กลับมาอ่านอีกที... เป็นงงปนขำ... นี่ผมกลายเป็นเกรียนไปแล้วหรือนี่?... โดยปกติผมจะเขียนตอบในเนื้อหาทั้งหมดนะครับ... แต่ที่คุณพาสเทลฯ เขียนตอบผมมานี่ เริ่มต้นด้วยเนื้อหาสาระได้น้อยมาก... แต่คงต้องโค้ดเอาไว้ให้เป็นหลักฐานไว้ก่อน เดี๋ยวแกเปลี่ยนเนื้อหาเอาง่ายๆ
ไอ้ประโยคทำนองประโยคสุดท้ายในโควตบนนั่นแหละครับ ที่ทำให้ผมมองว่า เกรียน เกรียนแก่ด้วย
ที่จริงประโยคนี้ของคุณพาสเทลฯ ก็เหมือนสารภาพนะครับ ว่าจะโชว์พาวเกรียนแกล้งผม... เอาเข้าไป... นี่คุณตั้งใจจะเข้ามาแลกเปลี่ยนจริงหรือเปล่า?
ดูประโยคต่อไปของคุณพาสเทลเขาสิครับ... ว่าผมแก่เฉยๆ ไม่ได้มีสาระอะไรเลย
ถูกต้องเลยครับ ผมด่าคุณว่าแก่กระโหลกหนาเฉยๆ ไม่มีสาระอะไรเลย ซึ่งเป็นจุดประสงค์ของข้อความนั้นครับ ยินดีด้วยครับที่ตีความได้
ส่วนจะมาแลกเปลี่ยนมั้ย ใช่ครับมาแลกเปลี่ยน แต่แลกเปลี่ยนนะครับ ไม่ใช่มาฟังคำบ่นแบบไม่ยอมคิดตาม
เป็นธรรมกับผมหรือไม่... คุณเปลี่ยนเนื้อหาอยู่ตลอดเวลา แล้วก็บอกว่าคนอื่นไม่ได้อ่านเนื้อหาของคุณบ้าง ... หรือการไม่กลับไปอ่านซ้ำเป็นความผิดของคนอื่นบ้าง... ถ้าผมจะกลับไปเปลี่ยนข้อความของผมบ้าง แล้วกลับมาคุยกับคุณว่าให้กลับไปอ่านในกระทู้เก่าๆ... ผมตอบคุณไว้แล้ว... แล้วก็กลับมาด่าคุณที่ไม่ยอมอ่านซ้ำหลายๆ รอบ ..คุณคิดว่านี่เป็นวิธีที่ถูกต้องหรือครับ? (แต่ไม่ว่าคุณจะปรับกี่ครั้ง ... เหตุผลเชิงตรรกะของคุณก็ยังอ่อนอยู่ดี... ตรงนี้เดี๋ยวค่อยเขียนตอนคุยในเนื้อหาข้างล่าง)
นี่ล่ะครับที่ผมอ่อนใจกับคุณพระพาย ผมเขียนไปแล้วว่าหลักการอีดิทของผมเป็นอย่างไร แต่พอเห็นคำว่าอีดิทเท่านั้น คุณก็จับมาใส่ความคิดคุณเอง โดยยังไม่ยอมอ่านให้ถี่ถ้วนก่อน เหมือนเวลาคุณเห็นคำว่า "ผู้แทน" อะไรทำนองนี้ล่ะครับ
ถ้าคุณ "เข้าใจ" ความแตกต่างของคนอย่างที่คุณเขียนจริง มีความ "จริงใจ" ที่จะสื่อสารกับคนอื่นจริง.. คุณจะปรับการสื่อสารให้ง่ายขึ้นกับคนที่คุณคุยด้วย...
