ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
19-04-2024, 22:40
378,182 กระทู้ ใน 21,926 หัวข้อ โดย 9,412 สมาชิก
สมาชิกล่าสุด: MAN4U
ขบวนการเสรีไทยเว็บบอร์ด (รุ่นแรก)  |  ทั่วไป  |  สภากาแฟ  |  ประชาธิปัตย์ 123 - พลังประชาชน 236 0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หน้า: [1]
ประชาธิปัตย์ 123 - พลังประชาชน 236  (อ่าน 1565 ครั้ง)
กาลามชน
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 717


« เมื่อ: 18-10-2007, 07:49 »

มีข่าวหนึ่งในประชาทรรศน์ มีประเด็นที่น่าสนใจหลายเรื่อง เลยเอามาฝากให้วิจารณ์

http://www.prachatouch.co.th/comment1.php?idnews=11

‘บังธิ’ เล่นไม่ซื่อแฉคำสั่ง ‘ลับ’ สกัดการเมือง

การเข้ามารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และท่าทีที่พยายามจะมีบทบาทเหนือการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ได้สร้างความไม่สบายใจ และสร้างความกังวลสงสัยให้เกิดขึ้นกับคนหลายกลุ่ม เพราะมีกระแสข่าวลือเป็นระลอกว่า พล.อ.สนธิ มีเจตนาที่จะเข้ามาสกัดกั้นการกลับมาของ พ.ต.อ.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะรวมไปถึงสกัดกั้นการเติบโตของพรรคพลังประชาชน ที่ทั้งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) และรัฐบาล ออกมาระบุบ่อยครั้งว่าเป็นพรรคการเมืองตัวแทนของพรรคไทยรักไทยเดิม

ทั้งยังมีแหล่งข่าวทางการทหารที่ระบุว่า ความพยายามเข้าสู่การเมืองของ พล.อ.สนธิ ว่าเกิดขึ้นจากความไม่สบายใจ ที่ผลการสำรวจของฝ่ายทหารเองพบว่า ในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น พรรคประชาธิปัตย์จะได้รับเลือกตั้ง 123 ที่นั่ง และพรรคพลังประชาชนจะได้รับการเลือกตั้งประมาณ 236 ที่นั่ง

ขณะเดียวกัน ความกังวลในประเด็นดังกล่าวยิ่งมีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อพบว่าในห้วงเผด็จการยึดอำนาจ ได้มีความพยายามใช้กลไกของรัฐและอำนาจรัฐ โดยเฉพาะผ่านหน่วยงานทางการทหารต่อเนื่องหลายต่อหลายครั้ง เพื่อกระทำการสกัดกั้นกลุ่มที่เชื่อว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้าม มีการแทรกแซงไม่เว้นแม้แต่เมื่อคราวการลงเสียงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการออกเสียงบริสุทธิ์ของประชาชน

ในช่วงเวลาไม่กี่วันก่อนการเลือกตั้ง สขว.กอ.รมน. ได้มีหนังสือ “ลับ” ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2550 ระบุผู้รับเรื่องไปปฏิบัติประกอบไปด้วย กอ.รมน.ภาค1-4 กอ.รมน.จว. และ กอ.รมน.กทม. โดยระบุผู้รับทราบคือ ผอ.รมน. รองผอ.รมน.1-9 ลข.รมน. รองลข.รมน. (ฝผป.) เป็นต้น

ข้อความระบุว่า เนื่องจากประชาชนยังมีความรู้และความสนใจกับการลงประชามติน้อย ดังนั้นเพื่อให้การลงประชามติเป็นไปตามแนวทางที่ถูกต้อง เป็นธรรม จึงขอให้ดำเนินการดังนี้

   1. รณรงค์และประชาสัมพันธ์โดยเน้นให้ประชาชนเห็นข้อดีของร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ให้ผ่านการลงประชามติ และขอให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิให้มากที่สุด เพื่อจะได้ถ่วงดุลกับฐานเสียงของกลุ่ม ทรท. โดยประสานความร่วมมือกับ นายก อบต. กำนัน และผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ร่วมดำเนินการด้วย

