อันนี้ คมชัดลึก วิเคราะห์ฐานเสียงในแต่ละเขตปาร์ตี้ลิสครับ
http://news.sanook.com/politic/politic_195008.php-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ประเทศของเรากำหนดเลือกตั้ง50-พปช.อ่วมสัดส่วนปาร์ตี้ลิสต์ จับตาดาบสองสนธิ คุมซื้อเสียงโดย คม ชัด ลึก วัน พุธ ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2550 03:17 น. ในที่สุดคณะกรรมการการเลือกตั้งก็ได้มีมติเลือกรูปแบบแบ่งเขต ส.ส.สัดส่วน แบบที่ 1
โดยอ้างว่ามีพรรคการเมืองเห็นชอบมากที่สุด กว่า 21 พรรค อาทิ พรรคประชาราช พรรคประชาธิปัตย์
ประชามติ พรรคความหวังใหม่ พรรคพลังแผ่นดิน พรรคมัชฌิมาธิปไตย พรรคจงมีสยาม
ขณะที่พรรคชาติไทย เลือกแบบที่3 และแบบที่5
ส่วนพรรคพลังประชาชน เห็นด้วยกับแบบที่3
ตรงนี้แหละคือประเด็นเพราะเป็นธรรมชาติอยู่แล้วที่ในการต่อสู้ เมื่อมีโอกาสเลือกก็ย่อมเลือกสนาม
ที่ตนเองถนัด หรือได้เปรียบคู่ต่อสู้
นี่ย่อมแสดงให้เห็นชัดเจนในระดับหนึ่งแล้วว่าประชาธิปัตย์มีภาษีดีกว่าพลังประชาชน และชาติไทย
ถึงแม้ว่าพลังประชาชนจะมีอิทธิพลในพื้นที่ภาคเหนือและอีสาน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกจังหวัด
จะเป็นของพลังประชาชนทั้งหมด หาไม่แล้ว ทำไมพลังประชาชนถึงไม่เลือกแบบที่ 1
ทั้งนี้ในแบบที่ 1 นั้น ประกอบไปด้วย 8 กลุ่มจังหวัด เมื่อดูรายละเอียดแล้ว น่าเชื่อว่าจำนวน ส.ส.
บัญชีรายชื่อที่พรรคไทยรักไทยเคยได้นั้น จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่ไม่อาจหวนคืนได้อีก
กลุ่มที่หนึ่งแม่ฮ่องสอนเชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน แพร่ ลำปาง ลำพูน สุโขทัย ตาก และกำแพงเพชร
กลุ่มนี้ มีหลายจังหวัดที่เป็นพื้นที่แย่งชิงทั้งกับพรรคประชาธิปัตย์ และกับพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา
หรือกระทั่งมัชฌิมาธิปไตย
ยิ่งดูกลุ่มที่สอง ยิ่งไปกันใหญ่ เพราะประกอบด้วย อุตรดิตถ์ พิษณุโลก พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี ลพบุรี
เพชรบูรณ์ ชัยภูมิ และขอนแก่น ซึ่งชัดเจนว่า พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา น่าจะแบ่งสัดส่วนไปได้มากพอสมควร
เนื่องจากแน่นปึ้กที่นครสวรรค์ พิษณุโลก พิจิตร ลพบุรี ส่วนขอนแก่นนั้น ยังต้องแบ่งเป็นหลายเสี้ยว
ส่วนประชาธิปัตย์มีส.ส.เดิมเป็นฐานอยู่แล้ว ที่ พิษณุโลก พิจิตร
กลุ่มที่สามอำนาจเจริญมุกดาหาร นครพนม สกลนคร กาฬสินธุ์ มหาสารคาม หนองคาย อุดรธานี หนองบัวลำภู
และเลย กลุ่มนี้เมื่อแต่ละพรรคเปิดตัว ก็จะเป็นว่า แทบไม่มีพื้นที่ใดที่ถือได้ว่าเป็นสิทธิขาดของแต่ละพรรค
อย่างไรก็ดีพลังประชาชน จะได้เปรียบในจังหวัดแถบที่ติดกับแม่น้ำโขงเกือบทั้งหมด
กลุ่มที่สี่บุรีรัมย์สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ยโสธร และร้อยเอ็ด กลุ่มจังหวัดนี้ก็เช่นกัน แนวโน้มที่จะแบ่งคะแนนกัน
มีอยู่มาก โดยเฉพาะที่บุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ โดยพลังประชาชนมีแต้มต่อเหนืออยู่เล็กน้อย
กลุ่มที่ห้าสระแก้วนครราชสีมา ปทุมธานี นครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด
กลุ่มนี้พรรคชาติไทยจะเป็นพรรคที่สร้างสีสัน แต่ก็มีบางจังหวัดที่เป็นพื้นที่ต่อสู้ เช่น จันทบุรี ระยอง และ จ.ตราด
ที่ประชาธิปัตย์ ก็คงจะไม่ยอมเสีย
ส่วนนครราชสีมานั้นน่าจะเป็นสนามที่น่าจับตาที่สุด เพราะกลุ่มลำตะคองของ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่ย้ายมารวมกับ
รวมใจไทยฯ ประกาศแล้วว่า จะให้โคราชเป็นเมืองหลวงของรวมใจไทยฯ
