ชี้เงินนอกระบบทะลักสู้เลือกตั้ง หวั่น "พลังประชาชน"กวาด 250 ที่นั่ง http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9500000117291 โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 4 ตุลาคม 2550 07:55 น.
"ยุวรัตน์ กมลเวชช"เผยเงินนอกระบบ "หวย-บ่อน"กำลังไหลเข้าสู่พรรคการเมืองเพื่อสู้ศึกเลือกตั้ง ขณะที่คู่แข่งขันยอมรับขยาด"พลังประชาชน"เงินหนามากที่สุด มีโอกาสกวาด 250ที่นั่ง ส่วนประชาราช-ชาติไทย-ประชาธิปัตย์ รวยลดหลั่นตามลำดับ ลูกพรรคปลาไหลชี้ "บิ๊กเติ้ง"ยังสงวนท่าทีไม่จ่ายหมดหน้าตัก ส่วนรวมใจไทยฯคุยมีเงิน แต่จะใช้เท่าที่จำเป็น เตือนพรรคใหญ่จะกลายเป็นเป้าให้กกต.จับตา
ดัชนีชี้วัดผลแพ้-ชนะการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างพรรคการเมืองในสนามเลือกตั้งแต่ละครั้งนั้น นอกเหนือไปจาก "กลยุทธ์" ที่ชาญฉลาด การใช้กลไกเครือข่ายอำนาจทั้งใต้ดินและบนดินอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพแล้ว ต้องไม่ลืมว่า "เงินทุน" ที่จะนำมาใช้ในกิจกรรมต่างๆทางการเมืองนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ว่ากันว่ายิ่งพรรคการเมืองใดมีเงินทุนหนา มากเท่าใด ก็จะส่งผลกับการดึงลูกทีมเข้าสู่สภาหินอ่อน ได้มากเท่านั้น...
ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 ธ.ค.นี้หากไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองใดๆขึ้นเสียก่อน ได้ถูกคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ทางการเมือง ตลอดจนตัวนักการเมืองเองว่าจะเต็มไปด้วยการแข่งขันต่อสู้กันอย่างหนัก ระหว่างขั้วอำนาจเก่าของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร โดยผ่านพรรคนอมินี "พลังประชาชน" กับพรรคขั้วตรงข้ามอย่าง "ประชาธิปัตย์-ชาติไทย-มหาชน" ขณะที่พรรคการเมืองขั้วที่ 3 ทั้งพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน และพรรคประชาราช เองก็ยังหวังดึงอดีตส.ส.เก่าเจ้าของพื้นที่ในกลุ่มตัวเองกลับมาให้มากที่สุดเพื่อหวังต่อรองเข้าร่วมรัฐบาลผสมหลังเลือกตั้ง
คู่แข่งผวา "พปร."ทุ่มไม่อั้นกวาด 250 ส.ส.
เกมการช่วงชิงพื้นที่เลือกตั้งทั้ง 480 ที่นั่งในครั้งนี้ย่อมแตกต่างไปจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาอย่างแน่นอน ถึงแม้หลังการเลือกตั้งหลายคนจะรู้ดีว่าไม่มีใครสามารถได้รับเสียงข้างมากจนเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวเหมือนกับที่พรรคไทยรักไทยเคยทำสำเร็จมาแล้วก็ตาม ดังนั้นเมื่อคู่แข่งทุกคนเข้าใจถึงเงื่อนไขในข้อนี้เป็นอย่างดีก็ตาม แต่ความจำเป็นในการที่จะต้องมีส.ส.ในมือให้มากที่สุดเพื่อประโยชน์ในการต่อรอง เพราะจนถึงนาทีนี้ไม่มีใครสามารถวางใจได้ว่า "พันธมิตรทางการเมือง"ที่พวกเขาแตะมือกันเอาไว้นั้น ท้ายที่สุดแล้วจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง หักหลังกันในวันหน้า