   2. ให้ติดตาม ตรวจสอบ และเกาะติดประชาชน เพื่อควบคุมและยับยั้งไม่ให้กลุ่ม ทรท. ดำเนินการซื้อเสียง หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ที่สามารถกุมสภาพการซื้อเสียงในพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ เพื่อลดจำนวนผู้สนับสนุนกลุ่ม ทรท. ลงให้มากที่สุด

หนังสือดังกล่าวระบุชื่อ พ.อ.ไพฑูรย์ บูรณศักดิ์ สังกัด ขว.สขว.กอ.รมน. เป็นผู้เขียนข่าว โดยมีนายทหารยศพันเอกอีกนายเป็นนายทหารอนุมัติข่าว

ข้อความในเอกสารระบุให้หน่วยงานทางการทหารลงไปเคลื่อนไหวในพื้นที่ พร้อมกับใช้กลไกการปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นเครื่องมือในการร่วมดำเนินการ และระบุจุดประสงค์ชัดเจนว่าต้องการถ่วงดุล และลดจำนวนผู้สนับสนุนฐานเสียงของพรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมืองบางกลุ่มเป็นการจำเพาะเจาะจง

ในการดำเนินการดังกล่าว ได้มีการจัดกิจกรรมในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2550 โดยใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวนมหาศาล มีการจัดโครงการพัฒนาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัติร์ทรงเป็นประมุข (อสพป.) โดยมีการจัดทำเอกสารและจัดอบรมในโครงการพัฒนาประชาธิปไตยระดับหมู่บ้าน เพื่อครอบงำชาวบ้านให้เกิดความรู้สึกนึกคิดไปตามแนวทางดังที่กล่าว

ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวของฝ่ายทหารที่เป็นไปในลักษณะแทรกแซงการเมือง ก็ได้เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่มีการปฏิวัติรัฐประหาร

อย่างเช่นเมื่อ 25 มกราคม 2550 ได้มีหนังสือ “ลับมาก” จาก คขส.ทภ.1 ซึ่งเป็นหน่วยงานข่าว ลงนามโดย พ.อ.ธานี ฉุยฉาย เลขานุการ คขส.ทภ.1 รายงานแม่ทัพภาคที่ 1 ถึงผลการประชุมคณะกรรมการปฏิบัติการข่าวสารที่มีขึ้นในวันเดียวกันนั้น โดยมีสาระสำคัญ อาทิเช่น กรณีข่าวที่เกี่ยวข้องกับสนามบินสุวรรณภูมิ

ข้อความบางตอนระบุว่า “ประเด็นดังกล่าวสมควรขยายผลให้เกิดผลทางลบกับรัฐบาลที่ผ่านมา” รวมทั้งให้พยายามนำเสนอข่าวเรื่องดังกล่าวซ้ำหลายๆ ครั้ง และให้นำไปเป็นกระทู้ทางเครือข่ายปฏิบัติการคอมพิวเตอร์

ต่อมาเอกสาร “ลับมาก” บันทึกการประชุมของคณะกรรมการปฏิบัติการข่าวสารในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550 และลงวันที่เดียวกัน จาก คขส.ทภ.1 ก็มีข้อความในลักษณะเดียวกัน โดยระบุว่า “ให้ กขว.ทภ.1/กอ.รมน.ภาค 1 และเครือข่ายปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ดำเนินการทางลับเพื่อสร้างภาพลบให้กับกลุ่มอำนาจเก่า”

ในขณะที่สรุปผลการประชุมของคณะกรรมการชุดเดียวกัน เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2550 กลับระบุถึงกรณีบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ ที่เขายายเที่ยง จ.นครราชสีมา ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ไว้ตอนหนึ่งว่า “ละเว้นการแสดงความเห็นในทุกกรณี”

ผลจากการกระทำดังกล่าว จึงทำให้เกิดความกังวลว่าจะมีการแทรกแซงการเมืองและการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น จากฝ่ายทหารและฝ่ายการเมืองเหมือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เข้าสู่อำนาจทางการเมือง และมีความพยายามที่จะเข้ามาจัดการการเลือกตั้ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-10-2007, 08:03 โดย กาลามชน » บันทึกการเข้า
login not found
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3,523