กลุ่มที่หกกทม.นนทบุรี และสมุทรปราการ กลุ่มนี้น่าสนใจก็ตรงที่ กทม.นั้นคะแนนเสียงไม่อาจคาดคำนวณได้
ในเวลาอันใกล้นี้ ส่วน นนทบุรี และสมุทรปราการนั้น ถึงจะมีหลายก๊กหลายเหล่า แต่กลับไปกองอยู่ที่พลังประชาชน
กลุ่มที่เจ็ดระนองชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร นครปฐม กาญจนบุรี สุพรรณบุรี
ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และสระบุรี กลุ่มจังหวัดนี้น่าจับตาที่ประชาธิปัตย์ รวมใจไทยฯ
โดยมีพลังประชาชนเป็นตัวสอดแทรก
กลุ่มที่แปด นราธิวาส ยะลา ปัตตานี สตูล สงขลา พัทลุง ตรัง กระบี่ นครศรีธรรมราช ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และพังงา
กลุ่มนี้มองเผินๆ อาจไม่ต้องไปประเมินคะแนน แต่แท้จริงแล้ว ที่ จ.พังงา จะเป็นพื้นที่ที่เซอร์ไพรส์อีกครั้งหลังจาก
ไทยรักไทยปักธงได้มาแล้ว
เมื่อดูปัจจัยพื้นที่โดยรวมแล้วน่าจะทำให้พลังประชาชนประชาธิปัตย์ ชาติไทย รวมใจไทยฯ มัชฌิมา เป็นพรรค
ที่น่าจะเก็บเกี่ยวเอาสัดส่วน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ติดไม้ติดมือไปได้
แต่ทั้งนี้ต้องดูปัจจัยอื่นอีกด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในวันเดียวกันนี้ ครม.มีมติแต่งตั้ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน รองนายกฯ เป็นประธานคณะกรรมการดำเนินการตามวาระแห่งชาติ ว่าด้วยการรณรงค์ และแก้ปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียง
จุดนี้แหละที่น่าจะเป็นจุดพลิกผันจุดสำคัญเพราะ พล.อ.สนธิ แย้มมาแล้วว่า มีแผนที่มากกว่าบันได 4 ขั้น ที่จะ
จัดการกับอำนาจเก่า
ส.ส.สัดส่วน8 โซน ตาม รธน.มาตรา 96รัฐธรรมนูญฉบับใหม่2550 กำหนดให้มี ส.ส. 480 คน โดยมาจาก ส.ส. 2 แบบ
1.มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 400 คน โดยแบ่งเขตให้มี ส.ส.ได้เขตละ 1-3 คน ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
เลือกได้ไม่เกินจำนวน ส.ส.ที่มีอยู่ในเขตของตน บางเขตมี 1 บางเขตมี 2 และบางเขตมี 3 คน
2.มาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน 80 คน โดยแบ่งเขตเป็น 8 กลุ่มจังหวัด จังหวัดละ 10 คน พรรคการเมือง
ส่งผู้สมัครได้บัญชีละ 10 คน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเลือกได้ 1 บัญชี
และกรณีส.ส.แบบสัดส่วน 80 คน 8 โซน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 96 ระบุว่า การกำหนดเขตเลือกตั้ง ส.ส.
แบบสัดส่วน ให้ดำเนินการดังนี้
1.ให้จัดแบ่งพื้นที่ประเทศออกเป็น 8 กลุ่มจังหวัด และให้แต่ละกลุ่มจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง โดยแต่ละ
เขตเลือกตั้งให้มีจำนวน ส.ส.ได้ 10 คน
2.การจัดแบ่งกลุ่มจังหวัด ให้จัดกลุ่มจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกันอยู่ในกลุ่มจังหวัดเดียวกัน และในกลุ่มจังหวัด
ทุกกลุ่มต้องมีจำนวนราษฎรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง
รวมกันแล้วใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ โดยให้จังหวัดทั้งจังหวัดอยู่ในเขตเลือกตั้งเดียว
ที่ผ่านมากกต.ได้ทดลองแบ่งเขตพื้นที่ประเทศไทยออกเป็น 8 เขตเลือกตั้ง โดยคำนวณจากประชากร
ทั้งประเทศ 62,828,706 คน และยึดแผนที่ประเทศไทยเป็นหลัก และส่งให้พรรคการเมืองพิจารณา
5-6 รูปแบบให้พิจารณา
และในที่สุดวันที่ 16 ตุลาคม 2550 ที่ประชุม กกต.ลงมติเห็นว่าแบบที่ 1 มีความเหมาะสม ซึ่งจะนำ
ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในทันที