ต้องวิจารณ์คำพิพากษาได้ แม้มิใช่เชิงวิชาการ ชำนาญ จันทร์เรืองเราจะได้ยินคำกล่าวอยู่เสมอๆ ว่า การวิจารณ์คำพิพากษานั้นสามารถทำได้ แต่
ต้องเชิงวิชาการ นะ ไม่เช่นนั้นอาจจะโดนข้อหาละเมิดอำนาจศาลหรือหมิ่น
ศาลได้ ซึ่งปัญหาก็คือว่าอะไรคือ
วิชาการ แล้วถ้ามิใช่วิชาการล่ะ จะวิจารณ์
ไม่ได้เลยหรือ
คำว่า
วิชาการ นั้น พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมาย
ไว้ว่า
วิชาการ น. วิชาความรู้สาขาใดสาขาหนึ่ง หรือหลายสาขา เช่น บทความวิชาการ
สัมมนาวิชาการ การประชุมวิชาการ ซึ่งกล่าวโดยสรุปก็คือ ต้องเกี่ยวข้องกับ
ความรู้และเป็นที่เข้าใจว่าต้องมีระบบระเบียบวิธีการวิจารณ์อย่างเป็นทางการหรือกระทำโดย
นักวิชาการเท่านั้น หากเป็น
ความเห็น ของประชาชนคนธรรมดาก็จะไม่ถือว่า
เป็นวิชาการ
เมื่อเรากลับมาดูรัฐธรรมนูญทุกฉบับในหมวดที่ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพ ซึ่งแม้ว่าฉบับ
ถาวรที่กำลังร่างอยู่ยังไม่เสร็จก็ตาม แต่ก็คงมีเนื้อหาที่ไม่แตกต่างไปจากของเดิม
เป็นแน่ เพราะแทบจะไม่มีใครที่ให้ความสนใจใยดีกับเนื้อหาสาระในหมวดนี้ โดยคิด
ว่าเป็นเพียงแต่การเขียนให้สวยหรูเท่านั้นเอง
อย่างไรก็ตามเราจะพบว่าในเนื้อหาสาระของหมวดนี้มีขอบเขตแห่งสิทธิเสรีภาพที่
ผูกพันกับการใช้อำนาจอธิปไตย คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจ
ตุลาการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงขอบเขตแห่งการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานอยู่
หากประชาชนหรือผู้ใดใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญแล้วย่อม
ไม่อาจนำกฎหมาย
ที่มีศักดิ์ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญซึ่งมิใช่กฎหมายเฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญกำหนด
ไว้ไปลงโทษลงทัณฑ์ได้ เช่น กฎหมายว่าด้วยความสะอาดเรียบร้อย หรือกฎหมาย
ห้ามการใช้เสียงที่ไปจำกัดสิทธิการชุมนุมโดยสงบและสันติ ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานตาม
รัฐธรรมนูญทุกฉบับ ฯลฯ แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการ
หมิ่นศาลเท่านั้น
ผมเชื่อว่ารัฐธรรมนูญที่จะประกาศใช้ต่อไปไม่ว่าจะเป็นฉบับ สสร. หรือฉบับ คมช.