"การเลือกตั้งรอบนี้ หลายคนเชื่อว่าถ้ารัฐบาล หรือพรรคการเมืองอื่นๆที่เป็นคู่แข่งของพลังประชาชน ไม่เข้มแข็งมากพอจริงๆ ในที่สุดแล้วอำนาจเก่าก็จะกลับเข้ามาได้อีกแน่นอน เพราะเมื่อประเมินจากผลโหวตรับร่างฯที่ผ่านมาจะเห็นว่า นี่เป็นการแสดงพลังแค่ส่วนหนึ่งของคุณทักษิณ เท่านั้น" แกนนำเกษตรกรภาคอีสานกลุ่มพันธมิตรระบุ
เขาย้ำว่า พลังจากอำนาจเก่าของอดีตนายกฯทักษิณ ที่สามารถสร้างความหวาดวิตกให้กับคู่แข่งมากที่สุดคือเรื่องของ "อำนาจเงินทุน" ที่หลายคนเชื่อว่ามีมากมายมหาศาลและพร้อมที่จะทุ่มทุนในการเลือกตั้งครั้งนี้ให้พรรคพลังประชาชนได้มีที่ยืนในสภาผู้แทนฯให้ได้มากที่สุด ซึ่งประเด็นเรื่องเงินทุนของพรรคพลังประชาชนนั้นได้ถูกจับตาจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะเจ้าของอำนาจใหม่ รวมทั้งพรรคคู่แข่ง จนในที่สุดได้มีการเปิดเผยจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ว่ามีเงินมากมายเป็นหมื่นล้านบาทที่เตรียมจะขนเข้าประเทศผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ
" เวลานี้พรรคการเมืองที่มีเงินมากที่สุดคือพลังประชาชน ซึ่งคาดว่าอย่างต่ำน่าจะมีเงินมากถึง 7,000-8,000 ล้านบาท รองลงมาคือประชาราช ซึ่งจะมีเงินประมาณ 2 ,000 ล้านบาท พรรคชาติไทย น่าจะอยู่ที่ 1,000-2,000 ล้านบาท ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ จะมีอยู่แค่ 400-500 ล้านบาท" แกนนำจากประชาธิปัตย์ เปิดเผยตัวเลขเงินทุนที่แต่ละพรรคการเมืองมีอยู่ในมือและเตรียมที่จะนำมาใช้ในการเลือกตั้งครั้งนี้
พร้อมทั้งระบุว่าก่อนหน้านี้พรรคพลังประชาชนได้จ่ายเงินเพื่อเช็คกระแสของไทยรักไทยมาแล้วจากการโหวตลงประชามติ จนทำให้เกิดพื้นที่สีแดงขึ้นในหลายพื้นที่ในจังหวัดฐานเสียงเดิมของไทยรักไทย เมื่อการหว่านเงินลงไปยังหัวคะแนน โดยผ่านส.ส.ของพรรคเพื่อให้โหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 2550 และได้ผลเป็นที่น่าพอใจไปแล้ว
ดังนั้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ที่มีการแข่งขันกันรุนแรง คาดว่าอดีตนายกฯทักษิณ พร้อมที่จะทุ่มเงินเพื่อให้ได้ส.ส.เข้าสภาจำนวน 200-250 คนขึ้นไปจะอยู่ที่ราว 5,000 ล้านบาทอย่างต่ำ ซึ่งส.ส.แต่ละคนจะต้องใช้เงินในการทำกิจกรรมและซื้อเสียงคนละ20 ล้านบาท
ในการใช้เงินทุนเพื่อดำเนินการทางการเมืองด้านต่างๆสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้นั้น จะถูกกระจายออกไปในเรื่องของค่าใช้จ่ายส่วนตัวของส.ส.แต่ละคนในพื้นที่ ขณะที่ส่วนกลางของพรรคจะเป็นผู้รับผิดชอบการทำโพลของพรรคเพื่อสำรวจคะแนนเสียงในแต่ละเขตเลือกตั้ง โดยในส่วนนี้ค่าใช้จ่ายในการทำโพลแต่ละครั้งจะอยู่ที่ 30-40 ล้านบาท นอกจากนี้พรรคยังจะช่วยดูแลเรื่องออกแคมเปญหาเสียง ซึ่งจะต้องอาศัยการทำงานของมืออาชีพจากบริษัทโฆษณา
"พรรคพลังประชาชน จะใช้บริษัทเดิมคือบริษัทเอสซี แมชบ็อกส์ ซึ่งอยู่ในเครือชินคอร์ป และบริษัทประชาสัมพันธ์ยักษ์ใหญ่ คือ 124 คอมมูเคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยมีพันธุ์ศักดิ์ วิญญรัตน์ ที่ปรึกษาคุณทักษิณ เป็นกุนซือการออกแคมเปญหาเสียงของพรรค" แหล่งข่าวระบุ "บิ๊กเติ้ง"ไม่เทหมดหน้าตัก-รอร่วมรบ.