เข้าใจยากไปก็ไม่คุ้มคุยครับ ความเห็นคุณพระพายไม่ได้มีค่ามากขนาดขาดไม่ได้ ผมเอาเวลาไปพิมพ์ตอบคนอื่นที่เขาถามได้สร้างสรรค์และพร้อมรับคำตอบไปคิดตามดีกว่าครับ
แล้วไม่ต้องมาบอกว่า "อย่างนี้คุณอาจพลาดความเห็นดีๆ ไป " นะครับ เพราะผมลองใช้วิจารณญาณแล้ว และรับความเห็นส่วนดีๆ ของคุณพระพายมาไว้แล้วครับ ส่วนกากๆ ในนิสัยของการใช้เหตุผลของคุณ ผมไม่อยากพูดถึงแล้วครับ
การอ้างอิงของคุณแบบนี้นั้น เป็นวิธีที่ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิด... ใช้ทริคในการตอบมากกว่าความจริงใจที่จะคุยกัน... เมื่อเขาถามมาก็ยกโค้ดมาตอบตรงๆ ก็หมดเรื่องแล้ว... นี่ไม่กล้ายกมาโค้ดนี่ครับ แต่ไล่คนคุยด้วยไปอ่านเอง... ไม่เรียกว่าเลี่ยงการตอบแล้วเรียกว่าอะไรครับ? กลัวที่จะคุยขนาดนั้นเชียวหรือครับ? หรือกลัวตอบพลาด วันหลังจะได้เข้าไปปรับแก้ข้อความเก่าๆ ได้ ไม่มีข้อความที่โค้ดไว้เป็นหลักฐานตามลบไว้ไม่หมด
ข้างล่างนี้ แสดงข้อความของคุณไว้ชัดเจนมากว่า... คุณจะกลับไป "อีดิท" ข้อความของคุณเรื่อยๆ... ยังอีดิทไม่เสร็จ... ขอให้คุณตรองดูนะครับว่าการสื่อสารกับผู้ร่วมวงสนทนาแบบนี้ คุณมีความจริงใจกับเขาหรือไม่... หรือเพียงแค่คิดจะโชว์พาวเวอร์เฉยๆ
ไม่โควตมาให้ไม่ใช่เพราะกลัวโดนเอามาใช้อ้างอิงว่าแนวความคิดผมผิดหรอกครับ ถ้าตราบใดสิ่งที่เขายกมายังมีเหตุผลมีผล และยังโต้แย้งกันอยู่แบบผู้มีความรู้ที่ต้องการ "แลกเปลี่ยน"
แต่ไม่โควตมาให้ เพราะคิดว่า คนอ่านน่าจะมีวุฒิภาวะทางปัญญาพอจะกลับไปอ่านในไกด์ไลน์ที่ให้ไว้ วิเคราะห์ และสรุปเองได้ จากนั้นก็มาถามต่อให้ข้อที่ยังสงสัย โดยไม่ต้องประเคนมาให้ทั้งหมด
ซึ่งผมประเมินสูงไปสำหรับคุณพระพายครับ
เรื่องอีดิทพูดไปแล้วนะครับ
ส่วนข้างล่างนี้จะเริ่มเข้าเนื้อหาครับ... ต่อนะครับ
ที่จริงคำตอบนี้ผมยกตัวอย่างมาชัดเจนมากนะครับ ยิ่งมีกลุ่มย่อยยิ่งซื้อง่ายขึ้น.. การเลือกตั้งแบ่งเขตที่เพิ่งเลิกไปนี่ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน... ส่วนเรื่อง "ฮั้ว" ... ถ้าคุณตอบผมแบบนี้แสดงว่าคุณไม่เข้าใจคำว่า "ฮั้ว" เลยครับ... คุณคิดแต่ว่าถ้ามีหลายกลุ่มมันจะคานกันเอง... จริงอยู่ว่าไม่มีกลุ่มใดที่มีอิทธิพลครอบคลุมทั้งหมด เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องจำเป็น... เหมือนปัจจุบันมีฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ฝ่ายร่วมรัฐบาล เป็นต้น ฝ่ายรัฐบาลและพรรคร่วมนั้นไม่จำเป็นต้องครอบคลุมทั้งหมด แค่เพียงพอต่อการผลักดันนโยบายเท่านั้น
แต่กลุ่มเหล่านี้โดยธรรมชาติไม่ได้ค้านหรือร่วมมือกันโดยอัตโนมัตินะครับ เพราะกลไกการเมือง "ทุกชนิด" มีเรื่อง "การต่อรอง" เข้ามาด้วย ถ้าคุณให้เสียงผมทำโครงการนี้ ผมจะให้งบคุณทำเรื่องนั้น... กระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นตลอดเวลา และเกิดขึ้นได้ทุกระบบ... ดังนั้นโดยธรรมชาติกลุ่มย่อยใน "อำนาจการจัดการผลประโยชน์"จะไม่คานหรือค้านกันโดยอัตโนมัติ แต่เน้นไปที่ "ผลประโยชน์ลงตัว" ไม่ได้เน้นไปที่ "เหตุผล"
โอเคเข้าเรื่องครับ
ถูกครับว่ายิ่งย่อยยิ่งซื้อรวบกลุ่มย่อยได้ง่าย
ถ้าคุณคิดเฉพาะในเชิงปริมาณนะครับแต่อย่าลืมว่าการแบ่งกลุ่มย่อยมีการปรับโครงสร้างของ "คุณภาพ" ด้วยครับ
ทำให้บางกลุ่มซื้อได้ยากหรือไม่ได้เลย ซึ่งต่างกับในแบบรัฐสภาเสียงครอบจักรวาล ที่ซื้อได้ง่าย เพราะไม่มีการแบ่งตามคุณภาพ (ไม่ใช่ในเชิงสูงต่ำนะครับ เดี๋ยวมาหาว่า วรรณะนิยมอีก) ด้วยเหตุนี้ จะเป็นการกระจายอำนาจที่คนโกงมีในมือไปได้มาก
และด้วยหลักการนี้ ทำให้สามารถ "วางใจ" ได้ว่า จะมีกลุ่มผู้แทนที่ "น้ำดี" กลุ่มหนึ่ง เข้าไปเป็นผู้แทน
และมีอำนาจในการบริหารด้วย ไม่ใช่เพียงแต่อำนาจตรวจสอบเพราะเป็นฝ่ายเสียงข้างน้อย ซึ่งดีกว่าระบอบเก่า ที่เข้าไปได้ก็ได้แต่ตรวจสอบอย่างเดียวครับ
และด้วยการที่มี กลุ่มผู้แทนน้ำดีนี่เอง
จะทำให้การตรวจสอบและคานอำนาจภายในเกิดขึ้นได้ โดยไม่ต้องมีการแบ่งเป็นฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล เพราะเราไม่มีเสียงส่วนใหญ่เสียงส่วนน้อยแล้วผมว่าตรงนี้น่าจะเคลียร์พอสมควรแล้วนะครับ ยังไม่เข้าใจตรงไหนอีกหรือเปล่าครับ
