วันพฤหัสบดี ที่ 27 กันยายน 2550
รัฐประหารครบขวบปี กับวันนี้ของ "ชิดชัย วรรณสถิตย์"
Posted by ปกรณ์ , ผู้อ่าน : 17 , 22:25:09 น.
1 ปีหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ไม่ได้ส่งผลเพียงแง่มุมการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์อย่างล้ำลึกด้วย โดยเฉพาะผู้ที่ถูก "ยึดอำนาจ" ไปด้วยปลายกระบอกปืน
การออกมาเปิดเผยเรื่องราว 10 วัน 11 คืนหลังการรัฐประหารของ เนวิน ชิดชอบ อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย บนเวทีปราศรัยที่ จ.บุรีรัมย์บ้านเกิด เมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา ถือเป็นฉากชีวิตหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้มีเพียงชีวิตเดียวที่ต้องเผชิญชะตากรรมเยี่ยงเขา...
ค่ำคืนของวันที่ 19 กันยายนปีที่แล้ว พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รักษาการนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น รับรู้ข่าวคราวของการรัฐประหาร และนั่งประเมินสถานการณ์กับคนใกล้ชิด รวมทั้ง พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ อยู่ที่กองบัญชาการทหารสูงสุด
ห้วงเวลาแห่งความเป็นความตายนั้น เขาตัดสินใจ "สู้กันสักตั้ง" ด้วยการวางแผนตรึงกำลังเพื่อยันกับคณะรัฐประหารในเขตกรุงเทพมหานคร แต่ปัญหาที่เขาคาดไม่ถึงก็คือ ไม่มีกำลังหน่วยใดฟังคำสั่งของรัฐบาลที่กำลังถูกท้าทายอำนาจเลย
สถานการณ์ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ทำให้เขารับรู้ด้วยสามัญสำนึกว่า นายทหารระดับสูงหลายคนที่เดินสวนและทักทายกันบ่อยๆ นั้น ไม่ได้มีใจกับรัฐบาลมานานแล้ว และยังลอบวางแผน "คบคิดกัน" เพื่อโค่นรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเมื่อเทพแห่งชัยชนะย้ายข้างไปอยู่กับฝั่งผู้ทำรัฐประหาร พล.ต.อ.ชิดชัย ก็ถูกควบคุมตัว และได้รับเกียรติเป็นพิเศษในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ด้วยการจัดที่อยู่ใหม่ให้ภายในศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.)
12 วัน 12 คืนเขาต้องถูกกักบริเวณอยู่ใน ศรภ. จนเมื่อรัฐบาลชุดใหม่ก่อตัวอย่างเป็นรูปเป็นร่างแล้ว พล.ต.อ.ชิดชัย จึงได้รับอิสระ จากนั้นข่าวคราวเกี่ยวกับตัวเขาก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความสนใจ
แต่คนระดับ พล.ต.อ.ชิดชัย ที่ไม่ใช่ได้เก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ควบ รมว.มหาดไทย ในรัฐบาล "ทักษิณ 2" มาอย่างโชคช่วย ทำให้ชื่อของเขาไม่ได้ถูกลบไปจากเวทีการเมืองอย่างถาวร โดย พล.ต.อ.ชิดชัย ยังคงตกเป็นข่าวนานๆ ครั้งในฐานะบุคคลที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไว้วางใจ และเลือกให้เป็นผู้สืบทอดอุดมการณ์พรรคไทยรักไทยตัวจริง
ข่าวดังกล่าวไม่ใช่ข่าวโคมลอย เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ยิ่งกว่าคำว่า "แค่มองตาก็รู้ใจ" เส้นทางของทั้งคู่มาบรรจบกันตั้งแต่เมื่อครั้งร่วมเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน โดย พล.ต.อ.ชิดชัย เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น (นรต.) 23 ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็น นรต.รุ่น 26
ทั้งคู่เป็นนักเรียนระดับหัวกะทิ และได้รับโอกาสไปศึกษาต่อถึงระดับด็อกเตอร์ที่สหรัฐอเมริกา ทำให้ทั้งสองคนได้ใช้ชีวิตในต่างแดนร่วมกันอีกหลายปี