สำหรับพรรคพลังประชาชน ที่ถูกมองว่าไม่มีปัญหาทางด้านการเงิน เนื่องจากอดีตนายกฯทักษิณ ยังมีเงินที่รอดพ้นจากการถูกสั่งอายัดทรัพย์อีกจำนวนมหาศาล โดยประมาณการจากเงินที่นำไปซื้อกิจการสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของอังกฤษ เป็นเงินถึง 5,300ล้านบาท แต่ล่าสุด สมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคคนใหม่ ได้นำทีมแกนนำพรรคจัดงานระดมทุนหาเงินเข้าพรรค เมื่อวันที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมาได้เงินถึง 150 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์ ได้เคยจัดงานระดมทุนครั้งใหญ่มาแล้วเช่นกันเมื่อวันที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ศูนย์แสดงสินค้าไบเทค บางนา และได้เงินเข้าพรรคจำนวน 427 ล้านบาท ทางด้านงานพรรคชาติไทยเองได้ตั้งเป้าระดมทุนไว้ที่ 80 ล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขตัวเลขส.ส.เข้าสภาประมาณ 30-40 ที่นั่ง
" ดูจากสถานการณ์แล้ว เชื่อว่าหัวหน้า (บรรหาร ศิลปะอาชา ) ไม่น่าที่จะทุ่มไปกับการเลือกตั้งครั้งนี้มากนัก เพราะทุกคนรู้ดีว่าเมื่อตั้งรัฐบาลแล้วก็คงอยู่ไปได้ไม่เกินปีครึ่ง จากนั้นก็ต้องเลือกตั้งกันใหม่อีก ดังนั้นน่าจะเก็บทุนเอาไว้ใช้สำหรับของจริงมากกว่า" แกนนำพรรคชาติไทย กล่าวและบอกอีกว่า เป้าหมายของพรรคชาติไทยในการเลือกตั้งครั้งนี้น่าจะทำเพื่อให้ได้ส.ส.ประมาณ 30-40 ที่นั่ง โดยจะเน้นสนับสนุนผู้สมัครที่มีฐานเสียงเข้มแข็งเป็นอันดับแรก ดังนั้นพรรคชาติไทยจึงไม่เน้นในการรณรงค์นโยบายหาเสียงมากเมื่อเทียบกับ 2 พรรคใหญ่ ทั้งนี้พรรคชาติไทยมีฐานเสียงที่หนาแน่นอยู่แล้วในภาคกลาง ซึ่งมีการต่อสู้รุนแรงน้อยกว่าในภาคอีสานและภาคเหนือ เนื่องจากจะเป็นพื้นที่แข่งขันระหว่างพรรคไทยรักไทยเก่ากับพรรคขั้วที่สาม
การใช้เงินในการหาเสียงนั้น ทุกพรรคปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความจำเป็น เพียงแต่จะมีความเข้มข้นแตกต่างกันไปตามสภาพพื้นที่แต่ละส่วน โดยในภาคเหนือและอีสาน ซึ่งมีเขตเลือกตั้งมากถึง136 เขต การต่อสู้ระหว่างขั้วอำนาจเก่า ใหม่และขั้วที่สามจึงมีความรุนแรง ซึ่งการนำเสนอเพียงนโยบายหาเสียงย่อมไม่พอต่อการเอาชนะอย่างแน่นอน
" ในภาคอีสานและภาคเหนือ การใช้เงินยังมีความจำเป็นอย่างมาก เนื่องจากที่ผ่านมาพรรคใหญ่ได้ทำให้กลายเป็นธรรมเนียมไปแล้ว"
เตือนพรรคใหญ่เงินหนา
กลายเป็นเป้ากกต.