จะเจาะระบบคุณง่ายมาก (ที่จริงทุกระบอบที่ระบบการตรวจสอบอ่อนแอล้วนเป็นอย่างนี้)... ถ้าคุณให้ผมอย่างนี้ ผมจะให้คุณอย่างนั้นมันจะเกิดขึ้นเต็มไปหมด... ผมไม่จำเป็นต้องใหญ่ถึงระดับทักษิณหรอกครับ แค่ดูแลกระทรวงคมนาคม ผมสามารถแลกเปลี่ยนต่อรองผลประโยชน์ได้ทุกกระทรวงโดยไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องความถูกต้อง โดยใช้ถนนเป็นข้อแลกเปลี่ยน ใช้สนามบินเป็นข้อแลกเปลี่ยน ใช้รถไฟเป็นข้อแลกเปลี่ยน ไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนกับทุกกลุ่ม แค่ให้มีจำนวนกลุ่มมากพอเท่านั้นก็ได้แล้ว ในทางกลับกัน ถ้ากระทรวงหรือกลุ่มย่อยใดไม่ให้ความร่วมมือกับผม ผมก็ไม่ให้ความร่วมมือกับเขาในงานที่กระทรวงผมดูแลอยู่ คุณอยากสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม ผมจะไม่ตัดถนนไปให้ ฯลฯ
ผมทำได้เพราะผมมีอำนาจในการนำเสนอโครงการ ให้ความร่วมมือกับโครงการ หรือไม่ให้ความร่วมมือกับโครงการ... เพราะกระทรวงผมไม่ได้มีงบมากถึงขนาดสนับสนุนได้ทุกเรื่องอยู่แล้ว... ผมมีสิทธิที่จะคัดเลือกโครงการเหล่านั้น และแน่นอน.. ทุกเรื่องผมมีเหตุผลอธิบายได้อยู่แล้ว อยู่ที่จะเลือกอธิบายแบบใด
ถ้าผมมีอำนาจต่อรองเช่นนี้... คุณคิดว่าผมจะถูกถอดถอนง่ายๆ หรือครับ.. สภาภารกิจอะไรนั่น มองอีกมุมก็เหมือนตำรวจเก็บส่วยก็ได้ หรือต่อรองในเรื่อง "ฐานเสียง" ก็ยังได้ ผมเมื่อสามารถมายืนในจุดนี้ได้ ก็ต้องมีความสามารถในการรักษาฐานเสียงผู้เชี่ยวชาญในสาขาผมได้... หรืออย่างมากก็ต่อรองกับผู้แทนกลุ่มย่อยเป็นรายตัวก็ได้ว่าคุณต้องการอะไร...
ที่ผมต้องเขียนมายืดยาว... ก็เพราะเพื่อให้คุณเข้าใจคำว่า "ฮั้ว" อย่างชัดเจนว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร... ทั้งๆ ที่ถ้าเป็นคนอื่นเขารู้ได้ทันทีว่ามันจะมีปัญหากับระบบของคุณได้แบบไหน ไม่ต้องอธิบายยืดยาวขนาดนี้
ตรงนี้ ถ้าสมมติฐาน "นักการเมืองน้ำดี" ของผมไม่เป็นจริง กรณีที่คุณพระพายยกมา จะเกิดขึ้นได้ครับ
แต่กรณีของคุณพระพายอาจไม่เกิดขึ้น ด้วยเหตุดังนี้
1. ผู้สังกัดกลุ่มภารกิจคมนาคม สมควรประกอบไปด้วย วิศวะกร ผู้ทำธุรกิจคมนาคม (ไม่รวมสื่อสารนะครับ) นักวิชาการ (อีกแล้ว) และผู้มีความรู้ในเรื่องคมนาคม คุณพระพายคิดว่า สามารถซื้อเสียงหรือหลอกล่อคนกลุ่มใหญ่ในนี้ได้หรือครับ
ถ้าคุณพระพายตอบว่าได้ และเหตุผลเพียงพอ ระบบของผมก็ล้มเหลวครับ เพราะถ้าเช่นนั้น ก็แปลว่า คนส่วนใหญ่ในประเทศ ไม่ว่าความรู้ขนาดไหน ไม่ว่าฐานะระดับใด ก็โกงหรือยอมให้มีการโกงกันหมด ซึ่งแบบนี้ต่อให้ระบบอะไรก็ไม่ได้ผลแล้วล่ะครับ
ถ้าคุณพระพายบอกว่า นักการเมืองขี้ฉ้อ อาจปลอมฐานเสียงก็ได้ คือ เอาเกษตรกรมาปลอมเป็นวิศวะ ตรงนี้ปัญหาก็อยู่ที่การออกแบบการทดสอบ และการตรวจสอบการทดสอบ แล้วล่ะครับ ซึ่งตรงนี้ผมว่าทำให้รัดกุมมากๆ ได้ครับ อย่างน้อย ง่ายกว่าตรวจสอบการซื้อเสียงแล้วกัน เพราะทุกอย่างถูกบันทึกหมด
2. ถ้าจะเอาให้เป็นกรณีเสี่ยงหน่อย ก็ควรเป็นกลุ่มพาณิชย์ กสิกรรม แรงงาน หรือสวัสดิการสังคมมากกว่าครับ ซึ่งด้วยสมมติฐาน "นักการเมืองน้ำดี" ของผม กลุ่มภารกิจที่โดนฮั้วเหล่านี้ เป็นส่วนน้อยในสภาครับ และถูกถอดถอนได้โดยกลุ่มอื่นทีน้ำดีโดยไม่ต้องกลัวเสียประโยชน์แต่อย่างใด เพราะพอได้ตัวแทนบริหารคนใหม่ที่ดีกว่า ก็สามารถตกลงเรื่องโครงการกันได้ใหม่ ตรงกันข้าม หากไม่ทำการถอดถอนไอ้ตัวน้ำเน่าแบบนี้ออก ก็จะส่งผลกระทบต่อตัวเองโดยตรง เพราะจะบริหารอะไรก็ไม่ได้ ต้องมาต่อรองกับมันอยู่ และหากมันโกงกระทรวงมันเองได้ กระทรวงน้ำดีของตัวเองก็จะซวยไปด้วยแน่นอน
ด้วยโมเดลของการขึ้นต่อกันและกัน (interdependence) ที่ว่าไว้ให้เป็นโครงสร้างของการแบ่งกระทรวงครับ
ส่วนการล็อบบี้ด้วยการแบล็กเมล์หรือข่มขู่ อันนี้ก็อีกเรื่องหนึ่งนะครับ
อย่าลืมนะครับ ว่าทุกอย่างขึ้นกับ "สมมติฐานนักการเมืองน้ำดี" ถ้าคุณพระพายจะหาทางเจาะ ผมว่าน่าจะเจาะตรงนี้ครับ
ที่คุณเทียบคำให้ดูนั้น ไม่ใช่ตอบผมนะครับ... คุณดูความหมายของมันดีๆ จะเห็นว่าที่คุณยกตัวอย่างมานั้น ยืนยันว่าจะมีการโกงเกิดขึ้นเหมือนที่ผมนำเสนอ.. แล้วคุณตอบแย้งผมตรงไหนหล่ะเนี่ย? คีย์เวิร์ดก็คือ ถ้าจะโกงก็โกงคนเดียวไม่ได้, กรณีปัญหาที่น่าจะเกิดขึ้น คือ มันฮั้วกันทั้งกลุ่มภารกิจ คำที่คุณเขียนเองเหล่านี้ก็ยืนยันชัดเจนนี่ครับว่าคุณเองก็คิดว่ามัน "โกงได้"... ส่วนคำตอบของคุณก็เน้นไปที่สภาภารกิจ ซึ่งเป็นเรื่องของ "กระบวนการตรวจสอบ"... นี่ก็ตอบยืนยันการนำเสนอของผม... ใช่หรือไม่?
