึ่ง ยังไม่รู้ว่าเลือกตั้งวันไหน

ก็ป้ายข้างทางไม่มี มีแต่ป้ายขายจตุคาม   กกต.ประชาสัมพันธ์ด่วนเลย

ส่วนป้ายที่เค้าจะติดกัน ไม่รู้ติดที่ไหนเน๊าะ จะได้ขับรถไปดู เปลืองน้ำมันนิดหน่อยเอง 
บันทึกการเข้า
ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #36 เมื่อ: 30-10-2007, 21:39 »

จะทำอะไรก็รีบทำน่ะครับ ป่านนี้แล้ว ชาวบ้านเกือบครึ่ง ยังไม่รู้ว่าเลือกตั้งวันไหน

ก็ป้ายข้างทางไม่มี มีแต่ป้ายขายจตุคาม   กกต.ประชาสัมพันธ์ด่วนเลย

ส่วนป้ายที่เค้าจะติดกัน ไม่รู้ติดที่ไหนเน๊าะ จะได้ขับรถไปดู เปลืองน้ำมันนิดหน่อยเอง
 


ฮืมม์ น้ำมันแพงเสียด้วย อยากรู้ว่าพรรคการเมืองมีนโยบายอย่างไร ผู้สมัครเป็นใคร ต้องไปดูที่อนุญาตให้ติด....
 
 
 
บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #37 เมื่อ: 30-10-2007, 22:56 »

พรรคการเมืองส่วนใหญ่ น่าจะยังไม่ได้เขียนนโยบาย เลยไม่ได้เผยแพร่

มัวแต่วิ่งลงรู ลงหลุม หาที่อยู่กันอยู่ นโยบายไม่ต้องมากหรอก ทำไปให้ถูกตามหมวดแนวนโยบายแห่งรัฐ ก็จบแล้ว

พรรค ปชป. ก็โฆษณามานาน 8-9 เดือนแล้วนี่ครับ

จะว่าไป ตอนนี้ใครอยากให้ประชาชนได้อ่านนโยบาย ก้ไปโฆษณาในหนังสือพิมพ์ได้อยู่แล้ว ไม่มีข้อห้าม เพียงแต่ต้องใส่ในบัฐชีรายจ่าย

ที่เราไม่เห็นนโยบายพรรคการเมืองในวันนี้ น่าจะเป็นปัญหาของพรรคการเมืองเองมากกว่า ไม่น่าจะเกี่ยวกับ กกต.
บันทึกการเข้า

soco
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,842



« ตอบ #38 เมื่อ: 30-10-2007, 23:16 »

พรรคการเมืองส่วนใหญ่ น่าจะยังไม่ได้เขียนนโยบาย เลยไม่ได้เผยแพร่

มัวแต่วิ่งลงรู ลงหลุม หาที่อยู่กันอยู่ นโยบายไม่ต้องมากหรอก ทำไปให้ถูกตามหมวดแนวนโยบายแห่งรัฐ ก็จบแล้ว

พรรค ปชป. ก็โฆษณามานาน 8-9 เดือนแล้วนี่ครับ

จะว่าไป ตอนนี้ใครอยากให้ประชาชนได้อ่านนโยบาย ก้ไปโฆษณาในหนังสือพิมพ์ได้อยู่แล้ว ไม่มีข้อห้าม เพียงแต่ต้องใส่ในบัฐชีรายจ่าย

ที่เราไม่เห็นนโยบายพรรคการเมืองในวันนี้ น่าจะเป็นปัญหาของพรรคการเมืองเองมากกว่า ไม่น่าจะเกี่ยวกับ กกต.


พรรคใหญ่ ๆ น่ะพอรู้แล้วครับ แต่ที่ไม่รู้ก็คือพรรคเล็ก ๆ  เราเป็นผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ก็อยากให้ได้ครบถ้วนทุกกระบวนความ

ส่วน การหาเสียงรวมกัน ผมยังนึก ๆ อยู่น่ะว่า กองเชียร์ไม่แซวกันแย่เหรอครับ ดูรายการจากบ้านมนังคศิลา วันก่อนที่พีเน็ตจัด  เจิมศักดิ์ วิทยากร ส่งเสียงไม่ออก

จนต้องยอมเลย   
บันทึกการเข้า
ริวเซย์
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4,637


Worrior in The Blue Armor


เว็บไซต์
« ตอบ #39 เมื่อ: 30-10-2007, 23:23 »

เห็นด้วยครับ การเมืองไทยจะได้ดีขึ้นบ้าง แต่เดิมที่ผ่านมา มันก็ผิดกันตั้งแต่ใช้เงินซื้อเสียงแล้ว วงจรอุบาทว์วนเวียนไม่มีสิ้นสุดก็เพราะแบบนี้
บันทึกการเข้า

ถ้ามีแฟนแบบนี้เอาไหมครับ^^


ปุถุชน
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10,332



« ตอบ #40 เมื่อ: 31-10-2007, 00:05 »

จะทำอะไรก็รีบทำน่ะครับ ป่านนี้แล้ว ชาวบ้านเกือบครึ่ง ยังไม่รู้ว่าเลือกตั้งวันไหน

ก็ป้ายข้างทางไม่มี มีแต่ป้ายขายจตุคาม   กกต.ประชาสัมพันธ์ด่วนเลย

ส่วนป้ายที่เค้าจะติดกัน ไม่รู้ติดที่ไหนเน๊าะ จะได้ขับรถไปดู เปลืองน้ำมันนิดหน่อยเอง
 


ฮืมม์ น้ำมันแพงเสียด้วย อยากรู้ว่าพรรคการเมืองมีนโยบายอย่างไร ผู้สมัครเป็นใคร ต้องไปดูที่อนุญาตให้ติด....
 