« ตอบ #1 เมื่อ: 18-10-2007, 09:20 »

 

มาดูข่าวสะกดจิตตัวเองของคนบางกลุ่ม
บันทึกการเข้า
ล้างโคตรทักษิณ
ขาประจำขั้น 2
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 903



« ตอบ #2 เมื่อ: 18-10-2007, 09:33 »

อ้าว ไหนโม้ว่า  มั่นใจในความนิยมต่อโคตรพ่อจะกลัวอะไรกับการเล่นไม่ซื่อของพล อ.สนธิที่ไม่รู้ว่ามีจริงรึเปล่าหว่า? ขี้ข้ากะหลำชน

ไหนโม้ว่า ควาย 19 ล้านตัวยังงมงายโคตรพ่อไม่เสื่อม แค่โดนข่าวเต้าสะกดจิตขี้ข้าไปนิดเดียวว่า ไม่มี หัวคะแนน ไม่ได้ซื้อเสียง ทำไมต้องมาโหยหวน

 ไหนคุยว่า พรรคพลังปล้นชาติเจ๋งก้าวใหม่ของการเมืองสุดท้ายก็ต้องพึ่งหัวคะแนน
บันทึกการเข้า
ScaRECroW
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2,000


สุสูสัง ลภเต ปัญญัง - ผู้ฟังดี ย่อมเกิดปัญญา


เว็บไซต์
« ตอบ #3 เมื่อ: 18-10-2007, 09:44 »

ยินดีด้วยครับ
บันทึกการเข้า

Politic is nothing but the continuation of [the sin of] 7 by other means.

ท่านคิดว่า นรม. ควรทำอย่างไรเมื่อพบว่ากฏหมายบางฉบับมีช่องโหว่?
ก.ใช้อำนาจ นรม.ที่ได้รับมาจากประชาชนแก้กฏหมายเพื่อปิดช่องโหว่เหล่านั้น เพราะเป็นประโยชน์ของแผ่นดิน
ข.ฉวยโอกาสใช้ช่องโหว่เหล่านั้นเพื่อประโยชน์ของตนเองและคนรอบข้าง แล้วก็อ้างว่าคนอื่นเขาก็ทำกัน
jerasak
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5,432



« ตอบ #4 เมื่อ: 18-10-2007, 09:56 »

เอาข่าวมาแปะบ้างนะครับ ไม่รูู้้ว่าสนับสนุน หรือค้านเนื้อหาที่ต้นกระทู้กันแน่ 

http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9500000123480
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คมช.แอบหนุน“ปชป.-เพื่อแผ่นดิน”สู้ศึกเลือกตั้งหวังตอกฝาโลง“พปช”
โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์    18 ตุลาคม 2550 09:09 น.

ชี้“พรรคทางเลือกที่ 3”อยากเกิดต้องกล้า ฉีก“ประชานิยม”ซึ่งอาจนำไปสู่การแทรกตัวขึ้นเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้
เปรียบเทียบปอนด์ต่อปอนด์ พรรคเพื่อแผ่นดินสดใสที่สุด โอกาสจับมือกับประชาธิปัตย์ จัดตั้งรัฐบาลมีสูง เนื่องจาก
คมช.หนุน ขณะเดียวกัน “พลังประชาชน”หมดสิทธิ์ เหตุคมช.กัดไม่ปล่อย...
       
       การต่อสู้ระหว่าง“ขั้วอำนาจเก่า”และ“ขั้วอำนาจใหม่”ที่สร้างความเบื่อหน่ายให้กับสังคม และมีแนวโน้มว่า
หลังจากการเลือกตั้งอาจทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ท่ามกลางสมรภูมิรบพุ่งของ สองขั้วอำนาจ ทำให้เกิด
“กลุ่มไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด”ที่อยู่ระหว่าง“กลุ่มต้านทักษิณ”และ“กลุ่มรักทักษิณ” ซึ่งถือว่าเป็นตัวแปรสำคัญต่อการจัดตั้ง
รัฐบาลในสมัยหน้าอย่างยิ่ง กลุ่มประชาชนที่เป็นตัวแปรดังกล่าวจึงเป็นความหวังของกลุ่มการเมืองต่างๆ แนวคิด
“พรรคทางเลือกที่ 3” จึงเกิดขึ้น และนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายจากกลุ่มการเมืองต่างๆ อาทิ พรรคมัชฌิมาธิปไตย
พรรคประชาราช พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา เป็นต้น ที่ล้วนแต่เสนอตัวเป็นทางเลือกใหม่
ในการเลือกตั้งครั้งนี้
       