บวกกับ ครม. หยิบขึ้นมาประกาศใช้ในกรณีที่ไม่ผ่านประชามติก็ตาม ก็จะมีหลักการ
ไม่ต่างไปจากบทบัญญัติ มาตรา 29 และ มาตรา 39 ของรัฐธรรมนูญปี 40 ซึ่งก็คือ
มาตรา 29 วรรคหนึ่ง การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้
จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อการที่
รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้ และเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญ
แห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้
มาตรา 39 วรรคหนึ่ง บุคคลจะย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด
การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นแต่ที่ผ่านมา เราไม่เคยนำบทบัญญัติที่ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเหล่านี้
ขึ้นมาพิจารณาเลย การติชมหรือแสดงความคิดเห็นหรือวิจารณ์คำพิพากษานั้นเรา
จะดูแต่เพียงว่าเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาลตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือไม่
เข้าข่ายหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นตามกฎหมายอาญาหรือไม่ เข้าข่ายละเมิดตามกฎ-
หมายแพ่งหรือไม่ ฯลฯ และว่ากันโดยเฉพาะแล้วการวิจารณ์เชิง
วิชาการ นั้น ก็
มีแต่เฉพาะกฎหมายจัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา 64 เท่านั้นที่บัญญัติยกเว้นไว้ว่า
หากวิจารณ์การพิจารณาหรือการพิพากษาคดีของศาลปกครองโดยสุจริตหรือวิธีการ
เชิงวิชาการ ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลหรือดูหมิ่นศาลหรือตุลาการ
ซึ่งการติชม แสดงความคิดเห็นหรือวิจารณ์คำพิพากษาของศาลนั้น อาจเป็นการติ
ชม แสดงความคิดเห็นหรือวิจารณ์คำวินิจฉัยในคำพิพากษาโดยไม่เกี่ยวกับศาลหรือ
ตุลาการซึ่งเป็นผู้วินิจฉัยนั้นเลยก็ได้
ความผิดฐานหมิ่นศาลหรือตุลาการนั้นมีในประมวลกฎหมายอาญามาตรา 198 กับ
ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 ฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326
ถึงมาตรา 328 และฐานดูหมิ่นตามมาตรา 393 ซึ่งเป็นความผิดลหุโทษ ความผิด
ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นการกล่าวใส่ความดูหมิ่นตัวบุคคลโดยตรง แม้ฐานดูหมิ่นเจ้าพนัก-
งานตามมาตรา 136 นั้น จะมีองค์ประกอบที่ว่าซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะ
ได้กระทำการตามหน้าที่ก็เป็นการกระทำต่อตัวเจ้าพนักงานโดยตรง คือดูหมิ่นเจ้า-
พนักงานนั้นโดยตรง ซึ่งผู้พิพากษาหรือตุลาการเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรานี้
คำพิพากษาเป็นผลผลิตของการกระทำการตามหน้าที่ของเจ้าพนักงาน ซึ่งมีตำแหน่ง
เป็นตุลาการหรือผู้พิพากษา ไม่มีบทกฎหมายฉบับใดห้ามการติชมแสดงความเห็น
หรือวิจารณ์คำพิพากษาและกำหนดโทษอาญาไว้
แต่การกระทำดังกล่าวอาจเป็นการใส่ความผู้พิพากษาหรือตุลาการต่อบุคคลที่สาม
ซึ่งเป็นได้แต่เพียงความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
326 ถึง มาตรา 328 ซึ่งความผิดฐานนี้มีการยกเว้นความผิดไว้ในมาตรา 329 ซึ่ง
บัญญัติไว้ว่า
ผู้ใดแสดงความเห็นหรือข้อความโดยสุจริต
(1) เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนเอง หรือป้องกันส่วนได้เสีย
เกี่ยวกับตนตามคลองธรรม
(2) ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่
(3) ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของ
ประชาชนย่อมกระทำ หรือ
(4) ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอัน
เปิดเผยในศาลหรือในการประชุม
ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่า หากกระทำโดย
สุจริต และการแสดงความเห็นหรือข้อความ
โดยสุจริตนั้นเป็นไปเพื่อเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งในสี่อนุมาตรานี้ ผู้นั้นย่อมได้รับยกเว้น
ความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งผมเห็นว่าย่อมหมายรวมถึงการยกเว้นความผิดฐาน
หมิ่นศาล ด้วยเช่นกัน
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า การติชม แสดงความเห็นหรือการ
วิจารณ์คำพิพากษาโดยสุจริตนั้นย่อมกระทำได้ แม้มิใช่ เชิงวิชาการ ที่จำกัด
เฉพาะผู้ที่อยู่ในแวดวงอันจำกัด และเป็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนผู้เป็นเจ้าของ
อำนาจตุลาการที่เป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตย โดยไม่ใช้ถ้อยคำหยาบคาย ด่าเสียๆ
หายๆ อย่างที่บางกลุ่ม บางคนเขากระทำกัน ---------------------------
เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 4 กรกฎาคม 2550 http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=8714&SystemModuleKey=HilightNews&SystemLanguage=Thai