คุณพระพายยังไม่ตีความคำตอบผมให้ดีนะครับ
ฮั้วได้เป็นกลุ่มๆ นะครับ
และโกงได้ ในการบริหารภายใน
แต่โกงโครงการใหญ่ไม่ได้นะครับ เพราะการยื่นหมูยื่นแมว จะไม่ประสบผล ด้วยหลักการที่ผมอธิบายไว้ข้างบนแล้วครับ
การถอดถอนลักษณะนี้ก็เหมือนการถอดถอนด้วยวุฒิสภาในระบอบเก่านี่เอง ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เลย... กลไกเก่า ปัญหาก็ต้องคล้ายเดิม... จะวุฒิสภาหรือสภาภารกิจมันก็มีการเมืองเข้าแทรกได้ทั้งนั้นครับ ด้วยการต่อรองหรือ "ฮั้ว" กันนี่แหละ... ชัดเจนหรือไม่
แต่สภาใหม่ของผม เชื่อใจว่าจะมีน้ำดีได้มากกว่านะครับ
สภาผัวมงผัวเมียอะไร น่าจะเกิดได้ยากล่ะครับ
เหตุผลเรื่องชนชั้นกลางของคุณนี้ใช้ไม่ได้ครับ... ชนชั้นกลางนี่จอมฮั้วเลย โกงเก่ง และฮั้วแบบฉลาดด้วย... ทักษิณนี่ก็ชนชั้นกลางมาก่อน นักเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2540 ทุกคนจบปริญญาตรี ซึ่งถือเป็นชนชั้นกลางทั้งสิ้น... คุณเคยได้ยินงานวิจัยหรือไม่ว่าคนกู้ที่เป็นคนจนนั้น มีอัตราคืนหนี้มากกว่าคนรวย ธนาคารกรามีนเพื่อคนจนจึงเกิดขึ้นได้ด้วยเหตุนี้
เคยได้ยินครับ
แต่นั่นมันเรื่องการเงิน ที่เกิดจากภาวะการขาดนิสัยการออมและการวางแผน คนละเรื่องกับการยินยอมให้เกิดการโกงครับ ผมมีเงินในเป๋าตังค์ยี่สิบบาท หนี้อีกหลายหมื่น ยังไปเดินประท้วงไล่ทักษิณได้
ส่วนเรื่องชนชั้นกลางจอมฮั้วนี่ ผมไม่ได้บอกว่าไม่มีครับ แต่สิ่งที่ผมเสนอไปในระบอบนี้ คือ
ให้คนดีๆ มีเสียงมากขึ้น เพื่อมากันไม่ให้ไอ้พวกคนเลวๆ เข้ามาได้ครับ ตามพระราชดำรัสเลย
คนโกงกับคนเลือก คนละเรื่องกันนะครับ
ส่วนการส่งคนไปตามอาชีพต่างๆ นั้นไม่จำเป็นครับ... นักการเมืองในระบอบเดิมนี่แหละ จะแปลงกายมาในมาดใหม่ แล้วเริ่มใช้วิทยายุทธ์ที่ตนคุ้นเคย นั่นคือการ "ต่อรอง" , "การหาเสียง", และคอรัปชั่นเชิงนโยบาย... คอนเนคชั่นส่วนตัวของนักการเมืองนั้นไม่ธรรมดานะครับ..
ไม่ได้บอกว่า คนโกงจะไม่พยายามเข้ามาครับ
แต่บอกว่า จะเข้ามาได้ยาก ดังที่บอกไปแล้วด้านบน
ข้อความล่าสุดของคุณผมไม่จำเป็นต้องตอบมาก... ไม่เพียงแต่คุณเขียนตรรกะผมผิดเท่านั้น (ผมไม่ได้พูดถึงการจนตรอกที่ไหนเลย ผมพูดว่า "ถ้าคุณเจอระบบตรวจสอบแข็งๆ การปรับตัวที่ถูกต้องก็คือการทำสิ่งที่ถูก ไม่ใช่การเสี่ยงโกง")... แต่เพราะการนำเสนอความคิดของคุณ สุดท้ายก็ต้องกลับมาเน้นที่ "กระบวนการตรวจสอบ" อยู่ดี ... ก็เหมือนคุณยอมรับไปในตัวว่าระบบของคุณนั้นขาดสิ่งนี้อยู่ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการแก้ปัญหาของระบอบการเลือกตั้งเลือกตัวแทน