หัวรถจักร-ฉีกประชานิยม
       
        “พรรคทางเลือกใหม่ต้องเป็นพรรคที่กล้าฉีก ประชานิยม และสร้างสิ่งความมั่นคงที่แท้จริง ให้กับสังคม
มิใช่เพียงการหยิบยื่นให้เท่านั้น” “รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต” อดีตรองประธานสถาบันพระปกเกล้า กล่าว และสะท้อน
แนวคิดสำคัญที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพรรคการเมืองทางเลือกที่3 ว่าสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งคือคือความกล้าหาญ
ของพรรคทางเลือกที่จะต้องกล้าฉีกและสร้างความต่างใหม่ๆให้เกิดขึ้น อาทิ นโยบายใหม่ๆที่สามารถทำได้จริง
และยั่งยืนนำมาใช้เป็นแนวนโยบายหลัก และเน้นไปที่การสร้างมากกว่าการหยิบยื่นให้เพียงอย่างเดียว
       
       รศ.ดร.นิยม ยังมองว่า”นโยบายประชานิยม” กลายเป็น“นโยบายพิมพ์เขียว”ที่ทุกพรรคล้วนนำมาใช้ เรียกได้ว่า
เป็น“ประชานิยมแบบสุดขั้ว” แต่ในทางกลับกันไม่มีแม้สักพรรคที่มีนโยบายเชิงสร้างฐานความมั่นคง เนื่องจากเกรงว่า
จะเป็นการทำลายฐานเสียงของตนเอง และที่สำคัญผลของประชานิยมถูกพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนจากรัฐบาล
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า สามารถสร้างความนิยมจากประชาชนได้อย่างท่วมท้น จึงไม่แปลกที่จะเห็นว่า
“นโยบายประชานิยม”เป็นนโยบายที่ทุกพรรคนำมาใช้กันแทบทั้งสิ้น ซึ่งนโยบายประชานิยมที่ทุกพรรคเข็นออกมา
จะพบว่าสามารถทำได้ยากมาก ทั้ง รถไฟฟ้า 10 สาย 15บาทตลอดเส้นทาง หรือ 6 ปี คนไทยเลิกจน เป็นต้น
       
       “พรรคทางเลือกเปรียบเสมือนหัวรถจักรที่สามารถขับเคลื่อนประเทศไปได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็น
ทุกส่วนแต่ต้องมีความชัดเจนในการนำพาประเทศเป็นสำคัญ หากจับได้ถูกจุด ก็จะเหมือนกับประเทศอื่นๆในอดีต
อย่างอังกฤษหรืออเมริกา ที่ไม่ได้ดีพร้อมแต่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น”
       
พปช.หมดสิทธิ์ ทวงบัลลังก์
       
       อย่างไรก็ดีเมื่อหันกลับมามองพรรคทางเลือกในขณะนี้ ความเป็นไปได้โดยโอกาสเข้า วินยังคงอยู่ที่“พรรคเพื่อแผ่นดิน”
มากที่สุด ซึ่ง “รศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์” อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยวิเคราะห์ว่า จุดเริ่ม
ของการก่อตั้งนั้นเริ่มมาจาก การที่มีผู้ร่วมก่อตั้งพรรคเชื่อกันว่ามีคนเบื้องหลังที่สามารถเกื้อหนุนการเป็นรัฐบาลได้ในอนาคต
แต่ในที่สุดก็แตก แต่มิใช่ว่า พรรคทางเลือกที่ 3 จะหมดอนาคต หากแต่พรรคเล็กต่างๆสามารถรวมกลุ่มหรือสร้างความ
แข็งแกร่งได้ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นได้ถึง แกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
       