รายการ 'คุยแหกโค้ง' ของ TITV เกี่ยวกับกติกา กฏระเบียบของคณะกรรม กกต.....
ดร.เสรีได้ยกตัวอย่าง ทำให้ผมคิดตามไปว่า....
1. คนหนึ่งเป็น NGO ทำงานกับพวกชาวเขา บนดอยตลอดเวลา ไม่ลงพื้นที่ราบ
คณะกรรม กกต.ไม่อนุญาตให้ติดป้ายหาเสียงบนดอย บนเขาที่พวกชาวเขา ชาวดอย......
คนนี้จะติดป้ายในพื้นที่ราบ จะมีใครรู้จักเขา...... Question
2. กฏกติกาใหม่ ไม่สามารถติดป้ายในพื้นที่เอกชน ทั้งที่ต้องรวมถึงที่ทำการพรรคใหญ่และสาขาพรรคด้วย.... Question

ปล. หน้าบ้านหัวหน้าพรรคฯ ผู้สมัครฯ หัวคะแนนฯ ไม่ได้ทั้งหมด... Question



 
 

บันทึกการเข้า

“หัวใจของการเมือง คือ ความไม่เห็นแก่ตัว หากเห็นแก่ตัวและพรรคของตัวแล้ว จะเห็นแก่มวลชนได้อย่างไร ดังนั้น นักการเมืองควรมีศีลธรรม ยึดถือธรรม บูชาธรรมยิ่งกว่าคนธรรมดา เมื่อเราทราบดีว่า การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันมีปัญหาที่ต้องแก้ไข หากผู้ที่อาสาเข้ามายังจะใช้วิธีการเดิมๆ อีก ย่อมจะแก้ไขไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นผลของอดีต และจะเป็นเหตุของอนาคต ต้องคิดให้ดี พูดให้ดี และทำให้ดี ในอนาคตจึงจะมีความหวังได้ มิฉะนั้นผู้สนับสนุนผู้ถูกร้อง(พ.ต.ท.ทักษิณ) จะต้องผิดหวังในที่สุด”


อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประเสริฐ นาสกุล ได้มีคำวินิจฉัยส่วนตัวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดในคดีซุกหุ้น......
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #41 เมื่อ: 31-10-2007, 00:10 »

ต้องไปดู มาตรา 59-60 หรือมาตราอื่น ๆ ของ พรบ.เลือกตั้งครับ

ข้อความมันออกมาจากพวกอาจารย์ หรือ สนช. โน่นครับ

กกต. มาทำขยายความเท่านั้น

ช่วงทำกฎหมายเลือกตั้ง ก็ไม่มีพวกนักการเมือง หรือ สื่อมวลชนให้ความสนใจ

พูดง่าย ๆ กกต. แก้กฎหมายไม่ได้ ต้องให้พวกในสภา เป็นคนแก้ไขมา

กกต. ก็ทำตาม พรบ.นั่นแหละครับ

**********************
พระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา
พ.ศ. ๒๕๕๐
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐
เป็นปีที่ ๖๒ ในรัชกาลปัจจุบัน
.........ฯลฯ...................


มาตรา ๕๙ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดหลักเกณฑ์การดำเนินการของรัฐในการ
สนับสนุนการเลือกตั้ง ในเรื่องดังต่อไปนี้
(๑) การจัดสถานที่ปิดประกาศและที่ติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งในบริเวณสาธารณสถาน
ซึ่งเป็นของรัฐ ให้พอเพียงและเท่าเทียมกันในการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครทุกคนและพรรคการเมือง
ทุกพรรค
(๒) การพิมพ์และจัดส่งเอกสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งและผู้สมัครหรือพรรคการเมืองไปให้
ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
(๓) สถานที่สำหรับให้ผู้สมัครและพรรคการเมืองใช้ในการโฆษณาหาเสียงได้อย่างเท่าเทียมกัน
ในการนี้ รัฐอาจจัดให้มีการแสดงหรือการดำเนินการอื่นใดเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาฟังการ
โฆษณาหาเสียงด้วยก็ได้ แต่ต้องมิใช่เป็นการจัดให้มีเพื่อการสนับสนุนผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใด
โดยเฉพาะ
(๔) การกำหนดหลักเกณฑ์และระยะเวลาให้พรรคการเมืองโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งทาง
วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์หรือการไปออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์
ของรัฐ ซึ่งจะต้องจัดให้พรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งมีโอกาสเท่าเทียมกัน
(๕) การสนับสนุนของรัฐในกิจการอื่นที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
เพื่อให้การหาเสียงเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งวางระเบียบ
เกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติในการเลือกตั้งหรือข้อห้ามมิให้ปฏิบัติในการเลือกตั้งในราชกิจจานุเบกษา

มาตรา ๖๐ ภายใต้บังคับมาตรา ๕๙ ห้ามมิให้ผู้สมัคร พรรคการเมืองหรือผู้ใด ปิดประกาศ
หรือติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งในสาธารณสถานซึ่งเป็นของรัฐหรือในที่ของเอกชน โฆษณา
หาเสียงเลือกตั้งทางวิทยุกระจายเสียงหรือวิทยุโทรทัศน์ หรือกระทำกิจการอื่นที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง
กำหนดให้รัฐสนับสนุน

ห้ามปิดประกาศหรือติดแผ่นป้ายเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่มีขนาดหรือจำนวนไม่เป็นไปตาม
ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด

http://www.weopenmind.com/board/index.php?topic=5407.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-10-2007, 00:23 โดย CanCan » บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
    กระโดดไป: