ครับ ตอนนี้ผมจะโต้แย้งแนวคิดและหลักเหตุผล หรือขอเหตุผลสนับสนุนเพิ่มนะครับ
ขอออกตัวก่อนว่า วิธีการโต้เถียงของผมอาจจะน่ารำคาญบ้าง เพราะผมนิยมโต้แบบ point by point argument และ ตอบคำถามด้วยคำถามครับ ก็ขอให้มองข้ามรูปแบบแล้วพยายามคิดตามในสิ่งที่ผมต้องการสื่อนะครับ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า เชื่อในเรื่องสิทธิ์มนุษยชนหรือไม่
เชื่อในเรื่อง เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ หรือเปล่า
ผมเชื่อในเรื่อง สิทธิมนุษยชน เสรีภาค เสมอภาค และภราดรภาพครับ
แต่ผมไม่คิดว่าสิ่งที่ผมเชื่อจะเป็นนิยามเดียวกับที่คุณแคนแคนและอีกหลายๆ คนเชื่อ
จุดที่เป็นปัญหามากที่สุด คือ
ความเสมอภาคครับ
แน่นอนว่าคนทุกคน เป็นคนเหมือนกัน และคนทุกคนควรเสมอภาคกันในความเป็นคน
คนทุกคนควรมีโอกาสเท่าเทียมกัน ในการหาสิ่งที่ดีให้ตนเอง ภายใต้บรรทัดฐานที่ดีงามของสังคม
แต่ความเสมอภาคไม่ได้แปลว่าทุกคนจะเหมือนกันไม่ใช่ว่าต่างกันแนวดิ่ง เป็นชนชั้น แต่ต่างกันในแนวระนาบ ตรงหน้าที่ และความถนัด
คนทุกคนไม่ได้เหมือนกันหมด ที่จะจัดเป็นกลุ่มเดียวกันได้ แต่ในความเป็นจริง จะกระจายกันไปในระนาบ กระจุกตัวตามที่ที่หน้าที่ของตนเองอยู่
ไม่มีใครเหนือกว่าใคร แต่ไม่มีใครที่เหมือนกัน*
ดังนั้น การคาดหวังจะให้คนทุกคนทำสิ่งเดียวกันได้ ถ้าสิ่งที่หวังนั้น ไม่ใช่การ กิน ขี้ ปี้ นอน แล้วล่ะก็
นับว่าเป็นอุดมการณ์ที่... เป็นเด็กสิ้นดี
เช่นเดียวกับการคาดหวังที่จะให้คนทุกคนมีความสามารถในการที่จะเลือกผู้นำประเทศที่ดีได้
ด้วยเหตุผลอะไร คุณถึงบอกว่า การให้คนกลุ่มใหญ่มหาศาลมารวมกัน ให้เสียงทุกคนเท่ากัน แล้วผู้นำที่ดีจะ "emerge" ขึ้นมา
คุณกล่าวด้วยเหตุผลอะไร? มีโมเดลอะไรมารองรับ? สำนักอะไรบอกคุณ? สำนักนั้นเคยทดลองมั้ย? เคยนำไปทดลองกับคนทุกกลุ่มมั้ย?
คนไม่ใช่มด ที่ทุกๆ ตัวจะทำเผื่อเผ่าพันธุ์ตนเอง และคนไม่ใช่เทวดา ที่จะมีความรู้แจ้ง ตั้งตนในธรรมทุกตน (หรือส่วนใหญ่ก็เถอะ)**
แต่ตรงนี้ ที่นี่ วันนี้ ผมมีตัวอย่างค้านที่ดี คือประเทศไทยเรานี่แหละ ส่วนของความล้มเหลวนี้ คุณ bonny เรียงเรียงไว้ได้ดีมาก แนะนำให้ไป
ลองพิจารณาอีกที
ส่วนตัวผมคิดว่าเราให้เวลาทดลองประชาธิปไตยแบบรัฐสภากับประเทศไทยมากพอที่จะสรุปได้ว่า มันล้มเหลว แล้ว
แต่ผมไม่ได้การันตีว่า สิ่งที่ผมเสนอจะทำงานได้ ผมแค่บอกว่ามันอาจจะน่าลอง ถ้าใครมีไอเดียอะไรดีกว่านี้ ผมก็ยินดีร่วมวิเคราะห์ร่วม
คิดนอกกรอบ
อ้า ผมไม่ได้ heat นะครับ เดี๋ยวนึกว่าจะกลายเป็นการโต้เถียงอย่างรุนแรงอีก
* หรือกล่าวให้ง่าย นี่คล้ายหลัก functionism แต่ไม่ใช่ elitism กรุณาอย่าสับสน
**(แนวคิดนี้ คล้ายๆ แนวคิดของท่านพุทธทาส แนะนำให้อ่านหนังสือ "ธรรมะกับการเมือง ของ พุทธาสภิกขุ" เรียบเรียงโดยอ.วีระ สมบูรณ์ เล่มละ 78 บาทครับ คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม)
คำว่าผู้ชำนาญการ ปัจจุบันคือพวกข้าราชการ หรือครูบาอาจารย์ นักวิจัย นักธุรกิจ
ถ้า 1 คนอยู่หลายกลุ่มได้ ก็ไม่น่าจะใช่ 1 คน 1 เสียง ( เสมอภาค )
หากใช้การกำหนดสัดส่วนอาชีพ พวกผู้ชำนาญการจะเป็นสัดส่วนที่น้อยที่สุด โอกาสที่จะเข้มาในสภา คงเป็นไปได้ยาก
ตรงนี้คุณแคนแคนกำลังตีความผิดไปแล้ว (หรือไม่ผมก็ใช้คำไม่เหมาะสม)
ใครทำอาชีพอะไร ก็เป็นผู้ชำนาญการทางด้านนั้น
หรือต่อให้ไม่ต้องทำอาชีพ
ถ้า "ใส่ใจ" และ "รู้เรื่อง" ที่ตัวเองกำลังใส่ใจ ก็มีสิทธิเป็นผู้ชำนาญการด้านนั้นได้จริงๆ แล้ว น่าจะใช้คำอื่น เพราะผู้ชำนาญการ มันฟังดูความหมายเป็น "expert" แต่ที่ผมต้องการจะสื่อคือ "functional unit" ครับ ไม่ทราบใครพอนึกศัพท์สั้นๆ ที่ดีกว่านี้ออกบ้าง?
