เอาข่าวมาแปะบ้างนะครับ ไม่รูู้้ว่าสนับสนุน หรือค้านเนื้อหาที่ต้นกระทู้กันแน่
http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9500000123480---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คมช.แอบหนุน“ปชป.-เพื่อแผ่นดิน”สู้ศึกเลือกตั้งหวังตอกฝาโลง“พปช”โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 18 ตุลาคม 2550 09:09 น.ชี้“พรรคทางเลือกที่ 3”อยากเกิดต้องกล้า ฉีก“ประชานิยม”ซึ่งอาจนำไปสู่การแทรกตัวขึ้นเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้
เปรียบเทียบปอนด์ต่อปอนด์ พรรคเพื่อแผ่นดินสดใสที่สุด โอกาสจับมือกับประชาธิปัตย์ จัดตั้งรัฐบาลมีสูง เนื่องจาก
คมช.หนุน ขณะเดียวกัน “พลังประชาชน”หมดสิทธิ์ เหตุคมช.กัดไม่ปล่อย...
การต่อสู้ระหว่าง“ขั้วอำนาจเก่า”และ“ขั้วอำนาจใหม่”ที่สร้างความเบื่อหน่ายให้กับสังคม และมีแนวโน้มว่า
หลังจากการเลือกตั้งอาจทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ท่ามกลางสมรภูมิรบพุ่งของ สองขั้วอำนาจ ทำให้เกิด
“กลุ่มไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด”ที่อยู่ระหว่าง“กลุ่มต้านทักษิณ”และ“กลุ่มรักทักษิณ” ซึ่งถือว่าเป็นตัวแปรสำคัญต่อการจัดตั้ง
รัฐบาลในสมัยหน้าอย่างยิ่ง กลุ่มประชาชนที่เป็นตัวแปรดังกล่าวจึงเป็นความหวังของกลุ่มการเมืองต่างๆ แนวคิด
“พรรคทางเลือกที่ 3” จึงเกิดขึ้น และนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายจากกลุ่มการเมืองต่างๆ อาทิ พรรคมัชฌิมาธิปไตย
พรรคประชาราช พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา เป็นต้น ที่ล้วนแต่เสนอตัวเป็นทางเลือกใหม่
ในการเลือกตั้งครั้งนี้
หัวรถจักร-ฉีกประชานิยม “พรรคทางเลือกใหม่ต้องเป็นพรรคที่กล้าฉีก ประชานิยม และสร้างสิ่งความมั่นคงที่แท้จริง ให้กับสังคม
มิใช่เพียงการหยิบยื่นให้เท่านั้น” “รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต” อดีตรองประธานสถาบันพระปกเกล้า กล่าว และสะท้อน
แนวคิดสำคัญที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพรรคการเมืองทางเลือกที่3 ว่าสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งคือคือความกล้าหาญ
ของพรรคทางเลือกที่จะต้องกล้าฉีกและสร้างความต่างใหม่ๆให้เกิดขึ้น อาทิ นโยบายใหม่ๆที่สามารถทำได้จริง
และยั่งยืนนำมาใช้เป็นแนวนโยบายหลัก และเน้นไปที่การสร้างมากกว่าการหยิบยื่นให้เพียงอย่างเดียว
รศ.ดร.นิยม ยังมองว่า”นโยบายประชานิยม” กลายเป็น“นโยบายพิมพ์เขียว”ที่ทุกพรรคล้วนนำมาใช้ เรียกได้ว่า
เป็น“ประชานิยมแบบสุดขั้ว” แต่ในทางกลับกันไม่มีแม้สักพรรคที่มีนโยบายเชิงสร้างฐานความมั่นคง เนื่องจากเกรงว่า
จะเป็นการทำลายฐานเสียงของตนเอง และที่สำคัญผลของประชานิยมถูกพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนจากรัฐบาล
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า สามารถสร้างความนิยมจากประชาชนได้อย่างท่วมท้น จึงไม่แปลกที่จะเห็นว่า
“นโยบายประชานิยม”เป็นนโยบายที่ทุกพรรคนำมาใช้กันแทบทั้งสิ้น ซึ่งนโยบายประชานิยมที่ทุกพรรคเข็นออกมา
จะพบว่าสามารถทำได้ยากมาก ทั้ง รถไฟฟ้า 10 สาย 15บาทตลอดเส้นทาง หรือ 6 ปี คนไทยเลิกจน เป็นต้น
“พรรคทางเลือกเปรียบเสมือนหัวรถจักรที่สามารถขับเคลื่อนประเทศไปได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็น
ทุกส่วนแต่ต้องมีความชัดเจนในการนำพาประเทศเป็นสำคัญ หากจับได้ถูกจุด ก็จะเหมือนกับประเทศอื่นๆในอดีต
อย่างอังกฤษหรืออเมริกา ที่ไม่ได้ดีพร้อมแต่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น”
พปช.หมดสิทธิ์ ทวงบัลลังก์ อย่างไรก็ดีเมื่อหันกลับมามองพรรคทางเลือกในขณะนี้ ความเป็นไปได้โดยโอกาสเข้า วินยังคงอยู่ที่“พรรคเพื่อแผ่นดิน”
มากที่สุด ซึ่ง “รศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยวิเคราะห์ว่า จุดเริ่ม
ของการก่อตั้งนั้นเริ่มมาจาก การที่มีผู้ร่วมก่อตั้งพรรคเชื่อกันว่ามีคนเบื้องหลังที่สามารถเกื้อหนุนการเป็นรัฐบาลได้ในอนาคต
แต่ในที่สุดก็แตก แต่มิใช่ว่า พรรคทางเลือกที่ 3 จะหมดอนาคต หากแต่พรรคเล็กต่างๆสามารถรวมกลุ่มหรือสร้างความ
แข็งแกร่งได้ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นได้ถึง แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
เมื่อประเมินสถานการณ์ในขณะนี้ จะเห็นว่า พรรคขั้วที่ 1 อย่าง พลังประชาชน และขั้วที่ 2 อย่าง พรรคประชาธิปัตย์
ยังมีความใกล้เคียงกันอย่างมาก หากประเมินจากตัวเลขของผลการลงประชามติที่ผ่านมา รวมถึงผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุด
ตัวเลขกลมๆคาดว่าจะอยู่ที่ 120-180 คน สำหรับพรรคพลังประชาชน และพรรคประชาธิปัตย์จะอยู่ที่ 100 –120 คน
ซึ่งเป็นไปได้ยากมากที่ทั้ง 2 พรรคจะได้รับเสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาลได้
ดังนั้น “ตัวแปร”สำคัญจึงตกไปอยู่ที่ “พรรคทางเลือกที่ 3” และโอกาสที่ขั้วที่ 2 อย่างพรรคประชาธิปัตย์ จะจับมือ
กับพรรคทางเลือกที่ 3 มีความเป็นไปได้อย่างมาก เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญคือ คมช.ที่พร้อมจะสนับสนุนฝ่าย
ตรงข้ามกับขั้วอำนาจเก่าอย่างสุดตัว ดังที่เห็นได้จากการประกาศกฎอัยการศึกเพิ่มขึ้นอีก 3 พื้นที่ใน จ.หนองคาย นครพนม