ทางด้านอีกหนึ่งพรรคที่อยู่ในความสนใจของคู่แข่งไม่แพ้พรรคอื่น ถึงแม้จะเป็นพรรคหน้าใหม่ก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า "รวมใจไทยชาติพัฒนา" ไร้ซึ่งทุนรอนในการเลือกตั้ง แต่ตรงกันข้ามพรรคนี้มีอดีตแม่บ้านจาก 2 พรรคการเมืองใหญ่นั่งเป็นหัวเรือใหญ่ ทั้ง "ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์" อดีตเลขาธิการพรรค กับ "สุวัจน์ ลิปตพพัลภ"หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา
สุรพร ดนัยตั้งตระกูล แกนนำพรรครวมใจไทยฯ ยอมรับว่าพรรคมีเงินมากพอที่จะนำมาใช้ในการจัดการ และบริหารแผนในการเลือกตั้ง แต่คงไม่มากพอที่จะให้ผู้สมัครของพรรคนำไปกระทำผิดทางกฎหมายอย่างแน่นอน การต่อสู้ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้เขาไม่เชื่อว่าการที่พรรคใดก็ตามมีเงินมากพอแล้วจะสามารถเอาชนะคู่แข่งได้
"ต้องไม่ลืมว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่สังคมไทยมีการแตกแยก ดังนั้นเชื่อว่าหากพรรคใดสามารถนำเสนอแนวทางยุติความรุนแรงลงได้ พร้อมทั้งสร้างความมั่นใจด้านเศรษฐกิจให้กับประชาชนได้ น่าจะเป็นทางออกที่ดีมากกว่า"
แกนนำพรรครวมใจไทยฯ ยังชี้ว่าการจัดงานระดมทุนของพรรคพลังประชาชนล่าสุดนั้น เพื่อต้องการสื่อนัยยะว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับการต่อท่อน้ำเลี้ยงมาจากอดีตนายกฯทักษิณ และไม่ใช่พรรคที่มีเงินมากมายตามที่ถูกกล่าวหา อย่างไรก็ตามในข้อเท็จจริงแล้วแต่ละพรรคจะมีแนวคิดและจุดยืนในการทำงานที่ต่างกันไป หากพรรคใดเชื่อว่าสามารถใช้เงินเพื่อเอาชนะคู่แข่งได้ ก็จะบริหารจัดการแผนการเลือกตั้งของตนเองออกมาในแนวทางดังกล่าว
"การเลือกตั้งรอบนี้มั่นใจว่าใครก็ตามที่ละเมิดกฎหมายควบคุมการเลือกตั้ง จะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน อีกทั้งกกต.ชุดใหม่ต้องพิสูจน์ฝีมือก่อนที่จะไปเจองานใหญ่การเลือกตั้งระดับต่างๆที่จะมีขึ้นในปี 2551 อีก เพราะฉะนั้นพรรคใหญ่ มีเงินมากอาจกลายเป็นจุดอ่อน ดึงดูดให้สังคมและกกต.ต้องจับตามากกว่าคนอื่นแทน"
จับตาทุน "ธุรกิจมืด"
แห่หนุนพรรคการเมือง
ขณะที่อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ยุวรัตน์ กมลเวชช ระบุอย่างชัดเจนว่า "ไม่มีเงิน เล่นการเมืองไม่ได้ เพราะการเลือกตั้งใช้เงินเป็นปัจจัยชี้ขาด" โดยเฉพาะในการเลือกตั้งครั้งนี้มีเก้าอี้ส.ส.ทั้งสิ้น 480 ที่นั่ง โดยแบ่งเป็นส.ส.เขต400 และส.ส.ระบบสัดส่วน 80 ที่นั่ง ใช้ระบบแบ่งเขต เรียงเบอร์ จะส่งผลให้เขตเลือกตั้งใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม ส.ส. ผู้สมัครต้องใช้เงินซื้อเสียงมากกว่าเขตเล็ก
ดังนั้นการใช้เงินเพื่อนำมาซื้อเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้จึงมีความจำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพรรคใดต้องการได้ส.ส.ไว้ในมือให้มากที่สุด ซึ่งการจัดหาเงินของพรรคต่างๆนั้นจะเกิดขึ้นหลายทางด้วยกัน โดยมาจาก 4 ส่วนใหญ่คือ1. การระดมทุนของพรรคการเมือง 2.จากการบริจาคจากบุคคลที่ให้การสนับสนุน ตามที่กฎหมายกำหนดให้รายละไม่เกิน 10 ล้านบาท 3. ค่าบำรุงสมาชิก และ4. เงินบริจาคจากบริษัท ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ไม่เกินรายละ100 ล้านบาท โดยทุนที่ได้มาจากเงินบริจาคจะเป็นเงินก้อนใหญ่ที่สุด ซึ่งขณะนี้ได้แบ่งที่มาออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือทุนที่ 1 ได้มาจากกลุ่มคนที่ประกอบกิจการนอกกฎหมาย อาทิ หวยใต้ดิน การพนันบอล เงินกู้นอกระบบ และยาบ้า