       เมื่อประเมินสถานการณ์ในขณะนี้ จะเห็นว่า พรรคขั้วที่ 1 อย่าง พลังประชาชน และขั้วที่ 2 อย่าง พรรคประชาธิปัตย์
ยังมีความใกล้เคียงกันอย่างมาก หากประเมินจากตัวเลขของผลการลงประชามติที่ผ่านมา รวมถึงผลการเลือกตั้งครั้งล่าสุด
ตัวเลขกลมๆคาดว่าจะอยู่ที่ 120-180 คน สำหรับพรรคพลังประชาชน และพรรคประชาธิปัตย์จะอยู่ที่ 100 –120 คน
ซึ่งเป็นไปได้ยากมากที่ทั้ง 2 พรรคจะได้รับเสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาลได้
       
       ดังนั้น “ตัวแปร”สำคัญจึงตกไปอยู่ที่ “พรรคทางเลือกที่ 3” และโอกาสที่ขั้วที่ 2 อย่างพรรคประชาธิปัตย์ จะจับมือ
กับพรรคทางเลือกที่ 3 มีความเป็นไปได้อย่างมาก เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญคือ คมช.ที่พร้อมจะสนับสนุนฝ่าย
ตรงข้ามกับขั้วอำนาจเก่าอย่างสุดตัว ดังที่เห็นได้จากการประกาศกฎอัยการศึกเพิ่มขึ้นอีก 3 พื้นที่ใน จ.หนองคาย นครพนม
และมุกดาหารนั้น เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าเป็นผลมาจากผลการลงประชามติครั้งที่ผ่านมา ซึ่ง จ.นครพนม ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดง
ที่มีคะแนนโหวตโนมากที่สุด และ จ.มุกดาหารและ หนองคาย ก็เป็นพื้นที่สีแดงเช่นเดียวกัน
       
       เห็นได้อย่างชัดเจนว่า พรรคประชาธิปัตย์มีกำลังหนุนที่ค่อนข้างได้เปรียบและพรรคทางเลือกที่ 3 ย่อมที่จะมองเห็น
ในจุดดังกล่าวเช่นกัน
       
       “การเลือกตั้งครั้งนี้ อาจจะมีการผิดมารยาททางการเมืองเกิดขึ้น หากพรรคพลังประชาชนได้เสียงข้างมาก แต่พรรค
ที่เป็นรัฐบาลจะเป็นพรรคอันดับสองอย่าง พรรคประชาธิปัตย์ โดยที่พรรคร่วมรัฐบาลจะจับมือกับพรรคอันดับสองแทน
เนื่องจากมีแรงหนุนที่สำคัญนั่นเอง”
       
เพื่อแผ่นดิน“เด่น”
       
       อย่างไรก็ตาม การก่อเกิดพรรคทางเลือกที่ 3 ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใดก็ตาม เมื่อมองลงไปจะเห็นได้ว่า การเกิดของ
พรรคทางเลือกพรรคต่างๆล้วนแล้วแต่มี“กรรมพันธุ์” ที่คล้ายคลึงกันคือ การคงรูปแบบของกลุ่มของ นักการเมือง นายทุน
กลุ่ม เครือญาติ เป็นต้น ซึ่งการตัดสินใจก้าวเข้าสู่สนามการเมืองด้วยเงินทุนที่สูง อาจมีโอกาสนำไปสู่การถอนทุนคืนในที่สุด
       
       อย่างไรก็ตาม แนวโน้มพรรคทางเลือกที่ 3 ที่ฉายแววสดใสนั้น น้ำหนักได้เทไปที่พรรคเพื่อแผ่นดิน ที่พร้อมทั้งกำลัง
คนและกำลังทรัพย์ โดยเฉพาะในพื้นที่อีสานและทุนที่พร้อมจาก“เจ้าพ่อปากน้ำ” “วัฒนา อัศวเหม” ที่มีเดิมพันสูงอยู่ที่
“คดีคลองด่าน” การควักกระเป๋าลงทุนทางการเมืองครั้งนี้จึงยากยิ่งที่จะถอยหลังได้
       