ผิดครับ
ผมเน้นที่กระบวนการเอาเข้าต่างหาก กระบวนการตรวจสอบ ระบอบปัจจุบันนี้ก็มีอยู่แล้ว
ผมว่าคุณพระพายไม่ได้พยายามทำความเข้าใจตรงนี้ต่างหาก
ถ้าแบ่งประเภทเสียงมาแล้วยังเหมือนเดิม ผมจะเสนอให้แบ่งทำหอกอะไร
ไอ้เรื่องการตรวจสอบ ก็ว่ามาเลย แล้วก็เอาไปใช้กับระบอบผมด้วย ก็ดีกว่าเดิมสองเบิ้ล บอกไปแล้ว
นี่ละครับ ผมถึงบอกว่า คุณพระพายไม่ได้พยายามคิดตาม คุณพูด
" ออก ออก พาสเทล คุณต้องดูที่การเอาออก เดี๋ยวมันกลัวมันก็ไม่กล้าโกงเอง"
ผมบอก
"เออ ก็ดี แต่ให้ดีกว่า ดูตอนเอาเข้าเพิ่มด้วย แล้วก็ดูตอนเอาออกด้วย นอกจากเข้ามายากแล้ว ยังไม่กล้าโกงด้วย"
แล้วจะไม่ดีกว่าได้ไงครับ
ผมถามคุณ มันเข้ามา ต่อให้มันไม่โกงก็เถอะ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะทำงาน
แล้วจะเอาเข้ามาทำหอกอะไร
ตอนนี้ถ้าคุณจะโต้ให้ระบอบที่ผมเสนอตก คุณต้องโต้ที่ระบอบเอาเข้า คือ สมมติฐาน"น้ำดีมีเยอะ" ของผมแล้วนะครับ
ถึงแม้การพูดคุยหัวข้อนี้จะยาว แต่ผมก็ไม่หลุดประเด็นที่คุณถามไว้ตั้งแต่ต้น "ระบบการปกครองแบบใหม่ที่เหมาะสมกับประเทศไทย"... เมื่อระบบที่คุณนำเสนอไม่ได้ตอบสนองต่อการแก้ปัญหาหลักของระบบการเลือกตั้งแบบมีตัวแทน โมเดลที่คุณนำเสนอจึงไม่ใช่คำตอบในท้ายสุด... การช่วยกันนำเสนอกระบวนการตรวจสอบในตอนนี้อย่างที่คุณร้องขอ เป็นการข้ามขั้นตอนการสนทนาเพื่อช่วยกันออกแบบคำตอบของหัวข้อนี้
เมื่อระบบฟังก์ชั่นตามวิชาชีพไม่ได้ตอบสนองในประเด็น "การใช้อำนาจทางการเมือง" พื้นที่ที่เหมาะสมกับระบบฟังก์ชั่นตามวิชาชีพก็คือใช้จุดเด่นในเรื่อง "องค์ความรู้" ในการ "ให้คำปรึกษา", "การตรวจสอบ" และการฝังตัวเข้าไปใน "การเมืองภาคประชาชน" ซึ่งเป็นพื้นที่เปิดในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน... ถ้าจะให้ผมนำเสนอระบบการตรวจสอบที่เข้มแข็ง ผมจะเสนอให้สภาภารกิจหรือกลุ่มภารกิจอะไรนี้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบ และไม่ควรมีตัวแทนสาขาวิชาชีพใดมีอำนาจในเชิงบริหาร ซึ่งจะทำให้เกิด conflict of interest (มีที่มาจากการเลือกตั้งตามลำดับจากกลุ่มเดียวกัน... สมควรตั้งสมมติฐานไว้ก่อนว่าเป็นพวกเดียวกัน ตรวจสอบกันไม่ได้)... กล่าวโดยสรุปคือผมเห็นด้วยกับคุณบอนนี่ที่นำเสนอให้กลุ่มวิชาชีพทำงานเฉพาะในส่วนของวุฒิสภาในปัจจุบัน... คุณจะยอมรับได้โดยง่ายจริงหรือ...