และมุกดาหารนั้น เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าเป็นผลมาจากผลการลงประชามติครั้งที่ผ่านมา ซึ่ง จ.นครพนม ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดง
ที่มีคะแนนโหวตโนมากที่สุด และ จ.มุกดาหารและ หนองคาย ก็เป็นพื้นที่สีแดงเช่นเดียวกัน
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า พรรคประชาธิปัตย์มีกำลังหนุนที่ค่อนข้างได้เปรียบและพรรคทางเลือกที่ 3 ย่อมที่จะมองเห็น
ในจุดดังกล่าวเช่นกัน
“การเลือกตั้งครั้งนี้ อาจจะมีการผิดมารยาททางการเมืองเกิดขึ้น หากพรรคพลังประชาชนได้เสียงข้างมาก แต่พรรค
ที่เป็นรัฐบาลจะเป็นพรรคอันดับสองอย่าง พรรคประชาธิปัตย์ โดยที่พรรคร่วมรัฐบาลจะจับมือกับพรรคอันดับสองแทน
เนื่องจากมีแรงหนุนที่สำคัญนั่นเอง”
เพื่อแผ่นดิน“เด่น” อย่างไรก็ตาม การก่อเกิดพรรคทางเลือกที่ 3 ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดก็ตาม เมื่อมองลงไปจะเห็นได้ว่า การเกิดของ
พรรคทางเลือกพรรคต่างๆล้วนแล้วแต่มี“กรรมพันธุ์” ที่คล้ายคลึงกันคือ การคงรูปแบบของกลุ่มของ นักการเมือง นายทุน
กลุ่ม เครือญาติ เป็นต้น ซึ่งการตัดสินใจก้าวเข้าสู่สนามการเมืองด้วยเงินทุนที่สูง อาจมีโอกาสนำไปสู่การถอนทุนคืนในที่สุด
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มพรรคทางเลือกที่ 3 ที่ฉายแววสดใสนั้น น้ำหนักได้เทไปที่พรรคเพื่อแผ่นดิน ที่พร้อมทั้งกำลัง
คนและกำลังทรัพย์ โดยเฉพาะในพื้นที่อีสานและทุนที่พร้อมจาก“เจ้าพ่อปากน้ำ” “วัฒนา อัศวเหม” ที่มีเดิมพันสูงอยู่ที่
“คดีคลองด่าน” การควักกระเป๋าลงทุนทางการเมืองครั้งนี้จึงยากยิ่งที่จะถอยหลังได้
ขณะที่ สุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ระบุว่า พรรคฯมีความหวังในการเลือกตั้งครั้งนี้มากทั้งในเรื่องความพร้อมของผู้สมัครที่เป็นที่ยอมรับของพื้นที่ต่างทยอยเข้ามา
อยู่ในพรรคมากขึ้น และสิ่งที่เป็นจุดแข็งของพรรคก็คือนโยบายพรรคที่สามารถโดนใจประชาชนแน่นอน เพราะนโยบาย
ของพรรคเป็นของจริงทั้งในเรื่องกองทุนหมู่บ้าน และระบบน้ำชลประทานกว่า 2 แสนล้าน ที่พรรคสามารถต่อยอดจาก
ที่เคยทำมาแล้ว
“เรื่องทุนพรรคเราสู้พรรคอื่นไม่ได้แน่นอน ความหวังของเราจึงต้องสร้างความแข็งแกร่งในเรื่องของนโยบาย
และตัวผู้สมัครที่พร้อมทำงานเพื่อประชาชน และพรรคเราไม่ต่อท่อใครทั้งสิ้น ยืนยันขอเป็นพรรคสายกลาง”
ดังนั้น หากเทียบกับกลุ่มอื่นๆถือว่าเพื่อแผ่นดินมีความได้เปรียบกว่า พรรคทางเลือกอื่นๆ โดยเฉพาะแนวทาง
สมานฉันท์ที่เข้าได้กับทุกฝ่าย เมื่อเทียบกับพรรคอื่นๆอย่าง“พรรคมัชฌิมาธิปไตย”ที่มี“ประชัย เลี่ยวไพรัตน์” เป็นผู้นำที่ค่อนข้างแข็งและประกาศต่อสู้กับขั้วอำนาจเก่าอย่างสุดตัว ซึ่งประชาชนจะเห็นภาพของความขัดแย้ง