       ขณะที่ สุวิทย์ คุณกิตติ หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ระบุว่า พรรคฯมีความหวังในการเลือกตั้งครั้งนี้มากทั้งในเรื่องความพร้อมของผู้สมัครที่เป็นที่ยอมรับของพื้นที่ต่างทยอยเข้ามา
อยู่ในพรรคมากขึ้น และสิ่งที่เป็นจุดแข็งของพรรคก็คือนโยบายพรรคที่สามารถโดนใจประชาชนแน่นอน เพราะนโยบาย
ของพรรคเป็นของจริงทั้งในเรื่องกองทุนหมู่บ้าน และระบบน้ำชลประทานกว่า 2 แสนล้าน ที่พรรคสามารถต่อยอดจาก
ที่เคยทำมาแล้ว
       
       “เรื่องทุนพรรคเราสู้พรรคอื่นไม่ได้แน่นอน ความหวังของเราจึงต้องสร้างความแข็งแกร่งในเรื่องของนโยบาย
และตัวผู้สมัครที่พร้อมทำงานเพื่อประชาชน และพรรคเราไม่ต่อท่อใครทั้งสิ้น ยืนยันขอเป็นพรรคสายกลาง”
       
       ดังนั้น หากเทียบกับกลุ่มอื่นๆถือว่าเพื่อแผ่นดินมีความได้เปรียบกว่า พรรคทางเลือกอื่นๆ โดยเฉพาะแนวทาง
สมานฉันท์ที่เข้าได้กับทุกฝ่าย เมื่อเทียบกับพรรคอื่นๆอย่าง“พรรคมัชฌิมาธิปไตย”ที่มี“ประชัย เลี่ยวไพรัตน์” เป็นผู้นำที่ค่อนข้างแข็งและประกาศต่อสู้กับขั้วอำนาจเก่าอย่างสุดตัว ซึ่งประชาชนจะเห็นภาพของความขัดแย้ง
เป็นภาพของอนาคต หรือ“พรรคประชาราช”และพรรคอื่นๆที่มีความเปราะบางอย่างมากดังที่เห็นจากการแตกแยก
กันอย่างรวดเร็ว
       
       “พรรคต่างๆที่ประกาศตัวว่าจะทำงานเชิงสมานฉันท์ เพียงแค่เริ่มต้นแตกกันอย่างรวดเร็ว ทำให้เห็นว่าขนาด
คนกันเองยังสมานฉันท์ไม่ได้ ประชาชนก็ย่อมที่จะขาดความเชื่อมั่นในจุดนี้ ขณะเดียวกันเพื่อแผ่นดินเป็นพรรคที่สด
ยังไม่มีแผลต่างจากพรรคอื่นๆที่แตกแยกกันมาแล้วทั้งนั้น ” “เฉลิมชัย อุฬารกุล”อดีตส.ส.สกลนคร ค่ายไทยรักไทย
ที่ตัดสินใจเข้าร่วมกับพรรคเพื่อแผ่นดิน กล่าวและอธิบายถึงความพร้อมว่า แม้ว่าพรรคเพื่อแผ่นดินจะเกิดช้ากว่ากลุ่มอื่น ๆ
แต่ภาพที่เห็นจะพบว่า มีนักการเมืองหลายกลุ่มที่มีความสนใจและตัดสินใจย้ายมาสังกัดพรรคเพื่อแผ่นดิน อาทิ
พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก จารึก ปริญญาพล อดีตผู้ว่าฯอุดรธานี และ อรุณี ชำนาญศิลป์อดีตส.จ.อุดรธานี เป็นต้น
       
       ส่วนใหญ่เป็นผู้สมัครจาก 9 จังหวัดภาคอีสาน เช่น จ.หนองคาย สกลนคร กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ซึ่งเป็นฐาน
ที่มั่นของพรรคพลังประชาชน รวมถึงกลุ่มในกรุงเทพที่ได้“สุรนันทน์ เวชชาชีวะ”เข้ามาเพิ่มตัวเลขส.ส.
ในพื้นที่กรุงเทพอีกเรียกได้ว่ามีความพร้อมอย่างน่าจับตาอย่างยิ่งในขณะนี้
       