"ต้องยอมรับว่าเงินนอกระบบเหล่านี้จะมาจากผู้มีอิทธิพล มาเฟีย ที่ต้องการสร้างเกาะป้องกันตัวเอง ด้วยการหาทางพึ่งการเมือง คนกลุ่มนี้ก็มีหลายระดับตั้งแต่ข้าราชการระดับสูงๆ ไปจนถึงนักเลงข้างถนน ที่มีหัวเรือใหญ่เป็นนักการเมืองระดับชาติ"
ขณะที่ทุนอีกส่วนหนึ่งจะมาจากเงินในระบบ ที่แม้จะได้มาถูกต้องตามกฎหมาย แต่พบว่าเงินดังกล่าวมักมาจากกลุ่มธุรกิจที่มีปัญหาและหวังอาศัยภาคการเมืองช่วยฟื้นฟูกิจการ ผ่านการได้โควตาตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลนั้นๆ คนที่น่าจับตาที่สุดก็แน่นอนว่ายังเป็น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเจ้าของธุรกิจเครือชินวัตร
กกต.โคราช-ขู่กม.ใหม่โทษหนัก
อย่างไรก็ดี เชื่อว่าการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นวันที่ 23 ธ.ค.นี้จะเป็นศึกเลือกตั้งที่ใช้เงินมากที่สุดและมีการต่อสู้ดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่งในระบอบการเมืองไทย เนื่องจากเป็นการต่อสู้ระหว่าง 3 ขั้วอำนาจการเมือง
"ต้องดูว่ากลุ่มไหนจะไปเอาเงินนอกระบบมาใช้เพื่อใช้ต่อสู้กับกลุ่มอำนาจเก่า และเมื่อเลือกตั้งเกิดการทุจริต คอยดูทั้ง 3 กลุ่มก็จะเกิดการซัดกันนัวเป็นมวยหมู่ อาจรุนแรงถึงขั้นซุ่มยิงกัน ตรงนี้จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่เพราะต่างชาติจะไม่เชื่อมั่น"
อย่างไรก็ดี คนที่มีอำนาจตรวจสอบอย่าง กกต. ก็จะต้องเป็นฝ่ายที่ทำงานหนัก และต้องตามกระบวนการทุจริตให้ทัน ส่วนที่มีกระแสข่าวว่ากกต.ถูกซื้อยกจังหวัด ก็เป็นหน้าที่ของกกต.กลางที่มีอำนาจเต็มที่ในการให้กกต.ชุดนั้นๆ หรือคนนั้นๆ ออกจากการปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยไม่ต้องมีของกลาง แค่เชื่อว่ามีพฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตก็สามารถทำได้แล้ว
พล.อ.วีรวุธ ส่งสาย ประธานกกต.จังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า เวลานี้ยังไม่เห็นความผิดปกติจากการเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองเกิดขึ้น และเชื่อว่าพรรคการเมืองทุกพรรคจะยังไม่มีการซื้อเสียง เนื่องจากต้องรอความชัดเจนการประกาศเขตเลือกตั้งจากกกต.และการประกาศพระราชกฤษฎีกาการเลือกตั้งออกมาให้เรียบร้อยก่อน
สำหรับการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นที่ผ่านมาล่าสุดกกต.จังหวัด ยังไม่พบว่ามีการกระทำการทุจริตแต่อย่างใด เพียงแต่มีร้องเรียน และอยู่ในระหว่างการสอบสวน อย่างไรก็ตามอยากเตือนผู้สมัครทุกพรรคว่ามาตรการการลงโทษ ผู้กระทำทุจริตการเลือกตั้ง ตามกฎหมายลูก จะมีความรุนแรง โดยผู้ร้องเท็จจะถูกดำเนินคดีทั้งทางอาญาและทางแพ่ง ซึ่งในอดีตยังไม่เคยมีมาก่อน