เป็นภาพของอนาคต หรือ“พรรคประชาราช”และพรรคอื่นๆที่มีความเปราะบางอย่างมากดังที่เห็นจากการแตกแยก
กันอย่างรวดเร็ว
“พรรคต่างๆที่ประกาศตัวว่าจะทำงานเชิงสมานฉันท์ เพียงแค่เริ่มต้นแตกกันอย่างรวดเร็ว ทำให้เห็นว่าขนาด
คนกันเองยังสมานฉันท์ไม่ได้ ประชาชนก็ย่อมที่จะขาดความเชื่อมั่นในจุดนี้ ขณะเดียวกันเพื่อแผ่นดินเป็นพรรคที่สด
ยังไม่มีแผลต่างจากพรรคอื่นๆที่แตกแยกกันมาแล้วทั้งนั้น ” “เฉลิมชัย อุฬารกุล”อดีตส.ส.สกลนคร ค่ายไทยรักไทย
ที่ตัดสินใจเข้าร่วมกับพรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวและอธิบายถึงความพร้อมว่า แม้ว่าพรรคเพื่อแผ่นดินจะเกิดช้ากว่ากลุ่มอื่น ๆ
แต่ภาพที่เห็นจะพบว่า มีนักการเมืองหลายกลุ่มที่มีความสนใจและตัดสินใจย้ายมาสังกัดพรรคเพื่อแผ่นดิน อาทิ
พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก จารึก ปริญญาพล อดีตผู้ว่าฯอุดรธานี และ อรุณี ชำนาญศิลป์อดีตส.จ.อุดรธานี เป็นต้น
ส่วนใหญ่เป็นผู้สมัครจาก 9 จังหวัดภาคอีสาน เช่น จ.หนองคาย สกลนคร กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ซึ่งเป็นฐาน
ที่มั่นของพรรคพลังประชาชน รวมถึงกลุ่มในกรุงเทพที่ได้“สุรนันทน์ เวชชาชีวะ”เข้ามาเพิ่มตัวเลขส.ส.
ในพื้นที่กรุงเทพอีกเรียกได้ว่ามีความพร้อมอย่างน่าจับตาอย่างยิ่งในขณะนี้
นอกจากนี้ยังมี กลุ่มอดีตส.ว.อีกหลายคนที่มีแนวโน้มจะไหลเข้าพรรคเพื่อแผ่นดินอีกหลายชีวิต อีกทั้งมีแนวทาง
ทำงานในเชิงสมานฉันท์ที่ชัดเจน รวมถึงนโยบายต่างๆที่สามารถนำมาต่อยอดได้อาทิ กองทุนหมู่บ้านที่ “สุวิทย์ คุณกิตติ” เป็นผู้ริเริ่มและการเป็นคนท้องที่ซึ่งเกิดบนแผ่นดินอีสานทำให้เข้าใจคนอีสานได้เป็นอย่างดี จึงได้ชูประเด็น“นายกคนอีสาน”
ขึ้นมาอีกครั้ง
รวมถึงนโยบายที่เกาะติดกลุ่มชาวรากหญ้าอย่างเต็มที่ อาทิ นโยบายชลประทานระบบท่อ โครงการเกษตรอินทรีย์ ฯลฯ ที่สำคัญกำลังในพื้นที่อีสานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเนื่องจาก ส.ส.กลุ่มต่างๆไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องก็จะยิ่งเพิ่มความได้เปรียบ
อย่างมากจนถึงขนาดที่พรรคทางเลือกที่ 3 อาจจะพลิกกลับขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลชุดต่อไปก็เป็นได้
ดังนั้น การที่พรรคทางเลือกที่ 3 ดังที่ พรรคหลายกลุ่มการเมืองประกาศตัวกันอยู่จนเป็นภาพชินตา จะมีบทบาทสำคัญ
และพลิกโฉมการเมืองใหม่เฉกเช่น ในประเทศอังกฤษ อเมริกา ยังมีความเป็นไปได้น้อยมาก เนื่องจากปัจจัยสำคัญ อาทิ
ระดับการศึกษา เศรษฐกิจ จะต้องเติบโตพอสมควรจึงจะสามารถกดดันให้นักการเมืองได้สำนึกและถือกำเนิดเป็น
พรรคทางเลือกที่ 3 อย่างแท้จริงได้...