เมื่อเรียนสำเร็จกลับมารับราชการตำรวจได้อีกระยะหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ตัดสินใจเลือกเดินสายธุรกิจ ขณะที่ พล.ต.อ.ชิดชัย ยังสวมเครื่องแบบสีกากีต่อไป และชีวิตราชการก็เจริญก้าวหน้ามาเป็นลำดับ
กระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2544 เขาก็เลือกใช้บริการ "เพื่อนรุ่นพี่" ที่ทั้งเชื่อมือและเชื่อใจคนนี้ โดยมอบหมายงานแรกให้ พล.ต.อ.ชิดชัย ปรับโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และนั่นได้นำมาสู่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นกฎหมายตำรวจที่ก้าวหน้ามากที่สุดฉบับหนึ่ง
ถัดจากนั้นเมื่อรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ตัดสินใจประกาศสงครามกับยาเสพติด เขาก็โยก พล.ต.อ.ชิดชัย ไปคุมงานสำคัญนี้ในเก้าอี้เลขาธิการ ป.ป.ส. เมื่องานสำเร็จก็เตรียมตบรางวัลด้วยตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ติดปัญหาเรื่อง "อาวุโส" จึงได้โบนัสก้อนใหญ่กว่าเป็นเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ซึ่งคุมทั้งทหาร ตำรวจ แถมด้วย รมว.มหาดไทย คุมข้าราชการฝ่ายปกครองทั้งหมดแทน
นี่คือเส้นทางแห่งความไว้วางใจที่ทั้งคู่เดินลุยมาด้วยกัน จึงไม่แปลกอะไรหาก พ.ต.ท.ทักษิณ จะเลือก พล.ต.อ.ชิดชัย เป็นผู้กอบกู้ไทยรักไทยในฐานะหัวหน้าพรรค แต่แผนการดังกล่าวก็ต้องพังครืนลง เมื่อตุลาการรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคไทยรักไทย และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค 111 คน ซึ่งมีชื่อ "ชิดชัย วรรณสถิตย์" รวมอยู่ด้วยคำพิพากษาที่ถูกเปรียบเป็น "สึนามิการเมือง" ทำให้อดีตแกนนำไทยรักไทยเดิมต้องเปลี่ยนแผน ย้ายบ้านไปอยู่ใต้ชายคาพรรคพลังประชาชน และผลักดันบรรดาแกนนำที่ไม่ถูกเพิกถอนสิทธิขึ้นมาเดินงานแทน
ทว่าบทบาทของ พล.ต.อ.ชิดชัย ไม่ได้ยุติลงไปพร้อมกับคดียุบพรรค เพราะทุกวันนี้เขายังขับเคลื่อนงานมวลชนในภาคอีสานภายใต้หมวก "นายกสมาคมชาวอุบลฯ" โดยมีจังหวัดอุบลราชธานีบ้านเกิดของเขาเองเป็นฐานที่มั่นสำคัญ
วันที่ 13 ตุลาคมนี้ตรงกับวันตำรวจ แต่อดีตตำรวจอย่าง พล.ต.อ.ชิดชัย กำลังเตรียมจัดงานใหญ่ด้วยการเปิดเวทีระดมความเห็นจากทุกภาคส่วนเพื่อกำหนดแผนพัฒนาเมืองอุบลฯ ซึ่งเมื่อเอ่ยชื่อบุคคลที่จะไปร่วมงานด้วยแล้วแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เพราะมี "แก้วสรร อติโพธิ" กรรมการ คตส.ที่กำลังขะมักเขม้นไล่ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปร่วมเวทีด้วยในฐานะศิษย์เก่าเมืองดอกบัวเช่นกันและด้วยบารมีระดับอดีต มท.1 ทำให้ซุ้มไม้สักริมรั้วบ้านภายในซอยประชาราษฎร์ 10 ย่านนนทบุรีของ พล.ต.อ.ชิดชัย เป็นดั่งเรือนรับรองย่อมๆ ที่มีผู้แวะเวียนมาหาอย่างไม่ขาดสาย จนเจ้าตัวต้องขยับขยายไปเช่าที่วัดกว่า 1 ไร่ข้างๆ รั้วบ้านเพื่อสร้างสำนักกฎหมาย "ธราทิพย์" พร้อมเรือนรับรองขนาดใหญ่เตรียมไว้รองรับแขกเหรื่อมิตรสหายที่มาเยี่ยมเยือน
แม้ พล.ต.อ.ชิดชัย จะเอ่ยกับคนใกล้ชิดบ่อยครั้งว่า "ไม่เอาแล้ว...การเมือง" แต่ทุกกระแสความเคลื่อนไหวในบ้านเมืองนี้ก็ไม่เคยรอดสายตาของเขา ล่าสุดกับกรณีรัฐมนตรีถือครองหุ้นเกิน 5% และ ป.ป.ช.ออกมาบอกว่าไม่สามารถเอาผิดได้ เพราะโทษทางอาญาไม่ย้อนหลัง เขายังตั้งคำถามกับคนคุ้นเคยว่า มาตรฐานของกระบวนการยุติธรรมอยู่ตรงไหน...
ก็ทีคนของรัฐบาลชุดที่แล้วแม้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดยังลงโทษย้อนหลังได้ แต่กับคนของรัฐบาลชุดนี้ที่กระทำความผิดเห็นอยู่ชัดๆ เหตุไฉนจึงไม่มีย้อนหลัง
ก่อนจะสรุปสถานการณ์การเมืองไทยใต้เงาท็อปบู๊ทว่า ไม่ต่างอะไรกับ "ลิงปีนบันได" ที่หาทางลงอย่างไรก็หาไม่เจอ
และนี่เองที่ทำให้เขามั่นใจว่า งานชิ้นแรกของรัฐบาลชุดใหม่ ไม่ว่าพรรคพลังประชาชนจะได้เสียงเข้ามามากน้อยแค่ไหน ก็คือการเสนอนิรโทษกรรมอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 คน และต้องทำให้สำเร็จด้วย!
เรื่องราวความคับข้องใจตลอด 365 วันหลังการรัฐประหารในสายตาของ พล.ต.อ.ชิดชัย ได้ถูกบันทึกเอาไว้ในไดอารี่ส่วนตัว และเตรียมจะพิมพ์ออกมาเป็นพ็อคเก็ตบุ๊ควางตลาดช่วงใกล้ๆ เลือกตั้งปลายปีนี้
และหากอดีตแกนนำไทยรักไทยสามารถปลดล็อกคำสั่งตุลาการรัฐธรรมนูญได้จริง ก็น่าติดตามเป็นอย่างยิ่งว่า "ฟ้าหลังฝน" ของ พล.ต.อ.ชิดชัย จะเป็นเช่นไร เพราะมีหลายเส้นทางรอให้เขาเลือกเดิน ไม่ว่าจะลงสมัคร ส.ว.ที่อุบลราชธานีบ้านเกิด หรือร่วมกันฟื้นพรรคไทยรักไทยตามเจตนารมณ์ของ "น้องเลิฟ" ที่ลอนดอน
ถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่ต้องจับจ้องด้วยใจระทึก!
http://www.oknation.net/blog/kobkab/2007/09/27/entry-1 แม้ พล.ต.อ.ชิดชัย จะเอ่ยกับคนใกล้ชิดบ่อยครั้งว่า "ไม่เอาแล้ว...การเมือง" แต่ทุกกระแสความเคลื่อนไหวในบ้านเมืองนี้ก็ไม่เคยรอดสายตาของเขา ล่าสุดกับกรณีรัฐมนตรีถือครองหุ้นเกิน 5% และ ป.ป.ช.ออกมาบอกว่าไม่สามารถเอาผิดได้ เพราะโทษทางอาญาไม่ย้อนหลัง เขายังตั้งคำถามกับคนคุ้นเคยว่า มาตรฐานของกระบวนการยุติธรรมอยู่ตรงไหน...
ก็ทีคนของรัฐบาลชุดที่แล้วแม้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดยังลงโทษย้อนหลังได้ แต่กับคนของรัฐบาลชุดนี้ที่กระทำความผิดเห็นอยู่ชัดๆ เหตุไฉนจึงไม่มีย้อนหลัง
ก่อนจะสรุปสถานการณ์การเมืองไทยใต้เงาท็อปบู๊ทว่า ไม่ต่างอะไรกับ "ลิงปีนบันได" ที่หาทางลงอย่างไรก็หาไม่เจอ...คุณกล้านรงค์ จันทิก หนึ่งในคณะกรรมการ ปปช. ได้ชี้แจงว่า รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ได้มี"บทเฉพาะกาล" เกี่ยวกับเรื่องนี้
จึงไม่มีความผิดตามกฎหมาย แต่ไม่ถูกต้องด้วย"มารยาท" "คุณธรรม" "จริยธรรม".....