ไม่ได้จำกัดแค่ ครูบาอาจารย์ นักวิจัย นักธุรกิจครับ ในที่นี้ ใครก็ตามที่สนใจอยากพัฒนา "สาขาอาชีพ หรือสภาพของประเทศในด้านที่ตนมีภุมิปัญญา และใส่ใจ" ก็สามารถเป็นผู้แทนได้ครับ
แต่ใครจะเป็นผู้แทนคน ไม่ว่าในด้านไหนได้ ก็ต้องมีความรู้ทั้งนั้นแหละครับ (มิได้หมายถึงปริญญา) ถ้าไม่มีความรู้ในสิ่งที่ตนจะพัฒนาแล้วจะมา "พัฒนาให้ดีขึ้น" ได้ยังไง
และความรู้ที่ว่า ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เป็นสมบัติของนักวิชาการ ครูบาอาจารย์ นักธุรกิจ ครับ*
*(ย้ำอีกครั้งว่าแนวคิดที่นำเสนอไม่ใช่ elitism)
ส่วนแต่ละสาขาอาชีพจะรวมตัวกันในระดับประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาสาขาอาชีพของตนเอง มีการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีกัน และคอยเสนอความต้องการของกลุ่มให้กับรัฐบาล
รัฐบาลก็จะใช้ข้อมุลจากแต่ละสาขาอาชีพมาวางแผน กำหนดนโยบายต่อไป
ที่คุณ meriwa ว่ามา ตอนนี้ก็มีทำอยู่แล้วครับ คือสภาพัฒน์ และพวกสมาคมอาชีพต่างๆ
ปัญหาคือ องค์กรทางกลุ่มอาชีพเหล่านี้ ไม่มีอำนาจทางการเมืองครับ
ส่วนการนำเสนอข้อมูลจากความชำนาญของตนให้รัฐบาลนั้น
จะมีผลจริงๆ ก็ต่อเมื่อรัฐบาลทั้งองค์รวมสนใจจะพัฒนาชาติเป็นอันดับหนึ่งครับ ซึ่งตรงนี้คุณ bonny ได้เสนอวิธีแก้โดยให้สภาอาชีพมีอำนาจในการยับยั้งนักการเมือง ซึ่งเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ
แต่ตัวผม ด้วยความที่ไม่มีความรู้ทางด้านการเมืองเลย เลยคิดต่อว่า อ้าว แล้วยังงั้น จะเอานักการเมืองไว้ทำไม
ถ้าจะต้องมีนักการเมืองมาบริหารประเทศในแต่ละด้าน ทำไมถึงไม่เอาผู้มีความรู้ในทางนั้นมาบริหารซะเลยล่ะ นักการเมืองมีอะไรพิเศษกว่าหรือ (ทักษะการบริหารเรียนกันได้ไม่ยาก)
ผู้มีความรู้ที่อยากบริหารมีเยอะครับ แต่ไม่เข้ามาทำงานระดับประเทศ เพราะมัน "สกปรก" (อ่านรายละเอียดได้ในกระทู้คุณ bonny)
ซึ่งนี่นำไปสู่ข้อโต้แย้งถัดไปที่ผมอยากจะกล่าว
"นักการเมือง" ก็คือผู้ที่มุ่งหวังเข้าไปทำงาน ทั้งด้านนิติบัญญัติ และ บริหาร ในองค์กรการเมืองทุกระดับ
สภาอาชีพ หรือ สภาผู้ชำนาญการของคุณนั่นแหละครับ คือ องค์กรการเมือง
ถ้าสภาผู้ชำนาญการมีจริง ก็จะเข้ามาแทนที่นักการเมืองครับ แต่ไม่น่าจะถือเป็นนักการเมืองเหมือนในระบบปัจจุบัน เพราะ
ผู้แทนในสภาชำนาญการ ไม่ได้สนใจในการทำงานด้านการจัดการผลประโยชน์ครับ
แต่สนใจในการนำผลประโยชน์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในสาขาของตนเอง ต่างหาก
ที่ทำตัวหนาไว้นั้น แน่นอน เป็นอุดมคติครับ แต่ด้วยโครงสร้างของการแบ่งอำนาจที่กล่าวไว้ น่าจะทำให้ตรวจสอบลับลมคมในได้ง่ายกว่านักการเมืองในระบอบปัจจุบันครับ
คำถามแดงตัวใหญ่ๆ ที่ผมถามไว้ข้างบน หมายถึง นักการเมืองในปัจจุบันครับ What do they exactly do?