ถ้าคุณคิดตามที่ผมอธิบาย จะเห็นได้ครับ ว่ามันตอบโจทย์ของปัญหาระบอบรัฐสภาแบบเก่าได้ยังไง
ไอ้สภาวิชาชีพของคุณ
1. ยังไม่มีอำนาจบริหาร ทำได้แค่แนะนำ นักการเมืองจะฟังมั้ยก็อีกเรื่อง
2. อยู่ใต้อาณัติ เสนอไม่เข้าหู โดนกลั่นแกล้งได้
3. ต่อให้เสริมอำนาจในการตรวจสอบ ก็ทำได้แค่กันไม่ให้โกง แต่ยังไม่ได้มีอำนาจบริหารโดยตรงอยู่ดี
ส่วนเรื่อง conflict of interest ผมตอบคำถามโดยให้คุณไปศึกษา the theory of Equilibrium of N-person game นะครับ แล้วจะเห็นว่า มันแก้ปัญหาดังกล่าวได้ยังไง
กลับมาที่ประเด็นหัวใจของการออกแบบนะครับ การออกแบบใดใดก็ตาม เราต้องรู้ว่าอะไรเป็นเรื่องหลัก อะไรเป็นเรื่องรอง อะไรเป็นตัวจริง อะไรเป็นตัวช่วย
ผมไม่เชื่อเด็ดขาดว่าคุณได้ดีกรีมาทางตรรกะปรัชญา ตรรกะคณิตศาสตร์อะไรนั่น... แค่ระบบ "ผู้แทน" มีปัญหาพื้นฐานอย่างไร คุณยังไม่รู้เลย... นำเสนอระบบ "ผู้แทนใหม่" มันจะได้ระบอบที่ดีขึ้นได้อย่างไร? ในเมื่อระบบใหม่เป็นการตอบปัญหา "การจัดการความรู้ในเชิงบริหาร" ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับ "การใช้อำนาจในระบบผู้แทน" ซึ่งเป็นหัวใจของการกำหนดกิจกรรมและนโยบายทั้งหมด
ลองคิดด้วย "ตรรกะ" ดูนะครับ ว่าประเด็นใดเป็นหลัก ประเด็นใดเป็นรอง... และอะไรที่ "ทดแทนด้วยสิ่งอื่นได้" ในขณะที่การใช้ระบบผู้แทนใช้อำนาจนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ในครอบครัวก็ยังต้องมีผู้แทนในการติดต่อภายนอก!!
ลองอ่านที่ผมตอบไปด้านบน แล้วคิดใหม่นะครับ ว่าผมตอบโจทย์แล้วยัง
ในขณะที่ในระบอบเดิมนั้น... การเมืองภาคประชาชนและการเปิดกว้างให้กับผู้มีความรู้ในทุกสาขาอาชีพ สามารถทดแทนการจัดการความรู้ในแบบสาขาวิชาชีพได้ (คีย์เวิร์ดสำคัญก็คือการมองโครงการเป็น task แบบที่คุณนำเสนอ แล้วเปิดให้มีการพิจารณาระดมความคิดจากผู้เกี่ยวข้อง)... ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันและแนวโน้มการเมืองในปัจจุบันล้วนเน้นมาทิศทางนี้... คุณคิดว่าระบอบเดิมแบบนี้ จะด้อยกว่าระบบใหม่ของคุณหรือ?
แต่ถ้าคุณไม่จริงใจ.. แค่แลกเปลี่ยนความคิดกันคุณยังฟาดงวงฟาดงาขนาดนี้... อย่าคิดชวนใครดื่มโกโก้ดีกว่าครับ
1. ในความเห็นผม ความพยายามจะพัฒนาการเมืองภาคประชาชนและสร้่างสภาอาชีพ โดยยังคงรูปแบบรัฐสภาแบบเดิม จะไร้ผล (futile) หรือ ไม่ได้ดังหวัง (unfruitful) เพราะนักการเมืองยังคงอำนาจบริหารไว้เต็มที่ โดยการกำเสียงส่วนใหญ่ที่ไม่มีความสามารถเพียงพอในการตัดสินใจครับ ส่วนเหตุผลว่าทำไม กล่าวไว้แล้วด้านบน
2. ผมฟาดงวงใส่คุณแคนแคน เพราะเขาพาลกาเล เอาแต่ขัดแข้งขัดขาครับ ผมฟาดงาใส่คุณพระพาย เพราะคุณไม่พยายามทำความเข้าใจครับ