       นอกจากนี้ยังมี กลุ่มอดีตส.ว.อีกหลายคนที่มีแนวโน้มจะไหลเข้าพรรคเพื่อแผ่นดินอีกหลายชีวิต อีกทั้งมีแนวทาง
ทำงานในเชิงสมานฉันท์ที่ชัดเจน รวมถึงนโยบายต่างๆที่สามารถนำมาต่อยอดได้อาทิ กองทุนหมู่บ้านที่ “สุวิทย์ คุณกิตติ” เป็นผู้ริเริ่มและการเป็นคนท้องที่ซึ่งเกิดบนแผ่นดินอีสานทำให้เข้าใจคนอีสานได้เป็นอย่างดี จึงได้ชูประเด็น“นายกคนอีสาน”
ขึ้นมาอีกครั้ง
       
       รวมถึงนโยบายที่เกาะติดกลุ่มชาวรากหญ้าอย่างเต็มที่ อาทิ นโยบายชลประทานระบบท่อ โครงการเกษตรอินทรีย์ ฯลฯ ที่สำคัญกำลังในพื้นที่อีสานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเนื่องจาก ส.ส.กลุ่มต่างๆไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องก็จะยิ่งเพิ่มความได้เปรียบ
อย่างมากจนถึงขนาดที่พรรคทางเลือกที่ 3 อาจจะพลิกกลับขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลชุดต่อไปก็เป็นได้
       
       ดังนั้น การที่พรรคทางเลือกที่ 3 ดังที่ พรรคหลายกลุ่มการเมืองประกาศตัวกันอยู่จนเป็นภาพชินตา จะมีบทบาทสำคัญ
และพลิกโฉมการเมืองใหม่เฉกเช่น ในประเทศอังกฤษ อเมริกา ยังมีความเป็นไปได้น้อยมาก เนื่องจากปัจจัยสำคัญ อาทิ
ระดับการศึกษา เศรษฐกิจ จะต้องเติบโตพอสมควรจึงจะสามารถกดดันให้นักการเมืองได้สำนึกและถือกำเนิดเป็น
พรรคทางเลือกที่ 3 อย่างแท้จริงได้...
บันทึกการเข้า

= A dreamer lives for eternity.=
== นัฝัมีชีวิพื่นิรัร์าล ==
Can ไทเมือง
ขาประจำขั้นที่ 3
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13,486



เว็บไซต์
« ตอบ #5 เมื่อ: 18-10-2007, 10:39 »

ในมุมมองของพรรคชาติไทย มองว่าครั้งนี้ รัฐบาลไม่มีผลได้เสียกับการเมือง จึงไม่น่าเป็นห่วง

แต่ถ้ามองในแง่คนดูรอบนอก การเลือกตั้งที่มีพรรคการเมืองเป็นรัฐบาลรักษาการ ก็กระทำไม่ถูกต้องมาแล้ว ใช่หรือไม่

รัฐบาลก่อนทำเสียจนเป็นเหตุให้มีคำตัดสินของศาลว่า เลือกตั้งไม่สุจริตเที่ยงธรรม

หรือถ้าย้อนไปสมัย ปชป. เป็นรัฐบาล ในการเลือกตั้งปี 2544

ข้อมูลการซื้อสื่อ 5.7 ล้านบาท ขณะที่พรรคไทยรักไทยสมัยแรก ( 2544 ) ใช้ 68.7 ล้านบาท

เที่ยวนี้ เพียง 9 เดือน ปชป. ใช้งบซื้อสื่อไปแล้วเกือบ 60 ล้านบาท

การใช้อำนาจรัฐ การใช้สื่อของรัฐ การใช้อิทธิพลต่อข้าราชการ น่าจะเป็นปกติแล้วสำหรับรัฐบาลรักษาการ

ไม่ว่ารัฐบาลเผด็จการ หรือ รัฐบาลประชาธิปไตยแบบไทยไทย

บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
    กระโดดไป: